ประกายชล -ไอตะวัน 2

TANOI_ZA


          ตอนที่สอง เป็นการเริ่มต้นชีวิตที่มีความหมายขึ้นของประกายชลลองติดตามอ่านกันดูนะคะ 
          เอ้ะ! ที่ไหนเนี้ย อืม...อ้าวเจ้านาย งั้นเมื่อกี้ฉันก็ฝันไปนะสิ โชคดีจริงๆที่เป็นแค่ฝัน" ฉันหันไปร้องทักเจ้านายด้วยอาการที่ยังมึนงงอยู่ และเริ่มมองสำรวจไปรอบๆตัว จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเอาความหล่อ ที่ฉันฝันถึงมาตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา
"อ้าวนาย! ได้เจอกันอีกครั้งจนได้นะ เอ้อนี่! เมื่อกี้ฉันฝันว่านายเป็นประธานบริษัทของเราด้วยล่ะ ตลกชะมัดเลย ประธานบริษัทดีๆที่ไหนจะรักความลำบากชอบขึ้นรถเมล์มาทำงานกันเน้าะ ฉันพูดพร้อมกับหันไปขอความคิดเห็นจากไอตะวัน (แล้วคนดีๆที่ไหนจะพูดไม่คิดแบบฉันมั่งนะ)
ก็ประธานบริษัทเราไงล่ะ ยัยประกายชล บอสฉันพูดเสียงเข้ม พร้อมกับกอดอกมองฉันด้วยสายตาที่ฉันไม่อยากจะบรรยายเลยว่ามันน่ากลัวขนาดไหน
ไม่เป็นไรหรอกครับคุณดุสิต เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ผมไม่ถือหรอก แล้วเขาก็หันมาทางฉันพร้อมกับอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น
วันนั้นบังเอิญ รถของผมเสียแถวๆป้ายรถเมล์ที่คุณรอรถเมล์อยู่ พอดีวันนั้นผมก็รีบไปเตรียมงานกับเลขาเพื่อเข้าร่วมประชุมตอนเช้าด้วยก็เลย...
อ้าว แล้วทำไมไม่ขึ้นรถแท็กซี่ล่ะ 
เธอก็ฟังให้จบก่อนซิประกายชล มัวแต่พูดขัดขึ้นมาเธอจะฟังจบหรือเปล่าล่ะ
ครับ ผมก็ขึ้นไม่เป็นอีกนั่นแหละครับ แล้วบังเอิญตอนนั้น ผมเห็นคุณซึ่งใส่เครื่องแบบพนักงานของบริษัทเรายืนอยู่ ผมจึงคิดว่าคุณคงจะไปทำงานที่บริษัทแน่ๆ ก็เลยไปขอความช่วยเหลือคุณ เขาอธิบายให้ฟังยกใหญ่
เอ้อ!! วันนั้นผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณ ที่ช่วยพาผมขึ้นรถเมล์เลย ถ้าอย่างนั้น ผมก็ขอขอบคุณคุณไว้ ณ ตรงนี้เลยนะครับ เอาไว้ผมมีโอกาสเมื่อไหร่ จะตอบแทนคุณให้สมกับที่คุณช่วยประธานบริษัทไว้เลย
ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกคะ ฉันสิต้องขอบคุณคุณที่ยังอุตส่าห์ขอบใจฉัน เอาเป็นว่าฉันขอรับไว้แค่น้ำใจก็แล้วกัน เพราะคนระดับอย่างคุณ อย่ามาเสียเวลาตอบแทนเศษน้ำใจของพนักงานบริษัทที่ไม่มีค่าอะไรอย่างฉันอยู่เลย งั้น..ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวเลยก็แล้วกัน สวัสดีค่ะ ฉันพูดใส่เขาด้วยเสียงที่ห้วน สั้น (จนฉันเองยังสงสัยเลยว่า ทำไมถึงพูดใส่คนที่ฉันคิดถึง แบบตัดเยื่อขาดใยขนาดด้วย) และฉันก็หันไปบอกเจ้านายว่า
เอ้อ!! เจ้านายค่ะ เดี๋ยวหนูจะไปเตรียมข้อมูลให้ที่ห้องนะคะ กรุณาเร็วๆด้วยนะคะ หนูไม่ชอบรอใครนานๆ
ครับ ได้ครับคุณประกายชล เจ้านายตอบรับฉัน ด้วยสีหน้าที่งงๆในพฤติกรรมแปลกๆของฉันที่พูดใส่ประธานบริษัทคนโปรดของเขา
ตกลง นี่ผมเป็นเจ้านายมันหรือมันเป็นเจ้านายผมกันแน่เนี้ย. รู้สึกว่าผู้ที่บอสหวังว่าจะให้แสดงความคิดเห็นด้วย กลับไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย เพราะใจของไอตะวันได้ลอยตามติดไปกับฉันผู้ที่เพิ่งจากไป (อุ้ย! เขินจังเลยอ่ะ ผู้อ่านจะคิดว่าฉันเล่าเรื่องเข้าข้างตัวเองหรือเปล่าเนี้ย)
              
               เพราะอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน ที่ทำให้ฉันแสดงท่าทีกับไอตะวันไปแบบนั้น ทั้งๆที่ฉันควรจะดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งสิ มันอาจจะเป็นเพราะว่าฉันผิดหวังที่ฉันได้รู้ว่า จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่อยู่คนละระดับกับฉัน เป็นคนที่ฉันไม่มีสิทธิ์คิดถึงไม่มีสิทธิ์หวัง ทั้งๆที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันมีแต่เขาในหัวใจ คิดถึงเขาทุกวัน รอเขาด้วยความหวังทุกวัน ว่าเราจะมีโอกาสได้สนิทกันมากกว่าวันนั้น แต่พอได้มารู้จักกันอย่างเป็นทางการ เขากลับกลายเป็นใครแล้วก็ไม่รู้ที่ฉันไม่ควรตีสนิทด้วย (โอ๊ย!! ยัยบ๊องเอ๊ย.....เรื่องง่ายๆแค่นี้ยังไม่เข้าใจอีก เขาเรียกว่าน้อยใจก็เลยประชดไปอย่างนั้นไง) 
               เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ ทำให้ฉันนั่งเหม่อตลอดทั้งวัน ทำงานก็ผิดๆพลาดๆ เพราะว่านั่งคิดแต่เรื่องของเขา ได้แต่นึกโมโหตัวเองที่ทำตัวไม่รักดี รู้ทั้งรู้ว่าไอตะวันเขาอยู่เกินเอื้อมแล้ว ฉันก็ยังจะคิดถึงเขาไม่เลิกอีก แถมตอนที่แอบเจ้านายหลับ ก็ยังฝันว่าได้มีครอบครัวที่แสนอบอุ่น กับเขา(นี่ขนาดห้ามใจตัวเองนะเนี้ย ยังเพ้อได้ขนาดนี้ ฝันซะเป็นตุเป็นตะเลย นี่ถ้าไม่ได้ห้ามไว้ล่ะก็ฉันคงฝันว่าฉันมีเหลนกับเขาเลยละมั้งเนี้ย) 
               
               ในตอนเย็นขากลับบ้าน ฉันก็ต้องไปรับตาเค้กที่ ร.ร.อนุบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง และจะพาเขาไปกินไอศกรีมร้านประจำกับเพื่อนสนิทฉันอีกคนหนึ่งด้วย
               พอฉันเดินมาถึงที่ลานจอดรถ ก็เจอชายคนหนึ่งถามฉันว่าอะไรซักอย่าง แต่ฉันก็ไม่ทันได้ฟังอะไร และเหมือนว่าเขาพยายามจะพูดอะไรต่อ แต่ว่าฉันในตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะฟังอะไรแล้วทั้งนั้นก็เลยจะเดินหนีและก็พูดบ่นกับตัวเองว่า
เฮ้อ!!...นี่ฉันเป็นได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย ไม่มีอารมณ์จะฟังใครเขาพูดอะไรหรือไงนะยัยชล เฮ้อ!!......
เมฆๆ เมฆ รอพี่ด้วย พี่มีเรื่องจะปรึกษาหน่อย เรื่องใหญ่มากๆเลย พี่ไม่เคยเจอปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยในชี...........วิต เสียงนี้ทำใ ห้ฉันที่กำลังจะจากไป หยุดนิ่งแล้วหันมามองที่ต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ฉันทำท่าจะกล่าวทักทายในตอนแรกแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจ (แบบเพิ่งนึกได้ว่าเขาอยู่เกินเอื้อม) ไม่อยากพูดคุยเสวนากับคนที่อยู่คนละระดับ เดี๋ยวคุณไอตะวันเขาจะดูต้อยตํ่า ฉันจึงตัดสินใจที่จะเดินต่อไป แต่แล้วก็มีเสียงมาห้ามไว้ว่า
คุณประกายชลกำลังจะกลับบ้านเหรอครับ ให้ผมไปส่งได้หรือเปล่า
ตอบแทนเศษนํ้าใจฉันน่ะเหรอค่ะ คงไม่ต้องหรอกค่ะเพราะฉันกลับเองได้อยู่แล้ว ปัง!!!!!โครม เสียงฉันเดินชนป้ายห้ามเลี้ยว ที่วางอยู่ตรงลานจอดรถบริษัท จนหน้าควํ่า แต่ว่าคราวนี้ไอตะวันกลับไม่มีทีท่าว่าจะขำหรือมีอาการใดๆ นอกเสียจากสีหน้าที่แสดงความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม (TANOI_BONG: อ้าวไม่ห่วงเลยเหรอ แค่สงสัยอย่างเดียวอ่ะนะ) แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รีบวิ่งเข้ามาช่วยฉัน ซึ่งก็ไม่รู้เพราะอะไร ฉันถึงได้ยินยอมเขาโดยไม่ขัดขืนสักนิด
เป็นไรมากหรือเปล่าครับ
ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณ ปล่อยมือฉันได้แล้วมั้งคะ ฉันรีบมาก
ให้ผมไปส่งดีกว่าไหมครับ
ใช่ผมก็ว่าอย่างนั้นนะครับคุณคนสวย ผมว่าให้พี่ผมไปส่งเถอะ คุณดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะยุ่ง ไอเมฆ ประทานทรัพย์กล่าวเสริมทัพพี่ชาย
นะครับคุณประกายชล ผมมีธุระจะคุยกับคุณด้วยเเหมือนกัน แล้วฉันก็ต้องยอมเขาเพราะสายตาที่อ้อนวอนแกมดุเหลือเกินของเขาข่มฉัน
ไหนล่ะ รถคุณน่ะ แล้วรถฉันด้วยจะเอาไว้ที่นี่หรือไง พรุ่งนี้ฉันไม่มีรถขับมาทำงานนะคุณ เดี๋ยวก็มาทำงานสายหรอก งานคุณจะเสียได้นะ ฉันยอมเขาก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่วายประชดเขานิดๆตามประสาคนขี้ใจน้อย
ก็เดี๋ยว พรุ่งนี้ผมค่อยไปรับคุณที่บ้านก็ได้นี่ ไม่เป็นไรหรอก เขาดูอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย ทำให้ฉันเองที่เมื่อกี้ก็กลัวเขาอยู่เหมือนกัน เริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง แล้วเราสองคนก็พากันออกมาจากบริษัทด้วยรถเบนซ์คันหรูของเขา โดยลืมว่าน้องชอยของเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยเหมือนกัน
               
               เราสองคนเงียบกันได้สักพัก ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรกับเขา เขาเองก็เหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ยังไม่ยอมพูด ต่างคนต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่นานจนกระทั่ง
คือ........ผม
นี่!! คุณ
ไม่ต้องมามัวเกี่ยงกันว่าให้ใครพูดก่อนหรอก เชิญคุณพูดได้เลยค่ะ เพราะฉันจะบอกให้คุณพูดน่ะแหละ บรรยากาศมันอึดอัดฉันไม่ชอบ เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง แล้วก็มีเสียงออกมาจากปากเขาด้วยนํ้าเสียงจริงจังว่า
ผม.........ไม่อยากให้คุณเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ตั้งใจจะปิดปังคุณหรอกนะเรื่องที่ผมเป็นประธานบริษัท แต่มันเป็นเพราะว่าวันนั้น...
โอ๊ย!... ฉันไม่ได้โกรธคุณด้วยเรื่องแค่นั้นหรอก
อ้าว งั้นโกรธผมเรื่องอะไรละครับ
ก็เรื่องที่ฉันอุตส่าห์เฝ้าคิดถะ..........เปล่าไม่มีอะไร ฉันไม่โกรธคุณหรอก ฉันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ภายใต้สีหน้าที่ไม่รู้ไม่ชี้นั้น ตกใจแบบสุดๆ เพราะฉันเกือบจะหลุดเอาความในใจของฉันที่มีให้กับเขาออกไปอยู่แล้ว
ไม่จริง!!ผมไม่เชื่อคุณหรอก ก็คุณเมื่อกลางวันนี้ เขาเริ่มพูดเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบ เพื่อบังคับให้ฉันบอกความจริงกับเขา แต่เรื่องอะไรฉันจะบอกความในใจฉัน สู้พูดเปิดโอกาสให้ตัวเองสามารถคุยกับเขาได้ไม่ดีกว่าเหรอ ก็เมื่อกลางวันดันไปพูดตัดเยื่อขาดใยไว้ซะขนาดนั้น ต้องรีบพูดเดี๋ยวเขาไม่ง้อให้เราคุยด้วยจะยุ่ง
อ่ะ ก็ได้ๆ ฉันไม่โกรธคุณแล้วก็ได้ คุณก็ไม่ต้องอยากรู้เลยนะ ว่าฉันโกรธคุณเรื่องอะไร เขางงกับคำด่วนสรุปเอาเองแบบเอาแต่ใจของฉัน แต่ก็ต้องจำยอม เพราะดูเหมือนว่าฉันจะไม่ยอมพูดอะไรอีก และเขาจะไม่มีโอกาสได้รู้เหตุผลที่ฉันโกรธเขาแน่ๆ 
มีอีกเรื่องหนึ่ง คือ.....ผมไม่เข้าใจที่คุณทำแบบนั้น ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ ผมไม่อยากให้คุณทำเหมือนว่าเราไม่ควรคุยกันอย่างสนิทสนม มันไม่จำเป็นเลย ที่เราจะต้องทำตัวห่างเหินกันแบบนั้น คือผมหมายความว่า เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ ถ้าเราจะไม่คิดถึงฐานะหน้าที่ทางการงานของเราสองคน" 
               พูดจบความเงียบ ก็เข้ามาครอบคลุมเราสองคนอีกครั้ง แต่คราวนี้ฉันและเขาไม่มีความรู้สึกอึดอัดเหลืออยู่เลยสักนิด มันกลับเป็นความรู้สึกโล่งอก เขาจะรู้หรือเปล่านะว่า คำพูดที่เขาพูด มันทำให้ฉันดีใจมากขนาดไหน ความน้อยใจเมื่อเช้านี้มันได้ถูกทำลายไปจนไม่เหลือเลยนะ 
               แต่ฉันเดาว่าเขาต้องรู้แน่เลยเพราะว่าฉันเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมานิดนึง จนฉันจรู้สึกว่าเขาไม่ค่อยดุเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว ครู่ต่อมา เขาก็พูดขึ้นมาทำลายความเงียบภายในรถ และก็ทำลายฝันกลางวันของฉันด้วยค่ะ เพราะเมื่อกี้ฉันเผลอนึกถึง วันที่เราสองคนแต่งงานกัน (นี่ขนาดแค่บอกว่าให้เป็นเพื่อนกันได้เท่านั้นเองนะ ฉันยังเพ้อได้ขนาดนี้ ถ้าเขาบอกว่าสนิทกันได้ ฉันจะไม่เพ้อว่าฉันมีลูกกับเขาเลยเหรอเนี้ย)
"และที่สำคัญ ผมไม่ต้องการให้คุณดูถูกตัวเอง ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม แล้วน้ำใจของคุณ มันไม่ใช่แค่เศษน้ำใจเลยสักนิด น้ำใจที่คุณให้ผมมาในวันนั้นทำให้ผมประทับใจและคิดถึงคุณมาตลอด เพราะฉะนั้นอย่าดูถูกตัวเองอีกเลยนะครับ" 
               ฉันว่าเขาคงต้องการพูดปลอบใจฉันมากกว่าต้องการสื่อความหมายอย่างอื่น แต่มันก็ได้ผลนะ มันทำให้ฉันเขินที่ฉันเขาประทับใจฉัน ฉันเลยพูดขัดเขาเพื่อแก้ไขบรรยากาศที่มันชวนจักจี้หัวใจของฉันว่า
"คุณประทับใจที่ฉันพาคุณขึ้นรถเมล์ผิดขนาดนั้นเลยเหรอ"
               ทั้งที่เรื่องนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่น่าหัวเราะมากมายอีกแล้ว แต่มันก็ทำให้เราสองคน หันมาสบตากันและประสานเสียงหัวเราะกันจนเหมือนกับว่า เมื่อกลางวันฉันกับเขาไม่ได้ทะเลาะกันเลย เมื่อขับรถมาถึงทางแยก เขาจึงถามว่า
"จะให้ผมไปทางไหนต่อครับ"
"คุณไอตะวันรู้จักร.ร.อนุบาล...หรือเปล่าคะ คือฉันต้องไปรับลูกชายฉันที่นั่นด้วยค่ะ"
"อ้าว! นี่คุณประกายชลมีลูกแล้วเหรอครับเนี้ย แถมยังเรียนตั้งอนุบาลแล้วด้วย ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องแต่งงานมานานพอสมควรเลยน่ะสิ"
               ฉันตอบเขาพร้อมกับหันไปจ้องหน้าเพื่อค้นหาอะไรบางอย่าง ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าเขาไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไงที่รู้ว่าฉันมีครอบครัวแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ฉันต้องการจะให้เขาเข้าใจผิดก็ตาม (งงไหมคะว่าทำไม ก็ถ้าเขามีใจให้กับฉัน และพอเขารู้ว่าฉันมีลูก เขาก็น่าจะแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาใช่ไหมคะ)
"ลูกน่ะมีแล้วค่ะ แต่ไม่ใช่ลูกที่มาจากท้องของฉัน ตาเค้กเป็นลูกของพี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉัน ที่เสียชีวิตระหว่างไปทำงานที่ต่างประเทศเมื่อปีที่แล้วน่ะค่ะ ฉันเลยรับเป็นแม่บุญธรรมให้ตาเค้ก"
               สรุปแล้วฉันก็ต้องผิดหวัง เพราะฉันไม่เห็นสีหน้าที่แฝงความหมายอะไรสักอย่างที่ฉันอยากเห็นจากสีหน้าของเขา 
'นี่ที่เขาบอกว่า ให้เราสนิทกันได้ เป็นเพื่อนกันได้ เขาก็หมายความว่าอย่างนั้นจริงๆเหรอเนี้ย ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดไปถึงเรื่องที่เราได้แต่งงานกัน เฟื่องไปแล้วมั้งเรานี่ เฮ้อ..แต่ก็ช่างมันเหอะ เพื่อนก็เพื่อนวะ ดีกว่าทนคิดถึงเขาล่ะ' เมื่อเรารับตาเค้กขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย ตาเค้กก็ทวงสัญญาขึ้นมาทันที
"ชลๆ คุณน้าคนนี้จะกินไอติมกับเราด้วยเหรอ" ทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า 
'เอ้าตายแล้วฉัน มัวแต่นึกถึงเรื่องของตัวเองจนลืมลูก ลืมผัวเลย เอ้ะ!!ผัว เอ้ย! สามียังไม่มีนี่นา ก็มีแต่ที่อยากให้มาเป็นละน้า' ฉันนึกอะไรแผลงๆและก็เผลอมองไปที่เป้าหมายที่วางไว้ในความคิด
"คือ...ฉันลืมไปเลยค่ะว่าฉันนัดเพื่อนสนิทของฉันกับตาเค้กไว้ ว่าเราจะไปร้านไอศกรีมเจ้าประจำกัน คุณไอตะวันสนใจจะไปด้วยกันหรือเปล่าคะ ฉันจะได้แนะนำว่าที่สามี เอ้ย!! ไม่ใช่ เพื่อนใหม่ของฉันให้เพื่อนสนิทของฉันรู้จักด้วย" เขาเงียบไปอึดใจ 
'รึว่าเขาจะอึ้ง ที่ฉันเปิดเผยขนาดนั้นนะ แต่ว่า..คงไม่ใช่หรอกมั้ง สีหน้าเขาไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรเลยนิ' ฉันจึงถามขึ้นอย่างเกรงใจและอย่างพึ่งนึกขึ้นได้ว่า
"แต่ถ้าไม่ว่าง ก็ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเราสองแม่ลูกลงตรงนี้ก็ได้ค่ะ" นี่ต้องเน้นคำว่าแม่ลูกให้เยอะๆเข้าไว้ จะได้ดูเป็นนางสาวไทยกับเขาบ้าง ช่วยด้วยแล้วกันนะตาเค้ก นี่แหละคนที่แม่อยากให้เป็นพ่อเราน่ะ
"ว่างสิครับ ว่าง ตกลงเดี๋ยวผมไปด้วยก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวไหนนักหรอก เหงามานานแล้ว"
               ตอนที่เขาพูดว่า 'ผมเองก็ไม่ค่อยได้เที่ยวไหนนักหรอก เหงามานานแล้ว' เขาดูเศร้าลงมานิดนึง แต่ก็กลับเข้าสู่สีหน้าปกติได้อย่างรวดเร็วแต่มันก็ไม่สามารถรอดจากความรู้สึกฉันไปได้หรอก ในขณะที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่นั่นเอง เสียงโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้นขัดจังหวะเรา 
'โธ่ ยัยกลอนนี่เอง' มันโทรมาบอกว่ามันมาไม่ได้แล้ว เพราะว่างานที่มหาวิทยาลัยมีปัญหานิดหน่อย ให้ฉันกับตาเค้กไปร้านไอศกรีมกันสองคนได้เลย 
'แต่เสียใจย่ะ วันนี้ฉันมีคุณไอตะวันว่าที่ลูกเขยบ้านฉันมาด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องเธอเบี้ยวนัด เรื่องจิ๊บๆ' เราสามคนจึงเปลี่ยนโปรแกรมกัน โดยเริ่มจากดูหนัง 
'ให้ตายเถอะค่ะท่านผู้อ่าน เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหน ที่ดูหนังรักโรแมนติคแล้วร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้เลย ทำให้เราทั้ง 3 คนต้องแย่งผ้าเช็ดหน้าที่มีอยู่เพียงผืนเดียว (ซึ่งเป็นของเขา ที่ให้ฉันมาในตอนแรกน่ะแหละ เพราะว่าฉันเป็นคนเริ่มร้องไห้ก่อน) กันยกใหญ่' 
               พอออกมาจากโรงหนังได้ ฉันกับตาเค้กก็พากันหัวเราะที่เขาร้องไห้ซะยกใหญ่ ซึ่งเจตนาของฉันคือ ฉันคิดว่าเขาน่ารักจังเลยที่ดูหนังเศร้าแล้วร้องไห้ได้ขนาดนั้น เขาเหมือนกับตาเค้กเวลาดูละครเรื่องบ้านทรายทองกับดาวพระศุกร์ไม่มีผิดเลย ส่วนตาเค้กนี่สิเรียกว่าหัวเราะเยาะได้เลย แถมยังแซวจนคนถูกแซวหน้าแดงแป๊ดเลย และฉันเริ่มสังเกตุได้ว่า ดูเหมือนวตาเค้กจะไม่ค่อยชอบใจเขาสักเท่าไหร่ เพราะตาเค้กชอบพูดแซวและถามประวัติคุณไอตะวันจนละเอียดยิบชนิดที่ฝ่ายทะเบียนประจำอำเภอยังยอมแพ้เลย แต่มันก็เหมือนกับทุกครั้งที่มีผู้ชายเข้ามาทำความรู้จักฉัน (ซึ่งนานๆ แบบว่าโคตรนานมากๆจะมีหลุด เอ้ย! หลง เอ้ะ!ไม่ใช่ๆต้องเป็นคำว่า 'เข้ามาในชีวิตฉัน' สิ) เพียงแต่ว่าคราวนี้ ตาเค้กแปลกๆอย่างไรก็ไม่ทราบ ฉันเองก็บอกไม่ถูก เพราะเหมือนว่าตาเค้กก็จะยอมๆเขาบ้าง อาจจะเป็นเพราะว่าคุณไอตะวันสุภาพกับฉันและเอาใจตาเค้กเก่ง 
'เอ้ะ! หรือตาเค้กดูออกว่าคุณไอตะวันไม่ได้คิดอะไรกับฉันหว่า'
               ตอนที่เราไปนั่งกินข้าวกันถือว่านี่เป็นเวลาที่ฉันมีความสุขมากเลย (TANOI_BONG:ก็แหม ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคุณพ่อคุณแม่คุณลูกนี่  ประกายชล:คือ.......อันนั้นมันก็ใช่แหละค่ะ แต่มันมีที่ทำให้มีความสุขมากว่านั้นคือ ฉันได้รู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับเขา) ตอนที่เรานั่งกินข้าวกันอย่างมูมมาม เอ้ย! อย่างมีความสุข (มูมมาม ถ้าจะเรียกให้ดูดีต้องเรียกว่ากินข้าวอย่างมีความสุขนะคะ หมายเหตุ 'กินข้าวอย่างมีความสุข' มีผลบังคับแค่กับเราสองแม่ลูกเท่านั้น คนอื่นไม่มีผลค่ะ) อยู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาว่า
"ผมจำไม่ได้แล้วว่า ครั้งสุดท้ายที่ผมกินข้าวแล้วมีความสุขน่ะ มันเมื่อไหร่" 
"อ้าว ทำไมละคะ ชีวิตคุณก็ออกจะดูสมบูรณ์ดีไม่ใช่เหรอคะ"
"ผมหมายถึงความสุขทางใจต่างหากละครับ" 
'เอ้ะ พูดงี้หมายความว่าไงเนี้ย คนฟังใจพองโตแล้วนะ'
"ผมไม่ค่อยมีเพื่อนสนิท ที่เรียกว่าจริงใจกับผมสักเท่าไหร่หรอก จะมีที่คุยกันได้ก็ ไอเมฆน้องชายผมกับนายกวีเพื่อนอีกคนที่ตอนนี้ไปเรียนอยู่ต่างประเทศ ยังไม่กลับมาเลย"
"อืม" ฉันและตาเค้กพยักหน้ารับฟังพร้อมกัน
'แปลกแหะ ตาเค้กนั่งนิ่งเชียวไม่กวนแล้วหรือพ่อตัวยุ่ง'
"เพื่อนที่มีอยู่ตอนนี้ ตอนไปดูหนังด้วยกันก็คอยแต่จะคิดว่า 'บริษัทเพื่อนจะพัฒนาไปถึงไหนกันแล้วนะ' พอไปกินข้าวด้วยกันก็คิดแต่ว่า 'จะทำยังไงดีจะพูดยังไงดี ถึงจะได้กำไรหรือผลประโยชน์จากบริษัทที่มานั่งกินข้าวกันด้วยกันนะ' ทำให้ผมลืมบรรยายกาศการดูหนังและการกินข้าวที่คนปกติเขาทำกันไปนานเลย" แล้วเขาก็หันมาสบตาฉัน
"จนกระทั่งวันนี้ ที่ผมได้มากับคุณ ผมถึงได้กลับมารู้สึกสนุกกับการนั่งกินข้าวและการดูหนังอีกครั้งหนึ่ง ผมคิดไม่ผิดจริงๆที่เลือกจะเป็นเพื่อนคุณ ตั้งแต่วันนั้นผมก็เอาแต่คิดว่า 'ถ้าได้คนแบบนี้มาเป็นเพื่อนก็คงจะดี' ขอบคุณ คุณประกายชลมากนะครับที่ชวนผมมากับคุณด้วยวันนี้"
"ก็ ไม่เท่าไหร่หรอก เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ แม่ผมใจบุญอยู่แล้ว"
"ตาเค้ก!! จุ๊ๆ" ฉันส่งเสียงพร้อมสายตากำราบตาเค้ก 
'แหม ตาเค้กนะ ตาเค้ก แม่อุตส่าห์ดีใจที่เรานั่งเงียบฟังคุณไอตะวันมาตลอด หลงนึกว่าลูกเราไม่ต่อต้านคุณไอตะวันแล้วซะอีก' แล้วเขาหัวเราะออกมาได้กับท่าทีเราสองคน ฉันอุทานออกมาอย่างเข้าใจเขาว่า
"มิน่าล่ะ! ตอนที่ฉันชวนคุณมาด้วย ถึงเอาแต่นั่งเหม่อและก็พูดเหมือนไม่ค่อยยินดียินร้ายกับการไปเที่ยวไหนสักเท่าไหร่เลย ที่แท้เพื่อนที่มีอยู่แต่ละคน ก็ไม่มีใครน่าไปไหนด้วยสักคนนี่เอง" เขาไม่ตอบอะไรออกมา มีแต่รอยยิ้มที่ส่งมาแทนคำตอบ
งั้นเอาอย่างนี้ไหม ต่อไปนี้ถ้าฉันจะไปเที่ยวไหนฉันจะชวนคุณไปกันนะ
ได้ครับผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่..........น้องเค้กจะยอมให้น้าไปด้วยได้ไหมครับ ฉันหันไปมองหน้าตาเค้ก เพื่อส่งสายตาบอกให้ตาเค้กตอบรับคุณไอตะวัน
อืมๆก็ได้ๆ นี่เห็นว่าน่าสงสารหรอกนะ แล้วชลก็ส่งสายตามาอ้อนวอนอีกด้วย ไม่งั้นอย่าหวังเลย
นี่ตาเค้ก มากไปๆ อายุเท่าไหร่กันหรือไงเรา จะไปเทียบรุ่นกับน้าเขาได้ไง 
ก็นั่นแหละ ก็น้าไอยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ต้องพึ่งเค้กนี่ ฉันต้องหันไปขอโทษไอตะวันในความแก่แดดของพ่อยอดยุ่ง แต่เขากลับพูดว่า
สมกับที่คุณเลี้ยงมาเลยนะครับ เหมือนกันเหลือเกิน 
               แทนที่ฉันจะเคืองกับการแซวของเขา ฉันกลับภูมิใจที่ฉันเลี้ยงตาเค้ก แล้วเขาสามารถซึมซับนิสัยฉันไปได้บ้าง เพราะสำหรับการที่เราเป็นแค่ลูกบุญธรรมกับแม่บุญธรรมนั้น ไม่ได้มีอะไรที่สามารถเป็นเครื่องยืนยันความเป็นแม่เป็นลูกกันได้ นอกจากกระดาษแค่ใบเดียว เพราะฉะนั้นความสนิทสนมจะเป้นอีกอย่างที่ทำให้เรารักกันได้เหมือนเราเป็นแม่เป็นลูกกันจริง ฉันจึงหันไปหัวเราะพร้อมกับเขา โดยมีตาเค้กนั่งงงอยู่ ว่าเราหัวเราะกันเรื่องอะไร
 
               เมื่อเขามาส่งเราสองแม่ลูกที่บ้าน ก่อนลงรถเขาก็พูดขึ้นมาว่า
เรากลับบ้านด้วยกันทุกวันได้ไหมครับ ผมสนุกมากเลยวันนี้ และผมก็ยังติดใจอยู่เลย คุณเองเมื่อไหร่จะไปเที่ยวก็ไม่รู้ ผมคงอดใจทนไม่ไหวแน่ๆเลย 
เอาอีกแล้ว คุณไอตะวันขา....คำพูดที่ชวนให้คนฟังเข้าใจผิดแบบนี้ ขยันพูดให้คนฟังหัวใจพองอยู่เรื่อยเลยนะ
เป็นเด็กเลยนะคะ ได้ขนมที่อร่อยๆชิ้นหนึ่งแล้วก็อยากกินชิ้นที่สองต่อขึ้นมาทันทีเลย
แล้วตกลงหรือเปล่าละครับ
ก็ได้ไง ถามอยู่ได้ แม่เราเขาใจดีจะตาย โดยเฉพาะกับนาย แต่นายต้องไปรับเราที่ร.รหลังเลิกเรียนทุกวันด้วยนะเข้าใจป่ะ ตาเค้กตอบแทนฉันที่กำลังยืนอึ้งเพราะความดีใจ (แบบว่า จริงๆอยากจะตอบไปเลยทันทีที่เขาถามเลยด้วยซํ้าว่า ได้เลยค่ะ แต่ว่ามารยาเอ้ย!! มารยาทหญิงที่แม่สอนมาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็ก มันคํ้าคอให้ทำท่าคิดก่อนที่ตอบตกลง)
เกินไปตาเค้ก ฉันหันไปส่งสายตาพร้อมกับเสียง เพื่อปรามความซ่าของตาเค้กก่อนเล็กน้อย แล้วจึงหันไปตอบตกลง
ได้ค่ะ แต่ต้องไปรับตาเค้กที่ร.ร.ทุกวันด้วยนะคะ คุณจะไหวเหรอ
ได้ครับ ผมไหวอยู่แล้ว ตกลงแล้วนะครับ แล้วอีกอย่างนึง คุณจะเรียกผมว่า ไอ เฉยๆก็ได้ครับ ส่วนผมขอเรียกคุณว่า ชล นะครับ
คุณน่ะเป็นประธานบริษัทจะเรียกฉันว่าชลสั้นๆน่ะได้อยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ฉันนี่สิเป็นแค่พนักงานบริษัทจะเรียกชื่อคุณเฉยๆได้ไงไม่ดีหรอก เดี๋ยวพนักงานในบริษัทคนอื่นๆก็ไม่เคารพคุณกันพอดีสิ
อืม...งั้นเอาอย่างนี้ ไว้คุณเรียกผมว่าไอตอนหลังเลิกงานก็ได้ครับ
โอเคค่ะ กลับบ้านปลอดภัยนะคะ วันนี้ขอบคุณมากค่ะ ตาเค้กขอบคุณน้าเขาด้วยสิ วันนี้เขาอุตสาห์พาเราสองแม่ลูกไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่นะ
ขอบคุณครับ นายมีบุญนะเนี้ยได้คำขอบคุณจากเราด้วย
งั้นโชคดีนะคะ สวัสดีค่ะ เมื่อคุณไอ (ได้เรียก ไอ สั้นๆเป็นครั้งแรกแล้ว ดีใจจัง ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่การเรียกในใจก็เหอะ) ขับรถพ้นไปจากสายตาเราสองคน ฉันจึงชวนตาเค้กเข้าบ้าน ขณะที่เราจะเข้าบ้านฉันก็ตั้งใจว่า จะทำหน้าที่คุณแม่สักหน่อยจึงพูดขึ้นว่า
ตาเค้ก! แก่แดดเกินไปแล้วนะเรา แทนที่จะมีอาการสำนึกผิดหรือเข้าใจความหมายอะไรสักหน่อย ตาเค้กกลับพูดว่า
เอ้า!! ก็ของมันแน่อยู่แล้ว ผมลูกใครล่ะ ตาเค้กพูดอย่างนี้ทีไร ฉันทำอะไรต่อไม่ถูกทุกที ดูสิค่ะท่านผู้อ่าน ตาเค้กแก่แดดขนาดจับจุดอ่อนของฉันได้ว่า ฉันไม่ชอบสอนคนอื่นในเรื่องที่ตัวเองก็ยังไม่สามารถทำได้ ฉันจึงไม่พูดเรื่องนี้อีก ก็ด้แต่คิดว่าสักวันฉันจะต้องหาทางอื่นมาสอนตาเค้กให้ได้
ตอนนี้อาจเรียบๆไม่มีอะไรมาก แต่มันจะเป็นพื้นฐานของตอนต่อไปนะคะ
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป(ด้วยนะคะ อิๆ) TANOI_ZA				
comments powered by Disqus
  • ใบหมอน

    13 พฤศจิกายน 2546 17:32 น. - comment id 70165

    สนุกมากเลยคะ  
    จะรอติดตามต่อไปนะ
    

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน