ดาว(๑)
ธารินทร์
ดารินเป็นหญิงสาวสวยที่มีฐานะและชาติตระกูลสูง อีกทั้งยังมีความสามารถทางด้านดาราศาสตร์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า เธอมีความสามารถอยู่ในระดับต้นๆของวงการเลยทีเดียว
กานต์เป็นศิลปินหนุ่มใส้แห้ง คร่ำเคร่งอยู่กับการวาดภาพและการเขียนหนังสือ ผลงานของเขาไม่ค่อยเป็นที่นิยมเท่าใดนักเพราะไม่ได้รับการส่งเสริม ชีวิตของเขาและเธอแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว และแน่นอนว่า เขาและเธอไม่เคยพบเจอกันมาก่อน ไม่ว่าที่ใดก้อตาม...
แต่แล้วก้อเหมือนพรหมลิขิตขีดเขียนให้วุ่นวาย เขาพบกับเธอครั้งแรกที่งานประกาศเกียรติคุณสาขาต่างๆ โดยเชิญทุกสาขาอาชีพไปร่วมงาน เธอได้รับประกาศเกียรติคุณด้านวิทยาศาสตร์ แต่เขาไม่ได้รับรางวัลอะไรเลย... และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาและเธอได้พบกัน
เขาพบกับเธออีกครั้งที่หอประชุมแห่งชาติ โดยกานต์ไปร่วมแสดงภาพเขียนที่จัดขึ้นชั้นล่างของหอประชุม ส่วนดารินไปร่วมสัมมนาด้านดาราศาสตร์ที่ชั้นสอง เธอมาก่อนเวลาเล็กน้อย เลยมาเตร็ดเตร่ดูภาพวาดที่ชั้นล่าง ซึ่งเธอไม่เคยดูงานแสดงภาพเลยแม้แต่ครั้งเดียว ภาพวาดประหลาดๆทำให้เธอมึนงง เพราะไม่สามารถจะตีความหมายของภาพ อีกทั้งยังมองไม่เห็นความสวยงามของภาพเลย แต่กระนั้นเธอก้อยังเดินฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาพบกับกานต์ซึ่งกำลังอธิบายที่มาที่ไปของภาพที่เขาวาด "ตอนนั้นผมท้อแท้ใจมากเพราะจินตนาการของผมมันมืดมนจนมองไม่เห็นอะไรเลย ผมได้แต่นั่งมองดวงอาทิตย์ที่กำลังถักทอแสงเจิดจ้า ผมเฝ้ามองมันตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนเย็น เมื่อนั้เองความคิดของผมก้อสว่างเจิดจ้าขึ้นมา ภาพดวงอาทิตย์ที่โคจรรอบโลก จากตะวันออกจนถึงตะวันตก ทำให้ผมเกิดความคิดที่จะเขียนภาพ "วัฏจักร" ขึ้นมา " "ไม่จริง!" ขณะที่เขากำลังบรรยายอย่างได้บรรยากาศอยู่นั้น ก้อได้ยินเสียงใสๆดังมาจากกลุ่มคนดู " ถ้าคุณทำอย่างนั้นจริงๆ ป่านนี้ตาคุณคงบอดไปแล้วเพราะแสงอาทิตย์ แล้วความจริงดวงอาทิตย์ไม่ได้โคจรรอบโลก แต่โลกต่างหากที่โคจรรอบดวงอาทิตย์" นักดาราศาสตร์สาวนั่นเอง "ฉันอยากให้คุณพูดถึงเรื่องที่เป็นไปได้ดีกว่า อย่าเอาเรื่องเพ้อฝันแบบนี้มาพูดเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด" "คุณคิดว่าความฝัน จินตนาการของมนุษย์เป็นเรื่องไร้ประโยชน์หรือครับ" ชายหนุ่มต่อคำ "ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เกิดขึ้นได้เพราะจินตนาการของมนุษย์ทั้งนั้นนะครับ" "เปล่า ไม่ใช่หรอก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น มาจากการลงมือทดลองอย่างเป็นระเบียบทางวิทยาศาสตร์ต่างหาก" นักวิทยาศาสตร์สาวกล่าว "ไม่ใช่เกิดจากความเพ้อฝัน" "ถ้าอย่างนั้น คุณลองเดินไปดูแกลลอรี่กับผมมั๊ยล่ะครับ" ศิลปินหนุ่มบอก "ผมจะทำให้คุณเห็นว่า จินตนาการของมนุษย์ มันไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่คุณคิด" "ก้อได้ แต่ตอนนี้ฉันไม่ว่างเพราะต้องไปสัมมนาที่ชั้นสอง และนี่ก้อได้เวลาแล้ว" สาวนักดาราศาสตร์บอก "อีกไม่เกิน 3 ชั่วโมงฉันคงเสร็จธุระ คุณกล้ารอมั๊ยล่ะ?" "ได้ครับ ผมจะรอ"
3 ชั่วโมงกว่าๆผ่านไป เธอกลับลงมาที่แกลลอรี่อีกครั้ง เพื่อมาพบเขาตามสัญญา เขายังรออยู่จริงๆ และเธอก้อมาจริงๆ "ขอบคุณที่รอฉันนะ ความจริงฉันคิดว่าฉันคงไม่เจอคุณแล้ว" เธอพูด "ผมก้อเช่นกันครับ เอาเป็นว่า เเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปชมจินตนาการของมนุษย์กันดีกว่าครับ เพราะอีกเดี๋ยวแกลลอรี่ก้อจะปิดแล้ว" พร้อมกับพูด เขาก้อเดินออกไปทันที นักวิทยาศาสตร์สาวเดินตามศิลปินหนุ่มไปติดๆ "นี่คือภาพ 'ดวงดาวในแววตา' ซึ่งศิลปินคนนี้วาดขึ้นเพราะเกิดแรงบันดาลใจจากการเห็นภาพดวงดาวและดวงจันทร์บนท้องฟ้า แสงนั่นทำให้เกิดจินตนาการถึงประกายจากแววตาของหญิงที่เขารัก เขาจึงเขียนรูปดาวในแววตา ขึ้นมา แต่ตอนนี้เขายังวาดไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะขาดแรงบันดาลใจที่จะวาดต่อ" เขากล่าว "แสงจากอดีตนั่นน่ะหรอ ที่เป็นแรงบันดาลใจ คุณรู้ไหม แสงจากดวงดาวที่คุณเห็นเป็นแสงจากอดีตทั้งนั้น เพราะโลกของเราและดวงดาวเหล่านั้นอยู่ไกลกันมาก กว่าที่แสงจะเดินทางมายังโลกก้อใช้เวลานานหลายปีแล้ว แสงจากดาวบางดวงอาจจะใช้เวลาเดินทางมายังโลก ถึงร้อยปีเลยก้อได้" เธอแลคเชอร์ "คุณนี่ช่างไม่เข้าใจถึงคำว่าความฝันเลยจริงๆนะ ถามจริงๆเถอะ คุณไม่คิดฝันอะไรบ้างเลยหรือ?" "ก้อเคยตอนเด็กๆ แต่ตอนนี้ฉันลืมมันไปหมดแล้ว เพราะฉันอยู่ในโลกของความเป็นจริง ไม่ได้อยู่กับความเพ้อฝันแบบคุณ หอประชุมได้เวลาปิดแล้ว ฉันคงต้องกลับล่ะ" เธอกล่าวตัดบทพร้อมกับอำลา "เดี๋ยวสิครับ ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย ถ้าไม่รังเกียจ พอจะบอกชื่อคุณให้ผมทราบได้มั๊ยล่ะครับ อ่อ ผมชื่อ กานต์ ครับ" "ฉันชื่อ ดาริน นะ ยินดีที่ได้รู้จัก" "เช่นกันครับ แต่หวังว่านี่คงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน ใช่มั๊ยครับ" เขาถาม "ไม่รู้สิ ฉันไปก่อนล่ะ หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะ" นักวิทยาศาสตร์สาวตอบพร้อมกับเดินออกมาที่รถสปอร์ตของเธอ ส่วนเขาเดินไปที่ถนนเพื่อรอขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
จนแล้วจนเล่า สาวนักดาราศาสตร์ก้อยังไม่ขับรถออกมาจากหอประชุม ศิลปินหนุ่มรู้สึกเป็นห่วงจึงเดินเข้าไปดู ก้อพบว่า รถสปอร์ตคันหรูของเธอเกิดเสียขึ้นมา และตอนนี้เธอก้อดูหงุดหงิดมาก เขาจึงเดินเข้าไปหาเธอ "สปอร์ตคันหรูของคุณคงจะวิ่งไม่ได้แล้วล่ะครับ ถ้ายังไง ไปรถสปอร์ตของผมดีกว่า.." เขากล่าว "อยู่ไหนล่ะ รถของคุณน่ะ ฉันยังไม่เห็นเลย" "ข้างนอกครับ ถ้าไม่รังเกียจก้อเชิญครับรถของคุณน่ะจอดไว้ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้ช่างมายกไปซ่อม" "ฉันไม่ไป" เธอพูดน้ำเสียงหงุดหงิด
ในที่สุดเธอก้อมากับเขาจนได้ ด้วยรถโดยสารประจำทางคันเก่าๆ หญิงสาวรู้สึกอึดอัดและประดักประเดิดเพราะไม่เคยขึ้นรถแบบนี้มาก่อน "เป็นยังไงล่ะครับ สปอร์ตของผม คุณหิวหรือยังล่ะครับ เดี๋ยวเราไปทานบะหมี่กัน ผมรับรองว่ามันเป็นบะหมี่ที่อร่อยที่สุดในโลกเลย" ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์ดี "อย่ามายั่วกันนะ หิวน่ะฉันก้อหิว แต่ฉันยังไม่เคยเห็นร้านบะหมี่แถวนี้เลย โกหกกันรึเปล่า" "ไม่หรอกครับ เดี๋ยวผมจะพาไป อ๊ะ ถึงป้ายแล้ว เราลงกันได้แล้วล่ะครับ."
ร้านบะหมี่ที่อร่อยที่สุดในโลกอย่างที่ศิลปินหนุ่มว่า คือร้านเซเว่นนั่นเอง ขณะนี้เขาและเธอกำลังทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ม้านั่งหน้าร้านเซเว่นอย่างเอร็ดอร่อย "เป็นยังไงครับ ผมบอกแล้วว่าอร่อยที่สุดในโลกเลย" "อืม อร่อยจริงๆล่ะนะ โดยเฉพาะเวลาที่หิวๆแบบนี้" หลังจากที่ทานบะหมี่เสร็จแล้ว เขาก้อเดินไปส่งเธอที่หน้าบ้านของเธอซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านเซเว่นเท่าใดนัก บ้านของเธอมีเนื้อที่กว้างใหญ่และดูมีสง่าราศี เมื่อส่งนักวิทยาศาสตร์สาวถึงหน้าบ้านแล้ว ศิลปินหนุ่มก้อเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ
ค่ำคืนนี้มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับความรู้สึกของศิลปินหนุ่ม แต่เขาก้อไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไร
นักวิทยาศาสตร์สาวก้อเช่นกัน คืนนี้เธอนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ นี่มันเรื่องอะไรกันนะ ที่เธอจะต้องลดตัวลงไปสนิทสนมกับผู้ชายต่ำศักดิ์คนนั้นด้วย เธอได้แต่คิดหาคำตอบให้กับตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่า เธอยังคิดหาคำตอบไม่ได้
โปรดติดตามตอนต่อไป...