* แดนพิศวง ๑๑ * (กำหนดทิศทาง) หลังจากที่คณะโบราณคดีได้กลับไปแล้วพร้อมด้วยพี่ชายเขา แม่ม่อมกำลัง สั่งการให้บรรดาเด็กรับใช้เก็บสัมภาระที่บนโต๊ะอยู่ เป็นระหว่างที่ชายหนุ่ม กำลังครุ่นคิดหาทางจะออกเดินทางไปยังดินแดนลี้ลับ เขาเองยังไม่ทราบว่าจะ เริ่มต้นจากที่ใดดี ส่วนพวกนักโบราณคดีนั้นเขาทราบแล้วว่าต้องออกเดินทาง ไปค้นหาหลักฐานต่างๆแน่นอน ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆเพราะรู้ทางกระแสร์จิต แล้วว่าหากพวกนี้ออกเดินทางไปจะประสบเหตุการณ์ที่ทุกๆคนจะคาดไม่ถึง แน่นอน ในยามว่างเช่นนี้เขาก็ไปนำหนังสือเล่มที่สองที่บันทึกเกี่ยวกับ พลังงานต่างๆไว้ พลางพลิกหน้าไปๆมาๆก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแอบซ่อนไว้ ภายในหลังปกหนังสือนั้น ด้วยความหนาของปกหนังสือหน้าหลังไม่เท่ากัน จึงนำหนังสือทั้งสามมาเปรียบเทียบดู มีเพียงเล่มนี้เล่มเดียวเท่านั้นที่แปลก ซึ่งอาจจะมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ในนั้น พลางมองอย่างพินิจพิจารณาด้วยความ ฉงนสนเท่ห์นัก จึงหยิบหนังสือขึ้นมาส่องยังแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามาทาง หน้าต่างเขาเพื่อตรวจสอบว่าจะหาทางใดที่จะนำสิ่งนั้น ซึ่งเขาคิดว่าอาจจะมี บางสิ่งบางอย่างซ่อนเอาไว้ก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะปกหนังสือก็ราบเรียบเป็น ปกติ เพียงแต่ความหนาเท่านั้นที่ไม่เท่ากัน จึงลองไปหยิบมีมาค่อยๆแงะ รอยต่อของหนังสือ เพราะคมมีดไม่สามารถจะกรีดไปบนแผ่นกระดาษนั้นได้ เลย ทันใดสมองแว๊ปหนึ่งก็ฉุกคิดได้ว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีจะต้องใช้ พลังงานมาช่วยเสียแล้วกระมัง เนื่องจากหนังสือนี้มีความพิสดารอยู่แล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งสมาธิเร่งพลังงานในตัวเขาออกมาพร้อมลูบไปยัง ด้านในของปกหนังสือโดยใช้พลังงานดึงดูดสิ่งนั้นออกมา พลังงานดึงดูดของ เขา แผ่นว่างเปล่าปกหนังสือก็ค่อยๆนูนออกมาแล้ว กระดาษที่ซ่อนไว้ก็ทะลุ ผ่านปกหลังด้านในออกมา ชายหนุ่มดีใจมากจึงลดพลังงานลงพร้อมดึงดูด แผ่นกระดาษนั้นลอยมาในมือเขา แปลกแผ่นด้านหลังปกหนังสือก็ยังราบเรียบ เหมือนเดิม เขาพลันคลี่กระดาษแผ่นนั้นออกมาอ่านซึ่งเป็นรอยพับไว้ขนาด เท่ากับหนังสือพอดี ในข้อความระบุถึงพลังงานอำนาจจิตหรือโทรจิตสามารถ ที่จะสื่อสารไปกับสัตว์ต่างๆได้ หากรู้จักแนวทางในการใช้นั้นให้ถูกต้อง เหมาะเจาะกับภาษาสัตว์ต่างๆได้อย่างสมดุลย์กัน อาศัยพลังงานด้านโทรจิตให้ เป็นสื่อสัญญาณในการติดต่อไว้ ชายหนุ่มจึงเริ่มต้นค่อยๆฝึกซึ่งอำนาจระบุไว้ ว่าการใช้พลังงานทางด้านโทรจิตนั้นล้วนแล้วขนาดของสัตว์นั้นๆ หากใช้ เกินไปจะทำให้สัตว์นั้นถึงตายได้ ผู้ใช้จึงต้องระมัดระวังพลังงานให้สมดุลย์ เหมาะสมพอดีเท่านั้น มิอาจมากหรือน้อยไปได้ควรต้องศึกษารูปร่างอีกด้วย ดังนั้นชายหนุ่มมองกระดาษที่อยู่ในมือมีอยู่สามแผ่น แบ่งแยกขนาดปริมาตร ของบรรดาสัตว์ทั้งหลายไว้ ด้วยความดีใจเขาจึงเริ่มต้นค้นคว้าศึกษาตั้งแต่หน้า แรก เนื่องจากชายหนุ่มมีพลังงานในตัวอยู่มากมายและสามารถควบคุม พลังงานนั้นได้ด้วยตามใจนึก เพียงไม่ช้าเขาก็สามารถเข้าใจและอ่านหนังสือ เหล่านี้จนจบทั้งสามหน้า แต่ละวรรคตอนได้กำหนดขนาดของพลังงานไว้ ตามลักษณะขั้นตอนของสัตว์นั้นๆ เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ฝึกฝนจนสำเร็จ หมดสิ้น เขาค่อยๆแยกพลังงานในร่างกายเขาเก็บไว้ในส่วนต่างๆของร่างกาย เขา หากเขาต้องการใช้กับสัตว์ประเภทใด เมื่อฝึกสำเร็จแล้วก็นำกระดาษนั้น ไปวางทาบยังหลังปกหนังสือด้านหลังพลางค่อยๆใช้พลังงานส่งกระดาษที่วาง เรียงไว้แล้วถ่ายทอดพลังงานลงไปในกระดาษกับปกหลังหนังสือ กระดาษทั้ง สามแผ่นก็ค่อยๆแทรกหายไปในหนังสือเหมือนดังเดิม ชายหนุ่มนึกทบทวน วิชาโทรจิตส่งสัญญาณกับสัตว์แบ่งวาระขนาดได้อย่างแม่นยำ เพียงขาดการ จะทดลองของจริงเท่านั้น เขาจึงก้าวออกมาจากห้องเวลาก็ผ่านใกล้พลบค่ำไปแล้ว เขารำพึงในใจว่าจะ ทดลองในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าดีกว่า ด้วยช่วงนี้กับช่วงเย็นมักจะมีพวกนกต่างๆ มาในสวนหลังบ้านเขา ถึงแม้ว่าบ้านเขาจะไม่ใหญ่นักแต่ก็ปลูกต้นไม้นาๆชนิด ไว้ทั้งเล็กและใหญ่ พวกนกต่างๆมักจะมาหาอาหารกันในช่วงนี้เป็นประจำ อีกทั้ง บ้านเขาก็ไม่ห่างไกลจากท้องทะเลมากนัก ครั้นแล้วเขาก็รีบไปทาน อาหารที่ทางแม่ม่อมจัดวางไว้ ซึ่งแม่ม่อมก็ยังนั่งคอยเขาอยู่ครั้นเห็นชายหนุ่ม ออกมา ก็รีบลุกขึ้นยืนทันทีเพื่อทำหน้าที่เสริฟย์อาหาร ชายหนุ่มทดลองอ่าน ใจของแม่ม่อมว่ากำลังคิดอะไร ก็หัวร่อทันทีด้วยเป็นเรื่องส่วนตัวของแม่บ้าน เขาเองจึงไม่กล่าวอะไรให้แม่ม่อมรู้ว่าเขาอ่านจิตใจหล่อนออกเสียแล้ว ด้วย แม่บ้านเขาเมื่อรับใช้เขาเสร็จก็จะออกเดินทางไปข้างนอก เพื่อไปยังตลาดและ จะรีบไปสั่งเด็กรับใช้ให้คอยติดตามหล่อนไปด้วย พร้อมซื้อของส่วนตัวด้วย ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่กล่าวอะไรอีก รีบรับทานอาหารให้เร็วครั้นเสร็จ แล้ว ก็หันไปทางแม่ม่อมพร้อมควักเงินจากกระเป๋ามาส่งให้แม่ม่อมปึกใหญ่ เพื่อหล่อนจะได้เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อของส่วนตัวและของใช้ภายในบ้านนี้ ด้วยเขาทราบว่า แม่ม่อมกำลังกังวลเรื่องเงินที่จะไปใช้จ่ายว่าจะคงไม่พอและ ได้ของมาน้อยต้องเสียเวลา ครั้นจะเบิกเงินก็ดูกระไรอยู่ เล่นเอาแม่ม่อมสะดุ้ง เพราะชายหนุ่มเอาเงินมาส่งให้เหมือนกับจะรู้ความในใจหล่อน “เอาไปเถอะแม่ม่อม เงินที่เหลือคงจะไม่พอและอีกอย่างหนึ่งของที่แม่ม่อม ต้องการนั้นคงเกรงว่าจะไม่เพียงพอกับค่าอาหารในคราวต่อไป เงินจำนวนนี้คง จะเพียงพอนะ หากขาดเหลืออะไรไม่ต้องเกรงใจหรอกบอกได้เลย” เล่นเอาแม่ม่อมถึงกับอ้าปากค้างอะไรๆช่างเหมาะเจาะเช่นนี้ คุณชายรู้ได้ อย่างไรกันว่าหล่อนกำลังต้องการเงินเพิ่ม “เจ้าค่ะ???...เงินขนาดนี้คงพอและจะเหลืออีกนะเจ้าค๊ะ” “ที่เหลือแม่ม่อมเก็บไว้ซื้อของใช้ส่วนตัวที่แม่ม่อมต้องการก็แล้วกัน เท่านี้นะ ผมจะออกไปเดินเล่นในสวนสักหน่อย” “เจ้าค่ะ นี่ก็เย็นมากๆแล้วควรไปดูพระอาทิตย์อัสดงมิดีหรือเจ้าค๊ะ อากาศ กำลังเย็นสบายอยู่ด้วยล่ะ” “อืมมๆๆๆๆจริงซินะ ในสวนก็คงจะมืดไป งั้นผมไปก่อนนะแม่ม่อมจะไป เดินเล่นชายหาดสักหน่อย” “เจ้าค่ะ!!!!!.....ประเดี๋ยวดิฉันจะเอานางเล็กไปข้างนอกเหมือนกัน เพราะ ตอนนี้อากาศยังไม่มืดเท่าใดนัก เป็นเวลาที่พวกแพปลาเขานำของมาขายแล้ว คุณชายจะทานอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าเจ้าค๊ะ” “ไม่หรอกจ้าแม่ม่อม ซื้อของตามใจแม่ม่อมก็แล้วกันของใช้ส่วนตัวของแม่ ม่อมด้วยนะ เดี๋ยวลืมไปเสียล่ะ” แล้วชายหนุ่มก็หัวร่อเบาๆ พลางก้าวเดินออกจากประตูบ้านไม่กล่าวอะไร อีก เล่นเอาแม่ม่อมยิ่งงงมากยิ่งขึ้น คุณชายรู้ได้อย่างไรว่าเราจะไปซื้อของใช้ ส่วนตัวที่ขาดอยู่ด้วย จึงมองไปยังร่างชายหนุ่มจนร่างลับสายตาไป ก็รีบ กระวีกระวาดเรียกเด็กรับใช้ให้มาหา เพื่อจะออกไปซื้อสิ่งของต่างๆ เช่นเดียวกัน ด้วยระยะทางไกลพอสมควรจะมืดเสียก่อน ร่างชายหนุ่มเดินทอดน่องไปตามทางครั้นถึงบริเวณชายหาดก็เดินลงไป ยังน้ำทะเล ก็แลเห็นฝูงนกนางนวลกำลังบินกันเป็นทางยาวเพื่อกลับสู่รัง จะมีบ้างบางตัวที่มุ่งหน้าหาปลากินอยู่ ชายหนุ่มใคร่จะทดลองการสื่อสาร กับสัตว์ทางโทรจิตว่าจะได้ผลประการใดบ้างด้วยพึ่งฝึกมาใหม่ๆ จึงมองไปยัง นกนางนวลที่ใกล้ที่สุด พลางเอ่ยถามทางโทรจิตทันที “เป็นอย่างไรจ๊ะแม่นก ทำไมยังไม่กลับอีกล่ะเห็นพวกๆกำลังกลับกันแล้ว” นกนางนวลสะดุ้งสุดตัวมองซ้ายแลขวาไม่เห็นใครนอกจากชายหนุ่มที่อยู่ชาย หาดเพียงคนเดียว ที่ยืนแช่น้ำอยู่จ้องมาทางแม่นกนั้น ก็หันมามองดู พลาง มองด้วยความสงสัย ว่าใครมาถามเพราะว่าพวกมันก็บินห่างไปไกลแล้ว เหลือเพียงมันตัวเดียว และอีกไม่กี่ตัวก็อยู่ห่าง มีแต่ชายคนนี้ที่ใกล้ที่สุด “ฉันเองแหละจ้าที่ยืนแช่น้ำอยู่นี่แหละ เป็นอย่างไรหากินวันนี้ไม่พออีกหรือ เดี๋ยวจะไม่ทันพวกๆแม่นกนะ” คราวนี้แม่นกนางนวลก็แน่แก่ใจ จึงบินร่อนมาใกล้ๆแต่ยังไม่กล้าเท่าใดนัก “มาเถอะจ้า ฉันไม่ทำอะไรแม่นกหรอกเพียงสงสัยเท่านั้นเองแหละ” คราวนี้แม่นกแน่แก่ใจแล้วว่าคนที่พูดกับหล่อนคือชายหนุ่มคนนี้นี่เองแต่ ก็แปลกใจที่ทำไมถึงรู้ภาษาของหล่อนได้ดี พลางร้องแล้วตอบว่า “เพราะฉันต้องหาให้มากๆจ้าเพื่อจะนำไปฝากลูกๆฉันที่รอคอยอยู่จ้า” “อ้อๆๆๆ....อย่างนี้หรืองั้นฉันไม่รบกวนแม่นกนะ เชิญเถอะจ้าแม่นก” “แล้วท่านรู้ภาษาฉันได้อย่างไรกันจ๊ะ” “ฉันรู้ได้ก็แล้วกันนะจ๊ะ อย่าสงสัยอะไรเถอะ ฉันออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง พอดีเจอแม่นกที่อยู่ใกล้ที่สุดนี่แหละ จึงสงสัยคิดสนทนาด้วย” ครั้นแล้วแม่นกก็บินมาเกาะบนไหล่ของชายหนุ่มพลางเอียงคอด้วยความ สงสัยเพราะว่าหล่อนรู้แล้วว่าชายคนนี้ไม่เป็นภัยแก่หล่อนแน่นอน “เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อนจ้า โน่นๆฝูงปลาอยู่ไม่ไกลนักแม่นกลองไปดูเถอะจ้า เดี๋ยวมันจะหนีไปหมดแล้วล่ะ” แม่นกหันไปมองตามที่ชายหนุ่มชี้มือก็เห็นฝูงปลาฝูงหนึ่งกำลังเล่นน้ำอยู่ เหนือผิวน้ำ ดังนั้นจึงหันมาทางชายหนุ่มกล่าวว่า “ขอบใจมากจ้า ฉันไปก่อนนะเดี๋ยวได้อีกสักไม่กี่ตัวก็จะรีบไปให้ลูกๆที่คอย อยู่จ้า เอ๊ะฉันตั้งแต่เกิดมาก็พึ่งได้ยินว่าคนสามารถพูดภาษาฉันได้ก็คราวนี้เอง” ชายหนุ่มหัวร่อเบาๆ พลางเอื้อมมือไปลูบบนหัวนกพลางเอ่ยว่า “ไปเถอะจ๊ะฝูงปลามันพูดกันว่าจะกลับกันแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทันนะ” “อย่างนั้นฉันไปก่อนนะ ไว้วันหน้าจะแนะนำพ่อนกให้รู้จักท่านอีก เดี๋ยวไม่ ทันฝูงปลานั้น” “จ้าไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทันนะแม่นก เอาแค่พอประมาณก็พอ” “จ้าขอบใจพ่อหนุ่มมากจ้า ฉันไปล่ะ” แล้วแม่นกก็ผละจากไหล่ชายหนุ่มพุ่งร่างไปยังเบื้องหน้าที่มีฝูงปลากำลังร่า เริงอยู่ พลางเฉี่ยวแล้วรีบกลืนลงท้องจนเห็นว่าเพียงพอแล้วจึงได้รีบบินจาก ไป เมื่อชายหนุ่มทดลองวิชาเห็นผลดังนั้นก็มีความดีใจมากที่การฝึกของเขา สำเร็จ เป็นโอกาสพอดีว่าตั้งใจจะทดลองในวันรุ่งขึ้นเห็นว่าคงจะไม่ต้องแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินชมวิวไปเรื่อยๆ และมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า อากาศเริ่มขมุขมัว เขาจึงหันหลังกลับเดินเข้าบ้าน ก็พบแม่ม่อมกับเด็กสาวชื่อ เล็กกำลังช่วยกันหิ้วของพะรุงพะรัง แต่ชายหนุ่มลัดเลาะไปอีกทางเพื่อเข้าบ้าน เพื่อทบทวนวิชาที่พึ่งร่ำเรียนสำเร็จใหม่ๆ นี่ดีนะที่เขาแบ่งพลังงานไว้ตามใจ นึกได้สำเร็จ ก็คิดว่าเขาจะออกเดินทางเมื่อใดดีและทางนี้เขาไม่ห่วงอยู่แล้ว ด้วยยังมีพี่ชายเขาคอยดูแล จึงเดินเข้าห้องพลางร่างจดหมายถึงคุณพ่อคุณแม่ว่า เขาจะออกเดินทางไม่ต้องห่วงแล้วหากงานสำเร็จเรียบร้อยจะกลับมา แต่เขาไม่ บอกว่าไปทำงานอะไร ซึ่งเขาก็ทราบจิตใจพ่อแม่ดีอยู่แล้วว่าคงจะไม่ห่วงเขา นักด้วยเชื่อใจเขานั่นเอง เมื่อร่างจดหมายเรียบร้อยแล้วก็ใส่ซองไว้บนหิ้ง หนังสือ ว่าจะฝากให้แม่ม่อมเวลาเขาออกเดินทางไป แต่ทิศทางที่เขาจะไปนั้น จะตรงกันข้ามกับ เพื่อนพวกนักโบราณคดีกำลังวางแผนกันจะออกเดินทาง ชายหนุ่มคิด เขาจะมุ่งเป้าไปที่เนปาลก่อน เพราะที่นั่นมีศาสนสถานมากมาย โชคดีอาจจะพบดวงแก้วก็อาจจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มคิดคำนึงการผจญภัยของ เขาครั้งนี้ยังไม่รู้ว่าจะเป็นประการใดดี หากไม่พบก็จะเลยขึ้นไปธิเบตแล้วล่อง ลงมายังเผ่านาคาซึ่งที่นี่เขาไม่แน่ใจนัก ถึงแม้จะมีเชื้อสายเผ่าอินคาก็ตาม ด้วยชนพวกนี้หันกลับมานับถืองูเป็นส่วนมาก ดังนั้นดวงแก้วนี้คงจะไม่อยู่ ด้วยแน่นอนเพราะพลังงานเหล่านี้ บรรดางูทั้งหลายจะเกรงกลัวยิ่งนัก ตามข่าว สารคดีเผ่านี้ก็ล้วนแต่นับถือพวกงูอยู่และ พวกงูยังอาศัยในบ้านเหล่านี้อีกด้วย ที่ที่เขาคิดว่าน่าจะไม่ที่ประเทศเนปาลก็คงจะเป็นที่ธิเบตมากกว่า การเดินทาง ของเขาหากเขาจะอาศัยพลังงานในการล่องลอยไปก็จะเป็นที่สงสัยแก่คนทั้ง หลาย จึงคิดที่จะเริ่มต้นเดินทางผ่านป่าทางด้านทิศเหนือลัดเลาะผ่านพม่าแล้ว วกเข้าประเทศอินเดียมุ่งสู่ประเทศดังกล่าวเห็นจะดีกว่าจะเดินทางโดย เครื่องบินเพราะต้องเสียเวลาเช็คคนเข้าเมืองอีก เรื่องการตรวจสอบเขาคิดว่า ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาแน่นอน หรือบางครั้งอาจจะได้พบวัตถุอีกชิ้นที่เขา เองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพียงพบดวงแก้วก่อนแล้วเรื่องนั้นค่อยว่ากันที่หลัง เขาคิดเช่นนั้น จึงตั้งใจว่าหากการฝึกการเรียนรู้ภาษาสัตว์ได้คล่องแคล่ว กว่านี้ก็จะเริ่มออกเดินทางทันที จึงสะบัดศีรษะเบาๆแล้วเดินเข้าห้องไป เพื่อฝึกฝนวิชาการต่างๆให้คล่องแคล่วมาขึ้น พลังงานทางโลกเรานี้กับ พลังงานสถานที่ลี้ลับนี้จะเข้ากันได้อย่างไรกันหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เขาคิด บางครั้งหรืออาจจะเป็นไปได้ว่าพลังงานในสถานที่ลี้ลับที่เขาจะเดินทางนี้ คงจะทรงพลังสูงกว่า ถ้าถึงตอนนี้เห็นที่จะต้องเริ่มต้นประสานกันใหม่อีก เป็นแน่แท้ จริงอยู่พลังงานในร่างกายเขาจะมีมากมายก็ตามหากไปพบกับ พลังงานในอีกที่หนึ่ง อาจจะอ่อนด้อยก็เป็นไปได้ แต่เขาก็เชื่อในบันทึกที่ เขาได้รับจากชายสามคนที่ตกทอดสืบกันมาว่าสามารถที่จะทำได้อย่าง แน่นอน มิฉะนั้นคงไม่ติดตามหาตัวเขาและก็แปลกที่ดวงแก้วทั้งสอง คือดวงแก้วสุริยันต์จันทราก็ยินยอมและอยู่ในร่างกายเขาอีกด้วย จึงเพิ่ม ความมั่นใจแก่ตัวเขามาก เขาคิดว่าด้วยความรู้เกี่ยวกับพลังงานต่างๆนี้ อาจจะช่วยเหลือเขาได้ไม่มากก็น้อย หากได้ดวงแก้วอีกดวงซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ มากกว่าดวงแก้วสองดวงนี้แล้วไซร้ พร้อมกับได้วัตถุอีกชิ้นหนึ่งคงจะไม่ สร้างปัญหาใดๆแก่เขามากนัก ชายหนุ่มยิ้มกับตัวเองอาทิตย์หน้าเขาคงจะ เริ่มออกเดินทางได้แล้ว ส่วนพวกนักโบราณคดีนั้นเขาสังหรณ์ใจว่าจะต้อง มาพบกับเขาในอีกมิติหนึ่งอย่างแน่นอน หรือว่าวัตถุชิ้นนั้นยังถูกเก็บไว้ใน ท้องมหาสมุทรแอตแลนติคอยู่ แต่ช่างเถอะขอให้เขาพบดวงแก้วนี้เสียก่อน เรื่องอื่นค่อยมาคิดภายหลัง ดังนั้นเมื่อคิดปลงได้เช่นนี้เขาก็เอนกายลงบน ที่นอนแล้วทบทวนวิชาการต่างๆด้วยความคล่องแคล่วว่องไวแล้วผลอยหลับ ไปเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว ครั้นถึงวันใหม่ย่างเข้ามาเขารีบตื่นแต่เช้าแล้วออกไปเดินชมสวนซึ่งมีดอก ไม้ต่างๆส่งกลิ่นหอมทำให้อารมณ์เขาสดชื่น และได้พูดคุยกลับพวกแมลงที่ กำลังเชยชมเกสรดอกไม้เพื่อค้นหาน้ำหวาน อย่างสนุกสนาน ตลอดจนนก ต่างๆอีกด้วย ตอนแรกพวกแมลงและนกต่างตกใจกันไปตามๆกัน แต่เขา บอกว่าไม่เป็นไร ฉันไม่ทำอันตรายพวกเธอหรอก เพียงอยากจะสนทนา เท่านั้นเอง แต่กว่าจะเข้าใจกันได้ก็ใช้เวลานานเหมือนกันถึงจะไดด้ความ ไว้วางใจกัน ซึ่งการกระทำเช่นนี้เพื่อที่จะให้เกิดความชำนาญในวิชาการมาก ยิ่งๆขึ้นไปกว่าเดิม จนเขาสามารถรับรู้ภาษานกและแมลงต่างๆได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินอยู่นี้ มีนกตัวหนึ่งบอกแก่เขาว่ามีคนเดินทางมา ด้านนี้ เขาจึงหันหน้าไปมองเห็นร่างของพี่ชายกำลังเร่งรีบเดินมาหาเขาอย่าง รีบร้อนนัก ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า “มีอะไรหรือครับพี่วัฒน์ถึงได้เร่งรีบเช่นนี้” “ไอ้ห่า!!!!!...ตามหาตั้งนานดีนะแม่ม่อมบอกว่ามาเดินเล่นในสวน มีเรื่อง หนึ่งจะถามแกหน่อย” “เรื่องอะไรหรือ???...พี่วัฒน์ หรือ มีเรื่องร้ายแรงไหม???” “ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงหรอก เพียงแต่ ดร.รพีท่านให้มาถามว่าอะไรหรือที่ให้ นำติดตัวไปไม่ใช่โลหะ พี่เองคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออกตลอดจนคนเหล่านี้ ด้วย เพราะว่าเขาจะรีบออกเดินทางในไม่กี่วันนี้แล้วล่ะ” “อ้อๆๆๆ...เรื่องแค่นี้หรือนึกว่าเรื่องเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่เสียอีก วัตถุที่ ผมบอกไปนั้นต้องมีความแข็งแกร่งแหลมคมไม่ใช่โลหะ พี่วัฒน์คิดไม่ออก จริงๆหรือ???...” “เออซิว๊ะ...หากคิดออกจะมาถามทำไม ปกติพี่เองก็ไม่สนใจเท่าใดแต่เกรง ใจ ดร.รพีเท่านั้น และไม่คิดจะร่วมไปด้วยอีกล่ะ” “เกรงใจ ดร.รพีหรือว่าเกรงใจ คุณ พัชรา ใช่ไหมล่ะพี่” “ไอ้นี่วอนเสียแล้วซิ เออๆๆๆทั้งสองอย่างแหละว๊ะ” “แล้ว คุณพัชราจะร่วมเดินทางไปด้วยหรือไงถึงเป็นห่วงใยมากเช่นนี้” “ก็เพราะว่าคุณพัชราเขาโทรฯมาหานะซิ ให้มาถามเอ็งด้วยเพราะพวกเขา คิดกันไม่ออกโว้ย!!!!.....” “มันมีตั้งหลายอย่างว๊ะ ไม้ก็ไม่ใช่โลหะ กระดูก แก้ว เขาสัตว์ก็ไม่ใช่เพราะ ไม่มีความแข็งแกร่งอีกด้วย บอกมาเถอะยิ่งพูดยิ่งงงว๊ะ???...”.................. ๐ แก้วประเสริฐ. ๐
21 เมษายน 2555 10:55 น. - comment id 128898
ครูใช้ประสบการณ์ที่พบเจอมา แทรกในงานเขียนด้วยปะคะ จึงเขียนได้ยาวๆแบบนี้อะค่ะ เพราะหนูเขียนทีไร มันไม่เกิน 1 หน้าสักครั้ง
21 เมษายน 2555 13:06 น. - comment id 128899
แวะมาอ่านครับ แล้วลองเขียนดู อยากเขียนยาวๆ แต่ไม่ไหว ตาลายไปหมดเวลาพิมพ์กว่าจะแกะได้แต่ละตัว ยากครับ เห็น จะเป็นเพราะผมไม่ถนัดมากกว่า ต้องขอชื่นชมคุณนะครับ นับถือ
21 เมษายน 2555 14:22 น. - comment id 128901
คุณ แก้วประภัสสร ศิษย์รักเอย การเขียนนิยายนี้จะเรียกว่าพรสวรรค์ ก็อาจไำม่ผิด เพราะการเขียนยาวๆได้นั้นมีหลาย อย่างแต่จะยกตัวอย่างให้ฟังดังนี้ 1 จินตนาการ หมายถึงการวางแผนในเรื่องนั้นๆ ตั้งแต่ต้นจนจบไว้ล่วงหน้าก่อน 2 การดำเนินเรื่อง ต้องต่อเนื่องกันตลอดเวลา หาก เป็นนวนิยายต้องแยกแยะออก เป็นขั้นตอน ของตัุวลครแต่ละบทบาท แต่ต้องมารวมกัน ใน ณ จุดๆเดียวกัน 3 ประสบการณ์ที่ผ่านพบเห็นมาประกอบกันด้วย 4 การศึกษารอบรู้ 5 การขยายความให้สอดคล้องกันและกัน 6 การสรุป หมายถึงการจบของแต่ละเรื่อง ทุกๆอย่างต้องสอดคล้องกันเสมอๆ อีก อย่างตัวลครต้องจำจดไว้ จดไว้เฉพาะตัว ลครที่สำคัญๆไว้ ส่วนปลีึกย่อยนั้นไม่ต้องก็ ได้เพราะไม่มีบทบาทมากมายนัก นี่เพียงแค่สั้นๆนะ การเขียนเรื่องสั้นกับ เรื่องยาวต่างกันมาก และคนละแบบกันด้วย ตอนแรกหัดเขียนเรื่องสั้นๆก่อนจะได้แนวทาง แล้วมาขยายความออกไป ที่สำคัญคือตอน จบลงจะให้ลงให้ลักษณะแบบใดก็ได้แล้ว แต่คนจะชอบเท่านั้นเองจ้า รักศิษย์เรามาก เสมอๆจ้า แก้วประเสริฐ.
21 เมษายน 2555 14:25 น. - comment id 128902
คุณ บุญพร้อม การจะเขียนเรื่องยาวๆนั้นต้องเริ่มต้นจาก เรื่องสั้นๆก่อนดังผมกล่าวไว้กับศิษย์ผมข้างบน นั่นแหละครับ สนุกกว่าการเขียนกลอนที่ผมเอง ชักจะเบื่อๆเสียแล้วล่ะครับ หรือว่ามาถึงจุดอิ่มตัว ก็ไม่อาจจะรู้ได้ครับ สิ่งใดที่ทำให้สมองเรา ไม่ฝ่อและสร้างความสุขเราก็ให้เราทำไปเถอะ ครับ ขอบคุณมากครับ แก้วประเสริฐ.
25 เมษายน 2555 16:13 น. - comment id 128929
หวัดดีครับ เข้ามาอ่านด้วยความกระหาย...เพราะรอ มานานครับ...ก่อนสงกรานต์จนสิ้น..ก้อได้ อ่านสมใจ....สนุกตื่นเต้นครับ ขอบคุณมากครับที่ให้ความสำราญ
26 เมษายน 2555 00:44 น. - comment id 128950
คุณ เอื้องอังกูร ตอนนี้เป็นแค่อารัมบทก่อน แล้วค่อยเข้า สู่สภาวะอันแท้จริง แต่คงไม่นานหรอกครับ ด้วยผมวางแผนไว้ แล้วครับ ตอนนี้ดูอาจจะไม่สนุก เพียงเพื่อให้รับรู้ถึงต้นเหตุเท่านั้นเอง หากเข้า สู่สนามแล้วเหตุการณ์จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ก็คอยติดตาม คงอีกไม่นานหรอกครับ ขอบคุณที่ติดตามเสมอ รักเสมอครับ แก้วประเสริฐ.
26 เมษายน 2555 11:01 น. - comment id 128957
หวัดดีครับ บอกตรงๆครับ..ความจริงผมอยากอ่านทุก วันเลยครับ..เปิดคอมฯทีไรก้อ..มาดูก่อนเลย ว่า แดนพิศวง มาหรือยัง..มันเปนอะไรที่ ชวนติดตามด้วยใจระทึกครับ ขอบคุณมากครับ
26 เมษายน 2555 12:22 น. - comment id 128959
คุณ เอื้องอังกูร ในที่นี้เขากำหนดไว้ว่าไม่เกิน 3 เรื่องครับ และ อีกอย่างหนึ่ง ผมสังเกตุดูเขามักจะชอบแบบสั้นๆ ส่วนของผมมันเรื่องยาวต้องติดตาม เลยตั้งใจ ว่าให้ตกหน้าก่อนแล้วค่อยมาเริ่มเขียน เพราะผม มักจะเขียนแบบสดๆเลยครับ เป็นนิสัยของผมที่ ชอบทำอะไรแบบใหม่ๆและเขียนเลยครับ อันที่จริงผมเขียนทุกวันก็ได้ครับเพราะว่า ผมวางแผนดำเนินเรื่องไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว จึงไม่เป็นปัญหาอะไรกับผมหรอกครับ ผมก็เลยปล่อยไปตามกระแสครับ ขอบคุณที่ติดตามเสมอๆครับ รักเสมอครับ แก้วประเสริฐ.