ระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคมที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม (มมส.) จัดการประชุมปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นการจัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่โรงแรมภูแก้วฮิลล์รีสอร์ท อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ มีการบันทึกเทปไว้ด้วย โดยศูนย์พัฒนาทรัพยากรการศึกษาของมหาวิทยาลัย ทางศูนย์ดังกล่าว จึงได้นำเทปมาแพร่ภาพและเสียงผ่านเว็บไซด์ประจำสถาบันwww.msu.ac.th ด้วยระบบวีดีโอดีมานด์ โดยมีผู้บริหารและตัวแทนหลายฝ่าย เข้าร่วมประชุม มีผู้นำการประชุมคือ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายกสภามหาวิทยาลัย รศ.ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ที่ปรึกษาอธิการบดีและอดีตอธิการบดี และ ศ.นพ.อดุลย์ วิริยเวชกุล(ราชบัณฑิต) อธิการบดี เป็นต้น นายมีชัย กล่าวถึงร่าง พรบ.มมส. ฉบับใหม่ว่า ตอนที่ยกร่างฉบับนี้ มีการว่างกรอบ ระเบียบการทำงานของฝ่ายบริหารไว้เป็นอย่างดี มีการกำหนดบทบาทหน้าที่ฝ่ายต่างๆของมหาวิทยาลัย ให้รุดหน้ากว่ามหาวิทยาลัยอื่นๆ แต่พอมาถึงวันนี้ ร่างพรบ.เริ่มจะเหมือนหรืออาจด้อยกว่าร่างพรบ.ของมหาวิทยาลัยอื่นๆแล้ว ซึ่งควรจะคุยกัน เพราะถ้าได้วางกรอบไว้ดีแล้วจะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนา แต่ถ้าวางกรอบไว้ไม่ดีจะเป็นเหมือนโซ่ตรวนถ่วงความเจริญของมหาวิทยาลัย เพราะต้องเข้าใจว่า มหาวิทยาลัยมีการบริหาร 2 ระบบที่ใกล้เคียงกัน คือมีทั้งในระบบ หมายถึงการบริหารแบบราชการ และนอกระบบ หมายถึงการบริหารไม่ใช่แบบราชการ ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยจัดการบริหารแบบนอกระบบเหมือนระบบราชการ ทั้งที่ความจริงการบริหารแบบนอกระบบ มีความเป็นอิสระ มหาวิทยาลัยสามารถคิดกลวิธีใดก็ได้ แต่ไม่เห็นมีใครคิดถึงจุดนี้ เมื่อใดก็ตามมีคนคิดบริหารนอกระบบที่ดีเป็นรูปธรรม และสามารถเป็นแนวทางในการพัฒนามหาวิทยาลัยที่ดีได้ สภามหาวิทยาลัยพร้อมให้การสนับสนุนเต็มที่ นากยกสภามหาวิทยาลัยได้เปรียบเทียบร่างพรบ.มมส.กับร่างพระราชกฤษฎีกาวิธีการบริหารบ้านเมืองที่ดี ที่รัฐบาลจะประกาศใช้ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ควรไปในแนวทางเดียวกัน เพราะเป็นร่างกฎหมายที่ดี และยังกล่าวเพิ่มเติมว่า พรก.วิธีการบริหารบ้านเมืองที่ดี จะเป็นตัวกระตุ้นการทำงานตัวเป็นเกลียว เพราะต้องมีแผนก่อนทำงานว่ามีอะไรบ้าง เพื่อบีบบังคับคนที่ชอบเอางานมาผ่านโต๊ะตัว โดยที่ไม่ได้เสนออะไร ซึ่งจะเห็นกันมาก เช่น หนังสือถึงอธิการฯ จะมีคนเซ็นหนังสือมาเยอะ แล้วถามว่าเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นมา คนที่เซ็นหนังสือเหล่านี้ มักบอกว่า ก็ผมไม่ได้ว่าอะไร ฉะนั้นผมก็ไม่ควรมีความผิด เมื่อไม่มีความผิด คนก็ชอบเซ็นกัน แล้วนับเป็นผลงาน นับเป็นวาระงาน ดังนั้นในร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ เขาจึงกำหนดว่าต่อไปนี้ ใครก็ตามมีชื่อเซ็นแม้เพียงนิดเดียว แม้ไม่พูดอะไรเลย เกิดเสียหาขึ้นมา คนนั้นต้องรับผิดชอบด้วย ถ้าเสียหายไปร้อยล้านก็เอามาเฉลี่ยกัน หวังไว้ว่าจะสามารถช่วยตัดคนที่ไม่มีหน้าที่อะไร แต่อยากเซ็นออกไป รศ.ดร.ภาวิช กล่าวว่า หลัง พรบ.มมส. ประกาศใช้ บุคลากรที่เข้ามาใหม่ จะถูกเรียกรวมๆว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจริงๆแล้วข้าราชการก็เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐอยู่แล้ว แต่จะใช้ให้เรียกเป็นคำเฉพาะไม่ใช่คำสามัญ อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อยุติในด้านกฎหมาย ทางนายกรัฐมนตรีได้ให้ทางออกว่า ถ้าใครอยากใช้คำว่าข้าราชการก็เรียกข้าราชการ อาจไม่เหมือนข้าราชการพลเรือนหรือมหาวิทยาลัย แต่เป็นข้าราชการตามด้วยชื่อหน่วยงาน ขณะนี้เริ่มนำไปใช้บ้างแล้ว เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกว่า ข้าราชการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ มมส. เองยังใช้คำว่าพนักงานวิชาการ และถ้าจะแก้ไขสามารถแก้ไขได้ เพราะยังเป็นแค่ร่าง พรบ.อยู่ ศ.นพ.อดุลย์ กล่าวตอนท้ายว่า ต้องดูโดยรวมของมหาวิทยาลัยก่อนจะดำเนินการสิ่งใด เพื่อป้องกันการหลงทาง หลุดออกจากกระแสโลกาภิวัฒน์ไป และต้องสามารถตอบสนองความต้องการทางการบริการวิชาการแก่ลูกค้า นั่นคือนิสิตนั่นเอง การดูโดยรวมต้องเริ่มดูตัวเราเองก่อน ซึ่งในปี 2547 มมส.มีงบดำเนินการ 68 ล้านบาท งบลงทุน 239ล้านบาท เป็นสิ่งที่น่ายินดีเพราะมีมหาวิทยาลัยของเราและ ม.ทักษิณเท่านั้น ที่ได้งบเพิ่มขึ้น ส่วนมหาวิทยาลัยอื่นๆนั้นถูกปรับงบลดลง ซึ่งถ้าปีต่อไปอาจจะถูกปรับงบลดลงบ้าง ก็อย่าได้เสียใจหรือวิตกกังวล เป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นมหาวิทยาลัยจึงควรหารายได้ส่วนอื่นๆ เพื่อรองรับอนาคตวันข้างหน้า อย่างก็ตามในระหว่างปี 2545-2546ที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง54 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบรายได้ปีก่อนหน้านั้น ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีบุคลากร 1,471 คน มีลูกจ้างชั่วคราวมากที่สุดเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่นๆราว 700 คน ซึ่งรับเข้ามาทำงานในแบบอุปการะคุณ มีตำแหน่งทางวิชาการ ระดับผู้ช่วยศาสตราจารย์มีจำนวนพอสมควร ระดับรองศาสตราจารย์ 31 คน ส่วนศาสตราจารย์ประจำคณะต่างๆมีน้อยมาก ซึ่งจะต้องส่งเสริมให้มีในสัดส่วนที่สมดุลกัน และจำนวนนิสิตทั้งหมดเกือบ 20,000 คน ภาคปกติประมาณ 6,000คน ภาคพิเศษราว 14,000 คน การมีนิสิตภาคพิเศษอัตราสูง ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ทำให้มหาวิทยาลัยขยายตัวได้เร็วขึ้นเช่นกัน การประชุมครั้งนี้ ยังมีรองอธิการบดีฝ่ายต่างๆ ตัวแทนจากสภาคณาจารย์ ข้าราชการสาย ข-ค และหน่วยในสังกัดของมหาวิทยาลัยเข้าร่วมอภิปรายร่างพรบ.มหาวิทยาลัยมหาสารคามอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อให้ได้ร่างพรบ.ที่ดีที่สุด ก่อนที่จะส่งให้ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาต่อไป.
11 กันยายน 2546 17:08 น. - comment id 69567
ดีจังที่เราได้ทราบข่าวแบบนี้ เราพยายามที่จะเข้าไปฟังการสัมมนาทางเน็ตแล้วแต่ไม่สามารถทำได้ นิติมาสรุปให้ฟังแบบนี้ก็ดีเลย หวังว่ามหาลัยของเราจะมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นนะ แต่ถ้าหากว่าค่าใช้จ่ายของนิสิตเพิ่มมากกขึ้นกว่าเดิมก๋แย่เหมือนกัน โดยเฉพาะนิสิตที่มีผู้ปกครองรายได้น้อยน่ะ