*+*ภูผาขี้อิจฉากับประภาคารหลังใหม่*+*+
13 นางมาร
ณ เกาะ เล็กๆแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ที่ดินแดนแสนไกลโพ้นทะเล เป็นเกาะที่ผสมผสานระหว่างความงามของธรรมชาติและความทันสมัยสะดวกสบายได้อย่างลงตัว
ที่นี่ ตำบล ราไวย์ ยังมีหน้าผางามแห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่าน หนักแน่น เป็นผางามอยู่ในจุดที่เหมาะสม เป็นตำแหน่งที่ชม
พระอาทิตย์ดวงกลมโตสีส้มจัด ที่โรยตัวลงสู่ท้องทะเลสีเข้ม
ที่เลื่องชื่อมากที่สุด ณ ดินแดน แห่งนี้
ในละแวกใกล้เคียงกันมีภูผาน้อยใหญ่มากมาย แต่ทุกคนให้ความสนใจมาที่เขา ทำให้ภูผาแห่งนี้ทะนงตัวนักหนา ว่าเขาช่างมีความสำคัญ
หลายสิบปีที่ผ่านมาผู้คนในเกาะและนักท่องเที่ยวผ่านมาเยี่ยมเยือนทักทาย มาเดินย่ำ ชมทะเล ชมตะวัน ยิ่งทำให้ เขาทะนงตัวมากขึ้นเป็นเท่าตัว
เวลาผ่านไปลานกว้างเหนือหน้าผานี้เอง มีสิ่งหนึ่งถูก
สร้างขึ้น สร้างความขุ่นเคืองใจให้เขาเป็นอันมาก ฤมนุษย์จะ
สร้างสิ่งใดขึ้นทำลายความโดดเด่นของเขา ฤ รัศมีความโดดเด่น
ของเขาจะต้องถูกทำลายด้วยสิ่งก่อสร้างสิ่งนี้ หน้าผางาม
ยิ่งคิดก็ยิ่ง.... คับแค้นในอก...นัก
ผู้คนมากมายเหยียบย่ำบนตัวเขา ระดมกำลัง ช่วยกัน ก่ออิฐ
ถือปูน ลงแรง ก่อสร้างอะไรสักอย่าง เขาจดจำได้ทุกรายละเอียด วันแรกที่พวกเขาลงมือคือวันที่ 1 มกราคม 2538 เป็นวันปีใหม่ที่ทำให้เขารู้สึกแย่มากที่สุดในความทรงจำ
เสียงรถบรรทุก เสียงผู้คนที่กำลังก่อสร้าง เสียงตะโกนสั่งงาน
หน้าผาเงียบหูฟัง ชายผู้หนึ่ง ซึ่งเขาเดาว่าเป็นนายช่างผู้คุมงาน ผู้ใส่หมวก สีเหลืองสดถือกระดาษอยู่ในมือตลอดเวลา ผู้ที่มีใบหน้าจริงจังมุ่งมั่นกับ สิ่งก่อสร้างแห่งนี้
" เอารังวัด มาวัดระดับให้ตรง เอ้า ตรวจสอบความสูงให้ได้ 50 ฟุตอย่างให้ผิดไปแม้แต่เซ็นเดียวนะ" นายช่างพูดด้วยเสียงอันดัง
เจ้าหน้าผาขี้อิจฉา ได้ยินดังนั้นก็พอจะนึกออกแล้วว่าเจ้าสิ่ง
ก่อสร้างนี้หากเสร็จสมบูรณ์จะมีความสูงถึง 50 ฟุต นับเป็นความสูงที่
หน้าผาอย่างเขามิอาจเทียบได้
เสาหลักถูกตอกลงบนหน้าผา ต้นแล้วต้นเล่า หน้าผาคาดคะเนได้ว่า สิ่งก่อสร้างนี้จะมีความกว้าง ถึง 9 เมตร สิ่งนี้คืออะไร ทำไม พวกมนุษย์ ถึงจะต้องมาก่อสร้างสิ่งใหญ่โตอย่างนี้บนหน้าผางาม
อย่างเขาได้ พวกเขาทำได้อย่างไร
คำถามนี้ วนเวียน อยู่ในหัวของเขา จากวันเป็นเดือน จวบจนเวลาล่วงเลยมา เป็นเวลา 1 ปีกว่าๆ ช่างเป็นเวลาที่ทรมานยิ่ง
จนเมื่องานวันวางศิลาฤกษ์ของเจ้าสิ่งก่อสร้างมาถึงคำถามที่ ค้างคาในใจของเขา เริ่มกระจ่างขึ้น เมื่อเขาได้เงียบหูฟัง ......
เมื่องานพิธีการเสร็จสิ้นลง ผู้คนเริ่มทยอย เข้ามาชมเจ้าสิ่งก่อสร้างแห่งนี้ เท้าน้อยๆ ของเด็กชายผู้มาเยือน ที่ย้ำลงบนตัวเขา วิ่งวนไปมาโดยรอบ จนเริ่มเหนื่อย เด็กชายก็นั่งลงบนหินก้อนใหญ่ แล้วส่งเสียงถามผู้เป็นพ่อว่า
"พ่อครับ สิ่งก่อสร้างนี้เค้าเรียกว่าอะไรครับ ต้นจำไม่ได้ " เด็กชายช่างสงสัย ชี้ไปยังเจ้าสิ่งก่อสร้าง สูงตระหง่าน บนหน้าผา
" เค้าเรียกว่า ประภาคารลูก " ผู้เป็นพ่อ ตอบคำถามเจ้าตัวน้อย
" ปา- พา- คาน คืออะไรหรอคับ " เด็กชายต้นถามด้วยเสียงกระตือรือร้น
เวลานี้เองที่หน้าผา เงี่ยหูฟัง คำตอบอย่างตั้งอกตั้งใจ เขาจะได้รู้เสียที ว่าพวกมนุษย์ กำลังทำอะไร
"คืออย่างนี้ล่ะลูก ประภาคาร ก็เหมือน ดวงไฟแห่งท้องทะเล
ช่วยส่องแสงนำทางให้ คนเดินเรือ เดินทางในท้องทะเลกว้างได้อย่างปลอดภัย" พ่อพูดไปพลางหยิบหมวกใบน้อยมาใส่ให้ลูกชาย
" อ้อ ประภาคารเหมือน เสาไฟฟ้าในเมืองไหมครับ ที่เวลาพอมืด ไฟก็จะสว่าง ไฟที่อยู่บนถนน คล้ายๆกันไหมครับพ่อ " เด็กชายพูดไป กระโดดไป
" จะว่าคล้ายก็คล้ายตรงส่องแสงได้ แต่จริงๆแล้วแตกต่างกันมากน่ะลูก
ประภาคารมีความสำคัญมากสำหรับคนที่เดินทางในทะเล ยามค่ำคืน และก็ จำนวนไม่มากด้วย อย่างชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของอ่าวไทย
มีประภาคารที่สำคัญอยู่ 6 แห่งในจังหวัด ชลบุรี ระยอง จันทบุรี
และตราด ด้านฝั่งตะวันตกของอ่าวไทย ก็มีอยู่ 3 แห่ง
ในจังหวัด ชุมพร สุราษฎร์ธานี ปัตตานี ด้านฝั่งตะวันตกของประเทศไทยหรือ ทางทะเลอันดามันมีประภาคาร 2 แห่งในจังหวัดตรังและภูเก็ต โดยเป็นประภาคารที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพเรือ กรมอุทกศาสตร์
ผู้เป็นพ่อเล่าต่อว่า
การก่อสร้างประภาคาร แต่ละแห่งจะต้องใช้เงินลงทุนค่อนข้างมาก
อย่างประภาคารที่ น้องต้นเห็น อยู่นี้ ทางกองทับเรือใช้งบประมาณสูงถึง ราว 14 ล้านบาทนะลูก เห็นไหมว่าไม่ง่ายเลย กว่าเราจะลงทุนสร้างประภาคารขึ้นมาสักหลัง"
โอ้โห แพงจังเลยครับ น้องต้นได้เงินไปกินขนมที่โรงเรียนแค่วันละ 10 บาทเองครับ
พ่อครับ ต้นชอบประภาคาร จังครับประภาคารมีประโยชน์
และ ประภาคารก็ซู้ง สูง สูงกว่าน้องต้นตั้งเยอะ น้องต้นทำตาเป็นประกาย
"ลูกก็ต้องเป็นเด็กดีขยันเรียนจะได้มีทำตัวเป็นประโยชน์ แล้วก็ต้องดื่มนมเยอะๆจะได้สูงเท่าประภาคารผู้เป็นพ่อลูบหัวลูกชาย
แล้วสองพ่อลูกก็จูงมือกันเดินจากไปตามทางเดินสีเทา
ภูผาใหญ่ได้ฟังคำนั้นก็ได้นิ่งอึ้ง ใคร่ครวญถึงสิ่งเกิดขึ้น
แล้วภูผาก็ได้เปิดตา เปิดใจ มองประภาคารเป็นครั้งแรก มองไปเธอก็ดูสวยงามดี และเธอก็มีประโยชน์กับคนมากมาย ฉันเองที่ได้แต่หมั่นไส้เธอเสียมากมาย คิดแค่เธอได้แย่งความโดดเด่นไปเมื่อคิดได้อย่างนั้น ภูผาก็ได้ยินเสียงน้อยๆดังขึ้น
"สวัสดีครับคุณปู่ภูผา" เสียงใครกัน เขาหันไปมอง ด้วยเป็นเสียงที่ไม่คุ้นหู
" ผมเองครับ ผมอยู่ตรงนี้อยู่ข้างบนคุณปู่ คุณปู่ตื่นแล้วหรอครับ
เจ้านกนางนวล บอกผมว่าคุณปู่นอนหลับ " ประภาคารน้อยพูดขึ้นด้วยเสียงอันตื่นเต้น
ภูผากระแอมไอเบาๆ
"เจ้าเองหรอกหรือ ประภาคารน้อย ข้าตื่นแล้ว " ภูผาพูดเสียงเรียบๆ
" คุณปู่ครับผมดีใจที่ปู่พูดกับผม ผมอยากรู้คับว่าที่สุดปลายฟ้า นั่นมีอะไร แล้วทำไมตอนพระอาทิตย์ตกถึงได้เป็นสีส้มครับ "
" ถ้าเจ้าอยากรู้เรื่องราวต่างๆ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง "
ประภาคารน้อย ตั้งใจฟังภูผาด้วยสายตาเป็นประกายกระหายรู้ เขารู้สึกว่าสักวันเขาจะต้องเป็นประภาคารที่เก่ง และรอบรู้เรื่องราวได้อย่างน้อยก็สักครึ่งของภูผาก็ยังดี
เวลาผ่านพ้นไปบัดนี้ ภูผามีความสุขเหลือเกินที่ไม่ต้องอยู่กับความอิจฉาและความขุ่นข้องหมองใจ เขาได้คิดแล้วว่า
การดำรงชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องมีความเกื้อหนุนกัน
คงไม่มีประภาคารงามได้ หากไม่มีหินใหญ่ค้ำจุนไว้
และก็คงไม่มีภูผาไหนจะงามเท่าเขา
เพราะมีประภาคารสูงสง่าอยู่เบื้องบน
-----------------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีเพื่อนๆทุกคนที่แวะมาอ่านค่ะ
หายไปนาน วันนี้เลยแวะมา ลงตอนที่ 3
จากหนังสือทำมือเรื่อง ร้อยเรียงเรื่องราวเหล่าเจ้าประภาคารค่ะ