ภาพแห่งความประทับใจของคนไทยทั้งชาติ ที่ได้รับการยอมรับเป็น ภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่ง ได้แก่ ภาพในหลวงทรงรับดอกบัวจากแม่เฒ่าตุ้ม และหากได้ทราบรายละเอียดของภาพนี้ด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะซาบซึ้งมากยิ่งขึ้น เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรภาคอีสานเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ หลังจากทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารเสร็จสิ้นในช่วงเช้าแล้ว ทั้ง ๒ พระองค์ได้เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งกลับไปประทับแรม ณ จวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ราษฎรที่รู้ข่าวก็พากันอุ้มลูกจูงหลานหอบกันมารับเสด็จที่ริมถนนทาง เสด็จพระราชดำเนินอย่างเนืองแน่น ดังเช่นครอบครัวจันทนิตย์ ที่ลูกหลาน ช่วยกันนำ แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ หญิงชราวัย ๑๐๒ ปี ไปรอรับเสด็จแต่เช้า ณ จุดรับเสด็จห่างจากบ้านประมาณ ๗๐๐ เมตร บนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินทางสามแยกชยางกูร - เรณูนคร ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พร้อมดอกบัวสายสีชมพู จำนวน ๓ ดอก และพาออกไปรอที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทที่สุด เปลวแดดร้อนแรงตั้งแต่เช้าจนสาย เที่ยงจนบ่าย แผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจความจงรักภักดีของหญิงชรา ยังคงเบิกบาน และเฝ้าคอยรอเวลาเสด็จพระราชดำเนินด้วยใจจดจ่อเป็นอย่างยิ่ง เมื่อในหลวงเสด็จพระราชดำเนินมาถึง ตรงมาที่แม่เฒ่า แม่เฒ่าได้ยกดอกบัวสายที่โรยนั้นขึ้นเหนือศีรษะ แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโน้มพระองค์ลงมาทรงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของแม่เฒ่าอย่างนุ่มนวล ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับแม่เฒ่า แต่แน่นอนว่าแม่เฒ่าไม่มีวันลืม เช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่เข้าเฝ้าริมถนนในวันนั้น หลังจากที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว สำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของแม่เฒ่าตุ้ม พร้อมพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพาสเตอร์ ผ่านมาทางอำเภอธาตุพนม ให้แม่เฒ่าตุ้มไว้เป็นที่ระลึก เป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ พระ มหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้นี้ อาจมีส่วนช่วยชุบชูชีวิตให้แม่เฒ่ามี อายุยืนยาวขึ้นอีกด้วยความสุขต่อมาอีกถึง ๓ ปีเต็ม ๆ แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ สิ้นอายุขัยอย่างสงบด้วยโรคชรา เมื่ออายุได้ ๑๐๕ ปี เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หลังจากนั้น ลูกหลานได้สร้างธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิแม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ไว้ ณ หน้าบ้านเลขที่ ๒๒ หมู่ที่ ๑๑ ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในบริเวณพื้นที่ ๒ งาน โดยยกผืนดินดังกล่าวให้เป็นที่ สาธารณประโยชน์สมบัติของแผ่นดิน ภาพที่แม่เฒ่าตุ้ม จันทนิตย์ ทูลเกล้าฯ ถวายดอกบัว ๓ ดอกนี้ ถ่ายภาพ โดย นายอาณัติ บุนนาค ช่างภาพส่วนพระองค์ ซึ่งได้จับภาพในวินาทีสำคัญ นี้ไว้ได้ ภาพนี้ถูกเรียกว่า "ภาพดอกไม้แห่งหัวใจ" ทำให้ประชาชนชาวไทย ซาบซึ้งในพระจริยาวัตรอันงดงามของพระองค์ท่านเป็นอย่างมาก เป็นภาพแห่งความตราตรึงใจและประทับใจของคนไทยทั้งชาติมิลืมเลือน อ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี และวารสารไทย เรียบเรียง : บล็อกเกอร์สุรศักดิ์ ภาพจากอินเตอร์เน็ต : นายอาณัติ บุนนาค =================================================== แหล่งที่มา http://www.oknation.net/blog/surasakc/2009/12/06/entry-1 .............................................................................................................. รูปประทับใจในหลวงเสด็จเยือนแม่สาย ====================================================== แหล่งที่มา http://www.oknation.net/blog/maesai/2008/06/16/entry-1 ............................................................................................................... ในหลวง.. ในใจอาบอซาเคอะ ที่นี่.. เป็นหมู่บ้านของชาติพันธุ์อาข่าค่ะ เราเลือกหมู่บ้านนี้ เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังด้วยเหตุผลที่ว่า.. เมื่อ 38 ปีที่แล้ว ในหลวงได้เคยเสด็จฯ เยี่ยมพี่น้องชนเผ่าที่นั่นค่ะ ด้วยหนทางที่ยากลำบาก ชาวบ้านจึงนำฬ่อมาให้พระองค์ประทับนั่ง จนกลายเป็นภาพความทรงจำที่พี่น้องชาวอาข่าบ้านผาหมี ประทับไว้ในใจมิรู้ลืม อาบอซาเคอะ ผู้อาวุโสชาวอาข่า วัย 61 ปี เป็นผู้ที่ทำให้การไปบ้านผาหมีของดิฉันครั้งนี้ คุ้มค่าจริงๆ ค่ะ (อาบอ.. หรืออาบ๊อ เป็นคำเรียกผู้อาวุโสชาย ในภาษาอาข่านะคะ) ผู้ชายอาข่าคนนี้ ในวันนั้น อายุ 23 ปีค่ะ ... ผู้ชายอาข่าคนเดียวกัน ในวันนี้ อายุ 61 ปีค่ะ ... สามสิบแปดปี อาจนานมากสำหรับบางคน แต่ทว่าสำหรับอาบ๊อแล้ว ภาพต่างๆ ยังกระจ่างชัดราวกับเพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง หมู่บ้านผาหมีในขณะนั้น อยู่ใกล้ชายขอบประเทศมาก เป็นพื้นที่ค่อนข้างเสี่ยงอันตราย ทั้งจากขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ อันตรายจากสงคราม ยังไม่รวมถึงถนนหนทางที่ยากลำบากเกินกว่าที่คนในเมืองจะไปถึง แต่ในหลวงก็ทรงเสด็จฯ มาทรงเยี่ยมผาหมีติดกันหลายครั้ง ในเวลาห่างกันไม่นาน ในตอนนั้น อาบอซาเคอะ ไม่อาจทราบได้เลยว่า การได้มีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทถึงขนาดรินน้ำชาถวายเช่นนี้ สำหรับคนไทยอีกหลายล้านคนแล้ว ถือเป็นบุญวาสนามากขนาดไหน อาบ๊อรู้แค่ว่า ในหลวงทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มีบุญคุณกับชุมชนของแกมาก ทรงนำเอาสิ่งดีๆ เข้ามาในหมู่บ้านมากมาย เพื่อให้ชาวบ้านหยุดปลูกฝิ่น ทรงมาพร้อมกับพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และการก่อสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กๆ ที่นั่น นับตั้งแต่วันที่ในหลวงเสด็จกลับไป จนถึงวันนี้สามสิบแปดปีแล้ว กาลเวลาเปลี่ยนไป หลายอย่างเปลี่ยนไป ความเจริญแบบเมืองเข้ามาในหมู่บ้านมากมาย ผู้คนในหมู่บ้านผาหมีต่างประกอบอาชีพเพื่อความร่ำรวยและมั่นคงของครอบครัว แต่อาบอซาเคอะมีอาชีพ... เลี้ยงวัว อาบอซาเคอะ มีวัวห้าสิบกว่าตัว วัวของอาบ๊อล้วนสืบสายจากวัวแม่พันธุ์ของแกเองกับวัวพ่อพันธุ์พระราชทานในครั้งกระนั้น และอาบ๊อ เป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านเท่านั้น ที่ยังคงเลี้ยงวัวของพระองค์ อาบ๊อเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาๆ ไม่มีซักคำที่แกพูดว่า.. ภูมิใจ แต่สีหน้าและน้ำเสียงของอาบ๊อ.. ก็เดาได้ไม่ยาก ว่าแกรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะ.. ในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงที่เราคุยกัน อาบ๊อพูดเรื่องนี้ซ้ำถึงสองครั้ง อาบ๊อบอกว่า แกมีพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงตอนที่เสด็จผาหมี ดิฉันทำท่ากระตือรือร้นอยากเห็นขึ้นมา แกจึงเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบให้ ภาพที่อาบ๊อมีเก่ามากแล้ว บางส่วนก็เป็นปฏิทินที่แกได้มาจากทางการ อาบ๊อให้ดูปฏิทิน พร้อมอธิบายว่าปฏิทินนี่ ในหมู่บ้านนี้ ได้มาแค่ 9 คนนะ ครั้นดิฉันถามว่าขอยืมไปได้ไหม อาบ๊ออึ้งไป ไม่ตอบค่ะ ดิฉันเดาว่าอาบ๊อคงเข้าใจว่าดิฉันจะยืมภาพในหลวงของแกลงมาในเมืองด้วย จึงรีบบอกแกว่า ขอยืมแป๊บเดียวเอง จะเอากล้องถ่ายเก็บภาพไปค่ะ อาบ๊อให้ยืมทันที และหัวเราะเขิน คงกลัวดิฉันจะว่าแกหวง พอถ่ายเสร็จ แกก็รีบเอาเข้าไปเก็บในบ้านทันที ประดุจของมีค่าชิ้นหนึ่งทีเดียว น่าเสียดายในวันที่เราคุยกันนั้น ทางอำเภอส่งเจ้าหน้าที่มาสำรวจสถานะบุคคลที่หมู่บ้าน อาบ๊อจึงต้องไปร่วมประชุมกับเขาในฐานะชาวบ้านที่ดี จึงมีโอกาสคุยกับอาบ๊อ แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ถึงชั่วโมง แต่อย่างน้อย ดิฉันก็เดาได้แล้วว่า ทำไมภาพทุกอย่างยังกระจ่างชัดในใจของอาบ๊อเสมอมา สำหรับคนบางคน ความรู้สึก คงไม่อาจแสดงออกได้ด้วยคำพูด อาบอซาเคอะก็เช่นกัน ... =========================== แหล่งที่มา http://www.oknation.net/blog/print.php?id=45691 .......................................................................... เดิมพันของเรานั้นสูง ครั้งหนึ่ง เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช กราบบังคมทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า เคยทรงเหนื่อย ทรงท้อบ้างหรือไม่ ครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสตอบว่า ความ จริงมันน่าท้อถอยหรอก บางเรื่องมันน่าท้อถอย แต่ว่าฉันท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของเรานั้นคือบ้านคือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ ข้อมูลจาก ไทยรัฐ ฉบัย 5 ธ.ค.32 ================================= ราษฎรยังอยู่ได้ ปีพุทธศักราช 2513 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จพระราชดำเนินไป เยี่ยมราษฎรในตำบลหนึ่งของอำเภอเมืองพัทลุง อันเป็นแหล่งที่ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ปฏิบัติการรุนแรงที่สุดในภาคใต้ เวลานั้น ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่งล้น ทางกระทรวงมหาดไทยได้กราบบังคมทูลขอให้ทรงรอให้สถานการณ์ดีขึ้นกว่าที่เป็น อยู่เสียก่อน แต่คำตอบที่ทางกระทรวงมหาดไทยได้รับก็คือ ราษฎรเขาเสี่ยง ภัยยิ่งกว่าเราหลายเท่า เพราะเขาต้องกินอยู่ที่นั่นเขายังอยู่ได้ แล้วเราจะขลาดแม้แต่จะไปเยี่ยมเยียนทุกข์สุขของเขาเชียวหรือ คนเราจะอยู่สุขสบายแต่คนเดียวไม่ได้ ถ้าคนที่อยู่ล้อมรอบมีความทุกข์ยาก ควรต้องแบ่งเบาความทุกข์ยากของเขาบ้าง ตามกำลังและความสามารถเท่าที่จะทำได้! ข้อมูลจากคำอภิปรายเรื่อง พระบิดาประชาชน ================================== เขาเดินมาเป็นวัน ๆ มีอยู่ครั้งนึง ข้าพเจ้าอายุ 18 ปี ได้ตามเสด็จตอนนั้นเป็นช่วงหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกจังหวัดและอำเภอใหญ่ๆ ก็เสด็จฯ ประมาณ 9 โมงเช้า เสด็จออกทรงเยี่ยมราษฎรมาเรื่อยๆ ทีนี้ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่า แหมนานเหลือเกิน ตอนนั้นยังไม่กางร่ม ตอนนั้นยังไม่ค่อยกลัวแดด ไม่ใส่หมวก ก็รู้สึกแดดเปรี้ยง หนังเท้านี้รู้สึกไหม้เชียว ก็เดินเข้าไปกระซิบท่านว่า พอหรือยัง ก็โดนกริ้ว นี่เห็นไหมราษฎรเขาเดินมาเป็นวัน ๆ เพื่อมาดูเราแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เรายืนอยู่ไม่เท่าไรล่ะ ตอนนี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว.. พระราชดำรัสสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ วันที่ 11 ส.ค. 2534 ======================== ต่อไปจะมีน้ำ บทความ น้ำทิพย์สาดเป็นสายพรายพลิ้วทิวงาม ทั่วเขตคามชื่นธารา เขียนโดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 5 ธ.ค.2528 ได้เล่าให้ผู้อ่านชาวไทยได้ประจักษ์ถึงเรื่องอัศจรรย์ของ ในหลวง กับ น้ำ ที่เกิดขึ้นในคำวันหนึ่งของเดือน ก.พ.2528 ด้วยความทุกข์ที่เปี่ยมล้นใจอันเนื่องมาจากต้องเผชิญความแห้งแล้งอย่างหนัก หญิงชราคนนึ่งที่มาเข้าเฝ้าฯ รับเสด็จได้คลานเข้ามากอดพระบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กราบบังคมทูลด้วยน้ำตาอาบแก้ม ขอพระราชทานน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสตอบว่า ยายไม่ต้องห่วงแล้วนะ ต่อไปนี้จะมีน้ำ เราเอาน้ำมาให้ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระดำเนินกลับไปยังรถพระที่นั่งซึ่งจอด ห่างออกไปราว 5 เมตร ปรากฎว่าท่ามกลางอากาศที่ร้อนแล้ง จู่ๆ ก็เกิดฝนตกลงมาเป็นครั้งแรกในรอบปี ทำให้ผู้ตามเสด็จและราษฎรในที่นั้นถึงกับงุนงงไปตามๆ กัน ====================== เก็บร่ม การเสด็จพระราชดำเนินทุกครั้ง แม้จะต้องเผชิญกับแดดร้อนหรือลมแรง ราษฎรก็ไม่เคยย้อท้อที่จะอดทนรอรับเสด็จให้ถึงที่สุด แม้ฝนจะตกหนักแค่ไหนก็ไม่มีใครยอมกลับบ้าน ร้อยเอกศรีรัตน์ หริรักษ์ เล่าไว้ในบทความ พระบารมีปกเกล้าฯ ที่อำเภอท่ายาง ตีพิมพ์ในหนังสือ 72 พรรษาราชาธิราชเจ้านักรัฐศาสตร์ ว่า ครั้งหนึ่งที่โครงการห้วยสัตว์ใหญ่ เมื่อเฮลิคอปเตอร์พระที่นั่งมาถึง ปรากฎว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก ราษฎรและข้าราชการที่มาเข้าแถวรอรับเสด็จต่างเปียกปอนกันหมด แต่ก็ยังตั้งแถวเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่อย่างนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ นายตำรวจราชองค์รักษ์ที่ตามเสด็จได้เข้าไปกางร่มถวาย ทรงทอดพระเนตรเห็นบรรดาข้าราชการและราษฎรที่มายืนตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่ต่าง ก็เปียกฝนโดยทั่วกัน จึงมีรับสั่งให้นายตำรวจราชอครักษ์เก็บร่ม แล้วทรงพระดำเนินเยี่ยมข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเสด็จ โดยทรงเปียกฝนเช่นเดียวกับข้าราชการ และราษฎรทั้งหลายที่ยืนรอรับเสด็จในขณะนั้น =============================== สิ่งที่ทรงหวัง ครั้งหนึ่งขณะเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศคนหนึ่งได้ขอพระราชทานสัมภาษณ์ และได้กราบบังคมทูลถามว่า การที่เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรและมีโครงการตามพระราชดำริเกิดขึ้นมากมายนั้น ทรงหวังว่าจะให้คอมมิวนิสต์น้อยลงใช่หรือไม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรบสั่งตอบว่า มิได้ทรงสนพระทัยว่าคอมมิวนิสต์จะน้อยลงหรือไม่ แต่ทรงสนพระทัยว่าประชาชนของพระองค์จะหิวน้อยลงหรือไม่ ==========================
รักถึงเพียงนี้ และ จุดเทียนส่งเสด็จ บทความชื่อ แผ่นดินร่มเย็นที่นราธิวาส ตีพิมพ์ในนิตยสาร สู่อนาคต ฉบับพิเศษเนื่องในวันเฉลิมฯ ได้เล่าย้อนให้เราได้เห็นภาพความยากลำบากในการเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทางภาใต้เมื่อหลายปีก่อน โดยเฉพาะช่วงก่อนสร้างพระราชตำหนักทักษิณราชนิเวศน์นั้น เป็นที่รู้กันว่าจังหวัดนราธิวาสชุกชุมไปด้วยโจรร้าย โจรปล้นสะดมและพวกโจรเรียกค่าไถ่ ถึงขนาดที่ในหลายๆ หมู่บ้านนั้น แม้แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐก็ไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ทว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักในทุกข์อันลึกล้ำของชาวบ้านที่ทั้งทุกข์เพราะยากจน และทุกข์เพราะภัยคุกคาม จึงได้เสด็จฯ ลงไปเยี่ยมเยียนเป็นขวัญกำลังใจให้ราษฎรของพระองค์โดยไม่ทรงหวาดหวั่น บางวันถึงกับเสด็จฯ เป็นการส่วนพระองค์โดยปราศจากกำลังอารักขา และบางหมู่บ้านตำรวจเพิ่งถูกคนร้ายแย่งปืนแล้วยิ่งตายก่อเสด็จไปถึงเพียงไม่ กี่ชั่วโมง ทรงรักราษฎรถึงเพียงนี้ จึงไม่แปลกที่หญิงชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนึ่งของอำเภอรือเสาะจะเข้ามาเกาะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวร้องไห้แล้วบอกว่า ไม่นึกเลยว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไทยชาวพุทธ จะมารักมุสลิมได้ถึงขนาดนี้ บทความเดียวกันได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า ที่อีกหมู่บ้านหนึ่งในอำเภอเดียวกันนั้น โต๊ะครูได้พาพรรคพวกมายืนรอรับเสด็จแล้วพูดขึ้นว่า ..รายอกลับไปเถอะ ประไหมสุหรีกลับไปเถิด ประเดี๋ยวพวกโจรจะลงจากเขา และเมื่อถึงเวลาเสด็จฯ กลับที่มืดสนิทอย่างน่ากลัว โต๊ะครูกับชาวบ้านก็พากันมาจุดเทียนส่งเสด็จตลอดเส้นทางอันตราย ด้วยความห่วงใยใน รายอ และ ประไหมสุหรี หรือ พระราชาพระราชินีของพวกเขาอย่างสุดซึ้ง ============================== รถติดหล่มกับถนนสายนั้น หากย้อนกลับไปค้นหาจุดเริ่มต้นของพระราชกรณียกิจในด้านการพัฒนาแล้ว ชื่อของ ลุงรวย และ บ้านห้วยมงคล คือสองชื่อที่ลืมไม่ได้ เรื่องราวของ ลุงรวย เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2495 หรือมากกว่าห้าสิบปีล่วงมาแล้ว ที่บ้านห้วยมงคล ตำบลหินเหล็กใน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บ้านห้วย มงคลนี้อยู่ทั้ง ใกล้และไกล ตลาดหัวหิน ใกล้เพราะระยะทางที่ห่างกันนั้นไม่กี่กิโลเมตร แต่ไกลเพราะไม่มีถนน หากชาวบ้านจะขนพืชผักไปขายที่ตลาดต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ห่างไกลความเจริญถึงเพียงนี้ แต่วันหนึ่งกลับมีรถยนต์คันหนึ่งมาตกหล่มอยู่ที่หน้าบ้านลุงรวย เมื่อเห็นทหารตำรวจกว่าสิบนายระดมกำลังกันช่วยรถคันนั้นขึ้นจากหล่ม ลุงรวยผู้รวยน้ำใจสมชื่อก็กุลีกุจอออกไปช่วยทั้งงัด ทั้งดัน ทั้งฉุด จนที่สุดล้อรถก็หลุดจากหล่ม เมื่อรถขึ้นจากหล่มแล้ว ลุงรวยจึงได้รู้ว่ารถคันที่ตัวทั้งฉุดทั้งดึงนั้นเป็นรถยนต์พระที่นั่งและคน ในรถนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระราชินีนาถ แม้จะตื่นเต้นตกใจที่ได้เฝ้าฯ ในหลวงอย่างไม่คาดฝัน แต่ลุงรวยก็ยังจำได้ว่าวันนั้น ในหลวง มีรับสั่งถามลุงว่า หมู่บ้านนี้มีปัญหาอะไรบ้าง.. ลุงได้กราบบังคมทูลว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดคือไม่มีถนน จึงนอกจากจะโชคดีได้รับพระราชทาน เงินก้นถุง จำนวน 36 บาท ซึ่งลุงนำไปเก็บใส่หีบบูชาไว้เป็นสิริมงคลจนถึงทุกวันนี้แล้ว อีกไม่นานหลังจากนั้น ลุงรวยก็ได้เห็นตำรวจพลร่มกลุ่มหนึ่งเข้ามาช่วยกันไถดินที่บ้านห้วยมงคล และเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ชาวบ้านก็ได้ถนนพระราชทาน ถนนห้วยมงคลที่ทำให้ชาวไร้ห้วยมงคลสามารถขนพืชผักออกมาขายที่ตลาดหัวหินได้ ภายในเวลาเพียง 20 นาที ============================ สามร้อยตุ่ม มีหลายหนที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงตางๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวจะยังทรงทอดพระเนตรแผนที่อยู่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผ้ส่องถวายอยางไม่สะ ดุ้นสะเทือน อย่างมากที่ทรงทำคือโบกพระหัตถ์ปัดไล่เบาๆ เท่านั้น ครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง ยุง ด้วยพระอารมณ์ขันว่า .. ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่ เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแตง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี.. ==================================== น้ำท่วมครั้งนั้น วันที่ 7 พ.ย. 26 ขณะที่ชาวกรุงเทพมหานครส่วนหนึ่งกำลังทนทุกข์หนักกับสภาพน้ำท่วมขัง น้อยคนที่จะรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพยายามหาหนทางบรรเทาทุกข์ให้พวกเขาอยู่อย่างเงียบ ๆ วันนั้นรถพระที่นั่งแวนแวคคอนเนียร์ แล่นออกจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ราวบ่ายสองโมงเศษ สู่ถนนศรีอยุธยาเลี้ยวขวาเข้าถนนเพชรบุรี มุ่งสู่ถนนบางนาตราด ไม่มีหมายกำหนดการ ไม่มีการปิดถนน แม้แต่ตำรวจท้องที่ก็ไม่ทราบล่วงหน้า รถยนต์พระที่นั่งชะลอเป็นระยะๆ เพื่อทรงตรวจดูระดับน้ำ จนเมื่อถึงคอสะพานสร้างใหม่ที่คลองลาดกระบัง จึงเสด็จลงจากรถยนต์พระที่นั่งเพื่อทรงหารือกับเจ้าหน้าที่ที่ตามเสด็จ ทรงฉายภาพด้วยพระองค์เอง ทรงกางแผนที่ทอดพระเนตรจุดต่างๆ จนถึงเวลาบ่ายคล้อย รถยนต์พระที่นั่งจึงแล่นกลับ เมื่อถึงสะพานคลองหนองบอน รถพระที่นั่งหยุดเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉายภาพบริเวณน้ำท่วม และทรงศึกษาแผนที่ร่องน้ำอีกครั้ง ปรากฎว่าชาวบ้านทราบข่าวว่า ในหลวงมาดูน้ำท่วม ต่างก็พากันมาชมพระบารมีนับร้อยๆ คน จนทำให้การจราจรบนสะพานเกิดการติดขัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงโบกพระหัตถ์ให้รถขบวนเสด็จผ่านไปจนเป็นที่เรียบร้อยด้วยพระองค์เอง ============================ เชื่อมั่น เย็นย่ำแล้วแต่ขบวนรถยนต์พระที่นั่งยังไม่หมดภารกิจ เมื่อรถวิ่งกลับมาทางถนนพัฒนาการ ทรงแวะฉายภาพบริเวณคลองตัน ทอดพรเนตรระดับน้ำแล้วทรงวกกลับมาที่คลองจิก เวลานั้นฟ้ามืดแล้วเพราะเป็นเวลาจวนค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงนำไฟฉายส่วนพระองค์ออกมาส่องแผนที่ป้องกัน น้ำท่วมและแนวพนังกั้นน้ำอยู่เป็นเวลานาน กลายเป็นอีกภาพหนึ่งที่สร้างความตื้นตันใจแก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ อย่างยิ่ง ประชาชนคนหนึ่งในละแวกเคหะนคร 1 แขวงบางบอน เขตประเวศ บอกว่า รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยทุกข์ของราษฎร เสด็จฯ มาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยพระองค์เอง พวกเราถึงจะทนทุกข์เพราะน้ำท่วมขังเน่ามาเป็นเวลานานก็เชื่อมั่นว่าพระองค์ ทรงช่วยพวกเราได้อย่างแน่นอน =============================== ฉันทนได้ ในเดือนหนึ่งของปี 2528 พระทนต์องค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหักเฉียดโพรงประสาทฟัน พระทนต์องค์นั้นต้องการการถวายการรักษาเร่งด่วน แต่ขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังประสบปัญหาอุทกภัย ต้องการการบรรเทาทุกข์เร่งด่วนเช่นกัน เมื่อทันตแพทย์เข้ามาถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า จะใช้เวลานานเท่าใด ทันตแพทย์กราบบังคมทูลว่า อาจต้องใช้เวลา 1-2 ชม. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ขอรอไว้ก่อนนะ ฉันทนได้ วันนี้ขอไปดูราษฏรและช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมก่อน =========================== คำสอนประโยคเดียว เมื่อนิตยสาร สไตล์ ฉบับปี 2530 ได้ตั้งคำถามกับ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ถึง คำสอน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ประทับอยู่ในหัวใจ ดร.สุเมธ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเลขานุการ กปร. ตอบว่า คำสอน ประโยคเดียวก็เกินพอนั้นคือพระราชดำรัสที่ว่า มาอยู่กับฉันนั้น ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากความสุขที่จะมีร่วมกันในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ====================== ดีใจที่สุด สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์มืดมน พระบรมฉายาลักษณ์ไม่เพียงเป็นรูปเคารพบูชา แต่ยังเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความศรัทธาที่ช่วยให้มีแรงต่อสู้กับความทุกข์ต่อไปได้ ดังคุณยายละเมียด แสงเนียมวัย 72 ปี ชาวจังหวัดชุมพร ผู้ที่เผชิญกับอุทกภัยภาคใต้ในปี 2540 น้ำท่วมบ้านสูงมากจนอยู่อาศัยไม่ได้ อยู่ๆ น้ำก็ท่วมมาเร็วมาก ยายต้องไปขออาศัยบ้านคนอื่นเขาอยู่ ต่อมาก็ขึ้นไปอยู่ชั้นบน ออกไปไหนไม่ได้เลย พอดีที่บ้านนี้เขาปลูกมะละกอ ต้นมันสูงมาถึงหน้าต่างเราก็เอื้อมถึงพอดี เลยได้กินข้าวกับมะละกอ ก็กินมาสามวัน มาเมื่อวานผู้ใหญ่บ้านมาบอก มูลนิธิในหลวงจะเอาของมาแจกยายคิดเลยว่า ไม่อดตายแล้ว ทุกครั้งที่คนไทยเดือดร้อน ในหลวงจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้ง ของที่ยายได้มา ที่ดีใจที่สุดคือมีรูปของท่านมาด้วย ที่บ้านเสียหายหมดแล้ว ยายจะเอารูปท่านไว้บูชา ยายพูดแล้วก็ก้มลงกราบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยความจงรักสุดหัวใจ ====================== ทุกข์บรรเทา การประทับอยู่ในบ้านเมือง ดังพระราชดำรัสนั้น ในเวลาต่อมาก็เป็นที่รู้กันว่ามิได้หมายถึงการประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่า นั้น แต่ยังเสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์จนแทบจะทั่วทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้ ทรงวิทย์ แก้วศรี ผู้เรียบเรียงบทความ บรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐ บันทึกไว้ว่า วันที่ 13 ก.ย 2497 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 26 พรรษา และทรงครองราชย์เป็นปีที่ 8 ปรากฎว่าเกิดเหตุการณ์อัคคีภัยครั้ง ร้ายแรงขึ้นที่อำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยือนราษฎรชาวบ้านโป่งผู้ประสบภัยในพื้นที่ ทรงทอดพระเนตรบริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของบรรเทาทุกข์ ทุกข์ในยามยากเพราะสิ้นเนื้อประดาตัวจากภัยเพลิงนั้นมากล้น แต่เมื่อได้รู้ว่ายังมีใครสักคนคอยเป็นกำลังใจ ทุกข์สาหัสแค่ไหนก็ยังพอมีแรงกายลุกขึ้นสู้ต่อได้ การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรผู้ประสบภัยในครั้งนั้น นับได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัดเป็นครั้งแรกในรัชกาล ======================== 141 ตัน เป็นที่รู้กันดีว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเริ่มเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 และหลังจากนั้นบัณฑิตทุกคนก็เฝ้ารอที่จะได้รับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระหัตถ์อย่างใจจดใจจ่อ ภาพถ่ายวันรับพระราชทานปริญญาบัตรกลายเป็นของ ล้ำค่าที่ต้องประดับไว้ตามบ้านเรือนและเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของหนุ่ม สาวและความภาคภูมิใจของบิดามารดา จน 29 ปีต่อมามีผู้คำนวณให้ฉุกใจคิดกันว่าพระราชภารกิจในการพระราชทานปริญญาบัตร นั้นเป็นพระราชภารกิจที่หนักหน่วงไม่น้อย หนังสือพมพ์ลงว่าหากเสด็จฯพระราชทานปริญญาบัตร 490 ครั้ง ประทับครั้งละราว 3 ชม. เท่ากับทรงยื่นพระหัตถ์พระราชทานใบปริญญาบัตร 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด รวมน้ำหนักทั้งหมดที่พระราชทานมาแล้ว 141 ตัน ไม่เพียงเท่านั้น ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ยังเล่าเสริมให้เห็น ความละเอียดอ่อนในพระราชภารกิจ ที่ไม่มีใครคาดถึงว่า ไม่ได้พระราชทานเฉยๆ ทรงทอดพระเนตรอยู่ตลอดเวลา โบหลุดอะไรหลุดพระองค์ท่านทรงผูกโบว์ใหม่ให้เรียบร้อย บางครั้งเรียงเอกสารไว้หลายวัน ฝุ่นมันจับ พระองค์ท่านก็ทรงปัดออก ====================== สุขเป็นปี ๆ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ทรงลดการเสด็จฯ พระราชทานปริญญาบัตรลงบ้าง โดยอาจงดเว้นการพระราชทานปริญญาบัตรในระดับป.ตรี คงไว้แต่เพียงระดับปริญญาโทขึ้นไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับมีพระราชกระแสรับสั่งตอบว่า พระองค์เองเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาทีนั้น แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปี ๆ เปรียบกันไม่ได้เลย ที่สำคัญคือ ทรงเห็นว่าการพระราชทานปริญญาสำหรับผู้สำเร็จป.ตรี นั้นสำคัญ เพราะบางคนอาจไม่มีโอกาสศึกษาชั้นปริญญาโทและปริญญาเอก ดังนั้น จะพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตปริญญาตรีไปจนกว่าจะไม่มีแรง.. ======================== พระมหากษัตริย์ เมื่อมีผู้สื่อข่าว bbc ขอพระราชทานสัมภาษณ์เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง The Soul of Nation ในปี 2522 โดยได้กราบบังคมทูลถามถึงพระราชทัศนะเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ไทย พระองค์ได้พระราชทานคำตอบว่า การที่จะอธิบายว่าพระมหากษัตริย์ คืออะไรนั้น ดูเป็นปัญหาที่ยากพอสมควร โดยเฉพาะในกรณีของข้าพเจ้า ซึ่งถูกเรียกโดยคนทั่วไปว่า พระมหากษัตริย์ แต่โดยหน้าที่ที่แท้จริงแล้ว ดูจะห่างไกลจากหน้าที่ที่พระมหากษัตริย์ที่เคยรู้จักหรือเข้าใจกันมาแต่ก่อน หน้าที่ของข้าพเจ้าในปัจจุบันนั้น ก็คือทำอะไรก็ตามที่เป็นประโยชน์ ถ้าถามว่า ข้าพเจ้ามีแผนการอะไรบ้างในอนาคต คำตอบก็คือ ไม่มี เราไม่ทราบว่าอะไรจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้วสำหรับเรา ===============================
"ทดแทนคุณพระเจ้าแผ่นดิน ตราบเท่าชีวินยังคงมี"
30 พฤศจิกายน 2554 11:33 น. - comment id 127537
เรารักในหลวง
30 พฤศจิกายน 2554 11:35 น. - comment id 127538
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
30 พฤศจิกายน 2554 12:26 น. - comment id 127542
ขอจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเทอญ
30 พฤศจิกายน 2554 12:57 น. - comment id 127544
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
30 พฤศจิกายน 2554 13:40 น. - comment id 127546
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
30 พฤศจิกายน 2554 14:40 น. - comment id 127548
พระองค์...ทรงเป็นยิ่งกว่า...เทพยดา... ของปวงข้าฯ เหล่าพสกนิกร ชาวไทย... ขอน้อมเกล้า...ถวายพระพร... ขอจงทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง... มีพระราชหฤทัยที่เข้มแข็ง... และมีพระชนมายุ ยิ่งยืนนาน....
30 พฤศจิกายน 2554 16:18 น. - comment id 127549
ซาบซึ้ง ที่สุดแล้วชีวิต...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
30 พฤศจิกายน 2554 21:27 น. - comment id 127552
เราไม่ได้เห็นรอยยิ้ม ของพระองค์มานานแค่ไหนแล้ว อ่านเร่ื่องราวนี้แล้ว ประทับใจสุดๆค่ะ
1 ธันวาคม 2554 11:28 น. - comment id 127567
ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
1 ธันวาคม 2554 14:03 น. - comment id 127580
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ
1 ธันวาคม 2554 14:15 น. - comment id 127582
ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ ปล.อ่านยังไม่จุใจเลย มีอีกป่าว
2 ธันวาคม 2554 10:01 น. - comment id 127593
............ ประทับใจจริงๆจ้ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ....................
5 ธันวาคม 2554 09:52 น. - comment id 127636
" พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพล อดุลยเดช มหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร " สมพระนามความยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน... สมพระนามสยามมินทร์เทวินทร์ฟ้า สมพระนามความภูมิใจไทยประชา สมพระนามธรรมราชา..สง่างาม ! ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙ ไม่มีมหากษัตริย์ ชัดยิ่งกว่า ไม่มีมหาราชา ยิ่งกว่านี้ ไม่มีคำ เกินจักย้ำ พร่ำวจี ไม่มีจักรีนฤบดินทร์ ..คงสิ้นไทย และวันนี้ พร้อมพลีภักดิ์... อัครจักรีกษัตรา ของมหาประชาราษฎร์ ! " ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน " ๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙๙
11 กันยายน 2555 14:09 น. - comment id 130277
ทรงพระเจริญนะค่ะ
11 กันยายน 2555 14:12 น. - comment id 130278
ขอให้พระองค์ยิงยืนนาน
11 กันยายน 2555 14:14 น. - comment id 130279
ขอให้พระองค์อยู่กับพวกเราไปนาน
11 กันยายน 2555 14:16 น. - comment id 130280
รักพระองค์