......เพราะรักเธอ...... (1)

TANOI_ZA

เพราะรักเธอ
          คุณว่าจะมีสักกี่คนในโลกนี้ที่จะได้รู้จักกับความรักที่ปราถนาเพียงแค่อยากให้คนที่เรารักมีความสุข ความรักที่มอบให้แต่ความรู้สึกดีๆ ความหวังดีที่อยากให้อีกฝ่ายสามารถยิ้มได้หัวเราะได้ต่อไปโดยไม่มีตัวเองเป็นส่วนร่วม ผมได้เจอเธอคนนั้น หญิงสาวตัวเล็กน่ารักผมยาวปะบ่า ตากลมแป๋วที่อยู่ภายใต้ขนตายาวเรียงกันเป็นแพ ปากเล็กได้รูปรับกับใบหน้า หญิงสาวคนที่อยู่เพียงลำพังในโลกเงียบแต่เต็มไปด้วยความใสสะอาด สดใส และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวังที่จะได้รู้ว่าคนที่เธอรักมีความสุข 
ทุกครั้งที่ผมคิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกหรือหันไปหาใครไม่ได้ ผมมักจะแอบหลบมาเดินเล่นเพียงคนเดียวที่สวนสาธารณะกลางใจเมืองเพื่อนั่งคิดอะไรเพียงลำพัง ซึ่งมันก็คือทุกวันตั้งแต่วันที่ผมเจอเธอนั่นแหละครับ นิสัยแบบนี้ของผมมันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ผมเจอสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจที่สุดนั่นคือ การได้เห็นผู้หญิงตัวเล็กผอม ผิวขาวซีดเซียวราวกับคนไร้ชีวิตผิดกับใบหน้าของเธอที่คอยมอบรอยยิ้มที่ช่วยปลุกความร่าเริงสดใสที่นอนหมอบอยู่อย่างสงบภายในใจของผู้คนที่ได้พบเห็นให้ตื่นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ผมผู้ที่เป็นศูนย์กลางความบันเทิงให้กับสาวๆ 
ผมยังจำได้ดีถึงวันแรกที่ผมได้พบเธอ วันนั้นเพลย์บอยหนุ่มผู้ไม่เคยได้รู้จักคำว่าถูกทิ้งเช่นผมกลับถูกสลัดรักโดยดาวเด่นประจำมหาวิทยาลัยชื่อดังในจังหวัด ตัวผมเองก็ไม่ได้คิดจะจริงจังกับหล่อนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องทั้งหมดมันจบลงแบบผิดแผนที่ผมคิดไว้เท่านั้นเอง มันควรจะเป็นผมต่างหากที่เป็นฝ่ายทิ้งเธอไปก่อน ผมจึงรู้สึกหงุดหงิดมากที่เธอทำให้ผมเสียหน้าและเสียชื่อหนุ่มเพลย์บอยประจำมหาวิทยาลัย โดยที่ผมไม่สามารถเอาเธอคืนได้เนื่องจากครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนี้ผมจึงมีสภาพไม่ต่างไปจากหมาบ้าที่พร้อมจะกัดใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ ผมเที่ยวพาลผู้คนรอบข้างจนไม่ใครกล้าเฉียดกายผ่าน
เพื่อดับความรู้สึกหงุดหงิดที่กำลังจะลุกลามเป็นไฟไหม้ป่าของผม เย็นวันนั้นผมจึงขับรถคันงามที่ปะป๊าของผมซื้อให้เมื่อครั้งที่ผมสามารถเอนท์ทรานซ์ติดในคณะแพทย์ศาสตร์ไปตามทางเพื่อสงบใจ ผมรู้สึกสงบใจลงบ้างจนกระทั่งเข้ามาพบปะความวุ่นวายกลางใจเมืองที่ชวนให้ผมมีอารฒณ์บ้าบอมากยิ่งขึ้น ทันทีที่ผมฝ่าการจราจรยามฟ้าแดงจนผ่านมาถึงสวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางใจเมืองได้ (ถึงแม้ว่าขบวนรถจะยังติดไม่เลิกเหมือนมะหม้าผมติดวงไพ่ก็เถอะ) ผู้คนพลุกพล่านในยามเย็นจนไม่น่าจะแวะสงบจิตใจ แต่บางอย่างที่กำลังผ่านหน้าผมไปกลับเรียกสายตาผมให้เหลียวกลับไปมองอีกรอบเพื่อซึมซับภาพนั้นไว้เผื่อผมจะไม่มีโอกาสได้เจอเธออีก จนในที่สุดผมจึงตัดสินใจจอดรถคันงามของผมไว้เพื่อเข้าไปทำความรู้จักเธอ แต่เมื่อผมหาที่จอดรถที่สุดแสนจะหายากเหลือเกินในบริเวณนี้ได้ เธอก็หายไปจากรัศมีที่ผมจะมองเห็นเธอได้โดยง่ายแล้ว จากอารมณ์หงุดหงิดที่ถูกทำให้ลดเลือนไปเมื่อครู่เพราะความตื่นตาตื่นใจกับของเล่นชิ้นใหม่ ตอนนี้มันเริ่มกลับมาอีกครั้งด้วยพลังดับเบิ้ลแอคแทคที่ถูกกระหนำมาจากเรื่องเฮงซวยต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวของผม 
ผมจึงเริ่มเดินตามหาเธออย่างหัวเสีย (ประสาทเสียด้วย อีกหน่อยอาจจะบ้าได้ถ้าผมไม่ได้ระบายออกมา) ผมคิดโทษสาวบรีทเอกซ์เซลล์ (ก็ผิวเธอโคตรขาวไงครับ) ว่า เธอเป็นสาเหตุให้ผมเสียเวลาจอดรถในที่แบบนี้ ดังนั้นผมจะต้องหาตัวเธอให้เจอและจีบเธอมาเป็นของเล่นของผมให้จนได้ เดินอยู่นานจนกระทั้งหนุ่มนักกีฬามหาวิทยาลัยอย่างผมรู้สึกเหนื่อย หอบเสียจนไอ้ด่างที่บ้านมันนึกว่าเพื่อนใหม่เลย แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเจอใครคล้ายเธอสักคน จากความรู้สึกหงุดหงิดเริ่มกลายเป็นความรู้สึกโมโหเธอแทนแม่สาวดาว (ยั่วตุ้ดๆ  ก.บ.ว. คงต้องเซ็นเซอร์แน่นอน ผมจึงขออุบไว้เลยดีกว่า) มหาลัยคนนั้น ในที่สุดผมก็ยกธงยอมแพ้ความตั้งใจในตอนแรกของตัวเองเปลี่ยนเป็นตัดสินใจกลับไปนั่งในรถยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามตามแบบคนมีเงินเขาทำกัน นั่งพักเหนื่อยไม่ทันไรเสียงดังคล้ายแท่งโลหะบางอย่างก็ดังกระทบที่กระบะหลังรถผมดังโครม
สาวสวยผมยาวคนที่ผมเดินตามหาจนทั่วสวนสาธารณะแทบพลิกฟ้าผ่าแผ่นดินคนนั้นวิ่งมาเคาะกระจกรถพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมเดินลงจากรถเพื่อตามหาเธอเมื่อครู่ ผมรีบส่งยิ้มกลับไปอย่างลืมตัว มือของเธอชี้ไปที่กระบะหลังรถพร้อมทำท่าทางประหลาดๆ บางอย่างที่ผมไม่เคยเห็นกับสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นสำนึกผิด ผมรีบชะโงกหน้ามองตามมือเธอจึงได้เห็นตัวต้นเหตุของเสียงดังที่กระบะรถผม ปกติเจ้ารถคันนี้เป็นรถที่ผมรักและหวงที่สุด แต่วันนี้ผมจะยอมยกโทษให้คนที่ทำให้รถผมเป็นแผลเพราะผมหวังอะไรบางอย่างจากเธอ
ผมไม่รอช้าอีกต่อไปหลังจากเห็นไม้แบดมินตันนอนนิ่งอยู่ที่กระบะหลัง ผมรีบลงจากรถพร้อมวางสีหน้าไม่พอใจให้สมจริงสมจังที่สุดเท่าที่จะผมจะทำได้ในตอนนี้เพราะอยากจะให้เธอตกใจกลัวและจำยอมผมทุกทาง
นั่นไม้แบดฯ ของคุณหรือ ผมยิ่งคำถามแรกทันทีที่มายืนอยู่ต่อหน้าเธอด้วยน้ำเสียงห้วนสั้น แต่ทว่าเธอกลับยิ้มตอบกลับมาให้ผมรู้สึกแปลกใจ
เอ้ะ! นี่คุณ ผมรู้นะว่านั่นเป็นไม้แบดฯ ของคุณ หรือว่ากลัวผมจนพูดไม่ออกเลยหรือ เมื่อได้โอกาสปลอบใจเธอผมจึงไม่รอช้ารีบถามเธอออกไปด้วยรอยยิ้มที่ทำให้สาวๆ หลายคนในมหาวิทยาลัยใจละลายมาแล้วหลายคนพร้อมสายตาเป็นประกายที่แฝงไว้ด้วยความเจ้าชู้
ไม่ต้องกลัวนะคุณ ผมใจดี ผมไม่เอาเรื่องคุณหรอกถ้าคุณจะไปทานข้าวเย็นคืนนี้กับผม เธอยิ้มตอบผมมาตาหยีแล้วจึงวิ่งไปหยิบไม้แบดมินตั้นเจ้าปัญหานั้นก่อนวิ่งจากผมไป ผมจึงสรุปรอยยิ้มพิมใจที่เธอยิ้มมาให้ผมอย่างเข้าข้างตัวเองว่านั่นหมายความเธอตกลงจะไปกับผม ผมจึงรีบตะโกนตามหลังเธอไปว่า ผมจะรอคุณอยู่ตรงนี้นะครับ เป็นไงละครับเสน่ห์ผมยังใช้ได้อยู่เรื่อยๆ (ซึ่งนี่อาจจะเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้วก็ได้ คือหมายความทั้งชีวิตมีดีอยู่อย่างเดียวคือหน้าตานอกนั้นก็มาตรฐานมนุษย์เพศผู้แหละครับ)
ผมรอเธอด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างบอกไม่ถูก ผมอยากเห็นรอยยิ้มของเธออีกครั้ง อยากนั่งจ้องมองหาเสน่ห์อย่างอื่นที่ทำให้ผมลืมเรื่องแม่ดาวมหาวิทยาลัยคนนั้น ผมคิดขนาดจะพาเธอไปอวดเพื่อนๆ เพราะความสวยที่สามารถทำให้ผู้พบเห็นหลงเธอได้เพียงเพราะเห็นรอยยิ้มเชียวนะ แต่แล้วเธอก็ปล่อยให้ผมรอเธอเก้อจนกระทั้งเวลา 21.30 นาฬิกา ผมก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเธอจะมา ผมกลับบ้านไปพร้อมกับความรู้สึกผิดหวังอย่างประหลาด พร้อมกับนึกโมโหเธอเรื่องที่เธอหลอกให้ผมรออยู่หลายชั่วโมงด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ แถมเธอยังทำให้ผมเสียเวลามากพอดูกับการสร้างวิมานในอากาศเมื่อตอนที่นั่งรอเธอ 
เมื่อกลับมาถึงบ้านผมก็ต้องเสียเวลามานั่งเหม่อคิดเรื่องเธอ และเรื่องที่ผมซวยซ้ำซวยซ้อนถูกผู้หญิงหลอกถึงสองคนในวันเดียว เมื่อคิดดูดีๆ แล้วคืนวันนั้นคนที่ทำให้ผมคิดถึงจนนอนไม่หลับทั้งคืนกลับเป็น แม่สาวยิ้มอบอุ่นและสดใสคนนั้นต่างหากที่ทำให้ผมว้าวุ่นใจเสียจนไม่ยอมหลับยอมนอน น่าแปลกไหมครับ!? แทนที่ผมจะคิดหาวิธีเอาคืนแฟนสาวคนล่าสุดที่เพิ่งสลัดรักผมกลางมหาวิทยาลัยให้แสบสมกับที่เธอทำกับผมไว้ แต่ผมดันเอาแต่คิดหาวิธีที่จะไปเจอแม่สาวไม้แบดมินตั้นลอยฟ้าอีกครั้ง โดยอ้างกับตัวเองว่า ผมจะกลับไปแก้แค้นเธอที่หลอกผม 
เย็นวันต่อมาผมไปที่นั่นตั้งแต่เวลา 17.00 นาฬิกา เพื่อเฝ้าดูเธอและไม่นานผมก็ได้เห็นผู้หญิงผมยาวตรงตัวเล็กน่าทะนุทะถนอมคนเดิมเดินลงมาจากรถยนต์คันงามราคาแพง แต่น่าจะรุ่นเก่าพอๆ กับรถของอากงที่ให้ปะป๊าเป็นมรดกตกทอดนะครับ หากสายตาที่กว้างไกลหรือจะเรียกว่าสอดส่ายก็ได้ของผมกลับไปสะดุดกับชายร่างสูงในชุดเครื่องแบบที่เดินมาพร้อมเธอ แต่งตัวซะเท่เชียว คงคิดว่าตัวเองดูดีที่สุดแล้วมั้งครับถึงได้เที่ยวแต่งตัวทหารมาเดินเล่นที่สวนสาธารณะหลังเลิกงานโดยไม่ยอมถอดยศถอดตำแหน่งเลย (เด็กขี้อิจฉาน่ะครับ)
ผมคิดค่อนขอดหนุ่มร่างสูงโปร่งที่คอยประคองผู้หญิงคนที่ผมหวังจะมาแก้แค้นเธอกับเด็กผู้ชายอายุประมาณ 8-9 ขวบ อยู่ในใจได้ไม่นาน ก็สรุปกับตัวเองทันทีว่าเธอมีคนรักแล้วนี่เองถึงได้ปล่อยให้ผมรอเก้อแบบนั้น คิดได้อย่างนั้นก็ยิ่งโมโหเธอ น่าแปลกใจที่ผมรู้สึกโมโหจริงจังกับคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเธอขนาดนี้ ผมเพิ่งเห็นเธอเมื่อวาน คุยกันแบบที่เรียกว่าผมเป็นฝ่ายพูดเองข้างเดียวเสียมากกว่า ผมก้าวลงจากรถเพื่อตามหาเธอเพราะหวังจะเรียกเก็บเงินค่าเสียหายย้อนหลังของวานนี้ ใครจะว่าผมไม่เป็นสุภาพบุรุษก็ตามใจ เพราะผมโมโหเธอมากแล้วจริงๆ เธอเป็นใคร! มีสิทธิ์อะไรมาทำให้หนุ่มที่ทรงเส่นห์ที่สุดในมหาวิทยาลัยอย่างผมโมโหถึงขนาดกินได้นอนไม่หลับเรียนไม่รู้เรื่องได้ไง (ถ้าผมไม่หลงตัวเองจนเกินไป คุณผู้ฟังก็คิดเหมือนผมใช่ไหมครับ) 
ไม่นานผมก็มองเห็นเธอ ผู้หญิงคนที่ผมตามหาด้วยความแค้น (อาจจะเรียกได้ไม่เต็มปากเท่าไรนัก) กำลังส่งยิ้มที่บรรจุความสุขไปให้เด็กผู้ชายคนที่กำลังถือไม้แบดมินตั้นยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ ซึ่งถ้าผมเข้าใจไม่ผิดเด็กคนนั้นน่าจะเป็นน้องชายของเธออย่างแน่นอน (หรือจะเลี้ยงต้อยนะเพราะคนสวยส่วนใหญ่มักจะรักเด็ก ไม่เอาๆ เลิกคิดอกุศลดีกว่า) ผมเผลอยิ้มให้เธอทั้งๆ ที่หญิงสาวคนนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมองมาทางผมสักนิด น่าแปลกไหมครับทั้งๆ ที่เมื่อครู่ผมยังโมโหเธอหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่เลย แต่ก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่นา ผมก็แค่ดีใจที่ได้เจอยายตัวแสบที่หลอกให้ผมรอเก้อเมื่อวานไงล่ะ แต่ผมก็ยังอดใจผมแอบเหลือบตามองรอบตัวเพื่อหาใครสักคนที่เผลอยิ้มให้กับเธอเช่นผมไม่ได้ เพราะอย่างน้อยผมก็จะรู้สึกดีขึ้นบ้างที่ได้รู้คนเสน่ห์แรงอย่างผมไม่ได้บ้าไปคนเดียวเพราะยายตัวดีคนเมื่อวาน แต่เมื่อผมหันไปรอบตัวหัวใจผมก็รู้สึกเสียววาบขึ้นจากความรู้สึกหวง ก็ดูสิครับเสน่ห์แรงขนาดมีผู้ชายอีกหลายต่อหลายคนเดินเหลียวหลังมองเธออย่างห้ามใจไม่อยู่เลย ฮะๆๆ น่าตลกจริงๆ เลยนะครับ พวกเขาไม่ต่างจากผมที่กำลังตกตะลึงกับภาพตรงหน้าจนยืนยิ้มอยู่คนเดียวอย่างนี้เลย เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงผมจึงอยากที่จะเข้าไปทำความรู้จักเธอทันทีเพื่อกันท่าไอ้เอ้ย! คุณเบื้อกคนพวกนั้น (ก็เพราะคุณเบื้อกมัวแต่ยืนบื้อกันอยู่นั่นแหละถึงไม่ได้แอ้มสาวสักทีไงเล่า ฮะๆๆๆ ) แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่กล้าเข้าไปหาเธอก็คือ ชายในชุดทหารคนนั้น แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นก็เถอะ อันที่จริงแล้วผมไม่ใช่คนใจเสาะหรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ แบบนี้นะครับ ไม่แม้แต่จะคิดใส่ใจถึงหัวอกคนอื่นหรือสนใจว่าถ้าผมแย่งคนรักของใครแล้วมาจะมีใครบ้างที่เสียใจเพราะผม ผมสนแต่ว่าทำอย่างไรผมถึงจะได้สิ่งที่ผมต้องการมาครอบครอง แต่วันนี้ผมกลับไม่กล้าเข้าไปทำความรู้จักเธอ อาจจะเป็นเพราะว่าผมกลัวเธอจะหักอกผมตั้งแต่เริ่มทำความรู้จักกันก็เป็นได้ โธ่! ก็ฤทธิ์แม่คุณที่ทำกับผมไว้เมื่อวานนี้ยังทำให้ผมโกรธเธอไม่ลืมอยู่เลยนี่ครับจะไม่ให้ผมกลัวเธอฉีกหน้าผมในที่สาธารณะอย่างนี้อีกได้อย่างไร แต่ตอนนี้ผมแอบอิจฉาชายคนนั้นอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้จริงๆ เขาคนนั้นได้ครอบครองใจเธอคนนี้ไปเพียงคนเดียวแต่ก็โมโหเขาที่ไม่ยอมมาเฝ้าไว้ให้ดีสมกับที่เธอเป็นสิ่งมีค่าด้วยอีกเรื่องหนึ่ง แต่เอ้ะ! ผมเป็นอะไรไปเนี่ย ผมกับยายตัวดีคนนั้นเกี่ยวกันตรงไหนแล้วทำไมผมถึงต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเธอด้วย 
จนแล้วจนรอดผมก็ยังทำได้แค่ยืนมองเธออยู่นานจนไม่รู้เวลา (สุดท้ายผมก็เป็นไอ้เอ้ย! คุณเบื้อกที่ยืนบื้อด้วยเหมือนกัน แหะๆๆ เฮ้อ!. ) แต่แล้วอยู่ๆ ของแข็งบางอย่างก็ลอยมากระแทกหัวผมให้หงายหลังล้มลงไปกองกับพื้นสนามหญ้าจนเป็นเหตุให้ผมตื่นจากอาการเหม่อ เจ็บชะมัดเลยให้ตายเถอะ!  ผมยกมือขึ้นกุมหน้าผากบริเวณที่ถูกกระแทกไว้แน่นเผื่อว่ามันจะลดแรงปวดลงไปบ้าง แต่ผมคิดผิด (หรือว่าโง่กันแน่! อันนี้ก็ผมก็ยังคำตอบให้ตัวเองไม่ได้) เพราะมันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย หากผมกลับค้นพบเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างประหลาด! เพราะมือบางที่ยื่นมาเขย่าตัวผมเบาๆ นี่ต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาจนลืมเจ็บ ผมรีบเงยหน้าขึ้นมองหน้าเจ้าของมือบางขาวซีดนั้น และแล้วสวรรค์ก็เข้าข้างผู้ชายหน้าตาดีอย่างผม เป็นเธอย่างที่ผมคิดไว้จริงๆ ด้วย! ตอนนี้เธอกำลังเขย่าตัวผมหน้าตาตื่นเพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบนหัวผมพร้อมทำท่าประหลาดแบบเมื่อวานนี้ ถึงผมจะขี้โกงอยากทำความรู้จักเธอโดยใช้ความห่วงใยจากเธอเป็นเครื่องมือเพียงใด แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอมีสีหน้าตื่นตกใจแบบนี้ ผมจึงรีบส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้เธอเพื่อบอกว่าผมไม่เป็นไร (ซึ่งมันก็ใช้พลังงานที่เหลืออยู่ในร่างกายของผมหมดไปหลายร้อยกิโลแครอรี่เหมือนกันล่ะ) เธอทำให้ผมรู้ว่าผมคิดไม่ผิด เพราะเธอยิ้มตอบกลับมาให้ผมทันที แต่ที่เหนือกว่าที่ผมคาดคิดจนแทบอยากจะแห่มังกรทองฉลองโต๊ะจีนคือ แม่สาวตาสวยเอื้อมมือซีดขาวคู่นั้นแตะลงที่แผลถลอกขนาดบิ้กเบิ้ม (อย่างน้อยก็ใหญ่กว่ามดแดง 2 ตัวมานอนกอดกันน่ะครับ) ที่หน้าผากผมอย่างแผ่วเบาราวกับว่ามือเธอคือลมอ่อนหวานที่พัดผ่านไปมาตรงหน้าผากของผม จนลมหายใจของผมขาดหายผิดจังหวะ สะดุดเป็นห้วงๆ ไปชั่วขณะด้วยความตื่นเต้น ผมรู้สึกได้เลยว่าผมต้องหน้าแดงมากแน่ๆ ให้ตายเถอะ! อยากจะหาไหมาคลุมหัวให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยเชียว จะบ้าไปใหญ่แล้วคนอย่างเธอเนี่ยนะจะทำให้คนที่ผ่านผู้หญิงมาอย่างโชกโชนอย่างผมหน้าแดงด้วยความอาย มันเป็นเรื่องน่าอายเป็นอย่างยิ่งสำหรับเพลย์บอยหนุ่มเช่นผม ผ่านผู้หญิงมานักต่อนักแต่กลับรู้สึกเขินอายกับผู้หญิงท่าทางอ่อนต่อโลกคนนี้ได้อย่างง่ายดาย ผมยิ่งรู้สึกอายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะหลบไปจากตรงนั้นเสียดื้อ ถ้าไม่มีเสียงนั้นดังขึ้น
ทำอะไรน่ะ!  ไม่นานร่างสูงโปร่งของคนที่ผมไม่ชอบขี้หน้าก็โผล่ออกมา
พี่ถามว่าทำอะไรกันอยู่จารึก เด็กผู้ชายคนที่ชื่อเหมือนผมหันไปมองหน้าเขาด้วยสีหน้าตกใจ
ก็แค่พี่ษรเขาทำไม้แบดฯ ลอยไปโดนหน้าพี่ชายรูปหล่อคนนี้เท่านั้นเอง เด็กคนนี้น่าคบหาไว้นะครับ ท่าทางจะเป็นคนดีมากคนหนึ่งเลย เพราะแกซื่อสัตย์พูดแต่ความจริงกับคุณๆ ทั้งนั้น คุณคิดเหมือนผมไหม!?
จริงหรือครับ!  เขาหันสีหน้าดุๆ นั้นมาทางผมหวังจะเอาความเท็จจริงให้ได้ หึ! เขาคิดว่าผมไปทำอะไรคนของเขาหรือไงกันถึงได้ถามออกมาอย่างนั้น
ไม่ใช่เป็นเพราะเด็กคนนี้ทำคุณเจ็บนะครับ อ้อ! ที่แท้ก็นึกว่าเด็กโบ้ยความผิดไปให้พี่สาว ไม่อย่างนั้นได้วางมวยกับทหารแน่เลย และถ้าวันนั้นเราต้องวางมวยกันจริงๆ ละก็ ผมคงจะไม่ได้มานั่งเล่าความรักของผมกับเธอให้คุณฟังในวันนี้หรอกครับ
คงอย่างนั้นครับ แต่ผมไม่ถืออะไรหรอก ผมผิดเองที่มายืนอยู่ใกล้บริเวณนี้ นายทหารติดยศคนนั้นพยักหน้าก่อนจะหันไปทางหญิงยิ้มงามของผมที่กำลังมองหน้าพวกเราเลิกลั่ก 
เป็น-อะไร-ไหม-อักษร ชายหนุ่มอ้าปากพูดทีละคำอย่างช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ พร้อมทำท่าทำทางประหลาดราวกับกำลังสื่อสารกับเธออยู่ สาวสวยคนนั้นส่งยิ้มที่ผมอยากได้จากเธอให้เขาพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธ เธอหันมามองหน้าผมและสะกิดบอกให้ผมลุกขึ้น ผมอาจจะไม่ได้รอยยิ้มนั้นนะครับ แต่อย่างน้อยเธอก็ช่วยพยุงผมไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ที่เกิดเหตุอย่างระมัดระวังแค่นี้ผมก็รู้แล้วว่าเธออ่อนโยนขนาดไหน เมื่อเราสองคนนั่งลงบนม้านั่งไม้สีน้ำตาลเข้มฉลุลายโบราณไว้จนให้บรรยากาสย้อนยุคเรียบร้อย นายทหารคนนั้นจึงเดินเข้ามาชวนผมคุย
ขอโทษด้วยนะครับ คืออักษรเขาไม่ค่อยแข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เรี่ยวแรงในการจับไม้แบดฯ จึงไม่มั่นคง นี่คือชื่อของเธอ เป็นชื่อที่เข้ากับชื่อผมเลยนะครับ
ผมชื่อพยัคเฆนทร์ครับ เป็นพี่ข้างบ้านของทั้งสองคนนี้ ถึงจะเป็นพี่แต่เขาก็ยังมีโอกาสเป็นได้มากกว่าพี่ชายอยู่ดี เพราะนายทหารคนนี้ไม่ได้คลานนำหน้าอักษรออกมาจากท้องแม่เธอนี่ครับจึงเป็นเหตุหนึ่งที่ผมยังคงมีอคติกับเขาอยู่บางส่วน
ส่วนนี่ชื่อจารึกกับอักษรเขาเป็นพี่น้องกัน
ผมชื่อจารึกเหมือนน้องคุณเลยนะครับอักษร ผมรีบแนะนำตัวเองกับสาวสวยยิ้มเก่งแต่พูดไม่เก่งข้างตัวผมโดยไม่หันไปสนนายพยัคเฆนทร์อีกเลย เธอได้แต่หันไปทางพี่ชายข้างบ้านของเธอพร้อมทำไม้ทำมือที่ผมเริ่มรู้สึกได้ว่าเขากำลังทำอะไรกันอยู่
อักษรพูดไม่ได้หรอกครับคุณจารึก หูก็ไม่ได้ยินเธอพิการทางหู ดีนะครับที่ผมเริ่มรู้สึกบ้างแล้วกับการทำท่าแปลกประหลาดระหว่างสองคนนี้ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะตกใจจนพูดไม่ออกไปเลยก็ได้ คิดไปก็น่าเสียดายเหมือนกันนะครับที่ผู้หญิงสาวสวยขนาดนี้แต่กลับหูหนวกเป็นใบ้ ความฝันและแผนการที่ผมเฝ้าคิดมาทั้งคืนพังลงไปทันทีเพราะความสงสารเธอ ไหนจะเรื่องที่คิดไว้ว่าจะจีบเธอเป็นแฟนเพื่อนำไปอวดเพื่อนและเย้ยยายไวโอลินดาวมหาวิทยาลัยนั่นอีกคงต้องพับเก็บเป็นการถาวรเพราะผมยังไม่อยากมีแฟนพิการ 
ผมได้แต่นั่งมองคุณพยัคเฆนทร์ทำมือพาดกันไปมาพร้อมสะกดชื่อผมให้เธอฟังช้าๆ เธอหันมายิ้มให้เมื่อฟังชื่อผมจบพรางชี้มือชี้ไม้อย่างดีใจ ให้ตายเถอะครับต่อให้ผมรู้ว่าเธอพิการแต่ผมก็ยังอดหลงรอยยิ้มนี้ไม่ได้เลยจริงๆ
พี่ษรเขาดีใจครับที่พี่รูปหล่อมีชื่อเหมือนผม ยังไม่หมดแค่นั้นเธอยังหันไปพูดภาษามือกับทั้งสองคนนั้นต่อ ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ พวกเขากำลังคุยกันแต่ผมกลับไม่เข้าใจ ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ตัวเองไม่สามารถอ่านภาษามือเหล่านั้นได้เลยสักตัว จนในที่สุดก็มีคนสังเกตเห็นว่าผมก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยอีกคน
เมื่อวานนี้พี่อักษรก็ทำไม้แบดฯ ลอยไปหล่นบนที่กระบะรถพี่จารึกหรือครับ ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกที่รู้ว่าเธอจำผมได้ ตอนนี้ผมไม่โกรธเธออีกแล้วที่ปล่อยให้ผมรอเธอเมื่อวาน คงเพราะว่าเธอไม่ได้ยินที่ผมพูดแถมยังอ่านปากผมไม่ออกอีกเธอจึงได้แต่ส่งยิ้มหวานตอบยิ้มทรงเสน่ห์ที่ผมส่งไปให้
อ๋อใช่ ใช่! แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่ไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว คุณครับผมอยากแนะนำตัวกับเธอเองน่ะครับ
คุณต้องรู้วิธีสะกดภาษาไทยหรือจะแนะนำกับอักษรเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ ตอนนี้ผมขอแนะนำให้คุณใช้เป็นภาษาอังกฤษก่อนเพราะจำง่ายเนื่องจากว่าภาษาไทยมีหลายตัวอักษรสำหรับมือใหม่จำเป็นเช่นคุณจะเสียเวลามากในการสื่อสาร ดูคำพูดคำจานะครับ เหมือนตั้งใจจะดูถูกคนเลย
ภาษาไทยก็ได้ครับ
ตามใจคุณ แต่ผมจะสอนคุณเป็นภาษาอังกฤษ เพราะมันจะเสียเวลาผม เขาพูดจนผมรู้สึกเสียหน้าไปเลยทันที ผมจำต้องจนใจและยอมแพ้เขาเพื่อเธอ
คุณทำนิ้วแบบนี้นะครับแปลว่าชื่อ เขาชูนิ้วชี้และนิ้วกลางในลักษณะที่ติดกันขึ้นมาทั้งสองข้างและนำมากระทบกันด้านสันนิ้วโดยมือขวาอยู่ด้าน ผมไม่ลืมหรอกครับ ผมตั้งใจมากยิ่งเสียกว่าสนใจการเรียนด้วยซ้ำ
จารึกนี่ใช้ตัว J ใช่ไหมครับคุณต้องแบบมือซ้ายหงายขึ้นโดยหันออกไปด้านหน้าเพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วยว่าเราทำอะไร จากนั้นคุณก็ลากนิ้วชี้ของมือขวาไปตั้งแต่ปลายนิ้วกลางมือซ้ายเลยไปแบบนี้ อันนี้คือตัว J นะ
ก็ไม่ยากนี่นะ
งั้นต่อนะครับ สระจะอยู่ที่นิ้วทั้งห้านะครับ นิ้วโป้งคือตัว A นิ้วชี้คือ E นิ้วกลางคือ I นิ้วนางคือ O นิ้วก้อยคือ U คุณจะใช้ตัวไหนก็เอานิ้วชี้ไปที่ปลายนิ้วนั้น ส่วนตัว R 
ผมอยากพูดกับเธอแล้วสิครับ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นะครับ ผมอยากรู้จักเธอมากกว่านี้ ผมจึงหันไปหาน้องจารึกเพื่อให้ช่วยถามเธอให้หน่อยว่า ผมจะมาคุยกับเธออีกได้ไหม ที่ผมไม่อยากให้นายทหารคนนั้นช่วยก็เพราะว่าผมกลัวเขาจะเป็นล่ามที่ดีให้ไม่ได้ เพราะดูแล้วเขาคงจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าคนที่เข้ามายุ่มย่ามกับเด็กในสังกัดเขานัก ในที่สุดเธอก็หันมาพยักหน้าพร้อมกำมือขึ้นมาพับขึ้นลงเหมือนเธอกำลังเคาะประตูอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยเรียนภาษามือแต่ผมก็เดาได้ว่าเธอตกลงและไม่ว่าอะไรด้วย นั่นทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาจนเธอส่งเสียงหัวเราะออกมา เธอหันไปหาน้องชายและคุยกันด้วยภาษามืออยู่พักหนึ่งก่อนที่น้องจารึกจะหันมาแปลให้ผมฟัง
พี่ผมขำที่พี่จาอยากจะมาคุยกับพี่เขาอีกน่ะครับ เพราะคงคุยกันลำบากน่าดูเลยแถมพอพี่ผมอนุญาติให้มาคุยได้พี่ยังยิ้มอย่างดีใจมากอีก เธอเห็นอย่างนั้นหรือ ผมอายนะครับที่เธอคิดอย่างนั้น แต่ผมว่าถ้าเธอเก็บไปคิดให้ลึกกว่านี้อีกนิด เธออาจจะรู้ก็ได้ว่ามันเป็นเพราะว่าผมอยากใกล้ชิดเธอนั่นเอง ก็แค่อยากรู้จักน่ะครับไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นนะ
บอกพี่อักษรด้วยนะว่าพี่อยากเรียนภาษามือ พี่เรียนหมออยู่บางทีมันอาจจะมีประโยชน์กับพี่ในอนาคตก็ได้
พี่เฆนทร์ครับ หมอนี่อะไรนะครับ
ทำอย่างนี้ไง มาเดี๋ยวพี่คุยเอง
ไม่เอาๆ เดี๋ยวผมจะคุยเอง ผมอยากคุยกับพี่ษรได้ทุกเรื่องเลย
ก็ดีนะ เอาเลยๆ ษรมีเราอยู่ด้วยจะได้ไม่เหงาตอนที่พี่ไม่อยู่
อีกหน่อยก็มีผมด้วยครับ ผมมาอยู่เป็นเพื่อนเธอได้
คงไม่ดีมั้งครับ รบกวนคุณเปล่าๆ เราดูแลกันเองได้ เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนว่าเขาไม่พอใจที่ผมเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเขามากเกินไป ดูแล้วเหมือนตาคนนี้ไม่ได้เป็นรักอักษรนะครับแต่ลักษณะเหมือนหมาหวงก้างมากกว่า เห็นแล้วยิ่งทำให้ผมอยากเอาชนะ แต่วันนี้พอแค่นี้ดีกว่า
หลังจากนั้นก็มีเรื่องวุ่นวายมากมายผ่านเข้า นั่นคือเป็นช่วงสอบ แค่เรื่องสอบไม่เท่าไรหรอกครับ แต่ว่าชมรมที่ผมเป็นประธานอยู่กำลังดำเนินโครงการใหญ่จนผมแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะต้องทำงาน อ่านหนังสือ ทำการบ้านอะไรต่ออะไรอีกจิปาถะ คิดดูแล้วกันครับผมลืมเรื่องเธอคนนั้นไปสนิทเลยในช่วงเวลา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ผมนึกเรื่องเธอออกอีกทีก็ตอนที่ผมเห็นเธอเดินอยู่คนเดียวในร้านหนังสือ CU ผมรีบเดินตามเธอเข้าไปทันทีอย่างไม่ต้องคิด ผมอยากได้กำลังใจจากใครคนหนึ่ง ซึ่งตลอดเวลา 2 อาทิตย์ที่ผมลืมเรื่องเธอไปเสียสนิทนี้ผมไม่เคยได้จากใครอย่างเต็มอิ่มเลย ผมแอบดูเธออยู่ห่างพอควรเพราะอยากรู้ว่าเธอทำอะไรบ้างนอกจากสิ่งที่เธอทำที่สวนสาธารณะนั่น ผมเริ่มเหมือนไอ้โรคจิตเข้าไปทุกครั้งที่ผมพบเธอผมรู้ตัวดีครับ แต่ผมห้ามตัวเองไม่ได้ก็เท่านั้นเอง 
เธอหยิบหนังสือขึ้นมาแล้วครับ มันเป็นนหนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นมุมที่ผมไม่เคยคิดสนใจเลยสักครั้งเดียว ไม่คิดแม้แต่จะเหลียวมองยามที่เฉียดกายเข้าไปใกล้ด้วยซ้ำ จึงไม่ต้องสงสัยเลยถ้าผมจะไม่เคยเห็นเธอ ต้องขอบคุณความสูงที่ปะป๊ากับมะหม้าให้ผมมาอย่างเต็มที่นะครับ เพราะหัวผมพ้นชั้นหนังสือมากจนแอบมองเธอได้อย่างชัดเจนทีเดียว เหมือนเธอรู้ตัวนะครับว่ามีคนแอบมอง เพียงแต่เธอไม่รู้ว่าเป็นใครเพราะผมแอบดูเธออยู่นี่ครับจึงต้องไวกว่าอย่างแน่นอน จนเธอเลิกสนใจและหันกลับไปอ่านหนังสือเล่มที่อยู่ในมือต่อ ผมจึงมีโอกาสมองแก้มใสของเธอได้อย่างเต็มที่
เชื่อไหมครับเธอร้องไห้ หัวเราะ ยิ้มให้กับตัวหนังสือเหล่านั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ จนผมนึกอิจฉาตัวหนังสือเหล่านั้นที่ทำให้เธอเปลี่ยนอารมณ์ได้ในเวลาที่ห่างกันไม่กี่นาที ผมอยากเป็นคนควบคุมอารมณ์ของเธออย่างที่หนังสือเล่มนั้นทำบ้าง ผมยิ่งมีความรู้สึกอยากมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ผมต้องคอยเตือนตัวเองว่า มันคงดูไม่ดีเลยถ้าหนุ่มเนื้อหอมอนาคตไกลเช่นผมจะมีคนรักเป็นคนพิการและมันคงจะเป็นการตัดโอกาสหาความสุขในวัยรุ่นของผมด้วยถ้าผมจะเอาตัวเองไปผูกมัดกับใครก่อนวัยอันควร แต่ผมกลับไม่อยากให้ใครมามีอิทธิพลกับชีวิตเธอ ผมอยากให้เธอหัวเราะ ร้องไห้ ยิ้ม บึ้ง งอน หรือเป็นอะไรทุกอย่างก็เพราะผมคนเดียว คุณว่าผมเห็นแก่ตัวไหมครับ ผมเริ่มจะเข้าใจความรู้สึกทหารคนนั้นแล้วล่ะว่าเขารู้สึกอย่างไร
เอ้ะ! เธอขยับตัวแล้วครับ โอ๊ย! ไม่ทันแล้วครับ เธอหันมาสบตาผมทั้งน้ำตาเลย โธ่เอ๊ย! จะโทษใครได้เล่าที่ผมหลบเธอไม่ทัน มันเป็นเพราะว่าผมมองดูเธอเพลินจนลืมตั้งสติน่ะสิ แต่บางทีการที่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้อาจจะดีก็ได้ เพราะผมได้เห็นรอยยิ้มที่ให้กำลังใจผมได้เต็มอิ่มชนิดที่ว่าไม่มีใครสามารถให้กับผมได้เลยตลอดเวลา 2 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ถึงแม้จะเป็นยิ้มที่ผ่านม่านน้ำตาแต่มันก็ยังดูสดใสสวยงาม จนผมต้องหันไปมองรอบข้างเพราะไม่อยากให้ใครเห็น แต่มีหรือที่รอยยิ้มสดใสจริงใจเช่นนั้นจะไม่สะดุดตาชายอื่น ผู้ชายหลายคนที่กำลังเดินผ่านบริเวณนั้นยืนนิ่งไปเลยครับ บางคนมีเผลอยิ้มไปกับรอยยิ้มเธอด้วย แต่ผมหวงนี่ครับไม่อยากให้เธอยิ้มในที่สาธารณะอย่างนี้ คิดดูนะครับนี่ขนาดผมห้ามใจตัวเองแล้วนะและที่สำคัญผมยังไม่ได้เป็นอะไรกับเธอด้วยผมยังเป็นได้ขนาดนี้ ด้วยเหตุนี้ผมจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึงสร้างแววตาปวดร้าวให้เธอจนผู้ชายแทบนั้นพากันหันรีหันขวางมองหาตัวการที่ทำให้เธอมีแววตาเช่นนั้นนั้นกันให้ควักเลย ผมเองก็รู้สึกเสียใจจนต้องวิ่งเข้าไปหาเธอและส่งยิ้มแก้ตัวให้เพื่อปลอบใจเธอ เพราะสีหน้าเธอไม่ดูดีขึ้นเลย มีแต่แววตาตัดพ้อต่อว่าและไม่เข้าใจสิ่งที่ผมทำกับเธอเมื่อครู่ ผมอยากพูดอธิบาย อยากพูดปลอบใจแต่ผมพูดภาษามือไม่เป็น ผมได้แต่หันซ้ายหันขวาเพื่อหาอะไรก็ได้ที่จะทำให้ผมสื่อสารกับเธอได้รู้เรื่อง แต่การที่ผมมีท่าทางเต้นเป็นลิงโดนผีเข้าแบบนี้มันคงจะทำให้เธอเข้าใจล่ะมั้งว่าผมเดือดร้อนขนาดไหนที่เธอมีสีหน้าเศร้าโศกแบบนั้น เพราะเธอหัวเราะออกมากับท่าทีของผม ผมจึงได้แต่ลูบหัวตัวเองอย่างเขินๆ ทำอะไรไม่ถูกไปเลย เสียฟอร์มจังเลยนะครับหนุ่มเพลย์บอยอย่างผมกลับถูกสาวไร้เดียงสาทำให้เขินถึง 2 ครั้งแล้ว เธอหัวเราะออกมาอยู่นานมากจนผมรู้สึกหมั่นไส้ถือวิสาสะจับมือข้างที่เธอยกขึ้นมาปิดปากไว้เพื่อรักษากิริยาหญิงและยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากเธอไว้อย่างเบามือเพื่อห้ามเธอหัวเราะ ตอนแรกที่ทำก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ แต่เมื่อเธอหยุดหัวเราะและเราสองคนหันมาสบตากันผมจึงเริ่มรู้สึกว่าหน้าที่เคยขาวซีดของเธอระเรื่อขึ้นมาเป็นสีชมพู ส่วนหน้าผมเองก็คงจะไม่ต่างไปจากเธอเลย และผมก็คิดว่าหน้าเธอคงจะร้อนเหมือนหน้าผมในขณะนี้เช่นกัน ไม่เพียงแค่คิดนะครับมือของผมข้างที่แตะผิวปากบางนุ่มของเธอไว้ก็ค่อยๆ เลื่อนไปที่ใบหน้าของเธอเพื่อทดสอบข้อสันนิษฐานที่คิดขึ้นเอง ดีนะที่เพื่อนผมที่เข้ามาหาหนังสืออ่านแถวนั้นเรียกไว้ก่อนที่ผมจะได้ทำอะไรเสียมารยาทกับเธอ
จา! จะทำอะไรน่ะ รู้นะว่าเอ็งไว้ไฟ แต่นี่มันในร้านหนังสือนะเว้ย! ไม่ใช่อืมม์ มองอยู่นานแล้วทนไม่ได้ว่ะ ถ้าแก้มนวลจะถูกเอ็งทำให้มีราคีในร้านหนังสือ
เปล่านี่! เอ็งคิดว่าข้าจะทำอะไร! ไม่ได้จะทำอะไรนี่!  ไอ้ผัสสะเพื่อนสนิทต่างคณะรีบเดินตรงรี่เข้ามาด้วยความสนใจ เมื่อมันเดินมาถึงก็ส่งยิ้มทักทายให้อักษรตามอย่างที่มันเคยทำ อักษรก็ส่งยิ้มให้มันอย่างที่เธอเคยยิ้มให้ผมเป็นเหตุให้ไอ้ผัสสะตะลึงไปชั่วขณะผมรู้สึกไม่ชอบใจเลยจริงๆ นะครับที่เธอทำแบบนี้ ไอ้ผัสสะเริ่มกระซิบถามผมให้เบาที่สุดเพราะกลัวไก่ของผมจะตื่น
ใครวะเด็กใหม่เอ็งเหรอ สวยชิบเลยว่ะ หามาเกทัพยายไวโอลินเหรอเร็วดีนี่หว่า ข้าว่านะถ้ายายนั่นรู้เรื่องนี้เข้า ต้องอกแตกตายแน่เลย 
ไม่ใช่เว้ย! นี่เป็นคนรู้จักข้า
คนรู้จัก! สวยขนาดนี้เอ็งไม่ได้เอาเป็นแฟนเหรอว่ะ ข้าไม่เชื่อหรอก
ข้าพูดจริงๆ ข้าไม่ได้เป็นอะไรกับเขา 
เฮ้ย! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จีบได้สิว่ะ
ไม่ได้!  ให้ตายเถอะ! ทำไมผมถึงได้มีนิสัยเหมือนตาทหารขี้เบ่งคนนั้นด้วยนะ 
มีแฟนแล้ว เป็นทหารด้วยเว้ย! อย่าไปยุ่งเลย
อย่างเอ็งนี่นะไม่คิดนะแย่งมาถ้าอยากได้
เฮ้ย! ข้ามีธุระด่วนว่ะ ขอตัวก่อนแล้วกัน ไว้ค่อยเจอกันวันหลัง 
ผมรีบคว้าขอมือบอบบางราวกับว่าถ้าผมจับแรงกว่านี้อีกนิดมันคงหักคามือผมแน่นอนและพาเธอเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อซื้อหนังสือเล่มนั้นให้เธอ เธอไม่ยอมรับไว้แต่ผมไม่ยอมรับคืนเช่นกัน ผมพูดหว่านล้อมให้เธอยอมรับของที่ผมอยากให้เธอไม่ได้ ดังนั้นผมจึงจับถุงหนังสือยัดใส่มือเธอโดยใช้แรงบังคับ เธอยิ้มแห้งๆ แต่แววตานี่สิบอกชัดเจนเลยว่าเธอลำบากใจและเสียใจที่ผมอย่างนี้กับเธอ โอ๊ย! ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกเลย ผมอยากคุยกับเธอได้จังเลย ผมอยากสื่อสารกับเธอให้รู้เรื่องไปเลยว่า ผมเต็มใจให้หนังสือเล่มนี้กับเธอ แต่เหตุผลนั้น ให้ตายผมคงบอกเธอตอนนี้ไม่ได้ แต่ผมจะบอกพวกคุณแล้วกัน คือ.. ผมอยากควบคุมอารมณ์เธอทางอ้อมโดยผ่านทางหนังสือเล่มนี้ไงล่ะครับ ตอนนี้ผมยังไม่มีอิทธิพลกับเธอแต่หนังสือเล่มนั้นมีใช่ไหมครับ ดังนั้นถ้าหนังสือเล่มนี้ทำให้เธอร้องไห้ก็เปรียบได้ว่าเธอร้องไห้เพราะผม ไม่ว่าเธอจะอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไรก็แปลได้ว่า ผมเป็นคนทำให้เธอเป็นเช่นนั้น คิดแล้วยังเลี่ยนตัวเองไม่หายเลยครับ ไม่รู้คิดอย่างนี้ได้ไงคุณเองก็คงจะคิดว่าผมเลี่ยนใช่ไหมครับ (กรุณารักษามารยาทในการฟังด้วยนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าอาเจียนออกมาให้เสียบรรยากาศ ถ้าใครจะอาเจียนออกมาผมอนุญาติให้ไปเข้าห้องน้ำ 5 นาที อ้าว! ทำไมลุกกันหมดเลยล่ะ! )
ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่ถือวิสาสะคว้าข้อมือเธอไว้และพาเธอไปที่รถผม ผมไม่สนว่าเธอจะมากับใครหรือมีอะไรต้องทำต่อเพราะตอนนี้ผมร้อนใจอยากให้เธอเลิกมีสีหน้าอย่างนี้จะแย่อยู่แล้ว ผมต้องทำอย่างไรดีครับ แต่ไม่นานเลยเธอก็เอื้อมมือไปหยิบกระดาษกับปากกาที่ผมวางไว้หน้ารถเพื่อจดโน๊ตต่างๆ มาเขียนข้อความบางอย่างและยื่นให้ผม
อยากพูดอะไรก็เขียนได้ค่ะ ผมจะอธิบายอย่างไรให้คุณเข้าใจดีนะว่า ผมดีใจมากขนาดไหนที่ผมจะสามารถคุยกับเธอได้อย่างนายทหารคนนั้นแล้ว ผมทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่ จับปากกาก็ตกๆ หล่นๆ มือไม้สั่นเป็นเจ้าเข้าเชียว แน่นอนเธอหัวเราะกับอาการแบบนี้ของผมอีกแล้ว เมื่อตั้งสติได้ผมจึงรีบตาลีตาเหลือกเขียนตอบเธอไปทันที 
ผมไม่ได้ตั้งใจจะใช้แรงยัดหนังสือใส่มืออักษรนะครับ ผมอยากให้คุณจริงๆ แต่ผมไม่รู้จะบอกคุณอย่างไรว่าไม่ต้องปฏิเสธผมหรอก ผมเต็มใจให้ ผมจึง.. ผมยังเขียนไม่จบดีเธอก็เอื้อมมือมาจับข้อมือผมไว้และส่ายหน้าเบาๆ แววตาเธอบอกผมว่าเธอเข้าใจสิ่งที่ผมทำ เธอยิ้มและดึงปากกาไปจากมือผม
ฉันเข้าใจดีค่ะ แต่ฉันก็อดเสียใจไม่ได้ คุณไม่ผิดหรอกนะคะ เมื่อปากกาอยู่ในมือของอักษร ผมจึงรีบหยิบปากกาที่เหน็บไว้ในกระเป๋าเสื้อออกมาเขียนสิ่งที่ผมอยากบอกเธอลงในกระดาษแผ่นใหม่เพราะผมคงอกแตกตายแน่ถ้าไม่ได้บอกเธอตอนนี้ เราสองคนจึงตั้งหน้าตั้งตาเขียน เขียน เขียนและเขียน
ถ้าจะขอโทษผมต้องทำอย่างไรครับ ผมอยากขอโทษคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะบอกว่าเข้าใจผมก็ตาม เธอค้อมศรีษะลงเล็กน้อย แบมือขึ้นประกบกันตรงหน้าในแนวขนานกับพื้นโดยที่มือซ้ายอยู่ด้านล่างมือขวาอยู่ด้านบน พรางถูมือวนไปมาเบาๆ ประมาณ 2 รอบ ผมรีบทำตามอย่างล้นลาน ก็แหม! ผมกลัวจะทำตามไม่ทันที่เธอสอนนี่ครับ แต่ผมคงทำเปิ่นอีกนั่นแหละเพราะเธอหัวเราะชอบใจใหญ่เชียว ไม่เป็นไรผมยินดีมากถ้าหากว่าการเปิ่นของผมจะทำให้เธอมีความสุขแบบนี้บ่อยๆ ผมก็จะยอมเปิ่นบ่อยๆ ได้เหมือนกันครับ 
อักษรหัวเราะยังไม่ทันหยุดดีเธอก็ค่อยๆ ยื่นมือมาจับมือผมให้เลื่อนไปตามแรงผลักของเธออย่างช้าๆ เพื่อสอนให้ผมขอโทษเธอ จึงเป็นโอกาสให้ผมแอบดูเธอในระยะใกล้เพียงเอื้อมจมูกผมให้ถึงแก้มใสของเธอเพลินตา ในขณะที่ผมกำลังเพลินอยู่นั่นเองมือบางนั้นก็สะดุ้งเงยหน้าสบตาผมที่มองเธออยู่แล้วจนเธอชะงักไปครู่ใหญ่แล้วจึงหันไปหยิบกระดาษมาเขียนบอกผมว่า ฉันต้องไปแล้วล่ะค่ะ เพราะว่าวันนี้พี่เฆนทร์จะกลับมาจากต่างจังหวัด ฉันต้องทำกับข้าวไว้ต้อนรับพี่เฆนทร์ด้วย 
ตั้งแต่ผมได้รู้จักกับเธอ ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเหมือนนักจิตวิทยาดาวรุ่งมาแรงที่ได้ค้นพบนิสัยมหัศจรรย์ต่างๆ ในตัวเอง นิสัยที่ผมไม่เคยได้ล่วงรู้เลยว่าผมก็เป็นคนแบบนี้เหมือนกัน โดยเฉพาะนิสัยขี้อิจฉา ผมเพิ่งรู้ว่าตัวผมเองก็เป็นเด็กขี้อิจฉามากๆ คนหนึ่งเลย เพราะตอนนี้ผมรู้สึกอิจฉาตาทหารขี้เก็กคนนั้นชนิดที่อยากจะสลับร่างกับเขาเลยทีเดียว (ถ้าทำได้นะครับ) แต่ผมจะตะเกียกตะกายทำทุกอย่างไปทำไมในเมื่อผมไม่ได้อยากเป็นแฟนกับเธอนี่ครับ ผมไม่อยากมีแฟนเป็นคนพิการใช่ไหมครับ ตอนนี้ผมก็ยังไม่ลืมที่จะเตือนตัวเองครับ เพียงแต่ว่าการเตือนมันคงจะถี่ขึ้นทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที จนกระทั่งวันหนึ่งผมอาจจะต้องห้ามใจตัวเองว่า ผมจะรักอักษรไม่ได้ ทุกลมหายใจก็เป็นได้ (ประการสุดท้ายนี้จะสามารถใช้ได้ในกรณีที่ผมไม่ได้เป็นนักกีฬา แต่บังเอิญผมเป็นนี่ ดังนั้นผมจะขอใช้คำว่าทุกวินาทีแทนเพื่อให้คุณผู้ฟังรู้ซึ้งถึงความถี่ที่ผมต้องพยายามห้ามใจตัวเองหรือจะสมมติว่าความถี่ลมหายใจของผมมีปริมาณเท่าคนปกติก็ได้นะครับ) อ๋อ! ครับๆ ที่ผมต้องพยายามห้ามใจตัวเองก็เพราะว่า เราสองคนไม่เหมาะสมกันเลย คนรอบข้างผมคงมองผมด้วยสายตานินทาซึ่งเป็นสายตาและท่าทางที่ผมเกลียดที่สุดเลยเชียว ผมไม่ชอบให้ใครต่อใครเที่ยวเอาเรื่องของผมที่ไม่ได้หนักส่วนไหนของใครไปพูดกันราวกับเป็นวาระแห่งชาติก็ไม่ปาน (หมายเหตุ: ห้ามนินทาในกรณีที่ทำให้ผมเสียหายและดูมัวหมองเท่านั้นนะครับ แต่ถ้าจะเจริญพรผมก็ไม่ว่ากัน ผมจะอนุญาติให้ยกกระทู้ผมขึ้นมาถกเถียงกันได้ และถ้าผมรู้ละก็ผมจะจัดสมนาคุณบ้านพร้อมที่ดินให้อีกต่างหากถ้าเป็นผู้หญิงนี่ให้ตัวผมด้วยเลยก็ยังไหว)
หลังจากวันนั้นนิสัยขี้อิจฉาของผมบวกกับนิสัยชอบเอาชนะคนก็ทำให้ผมไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะแห่งนั้นทุกวัน ผมจะมาที่นั่นพร้อมหนังสือสอนภาษามือ 2-3 เล่มและสมุดเปล่าพร้อมดินสอยางลบ การมาที่นี่ทำให้ผมได้รู้ว่าตาทหารคนนั้นไม่ได้อยู่ข้างบ้านเธอแล้วเพราะว่าเขาต้องไปทำงานประจำอยู่ที่ค่ายทหารประจำจังหวัดอื่น นานครั้งถึงจะกลับมาดูแลเธอได้ และที่สำคัญตอนนี้ผมเริ่มคุยกับเธอด้วยภาษามือได้แล้วนะครับ แต่เวลาที่เธอพูดผมยังต้องอาศัยน้องจารึกแปลให้ฟังอยู่บ่อยๆ
วันนี้-พี่-คุณ-ไป-ทำงาน-ที่-เพชรบูรณ์-แล้ว-ใช่ไหม-ครับ ผมพยายามที่จะคุยกับเธอด้วยภาษามือถึงแม้ว่ามันจะลำบากเป็นอย่างมากในช่วงที่ผมเริ่มใช้ มันไม่ง่ายอย่างที่ผมคิดเลยมันคล้ายกันจนบางทีผมเองก็จำสับกัน พูดผิดพูดถูกบ้างก็มี อีกทั้งเวลาพูดผมยังต้องอาศัยการออกเสียงตามไปด้วยเพื่อกันหลง แต่มันก็คุ้มค่ากับผลที่ได้รับ เธอพยักหน้าและหันมายิ้ม ผมเพิ่งเข้าใจบทความหนึ่งที่เคยอ่านเจอในหนังสือว่า การที่เราได้นั่งอยู่ข้างๆ กันโดยปราศจากคำพูดใดๆ นั้นเรากลับสามารถรับรู้ความรู้สึกบางอย่างของอีกคนหนึ่งได้และซึ้งใจยิ่งกว่าของจริงมันเป็นอย่างไรก็ตอนที่ได้มารู้จักเธอนี่ล่ะ ผมจำไม่ได้นะครับว่าไปอ่านเจอมาจากหนังสือเล่มไหนเรื่องใดแต่ก็ต้องขอบคุณจริงๆ ที่บอกใบ้ให้ผมรับรู้ล่วงหน้า
เคยได้ยินกันใช่ไหมครับว่าบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องบรรยายความรู้สึกทุกข์ใจทั้งหมดที่มีเป็นคำพูด เพราะบางครั้งแค่เพียงเราได้นั่งอยู่อย่างสงบกับใครบางคนที่เรารู้สึกดีด้วยความทุกข์นั้นมันจะสลายไปเมื่อบทสนทนาที่ไร้คำพูดนั้นจบลง บางวันผมกับอักษรคุยกันโดยภาษามือบ้าง เขียนเป็นตัวหนังสือบ้าง วาดรูปบ้าง เล่าเรื่องต่างๆ ให้เธอฟังโดยการพูดบ้างถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ยินก็ตาม เธอเองก็แปลกพอสมควรเชียวล่ะ เพราะเธอต้องการให้ผมพูดให้เธอฟัง ผมเองในตอนแรกก็ไม่กล้าเพราะกลัวตอกย้ำปมด้อยของเธอ แต่เธอกลับเขียนบอกผมลงในกระดาษว่า
การพูดได้มันเป็นฝันดีของฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่อยากให้ปมด้อยของฉันทำให้ผู้คนรอบกายปิดกั้นความสุขเวลาพูดคุยกันต่อหน้าฉัน ฉันต้องการเห็นฝันดีของฉันทุกวันจากผู้คนรอบข้าง ฉันชอบเวลาที่เห็นผู้คนคุยกันแล้วมีความสุข ดังนั้นเวลาที่คุณมีอะไรอยากพูดก็พูดออกมาเถอะ ฉันจะอยู่รับความรู้สึกนั้นจากแววตาคุณเอง และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมชอบเล่าเรื่องชีวิตประจำวันต่างๆ ให้เธอฟัง ทั้งทุกข์และสุข ผิดหวังหรือสมหวัง เราจะสบตากันทุกครั้งที่ผมเริ่มเล่าเรื่อง มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เธอจะรับเอาความรู้สึกของผมไปได้ทั้งหมด 
ผมยังจำได้ถึงวันแรกที่ผมไปเข้าไปเหยียบบ้านอักษรได้ดี บ้านไม้ทรงไทยหลังใหญ่จนสามารถเดาฐานะทางบ้านเธอได้ไม่ยาก รอบบ้านถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หลากพันธุ์ ร่มรื่นจนบางทีก็ดูลึกลับและน่ากลัวอยู่ไม่น้อย รวมถึงผู้คนภายในบ้านที่ดูท่าจะถือยศถือศักดิ์จนผมรู้สึกต่ำต้อยด้อยกว่าอักษรอยู่หลายขุม ซึ่งผมจะคิดไปให้หนักสมองทำไมในเมื่อผมไม่ได้อยากจะได้เธอมาเป็นคู่ชีวิตผมนี่ แต่ทันทีที่ผมได้เริ่มพูดจากับคนในบ้านพรมงคล ผมก็ต้องสั่งสอนตัวเองเสียใหม่เรื่องการสรุปนิสัยคนจากภายนอก
ผมจำได้ดีว่าวันนั้นผมพาอักษรไปหาซื้อหนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชนเล่มหนึ่งที่ตอนนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว แต่ผมก็แอบรู้เรื่องนี้มาจากจารึกน้องชายจอมป่วนของอักษรจนได้ เย็นวันนั้นผมจึงพาอักษรไปตระเวนหาจนทั่วจังหวัดตามร้านหนังสือใหญ่ๆ หาจนกระทั่งค่ำมืดดึกดื่น จนผมเริ่มถอดใจ ใจหนึ่งก็แอบคิดว่า ใช่ธุระเราหรือก็เปล่า ทำไมเราจะต้องมาทำอะไรเพื่อคนอื่นขนาดนี้ด้วย แต่ปากผมมันหนักทุกครั้งที่ผมจะยกเลิกการตามล่าหาหนังสือเล่มนี้ และอยากตบปากตัวเองที่เปราะทุกครั้งยามเธอหันมาบอกผมด้วยสายตาว่า พอแล้วก็ได้ ไม่ต้องหาแล้ว หาไม่ได้ก็ไม่เอา ผมหันไปพูดกับอากาศให้เธออ่านปากว่า ผมไม่ชอบยอมแพ้อะไรง่ายๆ  เธอจึงปล่อยผมให้บ้าตามหาหนังสือเล่มนั้นต่อด้วยการกระทำที่สวนทางกับความคิดตัวเอง ผมไม่เข้าใจเลยว่าผมทำบ้าอะไรของผมอยู่กันแน่! จนกระทั่งผมขับรถผ่านร้านหนังสือร้านหนึ่ง ความดื้อดึงของอักษรก็บังคับให้ผมลองแวะหาหนังสือเล่มนั้นดู แต่ผมไม่ยอมเชื่อว่าร้านหนังสือเก่าแก่ที่ดูแล้วน่าจะสร้างมานานมากราวกับเป็นโบราณสถานเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองนี้มานานจะมีวรรณกรรมฯ เล่มนั้นอยู่ เราสองคนเถียงกันโดยใช้สายตาและท่าทางอยู่นานจนผมเหนื่อยจะเถียงจึงจำใจพาเธอเข้าไปในร้าน แต่แล้วเราก็หาหนังสือเล่มนั้นเจอจนได้ สุดท้ายผมก็รู้จนได้ว่าที่ผมพยายามทำบ้าอยู่นี่เพื่ออะไรกัน เพราะมันคุ้มค่าสำหรับการที่จะได้เห็นรอยยิ้มเธอเป็นค่าตอบแทนความเหนื่อยที่ผมหน่ายตลอดเย็น
คืนนั้นมันเลยเวลากลับบ้านของอักษรไปนานเสียจนผมพาเธอกลับไปที่สวนสาธารณะเพื่อส่งเธอให้คนขับรถไม่ทันเพราะเขากลับบ้านไปแล้ว คงจะอยู่หรอกครับเธอต้องกลับบ้าน 19.00 นาฬิกาของทุกวัน แต่ผมพาเธอมาส่งก็ 22.30 นาฬิกาแล้ว ผมจึงต้องไปส่งเธอถึงบ้านเพื่อแสดงความจริงใจและยื่นยันว่าผมดูแลลูกเขาเป็นอย่างดีไม่ได้พาไปทำอะไรเสียหายให้ใครเขานินทา ก้าวแรกที่โผล่เข้าไปในบ้านผมตกใจจนเกือบลืมหายใจไปหลายนาที เพราะบรรดาญาติเกือบจะครบทั้งตระกูลได้ล่ะมั้ง (พูดเกินจริงไปบ้างคงไม่ว่ากันนะครับ คุณๆ จะได้เห็นภาพกันไงครับ) กำลังนั่งรอเธออยู่ที่ชุดรับแขกไม้สักตัวใหญ่เท่าช้างในห้องรับแขก ทันทีที่เราสองคนก้าวเข้าไปเท่านั้นความสงบที่เงียบอยู่แล้วกลับน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ทุกคนมองผมด้วยสายตาประเมินค่าราคาความเป็นคนเสียจนผมรู้สึกไม่ถูกชะตา อึดอัดและทำอะไรไม่ถูก แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่ลืมมารยาทไทยคือการไหว้ทักทาย
สวัสดีครับทุกคน
สวัสดี เธอเองหรือที่ฉันได้ข่าวมาว่าแอบไปคุยเล่นกับแม่อักษรที่สวนสาธารณะทุกวัน หญิงที่ดูแก่ที่สุดในบ้านเอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงเรียบจนผมเดาความรู้สึกท่านที่มีต่อผมไม่ถูก แต่ผมก็เดาเอาจากคำพูดและคอที่ตั้งเชิดขึ้นเสียจนผมแอบคิดประชดท่าน (ในใจ) ว่า ท่านคงจะลำบากมากถ้าหากจะมองคนที่นั่งอยู่ต่ำกว่าเพราะท่านคงต้องเหล่แล้วเหล่อีกจนเรนตินาของท่านต้องวิวัฒนาการมาอยู่ที่ปากหรือคางแทนที่จะอยู่ในลูกตาคู่นั้น (ผมเกเรใช่ไหมครับ ปากเสียด้วย) และท่านคงจะไม่พอใจนักที่คนไร้ต้นตะกูลผู้ดีเก่าอย่างผมจะริอาจมาเป็นเพื่อนหลานสาวของท่าน
ผมไม่ได้แอบใครนี่ครับ ผมก็เดินของผมเข้าไปอย่างเปิดเผยสง่างาม
ดี! ฉันชอบคนเปิดเผย ถ้าอย่างนั้นถามต่อนะ
เชิญครับ ไม่เคยรู้สึกดดันอะไรขนาดนี้มาก่อนเลยครับ
มาจีบหลานฉันหรือ ทำไมถามได้ตรงประเด็นขนาดนี้นะ เป็นผู้ดีที่แปลกมากผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยว่าผู้ดีเขาจะถามเรื่องส่วนตัวกันตรงประเด็นขนาดนี้ ผู้หญิงรุ่นโตกว่าผมสัก 20 กว่าปีคงเห็นท่าทางตกใจของผมที่นานจนเกินรอเอ่ยปากพูดขึ้นมาว่า ตกใจอะไรอยู่ เป็นเด็กผู้ใหญ่ถามอะไรก็ตอบสิ
ผมได้ยินไม่ชัด
ไม่ได้ยินจริงหรือเขาได้ยินกันจนถึงหน้าปากซอยแล้วมั้ง
ผมไม่คิดว่าท่านจะถามตรงขนาดนี้ ผมคิดว่าผู้ดีมักจะชอบพูดจาอ้อมค้อมก่อนเข้าประเด็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเพราะความเกรงใจ
ก็ใช่! แต่เป็นที่อื่นนะ บ้านเราเลิกพูดแบบนั้นไปนานแล้ว ตกลงเธอจะจีบหลานสาวฉันหรือเปล่า
เปล่าครับ เราเป็นเพื่อนกัน
งั้นหรือ แต่แม่อักษรดูปลื้มเธออยู่ไม่น้อยเลยนะ
จริงหรือครับ ผมอดยิ้มออกมาอย่างดีใจไม่ได้จริงๆ ครับ
สนใจไหมล่ะพ่อหนุ่ม ป้าจะยกลูกสาวให้เลยไม่ต้องมัวเสียเวลาจีบ หญิงแก่กว่าผมประมาณเกือบ 30 ปีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
เฮ้ย!  ผมอุทานออกมาเสียงดังลั่น ก็ตกใจนี่ครับเห็นดูหยิ่งกันทั้งบ้าน แต่พอคุยกันไม่กี่ประโยคก็จะยกลูกสาวให้เฉยเลย ผมจึงรีบล้นลานตอบปฏิเสธออกไป ผมไม่ได้คิดอะไร คงรับไว้ไม่ได้หรอกครับ
โธ่เอ๋ย! คุณแม่ขาแห้วอีกแล้วนะคะ ไอ้เราก็นึกว่าจะมีคนมาสนใจลูกสาวของเราโดยไม่สนใจเรื่องอื่นแล้วเสียอีก
แต่ผมยินดีคบอักษรเป็นเพื่อนโดยไม่รังเกียจอะไร!  ผมรีบพูดขึ้นมาอย่างเสียงดังทำให้สายทุกคู่หันมาจับจ้องด้วยสายตาตำหนิ
ถ้าท่านจะอนุญาติ ประโยคหลังนี้เสียงผมอ่อยเสียจนเป็นเสียงกระซิบ
บ้านเราเปิดเผย ยอมรับความคิดเห็นและให้โอกาสคนเมื่อเขากล้าที่จะเอ่ยเสมอ ฉันเองก็จะให้โอกาสเธอ เพราะหลานฉันก็มีเพื่อน้อยคนเหลือเกิน ฉันเห็นแล้วก็ใจไม่ดีเท่าไร ก็เพิ่งจะเห็นแม่อักษรร่าเริ่งกว่าแต่ก่อนก็ช่วงที่ได้มารู้จักกับพ่อ
ผมชื่อจารึก ประดิษฐ์นพรัตน์
นามสกุลยาวจริง เป็นลูกเจ๊กหรือเรา
ผู้ดีเรียกคนจีนว่าเจ๊กด้วยหรือครับ
ทำละจ้ะ กฎมาตราไหนบัญญัติห้ามผู้ดีพูดคำว่าเจ๊กหรือ แถมท่านยังมีอารมณ์มาสัพหยอกกับเด็กอย่างผมอีก
เปล่า! ครับเปล่า! แปลกดีครับ ทุกคนหันมองหน้าผมเขม็งเพื่อหาความหมายที่แท้จริงของคำว่าแปลก
ผมหมายความว่าดีครับ ผมชอบที่นี่แล้วสิครับ
ชอบก็มาบ่อยๆ สิฉันไม่ว่าอยู่แล้ว ขอย่างเดียวให้เข้าตามตรอกออกตามประตู เปิดเผยตลอด จะทำอะไรให้บอกกล่าวกันเสมอ แล้วเราจะอยู่ด้วยกันยืด
ถ้าอย่างนั้นผมอาจจะต้องขออนุญาติมาพาอักษรไปที่สวนสาธารณะทุกวันเลยได้ไหมครับ
ได้สิ แต่เธอต้องพาหลานฉันกลับมาในสภาพที่สมบูรณ์ ไร้มลทิน
ด้วยเกรียติของลูกพ่อค้าชาวจีนเลยครับ ว่าแต่ท่านไม่รังเกียจคนจีนหรือครับ
โอ๊ย! เธอจ๋า บ้านฉันไม่ได้หลับหูหลับตาเป็นผู้ดีเก่าเสียจนไม่ลืมตาดูโลกกว้างนะ จะได้ยึดติดกับความคิดสมัยยายยังเด็ก ฉันไม่เคยรังเกียจชาวจีนเลยด้วยซ้ำไป คนจีนก็คนเหมือนคนไทยนั่นแหละใช่กิ้งกือไส้เดือนเสียที่ไหนกัน
ตื้นตันแทนป๊าจังเลยครับ เมื่อตอนที่ผมยังเด็กๆ ป๊ามักเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่ป๊าเป็นเด็กลำบากมากเพราะคนไทยไม่ค่อยชอบคนจีนสักเท่าไร รังเกียจหาว่าเข้ามาแย่งที่ทำมาหากิน
ช่างเขาประไร
ป๊าผมสู้จนคนไทยยอมรับในตัวปู่และป๊าของผมเลยนะครับ
อ้าว! ตายเลย เราคุยอะไรกันอยู่นี่ หลานฉันเลยเอาแต่มองอย่างเดียวเลย ดูสิมองคนนั้นทีคนนี้ทีตาแป๋วเชียว หญิงชราหันไปมองหน้าหลานสาวคนโปรด้วยสายตาอ่อนโยนก่อนหันไปพูดภาษามือกับเธอพรางออกเสียงไปด้วย
ง่วง-หรือยัง-ลูก นั่งมอง-คนอื่นเขา-คุย-กัน-อย่างเดียว-เลย อักษรส่ายหน้าถี่พร้อมส่งยิ้มให้อย่างร่าเริงแต่ทว่ามือบางของเธอกลับยกขึ้นมาขยี้ตาเพื่อเรียกสติตลอดการมอง
ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวกลับเลยดีกว่าครับ ดึกมากแล้วด้วย วันนี้ขอโทษนะครับที่พาอักษรมาส่งช้าจนทุกคนเป็นห่วง พอดีผมรู้จากจารึกว่าอักษรมีหนังสือที่อยากได้จึงเสียเวลาพาเธอไปหาซื้ออยู่นานจนลืมเวลา
ไม่เป็นไร อย่างที่บอกเธอ ฉันขอแค่เธอทำอะไรอย่างเปิดเผย เข้าตามตรอกออกตามประตู และพาหลานฉันกลับมาส่งที่บ้านอย่างปลอดภัยและไร้มลทินก็พอ และถ้าวันไหนจะกลับช้าก็บอกก่อนหรือโทรมาบอกก่อนด้วย
ผมชอบทุกคนที่นี่จังเลยครับ ไม่ได้หยิ่งอย่างรูปลักษณ์ภายนอก
ก็เราเป็นผู้ดีนี่จ้ะ กิริยามารยาท ท่าทาง การพูดจาจึงต้องดูเป็นผู้ดีไว้ก่อน ส่วนเรื่องความคิดกับนิสัยก็อีกเรื่องหนึ่ง
ผมลาเลยนะครับ เอ่อท่านครับถ้าผมจะบอกลาอักษรต้องทำอย่างไรครับ
ก็โบกมือธรรมดานี่แหละ แค่นี้ก็เข้าใจได้แล้ว ผมยิ้มตอบท่านก่อนหันไปโบกมือให้อักษรเพื่อบอกลาเธอกลับบ้าน วันนี้ผมเอาแต่คุยกับคนที่บ้านอักษรจนลืมสนใจเธอ ขอวันหนึ่งล่ะครับต้องผูกมิตรกับท่านๆ ไว้เผื่อวันหน้าวันหลังผมจะได้พาอักษรไปไหนได้สะดวกขึ้น
โปรดติดตามตอนต่อไป
แสนซน				
comments powered by Disqus
  • ทิวลิปสีม่วง

    18 มีนาคม 2547 22:20 น. - comment id 71893

    ยาวจังค่ะ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน