เรียน...เพื่อจบหลักสูตรแค่นั้นหรือ
อิสรชัย รัตน
โลกร้อน คือคำพูดที่ได้ยินเราได้ยินในสังคมทุกวันและต่างกล่าวขานถึงเรื่องนี้ว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยลดภาวะความร้อนของโลก ไม่ให้โลกร้อนเพิ่มขึ้น
หากคิดใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วพบว่า พฤติกรรมที่เป็นการแสดงออกเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนเป็นการกระทำที่เรียกว่า ลูบหน้าปะจมูก ขาดความจริงใจในการดำเนินงานทั้งหน่วยงาน องค์กรในประเทศและต่างประเทศ แม้แต่การดำเนินงานตามนโยบายก็ขาดความจริงจัง ทุกสิ่งที่พบเห็นเสมือนเป็นเพียงหน้ากากที่สวมใส่แสดงต่อกันว่ากำลังทำหน้าที่ลดภาวะโลกร้อน
ภัยธรรมชาติที่ถาโถมทำลายทุกมุมโลกในวันนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกกำลังร้องไห้ เพราะประสบกับปัญหาโลกร้อนอย่างรุนแรงต่อเนื่อง นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คงหยุดยั้งได้ยากเพราะทุกประเทศต่างแสวงหาความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจกันทั้งสิ้น
การเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจที่บอกว่าประเทศนั้นมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศได้ดีกว่าประเทศอื่น แต่ในความเป็นจริงแสดงให้เห็นว่าประเทศนั้นกำลังเพิ่มภาวะโลกร้อนมากขึ้น เพราะทุกสิ่งที่เป็นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจล้วนทำลายโลก ทำลายสภาพแวดล้อม เพิ่มมลพิษ ทำลายที่ทำกินและสภาพความเป็นอยู่ของตนเองทั้งสิ้น
การเรียกร้องความร่วมมือเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของโลกให้ถูกทำลายลดน้อยลงนั้น ดูเหมือนเป็นการเรียกร้องที่อยู่ในหน้ากระดาษ ในหนังสือพิมพ์เพื่อการโฆษณาหรือในเอกสารที่บอกแค่ว่าได้ใส่ใจในเรื่องดังกล่าวยากต่อการปฏิบัติเพราะประเทศต่างๆ ต้องการเพียงเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกเพื่อความเจริญสู่ประเทศของตนเท่านั้น
น่าเสียดายที่ทุกประเทศต่างมุ่งทำลายปัจจุบันและอนาคตของตนเองทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์บนโลก กำลังคืบคลานเข้ามาและบอกให้รู้ว่าสิ่งที่มนุษย์ทุกคนร่วมกันทำลายกำลังส่งผลแล้ว แต่มีใครหรือประเทศใดคิดจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจังและทุ่มเท แปลกไหมล่ะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหายนะของตัวเองและของโลกแต่ทุกคนกลับนิ่งเฉยดูดาย การกำหนดนโยบายไว้นั้นเพียงให้ดูโก้หรูว่าได้มีส่วนร่วมรักษ์โลกแล้ว
โรงเรียนส่งเสริมคุณธรรมชั้นนำและโรงเรียนวิถีพุทธในประเทศของเรา ได้ตระหนักและมองเห็นภัยที่ยิ่งใหญ่ดังกล่าวแต่สิ่งที่โรงเรียนทำได้คือสอนให้ผู้เรียนตระหนักถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ต่อตัวผู้เรียนและเพื่อนร่วมโลก การคิดกิจกรรมโครงการเพื่อสร้างจิตสำนึกในเรื่องดังกล่าวโรงเรียนได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและสะท้อนข้อมูลให้ทุกฝ่ายรับทราบเป็นระยะๆ เสียงสะท้อนจากพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ไม่มีพลังและอำนาจต่อรองมากพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและในโลก ได้ร่วมมืออย่างจริงจัง ในการรักษาสภาพแวดล้อมโลกเพราะต่างคนยังมุ่งหน้ากอบโกยผลประโยชน์เพื่อประเทศของตนและพวกพ้องไม่หยุดยั้ง ไม่รู้จะกอบโกยไปทำไมเพราะมหันตภัยที่เกิดขึ้นในวันข้างหน้าทรัพย์สมบัติที่โกงกินไป คงไม่ช่วยให้อยู่รอดได้เหมือนกับคนจนทั่วโลก
แต่แปลกไหมล่ะสิ่งเหล่านี้ทุกคนกลับมองข้าม เพราะทุกคนมองเพียงผลประโยชน์ส่วนตน ขอให้มีเงิน มีทรัพย์สมบัติ โดยไม่สนใจว่า มีไว้ทำไมในเมื่อสิ่งที่มีมาจากการทำลายโลกจนนำไปสู่หนทางแห่งวิบัติภัย
การเป็นครูและผู้นำทางการศึกษาในโรงเรียนที่มุ่งสร้างผู้เรียนให้รักโลก หวงแหนโลก ทำอย่างไรให้โลกอยู่รอด เป็นหน้าที่ของทุกคนต้องร่วมมือกัน โครงการ กิจกรรมที่มุ่งสอนให้ทุกคนได้รู้เพื่อรักษ์โลกจึงเกิดขึ้นมากมายในโรงเรียนทั่วประเทศและทั่วโลก เช่น การปลูกป่า ปลูกป่าชายเลน การรักษาป่าต้นน้ำลำธาร การแยกขยะ การนำวัสดุเหลือใช้นำกลับมาใช้ใหม่ การประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ การลดขยะพลาสติก การสร้างบรรยากาศสีเขียวให้กับแผ่นดิน เป็นต้น
ผู้บริหารและครูรู้ดีว่านโยบายทางการศึกษาที่มุ่งพัฒนาให้ตระหนักและรู้ในเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งดี แต่ในขณะเดียวกันส่วนอื่นของสังคมก็สอนให้ผู้เรียนเห็นเช่นกันว่า ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการรักษ์โลกอย่างจริงใจ หากแต่สร้างมุ่งสร้างความร่ำรวยให้ตนเองจากการทำลายสภาพแวดล้อม ทำลายทรัพยากรของโลก และเมื่อผู้เรียนออกจากสถานศึกษาไปอยู่ในสังคม สิ่งที่ได้รับจากสถานศึกษาจึงเป็นเพียง บทเรียนหนึ่งในหลักสูตร หากแต่ในชีวิตจริงไม่มีใครใส่ใจหรือนำไปปฏิบัติ
คุณค่าของคน อยู่ที่ผลงาน ถ้าผลงานนั้นเป็นผลงานที่สะท้อนให้เห็นความจริงใจในการแก้ปัญหา ความร่วมมือที่จะรักษ์โลก ลดสภาวะโลกร้อน ร่วมมือและช่วยเหลือกัน ทุ่มเทแรงกาย แรงใจใช้กฎหมายฉบับเดียวกันทั้งโลก ใครทำลายสิ่งแวดล้อมคืออาญากรทำลายโลกมีบทลงโทษที่เฉียบขาด
แต่สิ่งที่เห็นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ที่ต่างไปจากบทเรียนที่ได้ร่ำเรียนมายังคงเป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่เช่นเดิม ครูยังคงทำหน้าที่สอนผู้เรียนให้รักษ์โลก รักสิ่งแวดล้อมต่อไป ส่วนอื่นในสังคมก็สอนให้เห็นความแตกต่างของบทเรียนกับชีวิตจริง คนร่ำรวยจากการโกงกิน ทำลายป่า ทำลายแหล่งน้ำ ปล่อยสารพิษ ควันพิษ ใช้แรงงานเด็ก กำหนดนโยบายเพื่อเอื้อต่อตนเองและพวกพ้อง กำจัดสิทธิมิให้คนอื่นที่ไม่ใช่พวกตนไม่มีโอกาสทางสังคมบทเรียนในสังคมเหล่านี้เป็นบทเรียนที่พบเห็นได้ทุกวัน
บทเรียนในหลักสูตร ตำราเรียนและกิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียนจึงกลายเป็นบทเรียนเพื่อการจบหลักสูตรเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อจบหลักสูตรจากโรงเรียน ทุกคนมุ่งสู่การทำลายโลก ทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน สิ่งที่กล่าวนี้เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมในทางปฏิบัติไม่สามารถสร้างได้ในโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ทุกองค์กร หน่วยงาน ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน มีความจริงใจในการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ใช่เมื่อประสบภัยพิบัติแล้วมาตีโพยตีภายว่า โลกร้อนทำไมไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหา
มอง...แล้วคิด...คิดแล้วมองวิเคราะห์ จะเห็นว่าทุกวันนี้เป็นอย่างนี้จริง หรือว่าเรากำลังหลอกตัวเอง..หลอกว่าเราได้ดำเนินการ รักษ์โลก หยุดโลกร้อนได้แล้ว