รัฐบาลขอความช่วยเหลือทางการเงินจาก IMF เพื่อมากอบกู้ฐานะทางเศรษฐกิจ และนำมาใช้ในประเทศเพื่อให้เกิดสภาพคล่องตัวทางการเงินเพื่อหวังให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัว และดำเนินการค้าไปได้ แต่เหมือนพายุมรสุมทางเศรษฐกิจยังไม่หมดไปจากประเทศไทย มรสุมลูกต่อมา ที่สร้างความตื่นกลัวไปทั่วโลก เป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งในรอบ เกือบสามทศวรรษ เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายเป็นพลีชีพ ด้วยการบังคับจี้เครื่องบินพุ่งชนตึกอาคารเวิร์ดเทรคเซนเตอร์ ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์การค้าแบบทุนนิยม ที่กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ผู้คนล่มตายเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นไม่นานสหรัฐอเมริกา เปิดฉากสงครามกับกลุ่มผู้สงสัยก่อเหตุการณ์เลวร้าย ด้วยแรงสนับสนุนจากสหประชาชาติ สหรัฐอเมริกาจึงประกาศสงครามกับประเทศอัฟกานิสถาน ซึ่งมีรัฐบาลตาลีบันคุมอำนาจปกครองประเทศอัฟกานิสถานอยู่ โดยได้การหนุนหลังของมหาเศรษฐีชาวอินเดียนามว่า บินลาดิน ด้วยเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้รุ่มเร้าทำให้ประเทศของเราต้องประสบวิกฤตการณ์ปัญหาที่ลำบากมากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งมันมีปัจจัยหลายข้อทั้งในและต่างประเทศ จากรัฐบาล พล.อ ชวลิต แก้ปัญหาต่างๆไม่ได้จึงประกาศลาออกจากตำแหน่ง พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งพรรคฝ่ายค้านมี ส.ส.ห่างจากพรรคความหวังใหม่เพียง สองคน จึงประกาศจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลชุดนี้เข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยใช้หลักการและแบบปฎิบัติตามแนวความคิดเห็นของข้อมูลวิเคราห์จากนักวิชาการในต่างประเทศ เพราะเชื่อในความเป็นสากลจึงหลงลืมไปว่าประเทศไทย ประสบปัญหาไม่เหมือนกัน ประชาชนเริ่มเสื่อมศรัทธา และการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้เป็นแก่นนำในการจัดตั้งรัฐบาล กลับเป็นพรรคการเมืองพรรคใหม่ ที่ชื่อว่า พรรคไทยรักไทย จัดตั้งรัฐบาลแทน พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของไทย ที่ทุกคนต่างหวังว่าจะเข้ามาแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ต.ท ทักษิณ นั้นเป็นมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศ ที่ผันตัวมาจากอาชีพราชการสายงาน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์มาเป็นพ่อค้าหนังเร่แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนมาประสบความสำเร็จเกี่ยวกับธุรกิจสื่อสาร เป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านของเมืองไทยภายในเวลาไม่นานนัก นายกฯทักษิณ เป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวงการเมืองมานาน นับตั้งแต่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ สังกัดพรรคพลังธรรมในขณะนั้น โดยการชักนำของ พล.ต จำลอง ในช่วงหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 ทำให้ชาวเมืองกรุงเทคะแนนเสียงให้พรรคพลังธรรมอย่างท่วมท้น ก็เหมือนพรรคไทยรักไทยของท่านนายกฯในตอนนี้ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชนทั้งในเมืองกรุงและต่างจังหวัด การนำนโยบายเอาใจคนจนมากกว่าการเอาใจกลุ่มนายทุนที่ต่างจากรัฐบาลที่ผ่านมาของนายชวน หลีกภัย และการทำการบ้านในการหาคะแนนเสียงมาดี มีการส่งคนไปเก็บข้อมูลความต้องการของประชาชนมาทำเป็นนโยบายในการหาเสียงและใช้บริหารประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ประชาชนให้ความเชื่อถือและไว้วางใจกันทั้งประเทศ เพราะหลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทย ของ พ.ต.ท ทักษิณ ได้รับการเลือกผู้สมัครในนามพรรคมาเป็น ส.ส. มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ด้วยนโยบายหลักๆที่สามารถซื้อใจประชาชนทั้งประเทศเทศว่าจะเป็นการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อที่ชนะขาดพรรคคู่แข่งอย่างพรรคประชาธิปัตย์โดยไม่เห็นฝุ่น นโยบายแรกที่เกี่ยวกับงานสาธารณสุข โดยมี น.พ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ผู้เสนอนโยบายนี้ เพื่อรักษาคนเจ็บป่วยไข้ ในราคาถูกกับ โครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนชนบทมากมาย นโยบายถัดมา กองทุนหมู่บ้านละหนึ่งล้าน ในยุคที่ขาดเงินทุนหมุนเวียนในระบบ นโยบายนี้ ช่วยชุมชนมีเงินในระบบจะได้นำมาใช้ลงทุน สร้างรายได้ เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ถ้าประสบผลสำเร็จ ประชาชนก็จะสามารถพึ่งตนเองได้ นโยบายสุดท้ายที่ผมจะนำเสนอ พักหนี้เกษตรกร เป็นนโยบายที่ ให้ความสำคัญคนจนจริงๆ ช่วยให้ประชาชนที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีอนาคตลืมตาอ้างปากได้ นโยบายเหล่านี้เป็นการเอื้อต่อการจับจ่ายใช้เงินให้มากขึ้น หลังจากประชาชนเสียขวัญในช่วงที่ประกาศค่าเงินบาทลอยตัว ประชาชนไม่กล้าใช้จ่ายเงิน พากันเก็บเงิน ออมเงินไว้ ทำให้ระบบเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เกิดความเสียหายด้านความเชื่อถือว่าเป็นประเทศที่เหมาะแก่การลงทุน ต่อนักลงทุนชาวต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดนี้กว่าจะผ่านอุปสรรคต่างๆมาได้ครบขวบปี ร่วมฉลองปีใหม่กับประชาชนที่ถนนสีลมที่ผ่านมา ยังมีเรื่องราวให้หวนคิดอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องทรัพย์สินทั้งหมดของนายกฯ ว่ามีการมอบให้ใครดูแลบ้าง จนเรื่องถึงศาลรัฐธรรมนูญโดย ปปช. (คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) เป็นผู้ยื่นให้ศาลพิจารณา แต่มติออกมาว่าไม่มีความผิด รอดพ้นจากการหยุดดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองอย่างหวุดหวิด ทำให้มีเสียงวิพากวิจารณ์กันเป็นอย่างมาก นักวิชาการหลายท่านได้ ออกมาวิพากวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลนี้มากมาย ว่ารัฐบาลต้องการแต่เพียงคะแนนเสียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่คำนึงถึงความอยู่รอดของประเทศชาติ นำนโยบายที่ทำลายระบบการบริหารประเทศที่ถูกวิธี เสียจนหมดสิ้น รัฐบาลชุดนี้ ได้นำหลักการบริหารประเทศแบบเอกชน มาแทนความเป็นมหาชนของคนทั้งประเทศ การบริหารงานแบบพ่อค้าที่ต้องการเพียงผลกำไร จากการประกอบการ เพื่อให้ตนเองและหมู่คณะอยู่รอด ไม่ได้หวังให้ประเทศชาติพลิกฟื้นจากวิกฤต ซึ่งอยากจะขอให้พวกเราเฝ้าจับตาดูอย่างใกล้ชิด ท่านนายกฯประสบความสำเร็จจากการบริหารธุรกิจจากการสัมปทานงานจากรัฐ และปัจจุบันท่านเองก็กุมอำนาจอยู่ในมือ ผมกลัวเหลือเกินว่า กลัวจะเหมือนประเทศอินโดนีเซีย ที่ประธานาธิบดีซูฮาร์โต ผูกขาดอำนาจมานานแต่กลับทำประโยชน์ให้แต่พวกพ้องของตน ซึ่งน่ากลัวสำหรับประเทศไทยเป็นอย่างมาก การที่เราไว้ใจในตัวผู้นำมากเกินไป การให้อำนาจสร้างความไม่ชอบธรรมกลายเป็นความชอบธรรม ประเทศชาติของเราจะอยู่ได้อย่างไร บทพิสูจน์ที่น่ากลัวที่เอาประเทศชาติเป็นเดิมพัน ในระหว่างสถานการณ์ในโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การพิสูจน์จากผลงานรัฐบาลชุดนี้ ในการบริหารประเทศ เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะแผ่นดินนี้เป็นของเราทุกคน รักชาติศาสน์กษัตริย์แห่งแดนสยาม จึงพยายามพล่ามเพื่อห้ามทรราช ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ให้คิดตาม เพื่อแผ่นดินสยามจะได้คงอยู่ สืบต่อไป.
10 กรกฎาคม 2545 20:19 น. - comment id 65747
ไม่นานนิติจะประสบความสำเร็จเป็นคอลัมนิสต์วิเคราะห์การเมืองได้สุดเจ๋งจับใจโดนใจค่ะ ด้วยรักน้องนะ
11 กรกฎาคม 2545 06:30 น. - comment id 65758
โหหหหหห @^_^@
11 กรกฎาคม 2545 10:41 น. - comment id 65770
วิเคราะหืเก่งจังแฮะ
11 กรกฎาคม 2545 16:24 น. - comment id 65777
คม...ชัด...ลึก