แดนพิศวง ตอนที่๓ (เค้ามูลแห่งดวงแก้ว) ชายฉกรรจน์ที่แต่งกายชุดสีแดงพลันก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่มาบัดนี้ดวงแก้วยอมรับ นับว่าฟ้าดินยังเมตตาแก่พวกข้าพเจ้า เมตตาไว้ที่มิต้องค้นหาอีกต่อไปขอรับ” “อีกอย่างหนึ่งการแต่งกายของท่านที่เราถามไว้ ยังไม่เห็นแจ้งแก่เรา เลยว่าทำไมถึงไม่เหมือนกัน อีกอย่างหนึ่งตามนัยที่ข้าพเจ้าคิดไว้คง จะหมายถึงดวงแก้วทั้งสามกระมัง???....” “ที่คุณชายคาดเดาไว้ไม่ผิดหรอก คือข้าพเจ้าทั้งสามแต่งกายนอกจาก บ่งถึงฐานะตำแหน่งแล้ว ยังหมายถึงดวงแก้วอีกด้วย อีกดวงจะมี ประกายสีทองล้อมรอบไปด้วยมรกตสีเขียวเข้มในรูปดาวหกแฉกซึ่ง ตัดกันคล้ายรูปสามเหลี่ยมสลับขั้วกันเป็นภาพด้วยดาวภายในเป็น รูปวงกลมบรรจุด้วยพลังงานแสงสีทองอร่ามซึ่งพวกเราเรียกกันว่า ดวงแก้วมรกตสีทอง เพราะมีประกายทองแผ่ขยายครอบคลุมด้วย มรกตที่เปล่งประกายสีเขียวเข้มเปี่ยมด้วยพลังงานเสริมอีกด้วย พวกข้าพเจ้าก็คอยติดตามใช้พลังงานจิตนำทางแต่ไม่สำเร็จขอรับ เพียงแค่ได้ดวงแก้วสุริยันต์จันทรา ส่วนดวงแก้วอันเป็นหัวใจของ ดวงแก้วทั้งสองนั้น สาปสูญหายไปค้นหายังไม่พบขอรับคุณชาย” “หมายความว่าเสื้อเกราะสีแดงหมายถึงดวงแก้วสีแดง สีเหลืองนวล ใยคงหมายถึงดวงแก้วทั้งสองที่อยู่ภายในร่างกายข้าพเจ้ากระมัง แต่ เอ๊ะ!!!????...หากได้มาแล้วจะมีที่อยู่อีกหรือ???....” “หากมาดแม้นดวงแก้วดวงนี้ได้มาแล้วที่อยู่จะเปิดออกรับเองขอรับ จะไม่มีลักษณะเหมือนดวงแก้วทั้งสองดวงหรอก ด้วยพลังงานของ จักรวาลจะมารวมตัวกันในจุดที่ดวงแก้วทั้งสามดวงส่งมารวมตัวกัน ไม่ว่าสิ่งใดๆในโลกนี้หาที่จะต้านทานได้อีก เว้นแต่จะเกิดปรากฏ การณ์ดังที่แล้วมาเท่านั้นเองขอรับท่านชาย” “แล้วดวงแก้วดวงนั้นมีชื่ออะไรล่ะ เห็นท่านบอกว่าสองดวงนั้นมี ชื่อว่า สุริยันต์จันทรา ดวงที่สามมีชือใดฤา???...หรือว่า????.....” “อันดวงแก้วดวงที่สามนี้จะมีพลังฤทธิ์เหนือกว่าดวงแก้วทั้งสองมี นามว่า มรกตสีทอง ด้วยรายล้อมด้วยแฉกที่ตัดกันเป็นรูปดวงดาวล้วน แล้วต่างประดับด้วยมรกตสีเขียวเข้มตรงวงกึ่งกลางของดวงดาวหกแฉก นั้นจะเป็นวงกลมของสีทองเข้มดุจทองคำมิปานแต่มีประกายคุณค่ายิ่ง กว่าเมื่อทั้งมรกตและสีทองแสดงพลานุภาพขึ้นคราใด จะล้วนขจาย เปล่งประกายรวมกับดวงแก้วสุริยันต์จันทราเข้ากันแล้วจะมีอำนายสูง ล้ำนัก จะหาสิ่งอื่นใดต่อต้านมิได้ ดังที่แจ้งลักษณะให้ทราบไว้ตอนต้น แล้วขอรับคุณชาย” “เอาล่ะๆๆๆ!!!....ถึงพวกท่านจะกล่าวอย่างไรในเมื่อท่านปฏิบัติ เช่นนี้เห็นที่ว่าเราจะไม่รับปากก็ไม่ได้เสียแล้วล่ะ ไหนล่ะตำราที่ท่าน ว่าไว้เราอยากจะศึกษาเสียหน่อย บอกตรงๆว่าอย่างอื่นเราไม่สนหรอก นอกจากหนังสือตำราที่ท่านกล่าวไว้เท่านั้นแต่ก็จะรับคำหากได้ศึกษา ค้นคว้าให้ถ่องแท้เสียก่อนนะ” หลังจากที่ได้รับฟังคำของชายหนุ่มจนจบ ทั้งสามหันมามองหน้ากัน แต่แล้วชายที่แต่งกายเครื่องแบบเกราะโบราณสีทองก็ประคอง มอบตำราให้แก่ชายหนุ่มสี่เล่ม ชายหนุ่มมองดูก็ยิ่งงงสงสัยยิ่งนักอะไร หนังสือทั้งสี่เล่มกว้างใหญ่ไม่เกินฝ่ามือเลยมองดูคล้ายๆกับกล่องสี่ เหลี่ยมมิปาน เมื่อชายหนุ่มยืนมือไปรับมาแล้วตีสีหน้างุนงงนัก แต่ ผู้ส่งมอบไม่กล่าวอะไร เขารับมาดูช่างเบาๆยิ่งนักทั้งๆที่หนังสือนั้น ค่อนข้างหนามากและเล็กอย่างน้อยก็คงจะมีน้ำหนักบ้าง แต่นี่กลับ เบาหวิวๆ แล้วเราจะอ่านได้อย่างไรหนังสืออักษรคงจะตัวเล็กๆมากๆ เห็นทีจะต้องอาศัยแว่นขยายเสียแล้วชายหนุ่มรำพึงในใจ ครั้นชายเสื้อเกราะสีทองมอบหนังสือให้แล้วก็ถอยหลังออกมาแล้ว ทั้งหมดก็กล่าวคำอาลาทันที “ภาระหน้าที่ของพวกข้าพเจ้าสิ้นสุดแล้วต่อไปเป็นหน้าที่ของคุณชาย แล้วขอรับ ไปศึกษาไว้ก่อนหากวันเพ็ญสิบห้าค่ำเพ็ญกระจ่างขอให้ คุณชายมายังสถานที่นี่ เพื่อร่ำเรียนวิชาการต่อสู้จากพวกข้าพเจ้าด้วยเถิด พวกข้าพเจ้าขอลาไปก่อนแล้วขอรับคุณชาย” “อ้าวๆๆๆจะไปแล้วหรือ ไปทั้งที่ข้าพเจ้าเองก็ยังสงสัยอะไรมากมาย นักอย่างนี้หรือ????....” “แล้วคุณชายจะประจักษ์กับตัวเองหรอกขอรับ พวกข้าพเจ้าไปก่อน แต่อย่าลืมที่ข้าพเจ้ากล่าวกับคุณชายไว้ พบกันอีกตามวันดังกล่าวเวลา เดิมนะขอรับ” “ในเมื่อท่านจะไปแล้วก็ตามใจเถอะนะ ข้าพเจ้าไม่ลืมหรอกเพ็ญ จันทร์สิบห้าค่ำนะ” “ขอรับคุณชาย พวกข้าพเจ้าไปก่อนล่ะ” แล้วร่างทั้งสามทำความคาราวะชายหนุ่มแล้วยืนขึ้นมา ถอยหลังแยก กัน ชายหนุ่มมองดูก็ตกตะลึงเมื่อพบว่า ขนหลากสีสวยด้านล่างนั้น ฉับพลันงอกออกมากกว้างใหญ่ช่างงดงามอะไรเช่นนี้ พร้อมกันหมด ทั้งสามคน แล้วร่างนั้นปีกก็กระพือขึ้นบังเกิดกระแสลมหมุนเวียนจน เสื้อผ้าชายหนุ่มพลิ้วไหวไปๆมาๆ ร่างทั้งสามก็ลอยขึ้นจากพื้นแล้วพุ่ง เหินไปสู่ยังดวงจันทร์ทันที เขาแลตามไปตลอดเวลาไม่กระพริบตา จนร่างทั้งสามเป็นจุดเล็กๆหายไปในฟากฟ้าท่ามกลางดวงจันทร์ลับ หายไป ชายหนุ่มคิดถึงคำที่เขารับสัญญาไว้ก็ยิ่งสร้างความหนักใจแก่ เขาเป็นอันมาก เราจะทำได้หรือท่านช่างเชื่อมั่นเราได้อย่างไรเล่า???... เราเองหรือยังไม่เคยท่องเที่ยวไปไหนๆเลยนอกแต่ขลุกอยู่ในห้อง ตำราพร้อมที่นอนเท่านั้นเอง ยิ่งคิดยิ่งหนักใจยิ่งขึ้น พลางสลัดหัวไปๆ มาๆเหมือนดังไล่ความนึกคิดให้ออกไปหนีบหนังสือไว้แล้วสาวเท้า เดินจากไปจากสถานที่นี่ทันที เมื่อเดินไปในบ้านก็พบบรรดาสาวรับใช้ยินคอยต้อนรับอยู่แล้ว พลางหญิงแม่บ้านก็เอ่ยปากว่า “ม่อมให้คนไปตามหาคุณชายหลายๆที่ กลับมาแจ้งว่าไม่พบคุณชาย ก็ให้เป็นห่วง และได้จัดโต๊ะอาหารเตรียมไว้แล้วล่ะเจ้าค่ะ” “นี่แม่ม่อม???....แล้วพี่นิวัฒน์คงจะออกไปแล้วกระมัง???...” “เจ้าค่ะคุณชายไปนานแล้วหลังจากทานอาหารเสร็จตั้งนานแล้วเจ้า ค่ะ และยังถามถึงคุณชายเลยพวกม่อมไม่รู้ เห็นคุณชายหัวร่อลั่นแล้ว ก็เดินออกไป โดยไม่กล่าวอะไรอีกเลยด้วยเพื่อนๆเขามารับด้วยล่ะ” ชายหนุ่มไม่กล่าวอะไรอีกพลางเดินไปยังห้องอาหารทันทีโดยมี แม่บ้านเดินตามหลังเขาไป ครั้นถึงจึงนั่งลงที่โต๊ะอาหารวางหนังสือ ทั้งสี่เล่มไว้ข้างๆตัว เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่แช่น้ำเข็งไว้มายกขึ้นดื่ม ส่วนแม่บ้านก็ยกจานมาแล้วตักข้าวๆเสริฟให้ทันที ชายหนุ่มวางแก้ว น้ำแล้ว ก็รีบทานอาหารไม่รอช้าเพื่อจะได้กลับไปห้องเพื่ออ่านหนังสือ ที่เขาได้รับมาใหม่ๆ ยายม่อมแม่บ้านซึ่งยืนคอยรับใช้อยู่ข้างๆโต๊ะ อาหารพลางมองดูแต่ไม่สงสัยอะไรเพราะปกติตามวิสัยคุณชายเล็กเห็น เป็นเรื่องธรรมดาเห็นมาจนเคยชินเสียแล้ว ผิดกับวันนี้เท่านั้นที่คุณชาย รีบทานอาหาร ทุกๆครั้งจะอ่านไปทานอาหารไปตลอดเวลาเสมอๆ ครั้นชายหนุ่มละจากโต๊ะอาหารแล้วก็รีบเดินไปที่ห้องส่วนตัวทันที เมื่อเข้าไปในห้องก็รีบปิดประตูไว้ หลอดนีออนเป็นพวงช่อ ย้อยลงมา เป็นรูปดอกไม้ต่างๆภายในบรรจุไว้ด้วยหลอดนีออน ส่งแสงนวล ส่องมาเจิดจ้า เนื่องจากแม่บ้านได้เข้ามาดูแลแล้วคงเปิดไว้ให้ ชายหนุ่ม ตรงไปยังเตียงนอนหยิบหนังสือทั้งสี่เล่มค่อยๆเลือกเล่มที่เรียงซ้อน ตามลำดับที่ได้รับมอบหมายมา หนังสือดูออกจะเก่าเอามากๆเสียด้วย หน้าปกเป็นหนังสือโบราณเขาพยายามทบทวนที่ร่ำเรียนมาก็ไม่เคย พบเห็นมาก่อนเลย พลางนึกในใจแล้วเราจะอ่านได้อย่างไรกันเล่าแต่ แล้วคล้ายๆมีกระแสชนิดหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากเบื้องหลังเขาแล่นไป สู่ยังสมองด้านบน จากความมึนงงแต่แรกก็แปรเปลี่ยนไปทำให้เขา มองไปยังตัวหนังสือหน้าปกอีกครั้งหนึ่ง ทันใดเขาก็สามารถอ่าน หนังสือและรู้ความหมายได้อย่างแจ่มแจงชัดเจน เขานึกหากไม่ได้ พลังจากดวงแก้วเบื้องหลังเขาแล้ว คิดว่าคนบนโลกนี้คงจะไม่สามารถ อ่านหนังสือบนหน้าปกนี้ได้อย่างใดเลย เขาผ่านการศึกษาค้นคว้าจาก งานด้านอักษรทั้งเก่าและใหม่เกือบทุกๆประเทศมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นภาษากรีกโบราณ โรมัน มายา นาคา หรือตัวหนังสือใดๆ เขาศึกษาค้นคว้ามาหมดสิ้นสามารถอ่านและเขียนได้เป็นอย่างดี แต่นี้ หากไม่ได้รับพลังงานชนิดหนึ่งที่รวมอยู่ในร่างกายเขามาช่วยทำเร่งแล้ว ให้สมองเขาเกิดสิ่งที่แปลกประหลาดขึ้น คิดว่าไม่สามารถอ่านได้หาก คนอื่นมาพบเห็นก็ตามย่อมไม่สามารถอ่านหนังสือเหล่านี้ได้ของคนบน โลกนี้แน่นอนเขาคิด หรือว่าภายในนั้นตัวหนังสือจะเล็กมากเกินกว่า สายตาจะอ่านได้กระมัง แต่นั่นหาใช่สาเหตุด้วยเขานำแว่นขยายมาส่อง ขยาย ด้วยการขยายของเล็นซ์ที่เขามีพร้อมอยู่เสมอภายในห้องของเขา ทันใดนั้นเองสิ่งที่ไม่คาดคิดสร้างความประหลาดใจแก่ชายหนุ่มมาก นัก จากบรรดาหนังสือเหล่านั้น จากหนังสือบรรดาที่เล็กเท่าฝ่ามือเขา เมื่อถูกชายหนุ่มจับต้องพลันก็ขยายใหญ่ขึ้นความกว้างขนาดหนึ่งฟุตนิ้ว ยาวประมาณหนึ่งฟุตนิ้วครึ่งทันที จนชายหนุ่มต้องรีบถอยหลังออกมา จากหนังสือทั้งสี่เล่มทันที คอยจนกว่าการขยายตัวจะสิ้นสุดลงเมื่อแน่ แก่ใจแล้วจึงค่อยๆเข้าไปหาหยิบหนังสือเล่มแรก เปิดพลิกทันทีสร้าง ความมึนงงแก่ชายหนุ่มมากทันที ด้วยหนังสือภายในนั้นไม่มีอักษรใดๆ ทั้งสิ้นล้วนเป็นกระดาษค่อนข้างเก่าๆมากๆด้วยเนื้อสีออกสีน้ำตาลแล้ว ว่างเปล่า สร้างความงุนงงสงสัยยิ่งนักหรือว่าจะซ่อนเร้นสิ่งใดไว้หาก ไม่มีตัวหนังสือจะอ่านได้อย่างไรกัน จึงค่อยๆลูบฝ่ามือลงไปบน กระดาษที่ว่างเปล่านั้น ทันใดก็เกิดสิ่งสร้างความประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อ มองแลไปก็เห็นตัวหนังสือที่ผุดจางเลือนลางค่อยๆเด่นชัดขึ้น แปลกๆๆจริงๆเป็นการพิสดารยิ่งนักหากเราไม่เอาฝ่ามือทดลองลูบ แล้วก็คงจะจนปัญญาจริงๆนะ ดังนั้นเขาเริ่มต้นลูบไล้ไปยังหน้าที่ว่าง เปล่านั้นทั้งสี่เล่มทันที ก็ปรากฏตัวหนังสือขึ้นมาทั้งหมดล้วอักษร แปลกๆและมีภาพประกอบอีกด้วย เป็นภาพที่เขาไม่เคยพบเห็นมา ก่อนเลยในการค้นคว้าของเขามาแล้วทั้งสิ้น เขานึกในใจว่าช่างประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งนักในการเก็บรักษาของนี้ ไว้ ทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆเคยเล่นโดยการเอาน้ำกระเทียมมาเขียน หนังสือตามที่ได้ศึกษามา แล้วส่งให้คุณพ่อคุณแม่อ่านเมื่อท่านรับมาก็ งุนงงแล้วก็หัวร่อแก่เขาทันที พลางคุณพ่อหันไปสั่งให้แม่บ้านจุด เทียนไขมาเล่มหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆเอากระดาษที่เขาเขียนไว้ลนกับ ไฟนั้นทันที อักษรที่เขาเขียนอวยพรคุณพ่อคุณแม่ก็ปรากฏขึ้นเป็นรอย สีน้ำตาลเจือจาง เขาหายความสงสัยว่าเหตุใดคุณพ่อคุณเมื่อมองหน้า เขาเช่นนี้ต่างพากันหัวร่อขึ้นทันที แล้วกล่าวขอบใจเขาที่อวยพรให้ ท่านประสพแต่ความสุขอายุมั่นขวัญยืนชั่วกาล รู้ได้อย่างไรถึงวิธีนี้ หรือว่าท่านเคยเล่นมาก่อน จนกระทั่งท่านทั้งสองบอกว่าพ่อและแม่ สมัยเด็กๆนั้นเล่นมาแล้วล่ะ ครั้นเห็นกระดาษของลูกก็รู้ได้ทันที แต่อักษรภายในหนังสือนี้ไม่เหมือนการเล่นของเขาสมัยเด็กๆ...... คงจะเหมือนการเก็บตัวหนังสือคล้ายคลึงกัน ชายหนุ่มคิดแต่ทว่า การเก็บนี้พิสดารยิ่งกว่า ด้วยไม่ต้องใช้ความร้อนช่วย เพียงแค่อาศัย ผ่านการลูบไล้เท่านั้น อักษรก็ปรากฏขึ้นแล้วยิ่งสร้างความสงสัยแก่ เขายิ่งนัก จึงทดลองปิดหนังสือลงอีกแล้วลุกขึ้นถอยห่างออกไปรอ เวลาผ่านสักสักครู่หนึ่ง ก็เข้ามาเปิดหนังสืออีกครั้งก็พลันพบว่า กระดาษนั้นกลับปราศจากตัวหนังสือใดๆทั้งสิ้น เพื่อความเชื่อมั่น จึงนำหนังสือนี้ออกจากห้องไป แล้วพลันก็เรียกแม่บ้านทันที “แม่ม่อมอยู่ไหนหรือ ขอพบตัวหน่อยซิแม่ม่อม” “อยู่เจ้าค่ะ....กำลังตรวจสอบสิ่งของอยู่เจ้าค่ะ” แล้วร่างของหญิงกลางคนก็ก้าวเข้ามาพบชายหนุ่มทันที “มีอะไรหรือเจ้าค่ะคุณชาย ต้องการอะไรอีกหรือเจ้าค่ะ” “ไม่หรอกจ้าแม่ม่อม อยากจะให้แม่ม่อมดูหนังสือเล่มนี้สักหน่อย เท่านั้นเองจ๊ะ แม่ม่อมเห็นอะไรหรือเปล่าล่ะ???...พลางยื่นหนังสือ ส่งไปให้แม่ม่อมแม่บ้านทันที หญิงแม่บ้านรับหนังสือมาก็เปิดออกดูทุกๆแผ่นก็งงพลันหันไปกล่าว กลับชายหนุ่มว่า “ในหนังสือนี้ไม่มีอักษรใดๆนี่เจ้าค่ะ เป็นเพียงกระดาษว่างเปล่าเท่า นั้นเองเจ้าค่ะ” ชายหนุ่มยิ้มพลางปรารภย์ขึ้นว่า “แม่ม่อมลองเอามือลูบไปที่กระดาษที่ว่างเปล่าทุกๆแผ่นซิจ๊ะ” หญิงแม่บ้านก็ปฏิบัติตามคำสั่งทันที แต่ก็เหมือนเดิมจึงรายงานว่า “ก็เหมือนเดิมนี่เจ้าค่ะ ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นเลย” “เท่านั้นแหละแม่ม่อม ขอบใจมากนะไปทำงานต่อได้แล้วล่ะ ส่ง หนังสือคืนมาได้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มไม่กล่าวกระไรรับหนังสือจากแม่บ้านมาแล้วก็รีบเดินเข้า ห้องของตนทันที........................... แก้วประเสริฐ.
19 กุมภาพันธ์ 2555 16:35 น. - comment id 128503
ตามมาอ่านค่ะครู
19 กุมภาพันธ์ 2555 17:55 น. - comment id 128505
คุณ อนงค์นาง อันเรื่องนี้นั้นครูวางจินตนาการไว้แล้วเป็น เรื่องที่น่าติดตามเรื่องหนึ่งจ้า รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
23 กุมภาพันธ์ 2555 17:07 น. - comment id 128526
ครู เขียนเหมือนเอาสองอย่างคือวิทยาศาสตร์ และไสยศาสตร์ รวมกันนครับ
23 กุมภาพันธ์ 2555 19:58 น. - comment id 128530
คุณ กิ่งโศก ใช่แล้วจ้าระหว่างอำนาจของพลังงานกับอำนาจ ของเวทย์มนต์ที่ลึกล้ำกว่าไสย์ศาสตร์อีกจึง เป็นการต่อสู้ชิืงไหวชิงพริบกัน เพราะอำนาจ เวทย์มนต์ก็อาศัยพลังจิตก่อกำเนิดพลังงาน นั่นซิครูถึงบอกว่า งานเรื่องนี้ไม่ธรรมดายากจริงๆ นะ รักศิษย์เรามากเสมอ แก้วประเสริฐ.