* แดนพิศวง ๒๑ *

แก้วประเสริฐ


                 * แดนพิศวง  ๒๑ *
                  (วิบัติภัยซ้ำสอง)
   ภายหลังจากปราบเจ้าสัตว์ประหลาดคางคกหมดสิ้นแล้ว  ชายหนุ่มก็
หันไปมองรอบๆ  บรรดาต้นไม้ต่างถูกไฟไหม้จนแทบจะราบเรียบหมด
ก็ให้สะท้อนถอนใจ  พลางเอื้อนเอ่ยว่า
   “สินธุ...นี่ก็บ่ายมากแล้วเห็นที่พวกเราจะกลับกันได้แล้ว  อ้อๆๆๆแล้ว
สำรวจหรือเปล่าว่ามีใครบาดเจ็บมากน้อยเท่าไหร่กันนะ???...”
   “นายท่าน  พวกชาวบ้านก็ได้รับบาดเจ็บกันไม่มากนักหรอก เกิดจาก
ควันพิษที่เจ้าคางคกพ่นใส่ เพียงแต่เป็นรอยไหม้ มากบ้างน้อยบ้าง ข้าก็
นำเอารากว่านฝนกับน้ำทาให้แล้วค่อยทุเลามากแล้ว  แล้วต่อไปนายจะ
ให้ทำอย่างไรดีล่ะ???”
   “ข้าว่าเห็นทีเราต้องกลับกันได้แล้วล่ะ บอกให้พวกเราออกเดินทางกลับกันได้ในเมื่อไม่เป็นอะไรมากนัก”
   “ได้นาย  ข้าจะสั่งให้ออกเดินทางกลับกันเดี๋ยวนี้แหละ ขอโทษนาย
ด้วยที่ข้าได้เอ่ยถึงเจ้าสดายุเพราะความแปลกใจ ด้วยทุกๆครั้งมักจะออก
มาช่วยพวกเราเสมอ”
   “อ้อๆๆๆเพราะว่าข้าได้กำชับไว้ก็เท่านั้นแหละ  ที่ไม่อยากให้ใครรู้
เพราะไม่อยากให้พวกเราตกใจเท่านั้นเอง”
   “อ้อๆเช่นนั้นเองหรืองั้นข้าจะไม่กล่าวอะไรอีกแล้ว”
       แล้วสินธุก็หันไปบอกให้ทุกๆคนออกเดินทางกลับถ้ำกันได้แล้ว
ดังนั้นทุกๆคนจึงออกเดินทางผ่านป่าไม้ที่ไหม้แต่ยังมีควันครุกรุ่นอยู่
เดินลดเลี้ยวหลีกเลี่ยง หันเดินทางไปอีกด้านหนึ่งที่อยู่เหนือลมที่ยังมี
ต้นไม้เขียวชะอุ่ม แม้บางต้นจะออกใบสีเหลืองก็ตามที   ทั้งหมดเดิน
ทางด้วยความสบายใจ เพราะเสร็จสิ้นภาระกิจที่สร้างความเดือดร้อน
แก่พวกเรา  จึงได้ปล่อยตัวตามสบายใจ  พอผ่านป่าไม้ชะอุ่มผ่านเนิน
เขาลดเลี้ยวไปตามซอกเขา เพราะหาทางเข้าไปยังถ้ำที่อาศัยอยู่  พอ
เข้าไปยังป่าอีกด้านหนึ่งก็ต้องสะดุ้งกันทั้งหมด  เพราะได้ยินเสียง
กิ่งไม้หักดังลั่นมาตามทางที่จะผ่าน  บังเกิดเสียงอู้ๆกร๊อบแกร๊บๆๆดัง
พุ่งมาทางเขา   ทั้งหมดด้วยสัญชาติฌานของพวกนักล่าสัตว์ป่าก็ต่างแยก
ย้ายกันออกจากกลุ่ม ต่างเพ่งตามองไปยังที่ปรากฏสุ่มเสียง เสียงดัง
เพี๊ยะพ๊ะดังมาก อะไรหรือมันใกล้เข้ามาแล้ว  ดังนั้นบรรดาชาวบ้านก็
ต่างพุ่งตัวเข้าหาโคนต้นไม้ใหญ่ทันทีพร้อมชักอาวุธประจำตัวออกมา
     ชายหนุ่มยืนตะลึงไปพักใหญ่ ปรากฏว่าภาคีคียะต่างรีบเข้ามา
ประกบด้านซ้ายขวา ส่วนกุลาก็ออกบังหน้าชายหนุ่ม ด้านหลังเป็นสินธุ
   “เสียงอะไรหรือกุลา???...”
   “มันเป็นสัตว์ใหญ่ชนิดหนึ่งนายยังไม่รู้ว่าอะไร นายคอยเดี๋ยวนะ”
        ว่าแล้วเจ้ากุลาก็ทิ้งตัวนาบลงดินเอาหูติดดิน สลับทั้งซ้ายและขวา
สักครู่หนึ่ง  พลางรีบลุกขึ้นกล่าวว่า
   “นายตามฝีเท้าของมัน เข้าใจว่าเป็นสัตว์ใหญ่สงสัยจะเป็นหมูป่านะ
นาย  เพราะเสียงมันหนักแน่นมากๆ”
   “แล้วเราจะหาทางหลีกเลี่ยงมันได้หรือไม่ล่ะ???
   “ช้าไปเสียแล้วนาย มันใกล้จะถึงตัวพ้นป่าไม้แล้วล่ะ??”
   “งั้นให้ทุกๆคนเตรียมตัวรับมือกันได้นะ  แล้วกุลามันมีสักกี่ตัวล่ะ?”
   “จากฟังเสียงแล้วข้าว่าคงไม่เกิน สามตัวแหละนาย”
เสียงเจ้ากุลารายงาน
   “แล้วเราจะหาทางหลบมันได้หรือไม่  เพราะไม่ยากจะฆ่ามันเพราะว่า
คงจะเป็นครอบครัวมัน  สงสัยจะหนึไฟมาทางนี้กระมัง”
   “คงจะเป็นอย่างที่นายบอกแหละ เพราะไฟไหม้ป่าด้านโน้นมันถึงได้
หลบมาทางด้านนี้  แต่คงจะหนียากหรอกนายเพราะกลิ่นของพวกเราอยู่
ทางเหนือลมเสียด้วย  มันคงได้กลิ่นแล้วพุ่งเข้ามาหาแล้ว หลบๆๆนาย”
     ยังไม่ทันขาดคำ  ร่างทะมืนของหมูป่า สามตัวก็พ้นแนวป่า มันเป็น
ฝูง พ่อ แม่และลูก  แต่ให้ตายเถอะทำไมร่างกายมันถึงใหญ่โตนัก
ตัวพ่อใหญ่กว่าตัวแม่และลูก  ขนาดมันประมาณเท่าตุ่มน้ำได้ แต่เขี้ยว
ขาวคมที่งอกออกจากปากทั้งสองริมฝีปากมันโง้วเลยจมูกมัน ทั้งสาม
ตัว  ตัวลูกค่อนข้างจะเป็นหนุ่มแล้ว ต่างส่ายหัวก้มจรดพื้นพุ่งมาหาพวก
เขาอย่างรวดเร็วปานพายุ
     เสียงต้นไม้ดังแคว๊กๆยามที่มันปะทะกับต้นไม้ มันขวัดเปลือกต้นไม้
ใหญ่กระจุยกระจายไปทันที  ส่วนชาวบ้านที่แอบอยู่โคนต้นต่างรีบ
ตาลีตาเหลือกปีนขึ้นไปบนยอดไม้สูงใหญ่ไปอยู่ที่คาคบที่แยกของต้นไม้นั้น  พร้อมทั้งง้างธนูที่สายบรรจุลูกธนูหาจังหวะจะยิงมัน เมื่อ
เห็นร่างกายของเจ้าหมูป่าทั้งสามตัวก็ต่างตกตะลึงกันไปตามๆกัน
   “เฮ้ยๆๆๆทำไมมันใหญ่โตเช่นนี้นะ”
   เสียงตะโกนร้องบอกต่อกัน  ส่วนชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็รีบลอยตัวขึ้น
พร้อมคว้าแขน ภาคี คียะ ขึ้นไปบนคบไม้แล้วตะโกนบอกให้กุลาและ
สินธุรีบหลบขึ้นมาก่อนที่สัตว์ร้ายจะพุ่งมาทำลายเสียก่อน เมื่อยามแล
เห็นทั้งสองชักอาวุธออกมาเตรียมป้องกันตัว
   “ไม่หรอกนาย  ข้ากับกุลาและพวกจะล่าพวกมันเอาไปทำอาหารมื้อ
นี้ให้ได้นะนาย ไม่ต้องห่วงหรอกเพราะข้าผ่านการล่าสัตว์มามากแล้ว”
   “โอ้ยๆๆๆช่วยด้วยโอ้ยๆๆๆ”
เสียงร้องของเหล่านักรบลูกบ้านที่หลบหนีขึ้นต้นไม้ใหญ่ไม่ทันถูกเขี้ยว
เจ้าหมูป่าขวิดเข้าชายโครง เลือดสาดกระจายแผลเหวะหวะล่วงตกมา
จากต้นไม้ แต่เจ้าหมูป่าเมื่อขวิดแล้วก็เลยไปพุ่งเข้าหาชาวบ้านอีกคน
หนึ่งและไล่ขวิดจนเลือดออกได้แผลไปตามๆกัน ทำให้ชาวบ้านบ้าง
ขึ้นต้นไม้ไม่ทันต่างวิ่งหนีกันกระเจิง  บรรดาหมูป่าทั้งสามต่างแยก
ย้ายกันเที่ยวไล่ขวิดเหล่าชาวบ้านได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน ส่วน
พวกที่หนีขึ้นต้นไม้ทันก็พยายามลงมาช่วยเพื่อนที่บาดเจ็บลากให้ขึ้น
ไปยังต้นไม้ได้ และช่วยกันทำบาดแผลโดยใช้ว่านเป็นหลัก
        ชายหนุ่มเป็นเช่นนั้นก็เอ่ยเตือนภาคี คียะทันที
   “แต่อย่างไรเจ้าก็ระวังตัวไว้ด้วยนะ  อ้าวภาคีและคียะไม่ไปช่วยพวก
เขาหรือ”
   “ไม่หรอกเจ้าค่ะนาย  ข้าต้องคอยระวังนายทั้งสองคนนี้แหละ เรื่อง
แค่นี้คงจะไม่พอมือกุลาและพวกหรอกนาย”
   “เจ้าเชื่อมันขนาดนี้เชียวหรือ คียะ”
   “ใช่นาย เพราะทั้งสองเคยล่ากระทิงโทนมาแล้วใหญ่กว่าเจ้าสามตัวนี้
เสียอีกนาย  นายคอยดูก็แล้วกันไม่ต้องไปช่วยพวกเขาหรอก”
   เจ้าคียะตอบพร้อมดึงแขนเสื้อหนุ่มนิรุทธิ์ไว้เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจะลง
ไปช่วย   เสียงเจ้ากุลาและสินธุตะโกนโหวกเหวกสั่งพวกลูกบ้านทันที
ลูกบ้านทั้งหมดต่างก็ลงมาจากต้นไม้พร้อมอาวุธส่วนตัว  พลางตีเสียง
จากอาวุธให้ดัง  แยกย้ายกันเป็นวงกลม  เจ้าหมูป่าต่างหยุดชะงักเมื่อ
แลเห็นคนจำนวนมากรายล้อมมันไว้ ต่างก็แยกย้ายกันออกหันหน้าเข้าสู้
ตั้งหลักหันหน้าเขาใส่ยังเหล่าชาวบ้านทันที  อาการดุร้ายเมื่อตะกี้นี้
หายไป   ด้วยสัณชาติฌานมันทำให้รู้ว่ายากจะต่อกรได้ จึงตะกุยเท้าหน้า
ทั้งสองลงบนพื้นดินกระจุย แรงของเศษดินพุ่งเข้าหาชาวบ้านที่ล้อมมัน
ไว้  ตัวใหญ่ที่เป็นพ่อไม่รอช้าวิ่งเข้าชาร์ต ชาวบ้านคนหนึ่งที่แยกตัวออก
มาล่อพวกมัน  ความปราดเปรียวของมันรวดเร็วปานพายุ แต่แล้วบรรดา
หอกและลูกธนูต่างยิงใส่มันทั้งสาม  ลูกธนูติดไปตามลำตัวมัน
   เสียงร้องอย่างโหยหวนดังก้องเลือดสดๆไหลเป็นทางตามคมธนูที่ฝัง
ลึกไปครึ่งหนึ่งหยดลงสู้พื้นทั้งสามตัว  แต่ความอดทนเพื่อรักษาชีวิตมัน
ซึ่งตอนแรกเป็นฝ่ายคิดจะล่า  แต่บัดนี้มันทั้งสามรู้ตัวว่ากลับตกไปเป็น
ฝ่ายถูกล่าเสียแล้ว ดังนั้นจึงแยกตัวกันออกพุ่งเข้าหาชาวบ้านที่อยู่ใกล้
มันที่สุด เสียงคว๊ากๆขวับๆดังขึ้น เปลือกไม้ใหญ่ถูกขวัดกระจายเป็น
ฝอยๆไปทันที    เสียงตะโกนของชาวบ้านดังโหวกเหวกสลับกับเสียง
ร้องด้วยความเจ็บปวดของหมูป่าและชาวบ้านที่โดนขวัดเข้าอย่างจัง
 เพียงไม่ช้านานหมูป่าทั้งสามตัวก็แปรสภาพประดุจเม่นด้วยผิวหนังมัน
เต็มไปด้วยลูกธนูนับไม่ถ้วน
    ความอ่อนแรงเกิดขึ้นแล้วกับหมูทั้งสาม ความเร็วค่อยๆช้าลงเกิด
อาการส่ายไปส่ายมา  เจ้ากุลาก็พุ่งร่างไปยังเบื้องหน้าเจ้าหมูป่าตัวพ่อ
พลางซัดหอกใบพายเข้าปักยังแสกหน้า เสียงร้องคำรามอย่างโหย
หวนดังลั่น ร่างหมูป่าตัวพ่อก็ทรุดคุกเขาลง แต่มันยังคงความดุร้ายหัว
มันส่ายเขี้ยวไปๆมาๆตลอดเวลา  เจ้ากุลาก็ชักดาบออกทะยานเข้าใส่
ร่างหมูป่านแล้วตวัดดาบฟาดจากลงขึ้นบน เสียงร้องโอ๊กๆๆๆดังสาย
เลือดพุ่งเป็นน้ำพุสาดกระจายไปตัว  ร่างหมูป่าตัวพ่อก็ล้มครืนร่างมัน
กระตุกไปๆมาสักครูเดียวก็สงบเงียบ   ทางด้านข้างร่างแม่หมูป่าและลูก
ต่างก็ทะยอยกันล้มลง ดิ้นพราดๆเนื่องจากสินธุควงมีดสีดำมะเมื่อมเข้า
ใส่ร่างแม่หมูทั้งร่างกายและคอ  ส่วนลูกมันถูกชาวบ้านช่วยกันระดม
แทงด้วยหอกเข้าไปยังร่างกายมัน จนทั้งสามตัวเงียบสงบนิ่ง
     บรรดาชาวบ้านที่ได้รับการฝึกปรือมาอย่างโชกโชนก็ต่างส่งเสียง
เฮฮากันระงมไปตัว  บ้างบางคนต่างก็หาเถาวัลย์มาผูกยังขาทั้งสี่มันทั้ง
สามตัว  ส่วนตัวลูกชาวบ้านก็หาไม้มาสอดเข้าหามร่างเพราะรูปร่างหมู
ตัวลูกเล็กกว่าตัวพ่อแม่มันมาก  แต่เจ้าหมูตัวพ่อแม่มันเข้าคานหาม
ไม่ได้เพราะรูปร่างมันใหญ่  ดังนั้นจึงใช้เถาวัลย์ผูกลากไป 
    เมื่อทั้งหมดรวมตัวกันอีกครั้งหนึ่งก็เริ่มออกเดินทางลัดเลาะไปตามไหล่เขาผ่านป่าอีกสักพักก็เห็นทางไปสู่ถ้ำที่ชายหนุ่มนิรุทธิ์เคยเข้ามา
ครั้งแรก   สักครู่มีชาวบ้านประมาณสองสามคนก็ออกวิ่งนำหน้าไปยัง
ถ้ำที่อาศัยเพื่อจะแจ้งข่าวดี  พวกมันหายไปสักพักหนึ่ง ก็เห็นชาวบ้าน
คนหนึ่งรีบกลับมาทันที  วิ่งอย่างรวดเร็วใบหน้าแตกตื่นตกใจพลางไป
รายงานต่อสินธุด้วยใบหน้าซีด พูดจาติดๆขัดๆ
   “เกิดเรื่องอะไรแก่พวกเราหรือ  เจ้ามัวอ้ำอ่ำอึ้งๆๆจะรู้เรื่องหรือ”
   “นายสินธุ อ้าๆๆ...พวกเรา...ตกตายกันไปแยะจ้านาย ปากถ้ำก็ปิดแต่
มีไฟสว่างเล็ดรอดออกมา  เกิดเหตุร้ายแก่พวกเราเสียแล้ว????”
   “ฮ้าอะไรนะหาๆๆๆ...พวกเราตกตายกันแยะหรือ???
   “ใช่แล้วนาย ศพกระจุยกระจายทั้งชายหญิงมากมายไม่รู้ใครมาทำ
หลังจากเราได้ออกมานะนาย”
   “จริงๆหรือว่าไอ้สักกะ???....พวกเราตกตายกันได้อย่างไรกัน”
   “เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรก็พวกเราติดตามนายใหญ่ออกมา ไม่ได้
ทิ้งพวกที่ฝึกปรือวิชาไว้ด้วย  ต้องไปถามท่านผู้เฒ่าศิลากับผู้เท่าวารี ข้า
คิดว่าคงจะอยู่รอดได้กระมังเพราะท่านมีฝีมือพอตัวนะนาย”
   “นั้นเจ้ารีบไปแจ้งแก่พวกเราที่ไปกับเจ้าหาทางติดต่อพวกเราที่รอด
คงจะมีบ้างนะ”
   “ได้นายข้าจะรีบไปด้วยนี้แหละนาย”
     ว่าแล้วร่างมันก็คว้าอาวุธวิ่งกลับไปยังถ้ำอีกครั้งหนึ่ง   ส่วนสินธุก็ได้
แจ้งให้พวกชาวบ้านที่ติดตามมาทราบ ทุกๆคนต่างตกตลึง แล้วไปแจ้ง
ให้นายนิรุทธิ์ทราบ   ชายหนุ่มได้รับฟังก็งง เขาคิดไม่ถึงว่าจะเกิด
เหตุร้ายซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก นึกว่าจะหมดเพียงแค่นี้  จึงสั่งให้ทุกๆคนรีบ
ออกเดินทางโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เสียเวลาชายหนุ่มจึงให้กุลาและสินธุคอย
คุมพวกตามไปอีกทีหลัง  ส่วนเขาก็คว้าร่างภาคี คียะเหินลอยไปอย่าง
รวดเร็วไม่ช้าไม่นานก็ถึงบริเวณลานถ้ำที่เต็มไปด้วยเลือดคาวและร่าง
คนที่เสียชีวิตตกตายกระจุยกระจายไปเป็นที่อเน็จอนาถนัก เขาจึงสั่งให้
พวกชาวบ้านรวมทั้งภาคีและคียะ รีบจัดการเก็บซากศพชาวบ้านไปกอง
ไว้อีกมุมหนึ่ง  แล้วก็ตรงไปยังปากถ้ำพลางเรียกท่านผู้เฒ่าทั้งสองทันที
   “พ่อเฒ่าๆๆๆยังอยู่หรือเปล่านี่ข้านิรุทธิ์นะ”
   เสียงตะโกนเสียงก็เงียบหายไป  เจ้าภาคี และคียะตลอดชาวบ้านอีก
สามคนก็ช่วยกันตะโกนเรียก   อากาศก็เริ่มสลัวมากขึ้นจนเวลาผ่านไป
สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาร้องตอบออกมา ประตูปากถ้ำก็ค่อยๆ
แง้มเปิดออกพร้อมทั้งคบไฟส่องมา  เป็นร่างของหญิงสาวกับผู้เฒ่า เมื่อ
ทั้งสองเห็นร่างของภาคี คียะ  ก็อุทานพากันร้องไห้แล้วก็เล่าเรื่องให้ฟัง
   “คียะเอ๋ยหมดแล้ว พวกเราตายเกือบหมดแล้วเหลือหญิงชายและคน
ชราประมาณ ยี่สิบคนเท่านั้นเอง นอกนั้นตายหมดเพราะไปต่อสู้กับ
สัตว์ร้าย  ฮือๆๆๆๆ”
   “เอาไว้ก่อนท่านผู้เฒ่าไว้ให้นายใหญ่พร้อมแล้วค่อยเล่าก็ได้ให้พวก
เราไปช่วยกันลำเลียงศพพวกเราไปเผากันเถอะ  และทำความสะอาด
ลานหน้าถ้ำเสียก่อนเถอะพ่อเฒ่า”
   “ได้ๆๆๆเจ้าคียะ”
   พลางหันไปตะโกนเรียกพวกในถ้ำ  พลันก็เห็นใบหน้าต่างๆค่อยๆ
โผล่ออกมาจากหลีบหินน้อยใหญ่ เมื่อได้รับคำสั่งก็รีบออกไปช่วย
กันทำความสะอาดที่หน้าลาน  พอดีพวกกุลาและสินธุกลับมาเมื่อทราบ
ก็รีบช่วยกันทำความสะอาดและจัดการศพเผากัน 
    จวบท้องฟ้ามืดสนิทแต่ปราศจากดวงจันทร์คงมีแต่ดวงดาว
ระยิบระยับพร่างพราวเห็นเป็นแค่สลัวๆประกอบกับคบไฟได้ถูกจุดขึ้น
สว่างพอจะทำงานกันได้ เพียงไม่นานนักงานก็เรียบร้อย   แล้วต่าง
ทะยอยกันเข้ามายังถ้ำแต่ไม่วายที่จะชำแหละร่างเจ้าหมูป่าทั้งสามตัว
ทะยอยกันเข้าไปในถ้ำให้พวกผู้หญิงได้ไปจัดการเพื่อเป็นอาหารใน
คราวต่อไป    ครั้นเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วบรรดาชาวบ้านที่ไปทำหน้าที่
ในการปราบสัตว์ร้ายคางคกก็ต่างทะยอยกันไปอาบน้ำชำระเนื้อตัวแล้ว
ก็ออกมานั่งล้อมวงในบริเวณห้องโถงใหญ่ในถ้ำเพื่อฟังคำรายงานของ
ท่านผุ้เฒ่าเรื่องที่เกิดเหตุร้ายในครั้งนี้
    เมื่อเหล่าชนชั้นหัวหน้านั่งเรียบร้อยแล้ว  เฒ่าศิลาก็ก็รายงานเรื่อง
ต่างๆให้นายใหญ่และนายเล็กตลอดจนคนอื่นๆได้รับฟัง
   หลังจากที่นายทั้งสองจากไปแล้ว  ทางเราก็เตรียมตัวทำตามคำสั่งนาย
ใหญ่ทุกอย่าง นึกว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว  แต่ที่ไหนได้ก็ได้รับ
แจ้งจากชาวบ้านคนหนึ่งที่ออกไปหาอาหารในป่า เหลือรอดกลับมา
คนเดียวด้วยอาการสาหัสนักมันแจ้งแล้วก็ตายไป ยังไม่ทันรู้เรื่องอะไร
ดีว่ามันไปพบนั้นคืออะไร   ก็ได้ยินเสียงฟู่ๆๆฟ๊อดๆๆดังแรงหายใจมัน
ทำให้ต้นไม้ไหวเป็นลู่เอนไป มันขนาดภูเขาลูกย่อมๆทีเดียวนาย มันเลื้อย
เข้ามาแล้วก็ฉกกัดบรรดาชาวบ้านที่หนีเอาตัวไม่รอดต่างรีบหนีเข้าถ้ำ 
มันมาเร็วเหลือกิน ลำตัวมันก็ปิดบังปากถ้ำหมดแล้ว  มันเลื่อยมามีขา
เป็นอันมากเขี้ยวมันทั้งสี่ดำมะเหมื่อมปนน้ำตาล  มันเข้าตรงกัดกินพวก
เราทั้งหญิงชายและเด็ก  ส่วนผู้ชายก็รีบออกมาป้องกันพวกเราแต่ไม่
สามารถทำอันตรายมันได้  ได้แต่พยายามป้องกันพวกที่เหลือให้เข้าถ้ำ
แล้วก็สุมไฟปิดปากถ้ำไว้ นั่นแหละถึงได้รอดมา ส่วนเฒ่าวารีเข้าต่อสู้
จนตัวตายไปกับการกระทำของสัตว์ร้ายนี้
   “แล้วตัวอะไรหรือพ่อเฒ่า???...”   ชายหนุ่มถาม
   “หากมันตัวเล็กๆก็คงเรียกว่าตะขาบนะนาย  แต่นี่มันตัวใหญ่เกือบ
เท่าภูเขาแน๊ะ หรือน้องๆเนินเขาเล็กๆแหละ   สีมันดำปนน้ำตาล เขี้ยว
มันน่ากลัวมาก  จมูกมันพ่นควันขาวออกมาแรงของลมทำให้ต้นไม้
เล็กๆหักสะบั้นไปเลยนาย”
   “แล้วมันมีอะไรผิดกับตะขาบไหมล่ะ???ท่านผู้เฒ่า”
   “ไม่มีอะไรผิดหรอกนาย  จะเรียกว่า ตะขาบยักษ์ก็ได้นาย”
   “อืมๆๆหากเป็นตะขาบมันเป็นสัตว์มีพิษมากเสียด้วย  หรือว่าลมที่
มันพวยพุ่งออกมาจะมีพิษด้วยก็ไม่รู้”      ชายหนุ่มพรึมพรำเบาๆ
   พลางนึกหาวิธีการต่อสู้กับสัตว์ตะขาบยักษ์ แต่ก็ยังคิดไม่ออก จึง
หันไปปรึกษา ภาคี คียะ กุลาและสินธุว่าจะหาวิธีใดบ้างจะได้กำจัด
เจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้อย่างไร
   “นายข้าเห็นว่านอกจากธนูเท่านั้นที่จะกำจัดมันได้นะนาย เพราะ
หากจะล่อมันให้ตกหลุมสัตว์ก็ไม่ได้อีกเพราะมันใหญ่โตมากๆ”
เจ้าคียะ  เอ่ยขึ้น
   “ข้าว่าให้นายเอาดวงแก้ววิเศษของนายปราบไม่ได้หรือ???”
เจ้าภาคี เสนอขึ้นบ้าง
   “แล้วหอกล่ะจะกำจัดมันได้ไหมนาย”
   “ข้าว่าหาวิธีอื่นดีกว่านาย เพราะรูปร่างมันใหญ่กว่าเจ้าคางคก
มากมายนักน้องๆภูเขาเชียวนา”   เจ้าสินธุเอ่ยขึ้นบ้าง
   “แต่ว่าพวกสัตว์ตะขาบมันแพ้พวกไก่นะนาย แต่เราจะไปหาไก่
ที่มีรูปร่างใหญ่โตมโหฬารนี้ได้ที่ใดหรือ???”  เฒ่าศิลาเอ่ยขึ้น
   “จริงซินายข้าเองก็เคยได้ยินอาจารย์เอ่ยเช่นผู้เฒ่าเหมือนกัน แต่ว่า
เราจะไปหาสัตว์ประเภทนี้ได้ที่ใด  หากหามาได้มันจะไม่ทำร้ายพวก
เราหรือ  น่าคิดนะนาย”
   ชายหนุ่มนิรุทธิ์เอามือท้าวคางพลางครุ่นคิดก็คิดไม่ออก ตามที่คนทั้ง
หลายเสนอมานั้นก็ดีหรอก  หรือว่าจะทำหน้าไม้ให้ใหญ่โตหรือก็ย่อม
เป็นไปไม่ได้ หรือจะทำหน้าไม้ยักษ์แล้วใช้หอกแทนอาวุธในการใช้ยิง
ก็ย่อมเป็นไปได้ยาก  เพราะอุปกรณ์ต่างๆก็ไม่อำนวยให้เสียด้วย ยิ่งไป
หาไก่ที่เป็นคู่อาฆาตกับพวกสัตว์ตะขาบเล่าจะไปหาได้ที่ใดและต้อง
ให้มันเชื่องไม่สามารถทำอันตรายแก่คนของเขาก็ย่อมไม่มีทาง
   อีกประการหนึ่งต้องใช้เวลารวดเร็ว ด้วยนิสัยสัตว์ร้ายเมื่อมันได้รับ
กลิ่นคาวเลือดคนและลิ้มรสเนื้อคนแล้วย่อมจะต้องหาทางหวนกลับมา
อีกแน่นอน  ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดศีรษะมาก   แว๊ปหนึ่งในสมองก็พลันให้นึก
ถึงนกสดายุขึ้นมาได้ว่าคงจะกำหราบมันได้ เพราะเจ้าสดายุนั้นปากมัน
เป็นจงอยคล้ายกับปากไก่ ที่สำคัญมันสามารถแปลงกายได้ให้ใหญ่เล็ก
ได้ตามใจมันอีกด้วย  
   เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็เป่าลมออกจากปากทอดถอนหายใจเหมือนจะ
โล่งอก  ใช่แล้วนอกจากเจ้าสดายุก็ไม่เห็นมีทางอื่นใดที่จะกำหราบ
สัตว์นี้ได้  พลอยให้เขาคิดไปถึงการติดตามดวงแก้วมรกตสีทองก็
ยิ่งทอดถอนใจใหญ่  สิ่งที่สินธุกล่าวนั้นจะใช่แก้วมรกตสีทองหรือ
ไม่ก็ไม่อาจทราบได้ แต่อย่างไรก็ต้องทดลองดู  หากไปค้นหาตาม
ที่สินธุบอกที่ภูเขาใกล้ๆกับภูเขาไฟติดกับด้านที่เป็นภูเขาน้ำแข็งแล้ว
หากเขาจะนำคนเหล่านี้ไปหรือก็จะสร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน
เพราะตอนนี้เหล่าชาวบ้านก็เหลือคนไม่มากนัก หากจะนำเอาสินธุ
กุลา ภาคี คียะไปด้วยก็ทำให้ทางนี้ขาดผู้นำไปหากวันใดเจอสัตว์ร้าย
อีกก็จะทำให้เหล่าชาวบ้านต้องตกตายสิ้น  เห็นทีเราจะต้องหนีไปคน
เดียวเสียกระมังพร้อมกับเจ้าสดายุก็คงเพียงพอจะได้ไม่เป็นภาระใดๆ
แก่เราได้   เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วก็หันไปกล่าวกับเหล่าชาวบ้านว่า 
   “เรื่องนี้เราพอจะหาทางกำจัดมันได้อยู่หรอก  แต่เราจะบอกให้พวก
เจ้ารู้ตอนนี้ก็หาได้ไม่  เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้ให้พวกเราไปหาไม้
ไผ่ที่แข็งแรงทนทานพร้อมกับเถาวัลย์ที่เหนียวมาทำคันธนูยักษ์ล่วน
ลูกธนูก็ให้ใช้หอกนี่แหละเพียงแต่ที่ใช้ยิงให้หาขนนกมาทำแพนไว้
เพื่อให้ลูกธนูวิ่งตรงเป้า   พร้อมด้วยทำหน้าไม้ขึ้นอีกอันหาจุดที่คิดว่า
พอเหมาะจะยิงเจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้  พวกท่านเป็นเป็นประการใดเล่า”
   “หากนายจะทำอาวุธที่กล่าวมานี้ก็ไม่ยากเท่าไหร่นักหากกำลังพล
เราเหมือนเดิม  แต่นี่มีกำลังพลไม่เท่าไหร่แต่ก็จะพยายามทำให้ทันนะ
นายเรื่องนี้เฉพาะหน้าไม้  ข้ากุลาขอรับอาสาเองนายเพราะข้าชำนาญ
เรื่องหน้าไม้นี้อยู่แล้ว”
   “ส่วนคันธนูข้ากับคียะจะรับเอาสาเองให้ได้เร็วที่สุดนาย “
เจ้าภาคีเอ่ยขึ้นบ้าง
   “ส่วนเรื่องดาบและอาวุธอื่นๆข้ารับอาสานายตามจะสั่งเถิด”  
สินธุเอ่ย
   “ส่วนข้าศิลาแม้จะแก่ก็ตามแต่ข้ามีวิชาเรื่องค่ายกลประตูหอรบ
ก็จะนำกำลังพลน้อยนิดไปนำหินต่างๆมาวางเรียงตามหลักค่ายคู
ประตูกล อาจจะทำให้สัตว์นี้มันงวยงง แม้ว่าจะเพียงแค่มายาภาพ
ก็ตามนาย”
   “เอาล่ะเมื่อทุกๆคนพร้อมใจกันเช่นนี้  เห็นทีคงจะทำการสำเร็จ
เป็นแน่นอน  งั้นทุกๆคนไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้ค่อยจัดการตามที่
กล่าวไว้แล้วกันเถิด”
      ดังนั้นทุกๆคนต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนคงเหลือชายหนุ่มและ
ภาคี คียะ กุลา สินธุ คอยนั่งเป็นเพื่อนชายหนุ่มที่นั่งใช้ความคิดอยู่
แต่ทั้งสี่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากสอบถามแต่อย่างไร...............
                    *แก้วประเสริฐ.*

665411.gif117684ygkpzfr3jr.gif665411.gif				
comments powered by Disqus
  • เทียนหยด

    8 ธันวาคม 2555 17:01 น. - comment id 131265

    หวัดดีค่ะครู....29.gif
    
    อ้อยไม่ได้อ่านตั้งแต่ตอนแรก...เพราะคอม
    
    พึ่งจะใช้ได้ค่ะครู...ถ้ามีเวลาจะพยายามย้อน
    
    ไปอ่านค๊า 30.gif46.gif36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    8 ธันวาคม 2555 18:18 น. - comment id 131266

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เทียนหยด
    
               ศิษย์รักเรา  การเขียนแบบร้อยแก้วนี้ในรูป
    แบบนี้เป็นการฝึกสมองเราได้อย่างดีเยี่ยม เพราะ
    เราต้องนำเอาหลายๆอย่างทั้งจริงบ้างเท็จบ้าง
    สร้างเป็นจินตนิยายขึ้นสำคัญที่ต้องจำตัวเอก
    ของเรื่องให้ได้ แต่ผลคือความสนุกสนานของ
    ผู้ที่่จินตนาการอย่างยอดเยี่ยม นึกอยากจะให้
    เป็นอย่างไรก็ได้ นี่แหละที่ว่าสนุกสำหรับ
    คนเขียนจ้า  ก็ลองอ่านย้อนหลังนี่เป็น
    เรื่องยาวในไม่กี่เรื่องที่ครูเขียนขึ้นมาหาก
    อ่านแล้วย่อมได้รับความรู้และความบันเทิง
    ไปในตัวเองอีกด้วยจ้า   รักศิษย์เรามากเสมอ
    
                   16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    8 ธันวาคม 2555 15:55 น. - comment id 131282

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ คิดถึงเธออยู่เสมอ
    
       คิดถึงเธอรำพันจนฝันเสมอ
    มิเลิศเลออย่างไรใจให้หวน
    ยังรักมั่นพันผูกปลูกรัญจวน
    ลบปั่นป่วนหมดแล้วแผ่วอาวรณ์
    
       ยามจะนอนยังเพ้อละเมอหวน
    ยากจะชวนมาฝันนั้นสะท้อน
    อกเอ๋ยอกเปลี่ยวเปล่าเย้าริดรอน
    ยากจะผ่อนหลับสนิทยามนิทรา
    
             ขอบคุณมากครับผมก็เช่นเดียว
    กันครับย่อมรำลึกนึกถึงคิดถึงอยู่เสมอ
    คนเพื่อนน้อยสมถะย่อมไร้คนมอง
    
    เพราะรักมากจริงๆนะขอบอกให้ขอบคุณ
    
                    16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • คิดถึงเธออยู่เสมอ

    8 ธันวาคม 2555 15:24 น. - comment id 131285

    ห่วงใย+ระลึกถึงเสมอ 36.gif57.gif
  • เพียงพลิ้ว

    6 ธันวาคม 2555 16:11 น. - comment id 131294

    หมูป่าตัวที่สี่มาแล้วค่ะ
    
    คุณลุงสบายดีนะคะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • แก้วประเสริฐ

    7 ธันวาคม 2555 22:28 น. - comment id 131300

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เพียงพลิ้ว
    
              หลานเอ๋ยถึงหลานจะสมบูรณ์มาก
    แต่ในสายตาของลุงหลานเราสวยมาก
    จริงๆนะ ไม่ใช่จะยอแต่เป็นเรื่องจริงคือ
    สวยแบบสวยน่ารักจ้า  รักหลานเรามาก
    เสมอๆ
    
                  16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • คิดถึงเธออยู่เสมอ

    10 ธันวาคม 2555 21:07 น. - comment id 131327

    36.gif
    คำหยอกยั่วทำใจวาบไหวแกว่ง  รำพันแฝงเร้นรอยคล้ายคอยหา   ในอกอุ่นไมตรีที่มีมา ใช่พรางพร่ารางเลือนอย่างเลื่อนลอย..นิทรายังคำนึงถึงว่าซึ้งแล้ว   พบพี่แก้วฯ ใจเต้นมิเร้นถอย   สะเทิ้นรัวใจล่องกับร่องรอย  เกินกว่าคล้อยข่มการณ์ทั้งวารวัน
    
    สวัสดีค่ะ แม้จะไม่ค่อยได้เข้ามาแต่ก็ยังคงคิดถึงเสมอ
    ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ เป็นห่วงมาก 36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    11 ธันวาคม 2555 14:36 น. - comment id 131332

    36.gif16.gif36.gif
    คุุณ คิดถึงเธออยู่เสมอ
    
       สุรีย์รัตน์วัฒนาเฉิดระย้าแสง
    นภาฉายแฝงพร่างพรายกระจายฟ้า
    ลมเย้าหมอกหยอกล้อส่อกานดา
    ไหวพลิ้วพาสะท้านปานอบเชย
    
       งามละออปานหิมะปะทะพฤกษ์
    หวานตราตรึกห้วงหทัยในม่านเขนย
    ตราตรึงซาบอาบล่วงช่วงอย่างเคย
    เหมือนอภิเปรยคิดถึงเธอเสมอมา
    
       ใจสะท้านหวั่นรักจะหักทรวง
    ยากจะล่วงเพียงพัดจัดวาสนา
    อกเอ๋ยอกมองเคล้าเฝ้าพิจารณา
    บ่มกานดาแค่ซึ้งตะลึงลาน
    
       คิดถึงเธํออยู่เสมอจนเผลอจิต
    หวนให้คิดความหวานซ่านสิ่งขาน
    หวานทั้งนอกป่วนในใฝ่รูปกานต์
    ให้ซาบซ่านส์ตะลึงแลชะแง้มอง.
    
            ขอบคุณมากครับหวังว่าคงไม่
    ลืมคนยากคนนี้นะครับ ขอบคุณ
    
                 16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เอื้องอังกูร

    12 ธันวาคม 2555 16:56 น. - comment id 131342

    สวัสดีครับ  ท่านสบายดีนะครับ
       ไม่ได้เข้ามาทักทายนานมากครับ..เพิ่งเข้า
    มาเปิดคอม..ด้วยว่าไปปฎิบัติภาระกิจ..สร้าง
    อาคารเอนกประสงค ห้องน้ำ  โรงเพาะเห็ด
    และบอเลียงปลา  ไห้กับโรงเรียน กองแขก แม่หลุ  อแม่เเจ่ม เป็นโรงเรียนเล็กๆใน
    ดงดอย...และไมมอบมาเมือวันที่ 6-9 -12-55
    ที่ผ่านมา
       อีกอย่างหนึ่งที่ผ่านมาผมเจอปัญหามาสุม
    เข้ามารุมเร้า..ทั้งเรื่องงาน..ครอบครัว..ที่ยังไม่เข้าใจกัน..จนแทบจะกระอักโลหิต.
    เจียนตาย...ไม่รู้จะปรึกษาใคร  เพราะที่ผ่านมา
    เคยแต่ให้คำปรึกษาคนอื่น..พอเจอกับตัวเอง
    แทบเอาตัวไม่รอด..ตอนนี้คลี่คลายลงบ้าง
    แต่..ยังไม่หมดที่เดียวครับ..คงต้องรอเวลา
    และทำใจยอมรับมันครับ
    ..
    มันสอดยอดแห่งความทุกข์..ต้องอาศัยธรรมะ
    ไหว้พระสวดมนต์ระงับความวุ่นวาย..ชีวิตมันไม่แน่นอนจริงๆครับ...คงเปนกรรมอย่างหนึง
    ...มันเจ็บ...และทุกข์...ตรับ
        10.gif10.gif36.gif16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    12 ธันวาคม 2555 17:12 น. - comment id 131343

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
         ในโลกนี้จะหาอะไรที่แน่นอนได้เล่า
    มันย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนคละเคล้ากันไป
    ตามแต่เวรแต่ละบุึคคลทั้งในชาติก่อนและ
    ชาตินี้กรรมย่อมจะส่งผล แต่หากเรารู้จัก
    ปล่อยวางคิดเสียว่าไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน
    เป็น อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เพราะความ
    ไม่เป็นแก่นสารจึงเกิดการเกิดดับไปเสมอๆ
    สิ่งที่ดีที่สุดคือเรา  ทำใจเราให้ผ่องใสปัญญา
    ก็จะเกิดหาทางแก้ไขเองได้แหละครับ
    บางสิ่งบางอย่างเราต้องทน บางอย่างเรา
    ต้องสอดแทรก บางอย่างพึงแสร้งกระทำ
    แล้วแต่ว่าอันไหนมาก่อนครับ ขอให้พ้นจาก
    ทุกข์ในครั้งนี้นะครับ ขออวยพรให้พ้นภัย
    จากทุกข์ทั้งปวงครับ  รักเสมอ
    
                  16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เอื้องอังกูร

    14 ธันวาคม 2555 17:32 น. - comment id 131353

    หวัดดีครับ
        ขอบพระคุณมากครับสำหรับคำแนะนำที่แสนวิเศษ..
         ครับผมจะใช้ความพยายาม..และทำใจ
    เปนตัวนำ...ความรักที่แท้จริงคือการให้
    อภัยกันใช่ไหมครับ....ที่ผ่านมาผมอาจจะเข้า
    ใจเอาเองว่า...คนที่เรารักต้องเปนอย่างที่เรา
    หวัง..แท้จริงเรากำลังครอบครองความเปน
    ตัวของเขา...คงต้องใช้หลักพรหมวิหาร
       เมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา แล้วครับ
    แม้มันจะแสนยากสักหน่อย..แต่ผมก้อจะพยามยามครับ
         คนเรา...รักมาก...หวังมาก..หลงมาก..
    หึงหวงมาก...มันทุกข์จริงๆครับ...การที่เปนเช่น
    นั้นเพราะเราเห็นแต่ตัวมากเกินไปใช่ไหม
    ครับ...มรสุ่มที่ผ่านเข้ามากทำให้รู้ชึ้งถึงคำที่
    บอกว่า..ทุกสิ่งอย่างไม่เทียงแท้แน่นอน..ครับ
        ตอนนี้ผมคลีคลายลงมาบ้างแล้ว...มันยัง
    ไม่หมดลงเลยที่เดียวครับ..ด้วยความเปน
    ปุถุชน...บางครั้งดูเหมือนจะดี...แต่..กลับ
    มาทุกข์อีกเมื่อจิตตก...ท่านพอมีวิธืบริหารจิต
    ไหมครับ...บอกเปนวิทยาทานแก่..คนมีกรรม
    ด้วยครับ...ขอบุณครับ36.gif29.gif
  • แก้วประเสริฐ

    14 ธันวาคม 2555 19:14 น. - comment id 131354

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
         สวัสดีครับ ผมไม่เก่งกาจอะไรเอา
    ประสบการณ์ที่ผมมีทดลองดูนะครับ
    ก่อนอื่นเราต้องรู้จักคำว่า ความรักคืออะไร
    หากเราจะเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เรารัก
    ความรัก คือ ความผูกพัน เข้าใจ เห็นใจ
    ซึ้งใจ รู้ใจและช่วยเหลือให้เกียรติซึ่งกัน
    และกัน  นี่แหละคือรากเง่าของคำว่า
    ความรักครับ ส่วนอันจะมีมากหรือน้อย
    ก็ด้วยบุพกรรมของเราที่เราทำไว้ถึงแม้จะไม่
    ต้องการแต่มันก็เกิดขึ้นด้วยบุพกรรมแต่
    ชาติก่อนของเราเอง การทำใจ เราก็ต้อง
    รู้ว่าใจเราประกอบด้วยอะไร ใจเรา ประกอบ
    ด้วยจิตและเจตสิก จิตมีหน้าที่สอดส่าย
    ค้นหาในสิ่งที่เป็นอายตนะหก คือ รูป รส
    กลิ่น เสียง โผสฐัพพะ และธรรมมารมย์
    (โอสฐัพพะคือการสัมผัส  ธรรมมารมย์คือ
    อารมย์ที่เกิดกับใจเรา)  ประกอบด้วย ตา
    หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อันบ่อเกิดของอวิชา
    เป็นตัณหาในรูปต่างๆคือความอยากในสิ่งที่
    เป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ เมื่อเกิดสิ่งเหล่า
    นี้เพราะใจเราไม่ได้ควบคุมไว้ในหลักธรรม
    คือทำใจให้สงบลงเสีย สิ่งเหล่านี้ซึ่งละเอียด
    อ่อนก็จะแทรกได้ทุกๆขณะจิตของเราทำ
    ให้เกิด โลภะ โทสะ และโมหะ คือโลก โกรธ
    และหลงในอารมณ์นั้นๆ ส่งผลให้เกิดกรรม
    ซึ่งเวรคือการกระทำของเราทั้งในอดีตชาติ
    และปัจจุบันชาติทั้งความไม่ตั้งใจและตั้งใจ
    ในขณะอารมณ์ชั่ววูบหนึ่งของเรา การมีหลัก
    พรหมวิหารสี่ อันเป็นธรรมของผู้ใหญ่ที่เจริญ
    แล้ว คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
    (คือการปล่อยให้ว่างๆเสีย จะระงับได้ชั่วขณะ
    หนึ่งเท่านั้น)  
    เจตสิกคือการจดจำในสิ่งที่จิตไปพบเห็นมา
    เพื่อมาให้เกิดการปรุงแต่งอารมณ์ของใจ
     ทางโลก การนิ่ง สงบ ปิด
    อายตนะเสียก็จะทุเลาและสิ้นไปไม่ต่อยอด
    สิ่งเหล่านี้ แบ่งการกระทำเป็นสามวาระคือ
    ระดับต้น กลาง และปลาย ปล่อยและนึกว่า
    สิ่งที่มันเกิดขึ้นได้ ก็ย่อมทรงอยู่ได้  และสุด
    ท้ายก็ต้องดับไปในที่สุด  เราอย่าไปต่อยอด
    มันก็จะทำให้ระงัีบอารมณ์ฟุ้งซ่านของเรา
    ได้ครับ 
              ลองทดลองดูหาคำพระคำใดคำหนึ่ง
    เช่น พุทโธ อรหัง สัมมาอรหัง แต่การใช้
    นี้ต้องให้จิตยอมรับคำภาวนานี้จึงจะถือว่า
    เป็นผล บางคำพระจิตเราไม่ยอมรับยิ่งทำ
    ให้เกิดความฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้น ก็หาทาง
    เปลี่ยนไปจนจิตใจเรายอมรับ ใช้คำนี้เป็น
    หลักยึดมั่นภาวนา หากพบปัญหาใดๆให้
    หยุดแล้วมีสติภาวนาไปเรื่อยๆ อารมณ์ฟุ้ง
    ซ่านเราก็จะระงับได้   การหนีคือการไม่
    ยอมรับสิ่งที่เป็นจริง เราไม่หนีแต่ใช้กุสโลบาย
    ทางนี้เป็นตัวเชื่อมต่อทำให้เราสงบได้
    การหนียิ่งเป็นการยั่วยุอารมณ์นั้นๆ เรา
    
    หยุดอายตนะเสีย คือปากหรือลิ้นไม่
    กล่าวต่อยอดก็จะสงบ เมื่อเหตุการณ์ดี
    ขึ้นเราก็ใช้ปากอีกนั่นแหละอธิบายและ
    ทำความเข้าใจแก่สิ่งที่เกิดแก่เรา หนัก
    ก็จะเบาตามลำดับแล้วปรับปรุงตัวเราใหม่
    ถือว่าเป็นวิืบากรรมของเรา ไม่ยึดติดมั่น
    และต่อยอดมัน  ก็จะเป็นอนัตตาคือดับ
    ไปโดยปกติธรรมชาติครับ
             เอาเท่านี้นะครับ ขอให้โชคดีครับ
    รักเสมอๆ
    
                     16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เอื้องอังกูร

    19 ธันวาคม 2555 16:55 น. - comment id 131377

    ขอบพระคุณมากครับ....ผมจะนำไปปฎิบัติครับ
     ผมปวดใจเหลือเกิน...ทรมานมากเหลือเกิน...
         ทางธรรมเท่านั้นที่จะช่วยผมได้...คนเรามีกรรมเปนของตัวเองใช่ไหมครับ...ต้องชดใช้ใช่ไหมครับ...ผมพร้อมรับกรรม...มันทุกข์จริงๆ  ไม่รู้ว่าผมจะผ่านมันได้ไหม...หรือต้อง
    ชดใช้ด้วยชีวิต.....
      ผมอยากคุยกับท่านมากแต่ไม่รู่ว่าจะติดต่ออย่างไรครับ
  • แก้วประเสริฐ

    19 ธันวาคม 2555 20:04 น. - comment id 131378

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
       ทุกๆคนไม่ว่าคนหรือสัตว์นั้นย่อมมีกรรมเป็น
    ของตัวเองทั้งสิ้น กรรมเป็นแดนเกิดของบุคคล
    ทั่วๆไป  กรรมนั้นแบ่งออกได้คือ กุศลกรรม
    อกุศลกรรม และกรรมบถ 
       กุศลกรรม คือกรรมแห่งความดี  เช่น รักษาศีล
    ทำสมาธิให้เกิดปัญญา การให้ทาน ฯลฯ
       อกุศกรรม คือกรรมชั่วที่ตรงกันข้ามกับกรรมดี เช่น
    การผิดศีลธรรม ฯลฯ เป็นต้น
    กรรมบถ 10 อย่าง คือ การผิดศีล 5 ข้อกล่าวร้าย
    ผู้ปฏิบัติธรรม ไม่เชื่อในเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว
    ให้ร้ายแก่คนทั่วๆไป ดูหมิ่นเหยียดหยามนักบวช
    ทำลายปูชนียสถานในทางศาสนาและ
    นักบวชที่ปฏิบัติธรรมนั้น  ผมจำไม่
    ค่อยจะได้แล้วครับ แต่อยู่ในลักษณะนี้แหละ
       การลดกรรมคือการทำความดี ที่เด่นชัดคือ
    การทำสมาธิให้เกิดปัญญาดับทุกข์ แล้วก็
    แผ่เมตตาบารมีของการทำดีของเราให้สัตว์
    โลกทั่วๆไป ขออย่าได้มีเวรต่อกันและกันเลย
    อย่าจองเวรแก่กัีนและกันเลย อโหสิกรรม
    แก่กันและกัน  ทำไปเรื่อยๆ กรรมก็จะลด
    ทอนลงไปเองแหละครับ
            อนึ่งการพึงบังคับใจเราเวลาเรามีอกุศกรรม
    เข้ามา ให้วางจิตใจเราให้เฉยๆไว้ นำจิตเรา
    วางลงตรงทรวงอก ระหว่างลิ้นปีของเรา
    แล้วภาวนามีสติให้รู้ทันกรรมนั้นๆว่ามันเกิด
    ขึ้นได้ มันตั้งอยู่ได้ในที่สุดมันก็จะดับหรือหาย
    ไปเองแหละครับ อย่าไปให้จิตไปที่อื่นให้
    จิตอยู่กับเราแล้วหมั่นพิจารณาจิตที่สร้าง
    ความยุ่งยากแก่เรา  สิ่งนี้จะช่วยได้มากผม
    เองใช้เป็นประจำและได้ผลดียิ่งครับ
            ลองทำดูนะครับบางทีกุศลคุณที่ทำไว้
    อาจจะช่วยเราได้ครับ  ขอให้พ้นจากทุักข์
    เถิดครับ เราพบกันทางนี้แหละดี  หากผม
    รู้ก็จะนำมากล่าวและจะให้ผู้อื่นที่ผ่านมา
    ได้รู้ตามบ้าง เพื่อเป็นทางกุศลแก่ผมอีก
    ทางหนึ่งด้วยครับ ขอให้โชคดี รักเสมอ
    
                      16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เอื้องอังกูร

    20 ธันวาคม 2555 15:57 น. - comment id 131390

    ขอบพระคุณครับ
      ผมจะนำไปปฎิบัติครับ ซึ่งทุกวันนี้ก้อทำอยู่
    แต่อาจยังไม่เพียงพอ..
         มันทุกข์ใจมาก..รักเขามากให้เขาหมดทั้งหัวใจ..ไม่มีช่องว่างให้ตัวเอง
       มันสุดยอดแห่งความทรมาน..
    ไม่เขาใจตัวเองว่าทำไมต้องรักเธอมากมายขนาดนี้...รักแบบถวายชีวิตก้อยอม
        ทำไม..หนอ หรือชาติที่แล้วผมทำให้เขาเจ็บมาก..เขาจึงมาเอาคืนบ้าง..ขาดเธอเหมือนขาดใจ
       เออ..ขอโทษด้วยนะครับที่มาระบาย..กับท่าน..และขอขอบคุณท่านที่เมตตาครับ36.gif
  • *

    20 ธันวาคม 2555 19:15 น. - comment id 131392

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
           หากเป็นดังเธอกล่าวมานี้ มีวิธีเดียวเท่านั้น
    คือพิจารณาคืออนุสัยสติสี่ คือ กาย เวทนา จิต
    และธรรม  ให้คุณพิจารณาเพียงกายอย่างเดียว
    ว่าอันกายที่สวยก็ดี ไม่สวยก็ดี ปานกลางก็ดีทุก
    อย่างไม่เที่ยง ย่อมมีอันแตกดับสลายไปทั้งสิน
    กายที่ห่อหุ้มด้วยหนังภายในหนังมีเลือดเนื้อ 
    เอ็น หนัง กระดูก หัวใจ ปอด ม้าม ลำใส้เล็ก
    ลำใส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ลำใส้ที่ใช้สำหรับ
    ถ่ายมูล น้ำมูก น้ำลาย ฯลฯ อันไม่จีรัง จะ
    แปรเปลี่ยนไปเสมอ ขน หนัง เล็บ ใบหน้า
    ร่างกายเราจะเหี่ยวย่นหาความสวยงามไม่ได้
    เลย จะแปรเปลี่่ยนไปตลอดเวลา เวลาตาย
    วันหนึ่งสองวัีน สามวันร่างที่เรารักก็จะเน่าเปื่อย
    หมดสภาพความสวยงามทั้งสิ้น คุณจะรักไหม
    หากร่างกายสาวที่คุณรักมีอาการเน่าเปื่อย
    พุพองน้ำเหลืองไหลเยิ้มไปทั้งร่างกาย ทุก
    อย่างจะส่งกลิ่นเหม็น เหม็นกว่าสัตว์ต่างๆ
    ที่ตายไปเสียอีก  จะซูบซีดเหลือแต่หนังหุ้ม
    กระดูก ตาจะกลวงโบ๋ว ลิ้นจะจุกปาก สิ่งเหล่า
    นี้จะเกิดขึ้นแก่ทุกๆคนไม่ว่าหญิงนั้นจะสวย
    เพียงใดในที่สุดก็จะเป็นเช่นนี้
             คุณนึกถึงรูปร่างเขาแล้วลองเอามาทำ
    ให้เป็นอย่างนี้ มีสภาพเน่าเปื่อยหน้าตาซูบ
    เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกดวงตาหายไปกลวง
    โบ๋ว ร่างกายเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เนื้อหาย
    ไปละลายเป็นน้ำเหลืองน้ำหนองเหม็นคลุ้ง
    ไปหมด  ให้นึกสาวที่คุณว่ารักมากๆ หากเป็น
    อย่างนี้คุณจะกอดได้หรือไม่  สัตว์หรือมนุึษย์
    ก็จะเหมือนๆกัน   หรือหากนึกไม่ออกให้ไป
    ที่วัดหาพวกสัปเหร่อขอให้เขาช่วยเปิดโลง
    ศพที่เป็นหญิงสาวที่เขาจะเก็บไว้ในกุดังเพื่อ
    รอเผา   แล้วคุณมองลงไปในโลงศพก็จะ
    พบแล้วนำมาเปรียบเทียบกับแฟนคุณที่
    คุึณว่ารักมากที่สุึดยอมตายแทนได้ หาก
    เขาเป็นเช่นนี้เราจะทำได้หรือไม่ให้พิจารณา
    ตามความเป็นจริง เล่าให้สัปเหร่อฟังหรือ
    อนุึเคราะห์เงินสักก้อนหนึ่งให้เขาก็ได้ แล้ว
    เอามานั่งพิจารณาเปรียบเทียบก็แล้วกัน
            มีทางนี้นี่แหละที่จะทำให้ืคุณปล่อยวาง
    ลงได้  เอาละขอให้คุณโชคดี ทำใจเสียเถิด
            รักเสมอ
    
            16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เอื้องอังกูร

    21 ธันวาคม 2555 11:49 น. - comment id 131395

    ขอบพระคุณมากครับ
       ผมรู้สึกโล่งบ้างแล้วครับ...ต่อแต่นี้ผมจะลุก
    ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง..ผมจะพยายามครับ..ผมจะ
    ทำเพื่อคนที่ผมรักสุดใจคือลูก...ผมจะเปนคนที่เข้มแข็ง..เปนวีรบึรุษของลูก..
        ส่วนแฟนผมเธอเปนคนดีนะครับ...ดีมาก
    จนผมขาดเธอไม่ได้..แตที่ท่านบอกนะครับ
    อย่ายึดมั่นถือมั่นว่าเปนของเรา...
       อย่าครอบครองเพราะทุกอย่างไม่ใช่ของเรา
    วันหนึ่งต้องจากกัน..ไม่จากเปนก็จากตาย.
    มันเปนสัจจะธรรม...
        ผมคงตอ้งใช้ความพยายามอีกมากในการที่
    จะปล่อยวาง...แต่คงจะไม่ยากเกินไช่ใหมครับ....
         มันทรมานเจียนตายก้อต้องอดทนและพยายาม...ตอนนี้ผมเริ่มผ่อนคลายๆๆๆๆๆ
    อนุสติที่ท่านบอกจะคอยตอกย้ำถึงความไม่
    แน่นอนของชีวิตครับ
       ขอบุณและขอบคุณอีกครั้งครับ
  • แก้วประเสริฐ

    21 ธันวาคม 2555 14:42 น. - comment id 131396

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
         ผมก็ขอแสดงความดีใจด้วย คนเรานะ
    ควรจะมีหลักธรรมยึดเหนี่ยวจิตใจเราบ้าง
    ไม่มากก็น้อย เอาอย่างนี้ซิครับ หมั่นนึก
    ถึงอยู่เสมอไม่ว่าอะไรจะเกิดหรือไม่เกิด
    คือ  สิ่งใดเกิด  ก็ย่อมตั้งอยู่ เมื่อตัุ้งอยูื่ไม่
    นานก็ต้องสูญสลายดับไป ทางศาสนาพุทธ
    บ่งบอกว่าอย่าประมาท อนิจจัง ทุกขัง และ
    อนัตตา ย่อมคู่อยู่กับโลกนี้เสมอ
           เมื่อคุณสบายใจผมก็ดีใจด้วยในฐานะ
    ที่เรารักกันครับ รักคนที่เขารักเราดีกว่า
    นี่เป็นสุภาษิตโบราณครับ สวยรวยกินไม่
    ได้แต่คนไม่สวยไม่รวยน้ำใจประเสริฐเป็น
    กุลสตรีนี่แหละกินได้ครับ เท่านี้นะครับ
    รักเสมอ
    
                16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เอื้องอังกูร

    21 ธันวาคม 2555 16:06 น. - comment id 131397

    ครับผม....ซึ้งใจผมครับ...ผมจะต้องผ่านมันไปให้ได้ครับ
         ไม่ว่ามันจะยากเย็นแสนเข็ญ ก็ตาม
    คำสอนของท่านผมจะจำเปนสรณะ..และ
    มุ่งมั่น..เจริญพรหมวิหาร คื่อ
    เมตตาต่อเขา  กรุณา  และมุทิตา ยินดีกับเขา
    และคงใช้อุเบกขา...ครับ  มันยากมากนะครับ
    แต่ผมจะพยามยามครับ
    36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    21 ธันวาคม 2555 16:18 น. - comment id 131398

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
         ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะง่ายดายนักหรอก
    ทุกอย่างจะต้องผ่านจากยากมาหาสบาย
    แหละ นอกเว้นเสียแต่เราจะปฏิบัติจนได้
    ผลสมบูรณ์นั่นแหละถึงจะง่าย อุปมาดัง
    การเรียนหนังสือก็เหมือนกัน ชั้นต่ำก็ว่า
    ชั้นสูงกว่ายาก พอไปชั้นสูงก็ว่ามหาวิทยาลัย
    ยาก ผ่านมหาวิทยาลัยจนถึงดร.การทำงาน
    ก็ว่ายาก เมือลงมือปฏิบัติไปแล้วสักพัก
    จนชำนาญนั่นแหละถึงว่าง่าย
           เปรียบดังเรื่องของคุณอย่าไปวางเสีย
    หัดไว้จนให้เกิดความชำนาญ สิ่งนั้นก็จะ
    ง่ายสำหรับเราเองแหละ ขอให้โชคดีนะ
    รักมากเสมอ
    
                         16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    22 ธันวาคม 2555 14:27 น. - comment id 131401

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
           เอาเวปฯนี้ไปเปิดดูอ่านแล้วพิจารณาด้วย
    ก็จะดีครับ
    
                     16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    22 ธันวาคม 2555 14:29 น. - comment id 131402

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
            โทษทีครับผมลืมให้เวปฯไปครับ
    
    http://www.youtube.com/watch?v=Wyp_euqJKQk&feature=related
    
    เป็นภาษาอินเดียครับสวดไพเราะมากๆครับ
    
                      16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    22 ธันวาคม 2555 15:02 น. - comment id 131403

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
           ผมนำเอามหาสติปัฏฐานสี่มาให้ฟังและ
    พิจารณานะครับ ดังนี้
    
     http://www.youtube.com/watch?v=70cgMDBOa90&feature=related
    
    เพื่อดับสิ่งที่เป็นทุกข์ของท่านนะครับ
    
                   16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • แก้วประเสริฐ

    22 ธันวาคม 2555 15:24 น. - comment id 131405

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
          แม้จะยาวแต่ด้วยสาระอันมีประโยชน์
    หาคุณค่ามิได้ แม้แต่พระเทสน์ก็มิได้ดังนี้
    จงพยายามตั้งใจฟัง น้อมกายใจรับฟัง
          ทุกข์ท่านก็จะทุเลาหายไปแล
    
                    16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เอื้องอังกูร

    24 ธันวาคม 2555 13:13 น. - comment id 131423

    ขอบคุณมากครับ16.gif36.gif
  • แก้วประเสริฐ

    24 ธันวาคม 2555 13:57 น. - comment id 131424

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
           ไม่เป็นไรครับ รู้อะไรก็บอกให้ครับ รักเสมอ
    
                              16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน