กินข้าวบ้านงานศพ..!!

สิติยะ ป.

ป 1
          ปกติผู้คงแก่เรียน ร่ำเรียนวิชาคาถาอาคม ในบางหลักสูตร ในบางครูบาอาจารย์ ท่านได้ห้ามไว้ว่าเมื่อเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันแล้ว หรือเมื่อเรียนวิชานี้แล้ว ห้ามกินข้าวบ้านงานศพเป็นเด็ดขาด หาไม่แล้ววิชาอาคมที่อุตส่าห์ร่ำเรียนมาจะเสื่อมลงในทันที ในบางข้ออาจห้ามลอดราวตากผ้า โดยมีเหตุผลในข้อเดียวกันคือคาถาเสื่อม เคยฟันแทงยิงไม่เข้านัยว่าหนังเหนียว ครั้นพอโดนลูกปืนที่เคยคลุกเคล้าผ้าถุงที่เปื้อนประจำเดือนมาก่อนหน้านี้ ลูกปีนกลับโจนทะยานเจาะผิวเนื้อหนังอย่างทะลุทะลวงไปเลยก็มี
          ปี พ.ศ 2534 หลังเลิกงานประจำวัน ผู้เขียนและผองเพื่อนมักจะเปิดประเด็นการประชุม นั่งเป็นวงกลมล้อมแก้วล้อมขวดอยู่เป็นประจำ วันหนึ่งเมื่อได้ที่ออกอาการตึง ๆ เกิดนึกสนุก เห็นเพื่อนร่วมงานสูงวัย กำลังนั่งยอง ๆ บนตอมะพร้าว อัดชิกกาแล็ต พ่นควันโขมงเข้าออกเพื่อบริหารปอดอยู่ ด้วยความคะนองและความไม่คิดอะไรจึงอุ้มแกลงมา
          อีก 30 นาทีต่อมา อาการหน้ามืดตาลาย ใจสั่นหวั่นไหว ไม่มีเรี่ยวแรงเกิดขึ้นในฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ นอนหายใจรวยรินเหนื่อยล้าเหมือนวิ่งทางไกลมาแล้ว 10 กิโลเมตร อาการเกิดขึ้นนานมาก กระทั่งเพื่อนของเพื่อนเข้ามาบอกว่า ...  ผิดครู! รีบไปขอโทษเขาเสีย ... เมื่อขอโทษขอโพยเสร็จ อาการนั้นก็ค่อยทุเลาเบาบางลงและหายไปในที่สุด นี่หากไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็คงไม่ปักใจเชื่ออย่างแน่นอน ต้องทึ่งในศาสตร์อันลี้ลับนี้อีกแขนงหนึ่ง
          แต่..คุณรู้ใหม? ยังมีเรื่องที่น่าทึ่ง! ชวนขนหัวลุกกว่าเรื่องนี้เป็นใหน ๆ นี่..ตามหัวข้อเลย แน่จริงตามมา...โบร๋วววววววว.....บรู๋วววววววววว....
ป 2
          มีเรื่องเล่าขานเป็นคุ้งเป็นแคว..เป็นตำนานปรัมปรา..ปร็อก..ปแร็ก! สืบ ๆ กันมาว่า .......
          มีครอบครัวชาวนาผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ได้สูญเสียบุตรสาวคนเล็กอันเป็นที่รักไปอย่างน่าใจหาย เธอสิ้นใจด้วยโรคปัจจุบันทันด่วน หลังนอนซมเพราะพิษไข้ได้ไม่กี่วัน สุดที่หมอยาในสมัยนั้นจะแก้ไขได้ทันท่วงที เธอจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 15 ขวบปี เท่านั้นเอง
          บิดา  มารดา ญาติพี่น้องจึงจัดงานศพให้ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์ อย่างสาหัส  โดยเฉพาะมารดายิ่งแล้วใหญ่  หล่อนร้องให้เป็นวรรคเป็นเวรปริ่มว่าจะขาดใจ เป็นลมแล้วเป็นลมอีกตลอดงานศพทั้ง 2 วัน เพราะทำใจไม่ได้.. ใช่สิ ใครหน้าใหนมีรึจะทำใจได้ หากตกที่นั่งเยี่ยงนั้น
          ในคืนที่ 2 ขณะพระสงฆ์ จำนวน 4 รูป กำลังสวดพระอภิธรรม ผู้ร่วมงานก็นั่งนิ่งฟังด้วยอาการสงบ ท่ามกลางบรรยากาศอันเศร้าสร้อยนั้น
          ฉับพลัน! ก็เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดอันน่าสะพรึงกลัวขึ้น..โดยไม่มีใครคาดคิด ขนหัว ขนหาง แต่ละเส้นของแต่ละคนต่างลุกตั้งชันไปตาม ๆ กัน ตลอดทั้งงาน ...เอ๊ะ!!!! นั้น! ..นั่นมันอะไรกัน !!.....?????
ป 3
          มะ..มะ..แมวดำกระโดดข้ามหีบศพไปอย่างรวดเร็ว แจกันดอกไม้ 3  4 อันร่วงพรูลงมากองกับพื้นเสียงดังโครมใหญ่.. เป็นไปได้อย่างไร!!
          ญาติโยมหลายคนวิ่งออกมาจากจุดเกิดเหตุเพื่อตั้งหลัก.. พระที่กำลังสวดอยู่ คว้าถุงย่ามเตรียมวิ่ง! โธ่ถัง! แมวเจ้ากรรมทำได้..เล่นเอาอกสั่นขวัญห้อยไปตาม ๆ กัน
           .. พ่อแม่พี่น้องทุกท่าน  ไม่มีอะไรนะครับ ขอเชิญทุกท่านกลับเข้าที่ให้เรียบร้อย เราจะประกอบพิธีสวดอภิธรรมทำบุญอุทิศกันต่อนะครับ .. 
          หลังจากได้สติสตังกลับคืนมา..ผู้ใหญ่บ้านในฐานะเป็นผู้นำก็คว้าไมค์โครโฟนป่าวประกาศ เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจกลับคืนมาดังเดิม
          ข้างฝ่ายพระสงฆ์ก็เริ่มต้นสวดพระอภิธรรมกันใหม่..สายตาของท่านทอดปรายไปที่โลงศพเป็นระยะ ๆ ด้วยความหวาดระแวงแคลงใจ
          นี่ขนาดตายแล้วแค่ 2 วันยังเริ่มต้นส่อว่าจะเฮี๊ยนขนาดนี้ นี่ถ้าครบ 7 วันล่ะ...เหวอ!! ...ไม่อยากคิด ยิ่งแมวดำกระโดดข้ามโลงศพด้วยแล้ว โบร่ำโบราณเขาถือนัก ปากท่านสวดไปแต่ใจท่านคิดไปต่าง ๆ นานา หากเป็นเหมือนที่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ครั้งก่อน  แน่ละ...รายการต่อไป...ศพต้องดีดผึง! ดันฝาโลงลุกขึ้นนั่งเองอย่างแน่นอน...เมื่อฉุกคิดได้ดังนี้  ทำนองการสวดจึงกระชับและเร็วขึ้นตามลำดับ  มิสนใจต่อสายตาทุกคู่ของญาติโยมที่กำลังจ้องมองมาที่พระอย่างสงสัยงวยงง...
ป 4
          พระท่านกลับวัดไปแล้วแหละ..ดูเหมือนจะรีบเร่งไปจำวัด  หลังสวดอภิธรรมและเทศน์จบ ท่านไม่ยอมอยู่สนทนาปัญหาธรรมกับญาติโยมเหมือนทุกครั้งทุกงานที่ผ่านมา..ไม่อยู่เลยจริง ๆ 
          คงทิ้งให้ญาติโยมนั่งนอนเฝ้าศพอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย...บรรดาวงรัมมี่  วงป็อกเด้ง ที่เคยเปิดดำเนินการ ภายในงานอย่างโจ๋งครึ่ม! ดั่งคืนแรกหรือทุก ๆ งานที่ผ่านมา ก็มามีอันได้อันตรธานหายไปโดยสิ้นเชิง  มิมีเสนอหน้าสลอน! ดังแต่ก่อน  จะมองเห็นเพียงเปลวแสงเทียนรำไร ๆ ในป่ากล้วยหลังบ้าน  เป็นจุด ๆ แต่คราคับคั่งไปด้วยเจ้ามือ..
          บุญเป็ง และสายคำ ผู้เป็นพ่อแม่พร้อมญาติสนิทเพียงไม่กี่คน ในฐานะเจ้าภาพต้องทำหน้าที่ คอยต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อที่เหลืออยู่กันตามลำพัง
          ทันใดนั้น..เรื่องราวที่หลาย ๆ คนเคยคาดคิดไว้ก็บังเกิดขึ้นจนได้  ท่ามกลางสายตาของทุกคู่ที่กำลังจ้องเขม็งตาเบิกค้างไปที่โลงศพ...
          หีบบรรจุศพมีอาการเคลื่อนไหว...รุนแรงขึ้นตามลำดับ  เหมือนมีใครไปเขย่าอย่างแรง  แจกันที่ตั้งไว้ตกแต่งประดับประดา  ต้องร่วงกราวหล่นลงพื้นเสียงดังเป็นคำรบสองอีกครั้งหนึ่ง  ผู้คนที่อยู่บริเวณงานต่างให้ความสนใจมามุงดู  ด้วยใจอันเต้นระทึก! กล้า ๆ กลัว ๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ!!??
ป 5
          ชายฉกรรจ์  5  6 คน คงอดรนทนดูต่อไปไม่ไหว  เป็นงัยเป็นกัน  ดูซิว่าผีกับคนใครจะแน่กว่ากัน  หากถึงคราวซวยตายเพราะโดนผีหักคอ  ก็จะได้ดังกับเขาบ้าง  นักข่าวทั่วฟ้าเมืองไทยต้องทยอยมาทำข่าวมืดฟ้ามัวดินแน่ ๆ  ชะ ๆ .. คราวนี้ละคงได้เป็นข่าวลงหน้าหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ พัดลม เอาให้กระหึ่มไปเลย หรือไม่อย่างน้อย ๆ ก็จะได้คลี่คลายปมปริศนานี้ให้ประจักษ์แก่สายตามหาชนให้จงได้
          ข้าวของเครื่องประดับประดาบนหลังหีบศพ  จึงถูกรื้อออกกระจัดกระจายด้วยเวลาเพียงไม่ถึงอึดใจ...โลงศพถูกยกลงมาตั้งด้านล่างเพื่อเตรียมความพร้อม
          เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มเซ็งแซ่ขึ้น  พร้อมกับจ้องสายตามองไปที่โลงศพของเด็กสาวเป็นตาเดียวกัน...นางสายคำผู้เป็นมารดาหวีดร้องขึ้นมาสุดเสียง..พร้อมกับแน่นิ่งไป
          ความรักของคนเรานี่ก็แปลก  แม้จะรู้ว่าร่างนั้นได้ถึงวาระกรรมไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้อีก  แต่หากจะมีใครไปทำลายร่างนั้นอีก..คงได้แต่สะเทือนใจอย่างหาประมาณไม่ได้  เหมือนรถวิ่งทับลูกหมาตัวน้อย ๆ แม้ว่าแม่หมาจะมีความรู้สึกสำนึกดีว่า  จะไม่ได้ลูกน้อยกลับคืนมาอีกแล้ว..แต่แม่หมาก็ไม่ประสงค์จะให้รถคันต่อไปมาทับซ้ำอีก  มันจึงพยายามใช้ปากคาบร่างอันปราศจากวิญญาณของลูกน้อย  ตะเกียกตะกายเสาะแสวงหาที่กำบังอันปลอดภัย.. ความรู้สึกของสายคำในขณะนั้นคงไม่แตกต่างกันนัก
          ทันทีที่ฝาโลงถูกเปิดออก..ทุกคนถึงกับตลึงงัน!  ชายฉกรรจ์ทั้ง 6 ต้องผงะหงาย..เพราะภาพที่เห็นนั้น!!!...ภาพนั้น!!!...มัน!!...มัน...
ป 6
          ภาพเด็กสาวเจ้าของร่าง  พยายามใช้ศอกใช้เท้ากระทุ้งฝาโลงจนเกิดเสียงดัง เป็นระยะให้คนข้างนอกได้ยิน  เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงให้รู้ว่า..หล่อนฟื้นแล้ว!! ทั้งที่เท้าและมือถูกพันธนาการรึงรัดมัดตราสังข์ไว้อย่างแน่นหนา  ฝ่ามือทั้งสองยังประนมดอกไม้ธูปเทียนอยู่  เธอพยายามเปล่งเสียงร้องตะโกนออกมา ให้ดังที่สุดเท่าที่จะกระทำได้  ซึ่งดูเหมือนจะไร้ผล  เพราะไม่มีเสียงใด ๆ เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากซีด ๆ นั้นเลยนอกจากลมเพียงแผ่วเบาเท่านั้น  ความพยายามเบ่งลมปัดเป่าวัสดุที่ปิดรูจมูกทั้งสองข้างไปให้พ้น เพื่อจะได้ใช้หายใจได้อย่างสะดวกแทนการหายใจทางปาก  ก็เป็นไปโดยยาก..
          เมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร..สติกลับคืนมา  บุญเป็งก็โผเข้าหาลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนด้วยน้ำตานองหน้า  น้ำตาของเด็กสาวรึก็ไหลหลั่งพรั่งพรูด้วยความดีใจพร้อมกับลมหายใจที่รวยระรินเสียเต็มประดา
          คืนนั้นทั้งคืนจนฟ้าสาง  ไม่มีใครสามารถปิดเปลือกตาให้หลับใหลลงได้  ต่างก็ตื่นเต้นระคนยินดีไปตาม ๆ กันกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นและสัมผัสได้ต่อหน้าต่อตาเมื่อคืนนี้  หมอประจำสุขศาลาที่ไปร่วมงาน  ได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะแก้ไขสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของเธอให้กลับฟื้นคืนมาให้เร็วที่สุด  กระปุกน้ำเกลือพร้อมสายจึงห้อยระโยงรยางค์รอบตัว...
          เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  ได้ถูกถ่ายทอดแพร่สะพัดปากต่อปากเกือบทั่วจังหวัดในช่วงเวลาแค่เพียง  1  วัน  ดังนั้นคืนต่อมางานพิธีสวดอภิธรรมศพ  จึงถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นงานพิธีสู่ขวัญเด็กสาวไปโดยปริยาย
          เมื่อได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ภายใต้อ้อมแขนของบิดามารดา  ด้วยความรักความทนุถนอม  อาการของเด็กสาวก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ สองวันต่อมา  เธอก็สามารถพูดชัดถ้อยชัดคำเกือบเป็นปกติ
          จึงได้มีโอกาสเล่าประสบการณ์หลังความตายให้ทุกคนได้รับรู้...แล้วคุณล่ะ...อยากรู้ใหม??
          
ป 7
          เด็กสาวเล่าว่า...
          เมื่อวิญญาณออกจากร่าง  มีเด็กผู้หญิงอายุเท่าเธอคนหนึ่งมารอรับ...เธอไม่รู้จักว่าเป็นใคร  แต่เด็กคนนั้นยืนยันว่ารู้จักเธอดี
           ... เรียกเราว่า มายา เอาละ..ท่านตามเรามา อรตี 
          เด็กหญิงที่ใช้ชื่อแทนตัวเองว่ามายา  คว้าข้อมือเธอไว้แล้วพาลอยไปในอากาศ  เธอตกใจมากพยายามแข็งขืนดิ้นรนไม่อยากไป  แต่ก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจอะไรบางอย่างได้  ความคลางแคลงใจแห่งปฐมบทของการพบเจอ  การเรียกชื่อเธอว่า อรตี ก็ช่างเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเสียนี่กะไร  เธอคิดไปว่าคงผิดฝาผิดตัวแน่นอน เพราะชื่อเธอคือ.. สายใจ! .. เส้นทางที่เคลื่อนตัวผ่านด้วยความเร็ว  แม้จะมีแสงสว่างตลอดทาง  แต่เธอก็ไม่สามารถมองเห็นสิ่งใด ๆ ให้เป็นรูปเป็นร่างได้เลย
          เพียงชั่วอึดใจ  เธอก็มาปรากฏตัวอยู่ในศาลาทรงไทยอันกว้างใหญ่ไพศาล  ด้านในถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม  ท่ามกลางผู้คนเป็นจำนวนร้อยจำนวนพัน  แต่ละคนมีใบหน้าอันหม่นหมองเศร้าสร้อย  อาภรณ์ที่สวมใส่ก็ล้วนแต่ซีดเซียวรับกับใบหน้านัก  แต่แปลก..เสียงพูดคุย..เสียงหัวเราะ  เสียงร้องให้คร่ำครวญ..ไม่มีเกิดขึ้นหรือปรากฏให้ได้ยินเลย...ทุกอย่างเงียบงันไปหมด...นี่มันที่ใหนนะ!!??
          มายา...พาเธอลอยผ่านผู้คนมากมายจำนวนนั้น  แล้วไปเลือกนั่งพับเพียบคู่กันด้านหน้าสุด  หล่อนบอกให้เธอทำความเคารพผู้เป็นประธาน  ซึ่งกำลังนั่งหน้าถมึงทึง!  บนโซฟาชุดใหญ่และสูง... สายใจไม่กล้าสบสายตาคู่นั้นอีกได้แต่นั่งก้มหน้านิ่ง  เพราะสายตาคู่นั้นมันมีอำนาจน่ากลัวนักจนทำให้ร่างเธอสั่นเทาด้วยความเกรงกลัว
          หลังจากทำความเคารพแล้ว  ผู้เป็นประธานก็พยักหน้าให้กับมายาและเธอ  เป็นเชิงเข้าใจและรับรู้ในการมาปรากฏตัวของเธอ... แต่  ทันใดนั้น!! ประธานได้ใช้ค้อนขนาดใหญ่ทุบตูม!!  ไปที่โต๊ะ  แม้จะไม่รุนแรง  ผู้คนทั้งหมดก็ถึงกับผวา..ซึ่งรวมทั้งเธอด้วย  เสียงทุบนั้นมันเหมือนเข็มเกือบสิบเล่มพุ่งตรงมาปักขยี้หัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอ  จนร่างของเธอต้องสั่นเทาอีกครั้ง
          ...  ... บัดนี้!!  ได้เวลาแล้ว  ขอให้ทุกท่านรีบไปแล้วรีบกลับ  มิเช่นนั้นเรา!!  ไม่สามารถช่วยอะไรท่านได้ ... 
          เมื่อประธานพูดจบ  ร่างทุกร่างเรือนพันนั้น  ก็ล่องลอยกรูออกประตูไปด้วยความรวดเร็ว  เอ๊ะ!! เขาพากันไปใหนนะ??
          ...  ... อรตี  ท่านจะกินอะไรก่อนหรือไม่ ... 
          มายาหันมาถามซึ่งหล่อนก็ได้แต่เพียงส่ายหน้า
          ...  ... ถ้าเช่นนั้นตามเรามา ... 
          มายา รีบลุกขึ้นคว้าข้อมือพาเธอลอยออกประตูไป...
ป 8
          เมื่อออกมาพ้นศาลาใหญ่หลังนั้นและมองเหลียวหลังกลับไป  เธอถึงกับอ้าปากค้างตาเบิกโพลง...ตอนมาเธอมองอะไรไม่เห็นแม้แต่น้อยนอกจากดวงหน้าอันเปรี่ยมด้วยเมตตาของมายา  แต่ตอนนี้ทุกอย่างช่างแจ่มชัดดีเหลือเกิน...ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้ว  ภายในความมืดเธอกลับมองเห็นทุกอย่างได้ถนัดตา  ภาพศาลาอันถูกตกแต่งอย่างสวยงามเหมือนปราสาทราชวัง  บัดนี้..มันเป็นแค่ศาลเพียงตาสี่เสาทรงไทยเก่าคร่ำคร่าหลังเล็ก ๆ ข้างทางหลังหนึ่งแค่นั้นเอง  อนิจจา!!  นี่มันอะไรกัน??
          สายใจและมายามาปรากฏตัว  ณ  บ้านหลังหนึ่ง  เธอถึงกับสลดหน้าถอดสี  เพราะนี่คือบ้านของเธอเอง!  ภาพถ่ายขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่ข้างหีบศพ..ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นศพใครอื่นไปไม่ได้นอกจากศพเธอเอง  เธอต้องน้ำตาอาบแก้มเมื่อมองเห็นใบหน้าอันเศร้าหมองของมารดา บิดาและเครือญาติที่กำลังจะนั่งล้อมวงรับประทานอาหารมื้อเย็นใกล้ ๆ หีบศพเธอ  ส่วนแขกเหรื่ออาหารทั้งหมดถูกจัดไว้บนโต๊ะยาวเหยียดไปตามเต๊นท์ที่กางไว้
          แม้เธอจะสามารถสัมผัสและรู้อะไร ๆ ได้เร็วกว่าวิญญาณดวงอื่น ๆ  แต่เธอก็ต้องพยายามหักห้ามใจไม่ไห้เข้าใกล้เขาเหล่านั้น  เพราะรู้ตัวดีว่าอยู่คนละสถานะกัน  อีกมายาก็ได้ห้ามเธอไว้ด้วยจิตสัมผัสโดยไม่ต้องพูดจากัน
          ...  ... ค่ำวันพรุ่งนี้  เราจะนำท่านมาส่ง ... 
          นั่นเป็นคำบอกเล่าผ่านการสื่อสารทางกระแสจิตของมายา  เด็กสาวใช้มือปาดน้ำตาด้วยอาลัย  หล่อนเองก็พึ่งประจักษ์  รู้ซึ้งถึงแก่นใจกับลักษณะอาการของผู้ที่กะลังสูญเสีย..สูญสิ้น...หรือสาบสูญ ..ของอันเป็นที่รัก..ที่พอใจ..สิ่งทั้งปวงเหล่านี้  หาได้เกิดขึ้นเฉพาะความรู้สึกของตัวเธอเองแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่  บิดา-มารดา ญาติที่รักทั้งหลาย... ขณะนี้คงมีหัวใจ  ที่ทุกข์ทรมานไม่แพ้เธอเองดอกนะ
................
                ... ข้าวคำหนึ่ง  ให้เจ้า  เขาเคยป้อน
          เคยกล่อมนอน  ด้วยเพลง  บรรเลงหมาย
          นอนตักอุ่น  หลับใหล  ให้สบาย
          เขาพลีกาย  คุ้มภัย  จนใหญ่มาฯ ... 
.................
ป  9
          เมื่อคณะแม่บ้านจัดอาหารสำหรับเลี้ยงแขกเหรื่อเสร็จสิ้น  เหล่าปีศาจทั้งหลายที่คอยทีอยู่ตามมุมมืด  ก็พากันกระโดดขึ้นโต๊ะอาหารซึ่งจัดไว้เป็นแถวยาว  เท้าที่เปลื่อยเน่า เต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนอง  ขึ้นเหยียบย่ำปากถ้วยจานชาม  ไหลหยดย้อยลงในอาหารอย่างน่าขยะแขยง
          นิ้วมือบ้างยาวเรียวบ้างหนาเตอะ..เต็มไปด้วยน้ำเลือดน้ำหนองเช่นกัน  กำลังขยำขยุ้มฟูมฟาย  โซ๊ยกับข้าวกับปลาอาหารใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย  แต่น่าแปลก..ที่อาหารต่าง ๆ ไม่ได้ลดจำนวนหรือพร่องไปเลยแม้แต่น้อย...ทุกอย่างยังอยู่ครบเหมือนเดิม..ทั้ง ๆ ที่วิญญาณเหล่านั้นมีเป็นร้อยเป็นพัน..นี่มันอะไรกัน..!!
(โปรดติดตามตอนจบใน ป 10)
(และเฝ้าระวัง!! ติดตามเรื่องต่อไป)
ป 10
          ไม่ถึง 5 นาทีต่อมา  ดวงวิญญาณทุกดวงก็รวมกลุ่มกัน  แล้วลอยออกจากงานด้วยความรวดเร็ว  ท่ามกลางความตลึงงันของสายใจ  นี่คงเป็นเพียงครั้งแรกกระมัง..?  เธอไม่คุ้นเคยกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเอาเสียเลย  ซึ่งผิดกับมายาที่เห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิตสัมภเวสี  ซึ่งแต่ละคนต่างสั่งสมเสบียงกังมาน้อยเหลือเกิน  หรือวิญญาณบางดวงก็ไม่เคยได้สะสมไว้เลยเมื่อครั้งเป็นมนุษย์  เอ..!!  แล้วเสบียงที่ว่านี่  เขาสะสมกันอย่างไรนะ??  สักครู่ก็มีเสียงประกาศเชิญชวนให้บรรดาแขกเหรื่อและผู้มาช่วยงานรับประทานอาหารร่วมกัน!! .. อะจึ๋ย..!!  ..  แล้วท่านล่ะ??  หิวหรือยัง
..................
          และแล้วก็ถึงเวลา พรุ่งนี้ ของมายาที่ได้รับปากไว้ว่าจะนำดวงวิญญาณของสายใจมาส่ง
           ... แล้วเจอกันใหม่นะอรตี  ท่านจำไว้อย่างหนึ่งว่า  ชีวิตหนึ่ง ๆ ของโลกมนุษย์ที่ท่านอาศัยอยู่นั้น  มันมีเวลาสั้นนัก  และน้อยคนที่ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสเตือนเช่นนี้ ....
          มายากล่าวสำทับ  เป็นอันเข้าใจในความหมายสำหรับสายใจ... เธอจึงก้าวขึ้นไปนั่งบนฝาโลงศพแล้วนอนทาบลงไปเพื่อให้กายกับจิตประกอบเข้ากันได้ดังเดิม  แม้เธอจะดิ้นอยู่ไปมา  แต่อนิจจา...  ดิ้นได้ก็แต่เพียงกายละเอียดของเธอเท่านั้น..เธอจึงหันไปมองมายาที่กำลังยืนดูอยู่  
          กระแสจิตที่สายใจได้รับคือ.. ให้เข้าด้านข้าง  เธอจึงลุกขึ้นใหม่เอาสีข้างของเธอและร่างที่นอนแน่นิ่งชนกัน... ก่อนที่ความรู้สึกจะดับวูบ!!  เธอเห็นมายาโบกมือลาและส่งยิ้มแห่งเมตตาให้... 
           ... ลาก่อนนะ..มายา ... 
............ จบบริบูรณ์ ...........
1  เมษายน  2555				
comments powered by Disqus
  • อัลมิตรา

    14 เมษายน 2555 09:33 น. - comment id 128820

    อ่านอยู่ 
    
    แต่ไม่ค่อยเข้าใจ ที่เขียน  ป.1  ป5.
  • สิติยะ ป.

    14 เมษายน 2555 21:10 น. - comment id 128823

    ขอบคุณครับที่ติดตาม..
    เรื่อง ป 1 - ป 2 นั้น
    เคยเขียนลงเป็นตอน ๆ ในเวปฯ แห่งหนึ่งครับ
    เป็นการเขียนเล่าเป็นตอน ๆ 
    เมื่อเข้ามาเขียนอีกครั้งใดก็จะใช้คำว่า ป เป็นการบอกลำดับ และแสดงความเป็นเจ้าของครับ46.gif
      เมื่อมาลงในเวปฯ นี้จึงลากมาทั้งหมดที่บันทึกไว้เลยครับ..
    ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน