* แดนพิศวง ตอน ๑๗ *

แก้วประเสริฐ


                   แดนพิศวง ๑๗
                 (สัตว์เหนือมนุษย์)
   ชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าของสินธุ  ด้วยอาการแปลกประหลาด
ในการกระทำของเขา  แน่ล่ะใครจะคิดบ้างว่าเขาสามารถเดินเหินไป
ในอากาศได้  ด้วยเขามิได้แสดงอาการหรือบอกสิ่งใดๆแก่สินธุเลย
ย่อมเป็นธรรมดา   ชายหนุ่มหลังจากลอยลงมาตรงหน้าชายกลางคน
ที่ร่างกำยำลำสันด้วยกล้ามเนื้อ ข้อลำแขนเป็นมัดๆด้วยกล้ามเนื้ออันแข็งแกร่งพลางยื่นมือไปตบบนไหล่ เอ่ยขึ้นว่า
        “สินธุ ที่เราไม่บอกให้ทราบแต่แรกเพราะเราไม่ต้องการให้รู้
เกรงจะทำความตกใจให้แก่เจ้า แต่บัดนี้เหตุการณ์มันไม่ปกติธรรมดา
จึงได้ใช้อำนาจแห่งพลังงานที่เราสะสมไว้ในร่างกายแผ่ขยายไปสู่ยัง
ส่วนต่างๆของร่างกาย ประดุจที่เจ้าสามารถย่นย่อกระดูกได้ฉันท์ใด
ก็เหมือนกันแหละ อย่าแปลกใจไปเลย อำนาจพลังงานลี้ลับนี้เราได้
สะสมไว้เมื่อแผ่ขยายไปยังเท้าทั้งสองและร่างกาย จะแปรสภาพเป็น
อย่างใดก็ได้ เราเพียงใช้กระแสร์จิตบังคับพลังงานที่เรามีอยู่ให้
ร่างกายเราเบาประดุจดังนก จึงสามารถร่อนเหินไปในอากาศได้”
      “นั่นซินายท่าน ข้าเองก็คิดไม่ถึงตอนต้นระหว่างการสู้รบก็ไม่ได้
สังเกตุอะไรมากนัก เพราะพัวพันกับบรรดาสัตว์เหล่านี้  มันแปลก
นายก่อนที่ข้าจะออกจากหุบเขานี้ หาได้มีพวกสัตว์เหล่านี้ไม่ หลังไม่
กี่สิบปีเท่านั้น ตอนนั้นข้าออกมาก็ยังหนุ่มๆอยู่พอกลับมาก็มี
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ทำให้ข้าเป็นห่วงบรรดาพวกพ้อง ทั้งหลาย
ของข้ายิ่งนัก ว่าจะประสบเหตุเช่นเดียวกับพวกเราหรือไม่???”
     “ถ้าเป็นเหตุดังนี้ เราทั้งหมดรีบออกเดินทางไปยังที่พักท่านเถอะ
อย่ารอช้าเลย เราชักสังหรณ์ใจว่าในเมื่อท่านตอนมากับตอนนี้แตก
ต่างกัน ย่อมจะมีเหตุร้ายมากกว่าเหตุดีเป็นแน่แท้”
    “นั่นซินาย  เพียงเรารีบเดินทางก่อนตะวันจะตกดินอาจจะทราบ
เหตุการณ์ที่เราสงสัยได้ เรารีบไปกันเถอะนาย”
            และแล้วทั้งหมดก็เริ่มออกเดินทาง อากาศซึ่งหนาวเย็นเริ่มเย็น
ขึ้นตามลำดับในระยางที่ทั้งสองฝ่าออกไป ด้วยทางเดินนั้นขาดช่วง
ไปจึงจำเป็นต้องใช้อาวุธเบิกทางบรรดาต้นไม้ที่เล็กเสียก่อน   แต่
สินธุชำนาญในเรื่องนี้เพียง  เขาหยุดคิดเพ่งมองไปยังรอบๆเท่านั้น
ก็นำชายหนุ่มลัดป่าฝ่าดงไปยัง เขาเบื้องหน้า  ทั้งสองรีบออกเดิน
เพราะกลัวว่าจะมืดค่ำเสียก่อน  จะมีอุปสรรคอันตรายที่จะเกิดขึ้น
เมื่อไหร่ก็ได้ ชายหนุ่มคิดและรีบก้าวติดตามหลังสินธุไปติดๆ
         เมื่อทั้งสองหลุดพ้นแนวป่าก็เป็นทางขรุขระทอดเป็นทางไป
ทั้งสองข้างยังเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และต้นเล็กซึ่งมีขนาดเลยหัว
เขาไปไม่เท่าไหร่นัก  ทันใดนั้นเสียงหวีดหวิวดังขึ้นคล้ายๆกับเสียง
เป่าของสิ่งของชนิดใดชนิดหนึ่งดังแผ่วก้องกังวานขึ้น  สินธุหยุด
ชะงัก  พลางล้วงไปในย่ามนำสิ่งของชนิดหนึ่งขนาดยาวเท่าฝ่ามือได้
ออกมาแล้วเป่า  เสียงหวิดหวิวก้องกังวานเป็นระยะๆหนักเบา
ต่างๆกัน   เสียงเป่าที่ได้ยินเงียบหายไปพร้อมกับความมืดได้ปกคลุม
เข้ามาแล้ว   ทางนี้ลาดไปยังเนินเขาลูกหนึ่งก็มืดพอดี แต่สินธุพลาง
ล้วงไปในย่ามหยิงประชุไฟออกมาแล้วจุดส่องเพื่อขจัดความมืด
ที่ปกคลุม  จึงเห็นเป็นทางเลือนลางทั้งหมดรีบก้าวเท้าเดินอย่างเร็ว
        บัดดลนั้นที่เนินเขาปรากฏแสงคบเพลิงที่ถูกจุดเป็นจำนวนมาก
แต่เว้นระยะห่างๆกัน  ชายหนุ่มมองเห็นหนุ่มสาวในอริยบถต่างๆกัน
และเขาแลไปยังสินธุ   เห็นชายที่เต็มใจมาเป็นบ่าวเขา  ก็ก้าวเดินไป
ยังคนเหล่านั้นต่างส่งภาษากันและกัน ชายหนุ่มฟังออกแต่เขาทำเป็น
ไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งสินธุเดินมาถึงเขาแล้วกล่าวขึ้น
     “นายๆพวกข้ามาแล้วล่ะ จริงอย่างนายกล่าวไม่มีผิดเพราะเขา
เหล่านี้ว่า หลังจากไม่กี่ปีนี้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เกิดกระแส
ลมหมุนเวียนมาจากยอดเขาฝั่งโน้น  พลางชี้มือทำท่าประกอบให้เขา
เห็น  เมื่อเกิดเหตุการณ์ ก็เกิดพายุและฝนกระหน่ำ  พืชไม้ต่างๆเมื่อ
ต้องรังษีที่พวยพุ่งออกมาจากฟ้า  ก็แปรสภาพดังที่พวกเราเห็นนี่
แหละ  แต่เขาบอกว่าเดี๋ยวนี้หมู่บ้านไม่มีแล้ว เพราะเกิดสัตว์
ประหลาดมากมายหลายชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเข้ามารบกวนและ
ทำร้ายกินชาวบ้านเป็นส่วนใหญ่ จนต้องพากันอพยบ   ไปอาศัยยัง
เทือกเขาเบื้องหน้า  ซึ่งเป็นถ้ำพออาศัยอยู่ได้  เมื่อไม่นานมานี้แหละ
นายท่าน อ้อๆๆเขาเหล่านี้ยังบอกว่ามีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง ซึ่ง
มันร้ายกาจมาก ชอบเข้ามาทำร้ายอยู่เป็นเนื่องๆ  กำลังหาทางพิฆาต
มันอยู่   ก็พอดีได้ยินเสียงการต่อสู้จึงยกกำลังมาตรวจดูเหตุการณ์
คือการต่อสู้ของพวกเรานั่นเอง  แต่พวกเขาไปยังไม่ถึงที่เราต่อสู้กับ
สัตว์ประหลาด  ก็มีสัตว์สี่ขาจำนวนมากออกมาและอาวุธของพวก
เขาไม่สามารถทำอันตรายแก่สัตว์นี้ได้ จึงต้องรีบนำคนเข้าไปยังถ้ำ
แล้วปิดปากถ้ำเสียนาย”
         “ก็แสดงว่าพวกนี้เป็นคนในหมู่บ้านเจ้าหรือสินธุ”
         “ใช่แล้วนาย ไปเถอะเดี๋ยวข้าจะแนะนำให้รู้จักกับนายท่าน”
          “ถ้าอย่างนั้นท่านรีบนำหน้าไปเถอะนะ  ให้ไปคุยกันใน
สถานที่ของเขาก็แล้วกัน”
         สินธุหันไปป้องปากตะโกนบอกคนเหล่านั้นให้รอก่อนจะไป
หาด้วยภาษาของเขา   สักครูหนึ่งก่อนที่ทั้งหมดจะออกเดินทางก็มี
คบเพลิงสามคบ พุ่งมายังตำแหน่งที่คนทั้งสองยืนอยู่อย่างรวดเร็ว
           ชายหนุ่มเพ่งตาดูฝ่าแสงไฟ เห็นเป็นชายหนึ่งหญิงสอง แต่
ทั้งสองมือหนึ่งถือคบเพลิง อีกมือหนึ่งถืออาวุธแต่เป็นอาวุธโบราณ
ไหล่ทั้งสองข้างของหญิงสพายคันธนูและกระบอกลูกธนู
ส่วนชายหนุ่มกลับพกหน้าไม้อันใหญ่พอประมาณเหน็บที่เอวพร้อม
แท่งกระบอกยาวๆเสียบยังเบื้องหลังคู่กับหน้าไม้นี้  ในมือถือดาบ
โบราณเช่นเดียวกัน
         เมื่อทั้งสามมาถึงมาถึงก็น้อมกายคาราวะสินธุทันที และหันมา
มองทางชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ  สินธุเห็นเช่นนั้นพลางหัวร่อ
หันไปบอกแก่คนทั้งสาม
     “เจ้าทั้งสามไว้ไปถึงถ้ำก่อนแล้วเราจะแนะนำนายของเราให้เจ้า
ได้รู้จักฝากเนื้อฝากตัวเป็นบ่าวรับใช้ท่านด้วย”
    “นายสำคัญมากกับนายถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
      หนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่มากเอ่ยกลับสินธุ  
  สินธุหันไปมองพลางหัวร่อ  และเดินไปตบไหลที่คุกเข่าอยู่พลาง
กล่าวว่า
     “เจ้ากุลาเอ๋ย  หากเขาไม่มีความสำคัญจะมาเป็นนายข้าได้อย่างไร
กันเล่า  ด้วยคนอย่างข้าพวกเจ้าก็รู้อยู่ว่าเป็นคนอย่างไร”
     “นั่นนะซินาย ข้าถึงสงสัยยิ่งนัก???...”
     “ไว้ไปที่พักก่อนแล้วข้าจะบอกให้ นี่ก็มืดแล้วไม่สะดวกหรอก”
     “ถ้าอย่างนั้นขอเชิญนายทั้งสองตามพวกข้ามา”
    เมื่อหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ลุกขึ้น  ชายหนุ่มก็ให้รู้สึกแปลกใจเพราะ
ร่างของสินธุซึ่งมีขนาดไล่เลี่ยกับเขา สูงยังไม่ถึงหัวไหล่ของเจ้ากุลา
แต่ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไร เพราะสถานที่ไม่น่าปลอดภัยนัก เมื่อได้
ยินพวกของเจ้าสินธุบอกว่ามีสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งกำลังจะปอง
ร้ายพวกมัน  หากเป็นเวลาค่ำมืดเช่นนี้เห็นว่าจะไม่ถนัดนัก  ก็รีบตาม
เจ้าสินธุที่เดินก้าวนำหน้าไปพร้อมกับ  ชายร่างยักษ์และหญิงทั้งสอง
ทันที   พอเดินไปถึงเนินเขาซึ่งเป็นแนวผา   ชายร่างยักษ์ก็หันไปป้อง
ปากบอกแก่พรรคพวก   ก็ปรากฏบรรดาชายหนุ่มและหญิงสาวผู้เฒ่า
ที่เป็นชาย  เดินเข้ามาพร้อมคบเพลิง  และต่างน้อมคาราวะเจ้าสินธุ
    “พวกเจ้านำทางไปยังที่อยู่ใหม่ได้แล้วนี่ก็มืดมาก เกรงจะไม่
ปลอดภัยแก่พวกเราหากสัตว์ที่พวกเจ้ากล่าวมันออกมา”
    คนทั้งหมดพยักหน้า และรีบเดินเป็นแถวทอดยาวกะได้ประมาณ
เกือบสิบคน มุ่งหน้าไปยังภูเขาลูกข้างหน้าที่ใกล้เคียง  สักพักหนึ่ง
ทั้งหมดก็มาถึงปากถ้ำที่คนพอจะเล็ดลอดเข้าไปได้ ที่หน้าปากถ้ำมี
ชายหนุ่มสองนาย ยืนถืออาวุธเฝ้าอยู่  คบเพลิงต่างจุดปักไว้ริมหน้า
ถ้ำทั้งสองด้าน  ทั้งหมดที่เดินล่วงหน้านำทางก็สนทนากับผู้รักษา
หน้าถ้ำเล็กน้อย  แล้วหันมาทางสินธุพลางเอ่ยขึ้น
       “นายท่าน  เข้ามาในถ้ำกันเถอะ  ข้างในกว้างขวางมากและ
ยังมีหลีบถ้ำอีกมากมายใช้สำหรับพักผ่อนของพวกเรา”
     สินธุหันหลังมากล่าวกลับชายหนุ่มทันที
    “นายท่านเชิญเข้าไปในถ้ำก่อนแล้วค่อยปรึกษากันอีกที”
      ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรพลางผายมือให้สินธุนำทาง  ดังนั้นคน
ทั้งหมดก็ทะยอยเข้าไปในถ้ำ   ชายหนุ่มสังเกตุว่ามีบรรดาคนอีก
นับมากมายคเนไม่ต่ำกว่าร้อยคนเห็นจะได้ต่างพากันออกจากหลีบ
มายืนมอง  ครั้นเห็นเจ้าสินธุ ทั้งหมดต่างคุกเข่าลงพลางกล่าวภาษา
ซึ่งแสดงถึงความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่ง   เห็นสินธุเดินไปยังลาน
ของถ้ำซึ่งมีโต๊ะหินที่พวกเขานำมาประกอบเป็นโต๊ะและเก้าอีกเพื่อ
ใช้เป็นที่หารือกัน  เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมแต่ยาวประมาณ ห้าเมตรเห็น
จะได้  บนโต๊ะมีผลไม้ต่างๆวางเรียงราย  สินธุหันมาทางชายหนุ่ม
เชิญให้ไปนั่งที่เก้าอี้ก่อน แล้วหันไปประกาศยังหมู่เหล่านี้ว่า
    “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  พลางชี้มือไปทางชายหนุ่มเขาคือนาย
ของพวกเรา  คำสั่งทุกๆคำสั่งห้ามมีการฝ่าฝืนเป็นอันขาดมิฉะนั้น
จะต้องถูกดำเนินความผิดตามกฏของพวกเราทันที”
     เมื่อกล่าวจบพลางคุกเข่าลงเบื้องหน้าชายหนุ่ม  พวกในนี้ต่าง
พากันงุนงง แต่มิได้เอ่ยปากแต่ประการใด พลางเปล่งเสียงโห่ร้องพร้อมกับก้มศึรษะลงทั้งหมด แสดงถึงความนอบน้อมอย่างสูง
      ชายหนุ่มรีบยืนขึ้นพลางโบกมือและส่งเสียงภาษาของชนเหล่านี้
ให้หยุด  ยิ่งสร้างความงุนงงแก่ชาวเหล่านี้ยิ่งขึ้น ไม่เพียงแต่คนเหล่านี้
แม้แต่สินธุเองก็เหมือนกัน ด้วยคิดไม่ถึงว่านายของเขาสามารถพูด
ภาษาของพวกเขาได้อีกด้วย และได้ดี  เมื่อเห็นเช่นนั้นสินธุก็
เรียกบรรดาหัวหน้าให้เข้ามา  มีผู้เฒ่าโมละ  กุลา คิยะ และภาคี ต่างมา
ยืนยังเบื้องหน้าของสินธุ   เมื่อเห็นเช่นนั้นก็แนะนำให้ชายหนุ่ม
รู้จัก พลางชี้ไปเรียงตัว ตั้งแต่ผู้เฒ่าว่าชื่อ โมละ หนุ่มร่างยักษ์ชื่อกุลา
สาวสวยงามหยดย้อยทั้งใบหน้าและรูปร่าง กำยำแบบหญิง
ทะมัดทะแมง ซ้ายมือที่ไว้ผมตัดชื่อ คิยะ และสาวผมยาวสลวยชื่อ
ภาคี  เมื่อแนะนำเรียบร้อยแล้ว สินธุก็หันไปยังเหล่าชนเหล่านี้ให้
นำอาหารเครื่องดื่มอันมีน้ำเย็นมาตอนรับนายใหม่ด้วย
          พลางสินธุหันมาทางชายหนุ่มพลางเอ่ยว่า
   “นายท่าน  ท่านจะดูการฟ้อนรำของพวกเราหรือไม่”
   “ไม่ต้องหรอกสินธุ  เพราะเรายังมีงานที่จะต้องทำอีก ท่านลืม
ไปแล้วหรือที่เขาบอกว่ายังมีสัตว์ประหลาด ข้าเองยังไม่รู้ว่ามันมี
ลักษณะอย่างไร  ไหนๆให้คนรู้บอกแก่ข้าด้วยเถิด”
    “ได้นายท่าน เดี๋ยวข้าจะให้ท่านผู้เฒ่า โมละ  ซึ่งเป็นผู้รอบรู้บรรดา
สิ่งทั้งหลายเป็นคนแจ้งแก่นายท่านก็แล้วกัน”
    “ดีล่ะเราทานอาหารดื่มกินแล้วคุยกันไปพลางก็ได้”
  พลางหันมาทางท่านผู้เฒ่าพลางยกมือพนมระหว่างอกคาราวะแก่ผู้
เฒ่าพร้อมทั้งกล่าวว่า
    “ขอเชิญท่านผู้เฒ่ากรุณาบอกลักษณะของสัตว์ร้ายแก่ข้าด้วยเถิด
ให้แจ้งให้อย่างละเอียดนะท่าน”
    “ได้ซินายท่าน  มันเป็นสัตว์ประหลาดคล้ายคางคกแต่มีหางยาว 
พวกเราเข้าไปต่อสู้กับพวกมันและเสียชีวิตไปเป็นอาหารแก่มันมาก
มันมีหนังคล้ายคางคกและจะมีเมือกสีขาวๆออกเหลือง ยางที่ออกมา
ส่งกลิ่นเหม็นมากนัก ไม่เฉพาะกลิ่นเท่านั้น มันยังยืดออกยาวได้อีก
ด้วยหนังมันเป็นเกล็ดๆ ใช้แทนมือขามันเชียวล่ะ  เมื่อใครโดนกลิ่น
หรือยางมันจับได้จะถูกส่งไปให้มือมันเข้าปากเคี้ยวกัดกินจนตาย แต่
เรื่องกลิ่นนี้พวกเราไม่กลัว กลัวแต่ยางมันที่ยืดหดได้เหมือนมือไม่ผิด
ซ้ำมันจะสามารถพ่นควันสีขาวเป็นประกายเพลิงทั้งกลิ่นออกมาอีก
ด้วย หางมันคล้ายๆกับหางจรเข้แต่ร้ายกาจกว่ามันฟาดและทิ่มแทงได้
และที่สำคัญมันหาได้มีแค่ตัวเดียวไม่ มันมีเป็นฝูงจำนวนมาก ลำพัง
ตัวเดียวก็ยากแล้วที่จะเข่นฆ่ามัน เพราะทุกส่วนมันอาวุธฝ่ายเราไม่
สามารถทำอันตรายใดๆแก่มัน ได้นอกจากไฟเท่านั้นไหนเลยจะหา
ไฟได้จำนวนมากที่จะทำลายมันที่ข้าผจญและต่อสู้กับมันมาก็เห็นมี
เพียงแค่นี้แหละนาย  นายดูซิแขนข้าไหม้เกรียมก็เพราะยางมันนี่
แหละที่ไปโดนมันจับอาศัยที่ข้าเอาไฟคบไปจี้มันถึงได้หลุดรอด
ออกมาได้จึงรู้ว่ามันกลัวไฟนี่แหละนาย”
     พลางผู้เฒ่าก็ยื่นแขนที่ไหม้เกรียมตกสะเก็ดไม่ยอมหายให้
ชายหนุ่มดู   ครั้นชายหนุ่มได้ยินเรื่องและเห็นบาดแผลเช่นนี้ก็ตลึง
โดยไม่คิดว่ามันจะร้ายกาจขนาดนี้  แต่นึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น
   “สินธุหลังปรึกษากันแล้วข้าเชื่อว่าท่านสามารถรักษาแผลเหล่านี้
ให้แก่ท่านผู้เฒ่าได้อย่างแน่นอนด้วยสมุนไพรที่ท่านมีหลากหลาย”
       แล้วเขาก็หันหน้าไปทางผู้เฒ่าโมละแล้วเอ่ยขึ้น
    “แล้วพวกมันอยู่ที่ไหนหรือท่านผู้เฒ่า”
   “พวกมันอาศัยที่บึงเลยจากที่เขานี้ออกไปประมาณลูกหนึ่ง แต่มัน
ร่างกายใหญ่โตก็จริงแต่มันปราดเปรียวยิ่งนัก มันกระโดดครั้งเดียว
ไปได้ไกล  มันจึงมารุกรานพวกเราได้นายท่าน”
      “แล้วเจ้าทั้งสามล่ะมีความคิดเห็นอย่างไร หรือว่าต้องคอยหลบ
ซ่อนอยู่แบบนี้ตลอดไป”
     “ข้าเองก็ยังไม่รู้เลยนายท่าน เพราะต่อสู้กับพวกมัน ฝ่ายเรามีแต่
ตายลง ไม่เคยทำอันตรายมันได้เลยแค่เพียงบาดเจ็บเท่านั้น”
   หญิงสาวนามคิยะเอ่ยตอบ
   “จริงจ๊ะนาย ขนาดกุลาที่มีร่างกายใหญ่โตกำลังมหาศาลยังต่อกร
พวกมันไม่ได้เลย  นอกจากพวกเราจะช่วยกันแอบไปหาฟืนและยาง
น้ำมันมาทำคบเพลิงไว้จำนวนมากเท่านั้น  มันเคยมาครั้งหนึ่งแต่ทาง
เราช่วยกันก่อกองไฟวางไว้หน้าถ้ำ ดีแต่ว่าลมควันที่เขามาเรามีที่
ระบายอากาศธรรมชาติที่อยู่ภายในหลีบ ช่วยระบายดูควันออกไปให้
มิฉะนั้นพวกเราคงโดนควันลมตายเป็นแน่แท้จ๊ะนาย”
    หญิงผมสลวยยาวเอ่ยขึ้นบ้าง
   ชายหนุ่มได้รับฟังดังนั้นก็อึ้งไป  พลางยกน้ำขึ้นดื่มและใช้ความคิด
หาหนทางที่จะกำจัดมันให้ได้ แต่ยังคิดไม่ออกว่าเป็นวิธีการใดดี
   พลางนึกถึงตำราต่างๆก็ไม่เห็นมีสัตว์ประเภทนี้อยู่ในตำราเลยครั้น
แลเห็นสินธุจะกล่าว  เขารีบยกมือขึ้นห้าม พลางเอ่ยว่า
    “ขอข้าคิดหาหนทางดูก่อน แต่ตอนนี้สินธุบอกให้พวกเราเตรียม
ตัวและเตรียมไฟไว้ให้พร้อม   หากข้าคิดได้จะแจ้งให้ทราบอีกทีหนึ่ง
 อ้อๆๆๆ???.ท่านโมละผู้เฒ่า แล้วสัตว์ประเภทนี้แปลกจริงมันจะออก
หากินเวลาใดหรือท่าน”
     “มันจะออกมาหากินในเวลาจวนพลบค่ำๆและในเวลามีพายุฝน
เท่านั้นนายท่าน  ส่วนเวลาอื่นยังไม่เห็นมันออกมาเลย หรือว่ามันเมื่อ
ปราศจากความชื้นทำให้หนังมันทนทานต่อดินฟ้าอากาศที่ร้อนอบ
อ้าวไม่ได้นายท่าน”
    “อืมม!!!!มีส่วนเหมือนกันท่านผู้เฒ่ามิฉะนั้นใยเล่า ในเวลา
อากาศที่ร้อนอบอ้าวมันจะไม่ออกหากิน ต้องคอยเวลาอากาศชื้น
และต้องมีฝนด้วย ข้อนี้ข้าก็คิดเหมือนท่านเพียงแต่ถามเพื่อให้แน่
ใจเท่านั้น ดีที่ท่านบอกเสียก่อนเรื่องปลีกย่อยเช่นนี้  ข้าคิดว่ามัน
ต้องมีหนทางทำลายสัตว์นี้ได้อยู่ เพียงแต่ยังหาทางมิได้เท่านั้น
ข้าขอเวลาคิดสักคืนหนึ่งก่อน  แล้วจะแจ้งให้พวกท่านทราบอีกที
   อ้อๆๆๆ...สินธุช่วยเป็นภาระหาที่พักผ่อนให้แก่ข้าด้วยไม่จำเป็น
ต้องกว้างขวาง เป็นที่จำกัดไม่เล็กจนเกินไปเท่านั้น  ข้าจะได้นั่งสมาธิ
ค้นหาคำตอบให้ได้ในคืนนี้นะ”
   “เรื่องนี้นายท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  ก่อนที่นายท่านจะเอ่ยข้าได้
สั่งเด็กๆเตรียมที่พักไว้ให้นายท่านเรียบร้อยแล้ว  นายท่านจะพักผ่อน
เมื่อใดบอกแก่ข้าได้เลย  เอาอย่างนี้ดีกว่า เจ้าคิยะและภาคี เจ้าให้มี
หน้าที่คอยปรนนิบัตินายท่าน ด้วยเป็นหญิงย่อมทราบรายละเอียด
เรื่องนี้ดีกว่าพวกผู้ชาย”
    “เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอกนายสินธุ  ข้าจะปรนนิบัติรับใช้นายใหญ่
จนสุดความสามารถแหละ”
      ทั้งสองเอ่ยขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน............................
                      “ แก้วประเสริฐ.”

76.gif				
comments powered by Disqus
  • เอื้องอังกูร

    12 กันยายน 2555 15:10 น. - comment id 130284

    ว่างจากงาน...มาหาความสำราญกับ แดนพิศวง...
       สนุก..เข้า..ตามลำดับครับ...ขอบคุณมากครับ16.gif36.gif29.gif
  • แก้วประเสริฐ

    12 กันยายน 2555 19:35 น. - comment id 130285

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เอื้องอังกูร
    
             ครับจะค่อยทะยอยให้ความสุขผู้อ่านครับ
    แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งเป็นไปได้ก็ตาม อย่าคิดมาก
    คิดว่าสนุกๆก็พอครับ รักเสมอ
    
                   16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif
  • เพียงพลิ้ว

    13 กันยายน 2555 14:17 น. - comment id 130292

    
    มาผจญภัยไปกับคุณลุงค่ะ
    
    36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif36.gif1.gif
  • แก้วประเสริฐ

    13 กันยายน 2555 14:43 น. - comment id 130294

    36.gif16.gif36.gif
    คุณ เพียงพลิ้ว
    
             เรื่อยๆมาเรียงๆนกบินเอียงเพราะปีกทู่  ไป
    เรื่อยๆแหละหลานฝึกสมองดีเน๊อะ โม้สะบัดข่อๆ
             รักหลานเรามากเสมอ
    
               16.gifแก้วประเสริฐ.16.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน