วัชรเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตร
คีตากะ
ข้าพเจ้าได้สดับมาดั่งนี้ ว่าครั้งหนึ่งเมื่อสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวนารามวิหาร ในอุทยานของท่านอนาถบิณฑิกะใกล้กรุงสาวัตถี พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ 1,250 รูป
วันนั้นเมื่อได้เวลาบิณฑบาตโปรดสัตว์ สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงครองจีวร สังฆาฏิ ทรงบาตร แล้วเสด็จพุทธดำเนินไปในนครสาวัตถี ทรงบิณฑบาตตามบ้านเรือนไปตามลำดับ เมื่อทรงกิจเสร็จแล้วเสด็จกลับที่ประทับเสวยภัตตาหารเพล จากนั้นทรงปลดสังฆาฏิ เก็บบาตรขึ้น ชำระพระบาท ทรงลาดอาสนะ แล้วประทับนั่ง
ครั้งนั้นพระสุภูติมหาเถระได้ลุกขึ้น ลดจีวรไหล่ขวาพาดเฉวียงบ่าซ้าย แล้วคุกเข่าประคองอัญชลีทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงติดตามสั่งสอน ชี้ทาง และวางพระทัยในปวงพระโพธิสัตว์อยู่เป็นนิจ ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากกุลบุตรกุลธิดาปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้วไซร้ เขาและเธอควรตั้งจิตและควบคุมจิตของตนอย่างไร พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “สาธุ สุภูติ ที่เธอกล่าวนั้นเป็นความจริงทีเดียว ตถาคตได้ติดตามสั่งสอน ชี้ทาง และวางใจในปวงพระโพธิสัตว์อยู่เป็นนิจ จงตั้งใจฟัง เราจักแสดงแก่เธอ หากกุลบุตรกุลธิดาปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้วไซร้ เขาควรตั้งจิตและโน้มนำจิตของตนอย่างนี้”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์มีความปลาบปลื้มยินดี เฝ้าคอยสดับอยู่”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ปวงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ควรจักตั้งจิตและโน้มนำจิตของตนอย่างนี้ว่า สรรพสัตว์ไม่ว่าจักเป็นเหล่าใดๆ จักเกิดจากฟองไข่ก็ดี เกิดจากครรภ์ก็ดี เกิดจากคราบไคลความชื้นหรือผุดเกิดขึ้นเองก็ดี จักมีรูปหรือไม่มีรูปก็ดี จักมีสัญญาหรือไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี เราจักต้องสั่งสอน ชี้ทาง ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นบรรลุนิพพานได้วิมุติ หลุดพ้นเป็นอิสระ และเมื่อสรรพสัตว์อันไม่สิ้นสุด ไม่มีประมาณนี้ลุถึงความเป็นอิสระแล้ว เราย่อมไม่คิดเลยว่าสัตว์ใดลุถึงความอิสระ
ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่า ถ้าพระโพธิสัตว์ยังมีจิตยึดมั่นผูกพันอยู่ด้วยตัวตน บุคคล สัตวะและชีวะแล้วไซร้ นั่นหาชื่อว่าพระโพธิสัตว์แท้จริงไม่”
“อนึ่ง สุภูติ เมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทาน ท่านย่อมไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับสิ่งใด กล่าวคือ ไม่ยึดรูป ไม่ยึดเสียง ไม่ยึดกลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์ สุภูติเอย พระโพธิสัตว์พึงมีจิตใจเช่นนี้ในการบำเพ็ญทาน คือไม่ยึดมั่นอยู่กับสัญญาใดๆ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า ก็เพราะเหตุว่าเมื่อพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานด้วยความไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับสัญญาใดๆ แล้ว ความปิติปราโมทย์ที่ได้รับย่อมไม่อาจประมาณได้เลย สุภุติ เธอคิดว่าอวกาศในฟากฟ้าตะวันออกเป็นสิ่งที่จะวัดประมาณได้ละหรือ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า”
“สุภูติ แล้วอวกาศในฟากฟ้าตะวันตก ด้านใต้ และด้านเหนือเล่า ตลอดจนอวกาศทิศเบื้องบนและเบื้องล่างจักเป็นสิ่งที่วัดประมาณได้อยู่ฤา”
“หามิได้ พระเจ้าข้า”
“ดูก่อนสุภูติ หากพระโพธิสัตว์ไม่คิดยึดมั่นผูกพันอยู่กับสิ่งใดในการบำเพ็ญทานแล้ว ความปิติปราโมทย์ซึ่งได้จากการบำเพ็ญทานนั้น ย่อมไพศาลดุจห้วงอวกาศซึ่งไม่อาจประมาณนั้นแล สุภูติ พระโพธิสัตว์พึงตั้งจิตดังคำสอนที่ตถาคตได้กล่าวแสดงนี้”
“ดูก่อนสุภูติ เธอมีความคิดเห็นเป็นไฉน การเห็นตถาคตนั้นจักพึงเห็นได้ด้วยรูปลักษณะฤาหนอ”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค หามิได้ พระเจ้าข้า เมื่อพระตถาคตตรัสถึงรูปลักษณะ แท้จริงแล้วมิได้มีรูปลักษณะอยู่เลย”
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแก่สุภูติ “ที่ใดมีรูปลักษณะที่นั่นมีมายา ถ้าสามารถเห็นแจ้งว่าธรรมชาติของรูปลักษณะทั้งปวงไร้รูป ก็ย่อมเห็นตถาคตได้”
ภิกษุสุภูติกราบทูลพระผู้มีพระภาค “ในกาลข้างหน้ายังจักมีสัตว์ใด เมื่อได้สดับพระธรรมคำสอนนี้แล้ว บังเกิดศรัทธาเลื่อมใสอย่างแท้จริงขึ้นได้หนอ”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “อย่ากล่าวอย่างนั้นสิ สุภูติ เมื่อตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานล่วงำปแล้วห้าร้อยปี ก็ยังจะมีผู้ได้เสวยรสธรรมจากการปฏิบัติตามพระสัทธรรมนี้ เมื่อบุคคลเช่นนั้นได้ฟังพระธรรมคำสอนนี้ เขาจักบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสว่าพระธรรมนี้คือสัจจะ ดังนั้นแล้วจงสำเหนียกไว้เถิด ว่าบุคคลนั้นหาได้ปลูกฝังกุศลมูลเพียงในกาลสมัยแห่งพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว หรือในกาลสมัยแห่งพระพุทธเจ้าสอง สาม สี่ หรือห้าพระองค์เท่านั้น แท้จริงแล้วเขาได้สั่งสมบุญกุศลมาตลอดพุทธสมัยแห่งพระพุทธเจ้าอเนกอนันต์นับพันนับหมื่นพระองค์ บุคคลใดได้สดับพระธรรมซึ่งตถาคตได้ตรัสแสดง แล้วบังเกิดศรัทธาด้วยจิตบริสุทธิ์สว่างไสวแม้เพียงชั่วขณะจิตเดียว ตถาคตย่อมเห็นและรู้ว่าบุคคลนั้นจักบังเกิดปีติปราโมทย์อย่างไม่อาจประมาณได้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น
“ก็เพราะเหตุว่า บุคคลเช่นนั้นไม่ยึดมั่นอยู่กับความคิดเนื่องด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ เขาไม่ยึดมั่นอยู่กับความคิดเกี่ยวกับธรรมและอธรรม ไม่ยึดมั่นว่านี่คือรูปลักษณะ นั่นมิใช่รูปลักษณะ เช่นนั้นเพราะเหตุใด ก็เพราะว่า ถ้าบุคคลยึดมั่นอยู่กับความคิดเกี่ยวกับธรรม จิตบุคคลนั้นก็ยังผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ ถ้าเขายึดมั่นอยู่กับความคิดว่าไม่มีธรรม จิตเขาก็ยังผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะอยู่นั่นเอง ฉะนั้นบุคคลจึงไม่พึงยึดถือผูกพันอยู่กับธรรม หรือคิดว่าธรรมเป็นสิ่งไม่มีอยู่ นี่คือนัยะความหมายเมื่อตถาคตกล่าวว่า ‘ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงกำหนดรู้ ว่าธรรมที่เราแสดงมีอุปมาดั่งพ่วงแพ’ แม้แต่สิ่งที่ตถาคตสอนก็ต้องละเสีย จักกล่าวไปไยถึงสิ่งที่ไม่ได้กล่าวเทศนา”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ตถาคตได้บรรลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานกระนั้นหรือ ตถาคตได้แสดงพระธรรมเทศนาอยู่ฤา”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ตามที่ข้าพระองค์เข้าใจนั้น พระธรรมคำสอนของพระตถาคตไม่มีธรรมารมณ์อิสระที่เรียกว่า จิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ไม่มีคำสอนใดของพระตถาคตดำรงเอกภาวะ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้และเทศนาสั่งสอนนั้นไม่อาจบรรยาย ไม่อาจกล่าวได้ว่าดำรงภาวะอิสระแยกจากกัน ไม่เป็นทั้งตัวตนดำรงอยู่ หรือไม่มีตัวตนดำรงอยู่ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า พระอริยบุคคลย่อมต่างจากผู้อื่นก็ด้วยอสังขตธรรมนี้แล”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ถ้าบุคคลใดบำเพ็ญบริจาคด้วยสัปตรัตนะจนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ บุคคลนั้นจะได้เสวยปีติสุขมากล้นเพราะกุศลกรรมนี้ฤาไฉน”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “เช่นนั้น พระเจ้าข้า เพราะกุศลกรรมและปีติสุขเช่นนั้นมิใช่กุศลกรรมและปีติสุขดังที่พระตถาคตทรงแสดง”
พระผู้มีพระภาคตรัส “อนึ่ง ถ้าบุคคลใดยอมรับคำสอนนี้แล้วนำไปปฏิบัติแม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท และยังอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นด้วย ปีติสุขจากกุศลกรรมนี้ย่อมลึกซึ้งไพศาลกว่าปีติสุขจากการบริจาคสัปตรัตนะมากมายนัก ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติเอย ก็เพราะว่าบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวง พระธรรมของพระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทุกพระองค์ล้วนบังเกิดจากคำสอนนี้ สุภูติ ที่เรียกว่าพุทธธรรมคือทุกสิ่งที่ไม่ใช่พุทธธรรม”
“ดูก่อน สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า พระโสดาบันจักมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุโสดาปัตติผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระโสดาบันนั้นชื่อว่าเป็นผู้เข้าสู่กระแส แต่แท้จริงแล้วมิได้มีกระแสที่จะเข้าสู่เลย บุคคลมิได้เข้าสู่กระแสซึ่งเป็นรูป เป็นเสียง กลิ่น รส สัมผัส หรือธรรมารมณ์ เมื่อกล่าวว่าบุคคลเข้าสู่กระแสก็คือเข้าสู่กระแสโดยนัยนี้ พระเจ้าข้า”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระสกทาคามีจักมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุสกทาคามิผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระสกทาคามีชื่อว่าจักเป็นผู้เวียนกลับมาอีกครั้งเดียว แต่แท้จริงแล้วมิได้มีการไปมิได้มีการกลับ นี่คือความหมายเมื่อกล่าวว่าบุคคลจักเวียนกลับมาอีกครั้ง”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระอนาคามีจักมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุอนาคามิผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าพระอนาคามีชื่อว่าเป็นผู้ไม่เวียนกลับมาในโลกนี้อีก แต่แท้จริงแล้วมิได้มีสภาวะของการไม่เวียนกลับ นี่คือความหมายเมื่อกล่าวว่าบุคคลจักไม่เวียนกลับมาในโลกนี้อีก”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระอรหันต์จะมีมนสิการว่า ‘เราได้บรรลุอรหัตตผล’ ได้ฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่ามิได้มีสภาวะอิสระใดที่อาจเรียกได้ว่าอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์คิดว่าท่านได้บรรลุอรหัตตผล ก็เท่ากับท่านติดข้องอยู่ในความคิดเนื่องด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะนั่นเอง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงรับสั่งเสมอว่าข้าพระองค์บรรลุแล้วซึ่งอรณยิกสมาธิอันสงบ ว่าข้าพระองค์เป็นพระอรหันต์สิ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง เป็นผู้ยอดเยี่ยมในชุมชนสงฆ์แห่งนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากแม้นว่าข้าพระองค์คิดว่าข้าพระองค์ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วไซร้ พระตถาคตย่อมจักไม่ตรัสว่าข้าพระองค์ยินดีในอรณยิกสมาธิธรรม พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ดูก่อนสุภูติ ณ เบื้องอดีตกาลโน้น เมื่อตถาคตยังท่องเที่ยวอยู่ในสมัยของพระทีปังกรพุทธเจ้า ตถาคตได้บรรลุธรรมอันใดฤา”
สุภูติตอบ “หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ณ เบื้องอดีตกาลโน้น ครั้งเมื่อพระตถาคตยังท่องเที่ยวอยู่ในสมัยของพระทีปังกรพุทธเจ้า พระตถาคตมิได้บรรลุธรรมอันใด พระเจ้าข้า”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ พระโพธิสัตว์ได้ตกแต่งพุทธเกษตรอันสงบงดงามกระนั้นหรือ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าในการตกแต่งพุทธเกษตรอันสงบงดงามนั้น แท้จริงแล้วมิได้มีการตกแต่งแต่อย่างใด ดังนั้นพุทธเกษตรอันสงบงดงามจึงบังเกิดขึ้น”
พระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ดังนี้แล สุภูติ พระโพธิสัตว์และมหาสัตว์ทั้งปวงจึงพึงยังจิตให้บริสุทธิ์สะอาดอยู่เป็นนิจ เมื่อตั้งจิตไว้เช่นนี้ พระโพธิสัตว์และมหาสัตว์จึงไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ เป็นจิตอิสระไม่เกี่ยวเนื่องอยู่ด้วยสภาวะใดๆ”
“สุภูติ แม้นบุคคลใดรูปร่างสูงใหญ่ดั่งเขาพระสุเมรุ(หิมาลัย) เธอคิดว่ารูปกายนั้นสูงมหึมากระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “มหึมานัก พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตตรัสถึงมิใช่รูปกายอันสูงมหึมา เป็นแต่ชื่อว่ารูปกายสูงมหึมา พระเจ้าข้า
“ดูก่อน สุภูติ แม้นว่ามีคงคานทีมากมหาศาลเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา เธอจะกล่าวได้ฤาว่าจำนวนเม็ดทรายในนทีเหล่านี้มีมากมหาศาล”
สุภูติตอบ “มหาศาลยิ่งนัก พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้นว่าคงคานทีมีมากมหาศาลแล้ว จำนวนเม็ดทรายในนทีเหล่านี้ย่อมอเนกอนันต์กว่านั้นนัก”
“สุภูติ เราจักถามเธอ ว่าถ้ากุลบุตรกุลธิดาบำเพ็ญทานบริจาคจนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุด้วยสัปตรัตนะมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในท้องนทีเหล่านี้แล้ว เขาจักบังเกิดปีติปราโมทย์ยิ่งนักกระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “ยิ่งนักแล้ว พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “ถ้ากุลบุตรกุลธิดาบังเกิดศรัทธาพระสูตรนี้ รับปฏิบัติ และอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นด้วย แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท เขาจะได้ความปีติปราโมทย์เป็นอานิสงส์มากมายกว่านั้นนัก”
“อนึ่งเล่า สุภูติ หากพระสูตรนี้ได้ประกาศแสดง ณ ดินแดนใด แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาทแล้ว เทวดา มนุษย์ แลมาร จักพากันมาสักการะบูชาดินแดนนั้นประหนึ่งดังบูชาพระพุทธสถูป เมื่อสถานที่ยังศักดิ์สิทธิ์เป็นมงคลได้ถึงเพียงนี้ บุคคลผู้สาธยายและปฏิบัติตามพระสูตรจักจำเริญมงคลยิ่งกว่าเพียงไหน สุภูติเอย เธอจงสำเหนียกไว้เถิดว่าบุคคลนั้นได้บรรลุแล้วซึ่งสิ่งลึกซึ้งหายาก ที่ใดมีพระสูตรนี้ประดิษฐานอยู่ ที่นั่นย่อมเป็นสถานอันศักดิ์สิทธิ์ดุจมีพระอัครสาวกพำนักหรือมีพระพุทธเจ้าประทับอยู่ด้วย”
จากนั้นท่านสุภูติได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พึงเรียกพระสูตรนี้นามใด และข้าพระองค์ทั้งหลายจักพึงปฏิบัติต่อพระสัทธรรมนี้อย่างไร พระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “พึงเรียกพระสูตรนี้ว่า เพชรตัดทำลายมายา (วัชรเฉทิก) เพราะเหตุว่าเป็นพระสูตรอันอาจตัดทำลายมายากิเลสทั้งปวง และนำสรรพสัตว์ให้ถึงฝั่งแห่งวิมุติ จงเรียกพระสูตรตามนามนี้ และปฏิบัติตามพระสัทธรรมอันลึกซึ้งแห่งพระสูตรนั้นเถิด ไฉนจึงกล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตเรียกปัญญาบารมี แท้จริงแล้วหาใช่ปัญญาบารมีไม่ ปัญญาบารมีที่แท้ย่อมมีนัยะดังกล่าวมานี้”
สมเด็จพระผู้มีพระภาครับสั่ง “เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ตถาคตได้แสดงธรรมอยู่ฤา”
ภิกษุสุภูติตอบ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตเจ้ามิได้มีสิ่งใดจักแสดง”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ในสามล้านอสงไขยโลกธาตุนี้มีปรมาณุภาคมากมายกระนั้นหรือ”
“มากมายนัก พระเจ้าข้า”
“สุภูติ ตถาคตกล่าวว่าปรมาณุภาคเหล่านี้มิใช่ปรมาณุภาค ฉะนั้นจึงเป็นปรมาณุภาคที่แท้จริง และเมื่อตถาคตกล่าวถึงโลกธาตุ แท้จริงแล้วมิได้มีโลกธาตุอยู่เลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าโลกธาตุ”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ จักพึงเห็นตถาคตได้ในลักษณะ 32 ประการกระนั้นหรือ”
ภิกษุสุภูติกราบทูล “หามิได้ พระเจ้าข้า ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าลักษณะ 32 ประการที่พระตถาคตทรงรับสั่งนั้น แท้จริงแล้วมิใช่ลักษณะอันใดเลย ฉะนี้พระตถาคตจึงตรัสเรียกลักษณะ 32 ประการ พระเจ้าข้า”
“สุภูติเอย หากแม้นกุลบุตรกุลธิดาใดสละชีวิตเป็นทานครั้งแล้วครั้งเล่าเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา ส่วนกุลบุตรกุลธิดาอื่นๆ รู้จักรับปฏิบัติพระสูตรนี้ แล้วยังอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่น แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท กุลบุตรกุลธิดาเหล่าหลังนี้จักได้รับความสุขเป็นอานิสงส์มากมายยิ่งกว่านัก”
เมื่อเข้าใจสิ่งที่ได้สดับอย่างลึกซึ้งแจ่มแจ้ง ภิกษุสุภูติน้ำตาไหลด้วยความปีติ กราบทูลสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค จะหาใครในโลกนี้เสมอเหมือนพระองค์ได้ยากนัก นับแต่ข้าพระองค์ได้ดวงตาเห็นธรรมจากการแนะนำสั่งสอนของสมเด็จพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ไม่เคยได้ฟังคำสอนใดลึกซึ้งอัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้นผู้ใดได้สดับพระสูตรนี้แล้วบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสด้วยจิตใจบริสุทธิ์สว่างไสว ได้บรรลุธรรมมสัจจะ บุคคลผู้นั้นย่อมแจ่มแจ้งในกุศลธรรมอันหาได้ยากนัก ข้าแต่พระผู้มีพระภาค การบรรลุถึงธรรมสัจจะนี้แท้จริงแล้วมิได้มีการบรรลุเลย ฉะนี้เองพระตถาคตเจ้าจึงตรัสเรียกว่าบรรลุถึงธรรมสัจจะ
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ข้าพระองค์ได้สดับพระสูตรอันอัศจรรย์ บังเกิดศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจและรับปฏิบัติได้ไม่ยาก แต่ในกาลข้างหน้า เมื่อล่วงไปอีกห้าร้อยปี ถ้าแม้นผู้ใดได้ฟังพระสูตรนี้ บังเกิดศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจและรับปฏิบัติ บุคคลเช่นนี้ย่อมเป็นเลิศหาได้ยากแท้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า จิตของบุคคลนั้นจะไม่ถูกครอบงำด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ ข้อนี้เพราะเหตุใด เพราะความคิดเกี่ยวด้วยตัวตนแท้จริงแล้วมิใช่ความคิด ความคิดเกี่ยวกับบุคคล สัตวะ และชีวะ ก็มิใช่ความคิดเช่นกัน ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้พระนามว่าพระพุทธเจ้าก็เพราะท่านเหล่านั้นล้วนเป็นอิสระแล้วจากความคิด”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสแก่สุภูติ “เช่นนั้น เช่นนั้น สุภูติ แม้นผู้ใดได้ฟังพระสูตรนี้แล้วไม่ตกใจครั่นคร้าม เขาหรือเธอเช่นนั้นย่อมหาได้ยากยิ่ง ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตเรียกปรมบารมีหรือบารมีอันเลิศนั้น แท้จริงแล้วมิใช่บารมีอันเลิศ ดังนี้จึงได้ชื่อว่าบารมีอันเลิศ
“ดูก่อน สุภูติ ตถาคตกล่าวว่า สิ่งที่เรียกว่าขันติบารมีนั้น แท้จริงแล้วมิใช่ขันติบารมี ดังนี้จึงได้ชื่อว่าขันติบารมี ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติเอย ณ เบื้องอดีตกาลเมื่อหลายพันชาติก่อน เมื่อพระเจ้ากลิราชาสั่งให้บั่นร่างกายเราเป็นท่อนๆ นั้น จิตเรามิได้ยึดมั่นผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะเลย ถ้าเมื่อครั้งกระนั้นเรายึดมั่นอยู่กับความคิดเหล่านี้ เราย่อมโกรธแค้นอาฆาตราชาพระองค์นั้นเป็นแน่แท้
“อนึ่ง เรายังตามระลึกถึงกาลที่ล่วงมาแล้วห้าร้อยชาติ เมื่อเราบำเพ็ญขันติบารมีโดยจิตไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ ดังนี้แล สุภูติ เมื่อพระโพธิสัตว์บรรลุถึงพุทธจิต รู้ตื่นเป็นนิจอย่างไม่มีใครเสมอเหมือนนั้น ท่านต้องละทิ้งความคิดทั้งปวง เมื่อจิตถึงขั้นนี้แล้วท่านย่อมไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ จิตท่านย่อมลุถึงความไม่ยึดมั่นผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย
“ตถาคตกล่าวว่าสิ่งของทั้งหลายไม่ใช่สิ่งของ ชีวิตทั้งหลายไม่ใช่ชีวิต สุภูติเอย ตถาคตคือผู้พูดทุกสิ่งตามที่เป็นจริง พูดแต่ความจริง พูดตรงกับความจริง ท่านไม่พูดลวงให้หลง หรือพูดเพื่อเอาใจผู้คน สุภูติ แม้นเราพูดว่า ตถาคตเห็นแจ้งในธรรมที่ได้สั่งสอน คำสอนทั้งปวงนั้นก็หาใช่สิ่งที่อาจติดตามยึดถือ หรือเป็นสิ่งลวงไร้แก่นสาร”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าพระโพธิสัตว์องค์ใดบำเพ็ญทานด้วยความสำคัญมั่นหมาย อุปมาดั่งบุคคลเดินอยู่ในความมืด เขาจะไม่เห็นสิ่งใด แต่ถ้าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานโดยละความสำคัญมั่นหมายแล้วไซร้ อุปมาดั่งบุรุษตาดีเดินอยู่กลางแดดสว่าง เขาย่อมเห็นทุกสีสันทุกรูปทรง
“สุภูติเอย ในอนาคตข้างหน้า ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใดบังเกิดศรัทธาเลื่อมใสพระสูตรนี้ ได้อ่านและปฏิบัติตามแล้วไซร้ ตถาคตย่อมเห็นบุคคลผู้มีดวงตาแห่งปัญญาผู้นั้น ตถาคตจะรู้จักเธอ และบุคคลนั้นก็จะประจักษ์ถึงผลานิสงส์มากล้นสุดประมาณจากบุญกุศลซึ่งเขาหรือเธอได้กระทำ”
“อนึ่งเล่า สุภูติ ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใดสละชีวิตบำเพ็ญทานยามเช้ามากครั้งเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา แล้วยังบำเพ็ญทานยามบ่าย ยามค่ำ และทำต่อไปไม่สิ้นสุดนับกัปกัลป์ กระนั้นบุคคลผู้สดับพระสูตรนี้ด้วยดวงจิตศรัทธาไม่คัดค้าน ย่อมได้ความปีติปราโมทย์เป็นอานิสงส์มากมายกว่านั้นนัก แต่นั่นก็ไม่อาจเทียบได้กับความปีติปราโมทย์ที่จะบังเกิดแก่บุคคลผู้จดจาร คัดลอก ปฏิบัติ เจริญสาธยาย และอธิบายพระสูตรนี้เผยแผ่แก่ผู้อื่น
“สุภูติเอย กล่าวโดยสรุป พระสูตรนี้มีคุณานิสงส์อันจะยังให้เกิดความสุขอย่างไม่อาจประมาณ แม้นว่าผู้ใดสามารถปฏิบัติ เจริญสาธยาย และประกาศเผยแผ่แก่ผู้อื่นด้วยแล้ว ตถาคตจะเห็นและรู้จักบุคคลนั้น ส่วนเขาหรือเธอผู้นั้นก็จะได้บุญกุศลอเนกอนันต์สุดจะเปรียบเทียบพรรณนา หรือประมาณได้ บุคคลเช่นนี้แลจักสามารถเชิดชูพุทธาชีวะอันรู้ตื่น รู้เบิกบานแห่งตถาคต ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติ หากผู้ใดยังพอใจอยู่กับคำสอนเล็กๆ น้อยๆ ถ้าเขาหรือเธอยังติดข้องอยู่กับความคิดเนื่องด้วยตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะแล้วไซร้ เขาหรือเธอย่อมไม่อาจฟังพระสูตรนี้ ไม่อาจปฏิบัติ ไม่อาจสาธยาย และอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นได้เลย สุภูติ ที่ใดมีพระสูตรนี้ที่นั่นย่อมเป็นสถานซึ่งเทวดา มนุษย์ แลมารจักมาทำการสักการะ สถานที่นั้นคือพุทธสถูป ควรแก่การกระทำพิธีกราบไหว้บูชา กระทำประทักษิณ ถวายดอกไม้และเครื่องหอม”
“สุภูติ ถ้ากุลบุตรกุลธิดาใดถูกดูหมิ่นกล่าวร้ายขณะสาธยายพระสูตรนี้ บาปกรรมทั้งหลายที่เขาหรือเธอเคยกระทำมาแต่ชาติปางก่อน ตลอดจนอกุศลกรรมซึ่งอาจนำเขาหรือเธอสู้อบายภูมิก็จะหมดสิ้นไป เขาและเธอจะได้เสวยผลแห่งพุทธจิตอันรู้ตื่น รู้เบิกบานอยู่เป็นนิจ สุภูติเอย ณ เบื้องอดีตกาลโน้น ก่อนเราจะได้พบพระทีปังกรพุทธเจ้า เราเคยถวายเครื่องบูชา ได้เฝ้าปฏิบัติบูชาต่อพระพุทธเจ้าจำนวน 84,000 ล้านอสงไขยพระองค์ ถ้าในกาลข้างหน้าเมื่อถึงปลายสมัยแห่งพระสัทธรรม ยังมีบุคคลใดสามารถเลื่อมใส สาธยาย ศึกษา และปฏิบัติพระสูตรนี้ สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญกุศลนี้จักยิ่งใหญ่ไพศาลกว่าที่เราเคยได้รับในอดีตกาลเป็นล้านเท่า แท้จริงแล้วความปีติปราโมทย์นั้นไม่อาจประมาณ ไม่อาจเปรียบเทียบกับสิ่งใดแม้กับตัวเลข ความปีติปราโมทย์นั้นมากล้นคณนา
“ดูก่อน สุภูติ สุขานิสงส์ซึ่งกุลบุตรกุลธิดาผู้เลื่อมใส สาธยาย ศึกษา และปฏิบัติพระสูตร จะได้รับเพราะกุศลอันได้บำเพ็ญ ณ ปลายสมัยแห่งพระสัทธรรมนั้นใหญ่หลวงนัก หากเราจะแจกแจงอธิบายแล้วไซร้ บางคนจะสงสัยไม่เชื่อ เกิดวิจิกิจฉาขึ้นในจิต สุภูติเอย เธอพึงสำเหนียกไว้เถิดว่าอรรถธรรมแห่งพระสูตรนี้เป็นสิ่งไม่อาจคิดนึกหรือพรรณนา ผลานิสงส์จากการเลื่อมใส และปฏิบัติพระสูตรก็เป็นสิ่งไม่อาจคิดนึกไม่อาจพรรณนาได้ดุจเดียวกัน”
ในกาลครั้งนั้น ภิกษุสุภูติได้กราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอประทานอนุญาต กราบทูลถามอีกสักครั้ง ว่าถ้ากุลบุตรกุลธิดาปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้วไซร้ เขาและเธอควรตั้งจิตและควบคุมจิตของตนอย่างไร พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “ดูก่อน สุภูติ กุลบุตรกุลธิดาผู้ปรารถนาจะตรัสรู้ธรรม บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน พึงตั้งจิตดังนี้ ‘เราจักนำสรรพสัตว์ให้ถึงฝั่งแห่งความตื่น และเมื่อปวงสัตว์เหล่านั้นได้วิมุติ หลุดพ้นเป็นอิสระแล้ว เราจักไม่คิดเลยว่าสัตว์ใดได้วิมุติ หลุดพ้นเป็นอิสระ’ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติเอย ถ้าพระโพธิสัตว์ยังมีจิตยึดมั่นผูกพันอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะแล้วไซร้ บุคคลนั้นหาใช่พระโพธิสัตว์แท้จริงไม่ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น
“สุภูติ แท้จริงแล้วไม่มีธรรมารมณ์อิสระใดเรียกได้ว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ณ เบื้องอดีตกาลเมื่อตถาคตอยู่ในสำนักของพระทีปังกรพุทธเจ้า ตถาคตได้บรรลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน กระนั้นหรือ”
“มิได้ พระเจ้าข้า ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งข้าพระองค์เข้าใจ ไม่มีสิ่งใดเรียกได้ว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัส “อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ แท้จริงแล้วมิได้มีสิ่งที่เรียกว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน อันตถาคตจักบรรลุได้ เพราะเหตุว่าถ้ามีสิ่งนั้นแล้วไซร้ พระทีปังกรพุทธเจ้าย่อมไม่ทรงพยากรณ์แก่เราว่า ‘ในอนาคตกาลเบื้องหน้า เธอจักได้เป็นพระพุทธเจ้านามศากยมุนี’ คำพยากรณ์นี้มีได้ เพราะแท้จริงแล้ว ไม่มีธรรมบรรลุได้อันใดจักพึงเรียกได้ว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า ตถาคตย่อมหมายถึงความเป็นเช่นนั้นของสรรพสิ่ง (ธรรม) บุคคลอาจเข้าใจผิดเมื่อเขากล่าวว่า ตถาคตได้บรรลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน เพราะแท้จริงแล้วไม่มีจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานให้บรรลุถึงได้เลย สุภูติเอย จิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน อันตถาคตได้บรรลุนั้นหาใช่สิ่งที่อาจติดตามยึดถือ แต่ก็หาใช่สิ่งเลื่อนลอยไร้แก่นสาร ด้วยเหตุดังนี้ ตถาคตจึงกล่าวว่า ‘ธรรมทั้งปวงคือพุทธธรรม’ แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นมิใช่ธรรม ดังนี้ธรรมทั้งหลายจึงได้ชื่อว่าธรรม
“ดูก่อน สุภูติ โดยประการเดียวกัน ถ้าพระโพธิสัตว์มีมนสิการว่าท่านต้องช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นเป็นอิสระแล้วไซร้ นั่นหาใช่พระโพธิสัตว์ไม่ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สุภูติเอย ไม่มีธรรมารมณ์อิสระใดเรียกได้ว่าพระโพธิสัตว์ ด้วยเหตุดังนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าธรรมทั้งปวงไม่เป็นตัวตน บุคคล สัตวะและชีวะ อนึ่ง สุภูติ ถ้าพระโพธิสัตว์มีมนสิการว่า ‘เราจักตกแต่งพุทธเกษตรอันสงบงดงาม’ แล้วไซร้ บุคคลนั้นก็ยังมิใช่พระโพธิสัตว์ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าสิ่งซึ่งตถาคตเรียกพุทธเกษตรอันสงบงดงามนั้น แท้จริงแล้วมิใช่พุทธเกษตรอันสงบงดงาม ดังนี้จึงได้ชื่อว่าพุทธเกษตรอันสงบงดงาม ดูก่อน สุภูติ พระโพธิสัตว์องค์ใดเห็นแจ้งความไม่มีตัวตน ไม่มีธรรม ดังนี้แล้วตถาคตย่อมตรัสเรียกบุคคลเช่นนั้นว่าพระโพธิสัตว์แท้จริง”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีมังสจักษุฤา”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระตถาคตเจ้าทรงมีมังสจักษุ พระเจ้าข้า”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถาม “สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีทิพจักษุฤา”
สุภูติกราบทูล “อย่างนั้น พระเจ้าข้า พระตถาคตทรงมีทิพจักษุ”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีปัญญาจักษุฤา”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระตถาคตเจ้าทรงมีปัญญาจักษุ พระเจ้าข้า”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า ตถาคตมีธรรมจักษุฤา”
“อย่างนั้น พระเจ้าข้า พระตถาคตทรงมีธรรมจักษุ”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสถาม “ตถาคตมีพุทธจักษุฤา”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตเจ้าทรงมีพุทธจักษุ พระเจ้าข้า”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า พระพุทธเจ้าเห็นเม็ดทรายในแม่น้ำคงคาว่าเป็นเม็ดทรายฤาไฉน”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระตถาคตตรัสเรียกว่าเม็ดทราย”
“สุภูติ แม้นว่ามีคงคานทีมากเท่าจำนวนเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา แล้วมีพุทธเกษตรให้แก่เม็ดทรายทุกเม็ดในคงคานทีเหล่านี้ไซร้ เธอคิดว่าพุทธเกษตรย่อมมีจำนวนมากมายนักฤาไฉน”
“มากมายนักแล้ว พระเจ้าข้า”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัส “ดูก่อน สุภูติ ไม่ว่าสรรพสัตว์จะมีมากมายเท่าใดในพุทธเกษตรเหล่านั้น ไม่ว่าปวงสัตว์เหล่านั้นจะมีเจตสิกแตกต่างกันอย่างไร ตถาคตย่อมเห็นแจ้งในสัตว์ทั้งปวงนั้น เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ สุภูติ เพราะสิ่งที่ตถาคตเรียกเจตสิกที่แตกต่างกัน แท้จริงมิใช่เจตสิกที่แตกต่างกัน ดังนี้จึงได้ชื่อว่าเจตสิกที่แตกต่างกัน
“ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะว่าจิตในอดีตเป็นสิ่งไม่อาจติดตามยึดถือ จิตปัจจุบันและจิตในอนาคตก็ไม่อาจติดตามยึดถือได้เช่นกัน”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ ถ้าบุคคลใดบำเพ็ญบริจาคด้วยสัปตรัตนะจนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ บุคคลนั้นจะได้ความปีติปราโมทย์ล้ำเลิศ เป็นผลานิสงส์จากการบำเพ็ญทานนั้นฤาไฉน”
“ล้ำเลิศนักแล้ว พระเจ้าข้า”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าความปีติปราโมทย์นี้อาจแยกจากสิ่งอื่นๆ ได้ ตถาคตจักไม่กล่าวว่านั่นเป็นความล้ำเลิศ แต่เพราะเหตุที่ไม่อาจติดตามยึดถือ ตถาคตจึงกล่าวว่าทานบริจาคอันบุคคลได้กระทำย่อมนำคุณานิสงส์ล้ำเลิศมาสู่เขา”
“สุภูติ เธอคิดอย่างไรเล่า จักพึงเห็นตถาคตได้ด้วยรูปกายอันสมบูรณ์กระนั้นหรือ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกว่ารูปกายอันสมบูรณ์นั้น แท้จริงแล้วมิใช่รูปกายอันสมบูรณ์ ดังนี้จึงได้ชื่อว่ารูปกายอันสมบูรณ์”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ จักพึงเห็นตถาคตได้ด้วยสรรพลักษระอันสมบูรณ์กระนั้นหรือ”
“ยากนัก พระเจ้าข้า ยากนักที่ใครจักพึงเห็นพระตถาคตได้ด้วยสรรพลักษณะอันสมบูรณ์ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกสรรพลักษณะอันสมบูรณ์นั้น แท้จริงแล้วมิใช่สรรพลักษณะอันสมบูรณ์ ดังนี้จึงได้ชื่อว่าสรรพลักษณะอันสมบูรณ์”
“สุภูติ จงอย่ากล่าวว่าตถาคตมีมนสิการว่า ‘ตถาคตจะแสดงธรรมสั่งสอน’ อย่าคิดอย่างนี้ เพราะเหตุใดฤา ก็เพราะเหตุว่า ถ้าบุคคลกล่าวว่าตถาคตมีสิ่งจะสั่งสอน บุคคลนั้นย่อมกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าวเลย สุภูติเอย การสนทนาธรรมนั้น แท้จริงแล้วมิได้มีการสนทนา ดังนี้จึงจะเป็นการสนทนาธรรมที่แท้จริง”
ณ กาลนั้น ภิกษุสุภูติได้ดวงตาเห็นธรรมกราบทูลถามสมเด็จพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในอนาคตสมัย ยังจักมีสรรพสัตว์ใดเมื่อได้ฟังพระวจนะนี้แล้ว บังเกิดศรัทธาเลื่อมใสอยู่ฤาหนอ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสตอบ “ดูก่อน สุภูติ สรรพสัตว์ทั้งปวงนั้นหาใช่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิต ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่ตถาคตกล่าวว่าไม่มีชีวิต แท้จริงแล้วย่อมมีชีวิตอยู่”
สุภูติกราบทูลถามสมเด็จพระผู้มีพระภาค “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานอันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุนั้น เป็นสิ่งไม่อาจบรรลุฤาไฉน”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสตอบ “อย่างนั้น อย่างนั้น สุภูติ ถ้าว่าถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบานแล้ว เรามิได้บรรลุถึงสิ่งใด ดังนี้จึงเรียกว่าจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน”
“อนึ่ง สุภูติ จิตมีอยู่ทุกแห่งหนเสมอกัน เพราะไม่มีสูง ไม่มีต่ำจึงเรียกว่าสูงสุด เป็นจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ผลานิสงส์ของจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน จะประจักษ์ก็โดยการปฏิบัติอย่างไม่ยึดมั่นกับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ สุภูติเอย สิ่งที่เรียกการปฏิบัตินั้น แท้จริงแล้วไม่มีการปฏิบัติเลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าการปฏิบัติที่แท้”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลบำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะกองสูงเทียมเขาพระสุเมรุ จนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ สุขานิสงส์จากบุญกุศลนี้ก็ยังน้อยกว่าอานิสงส์อันบุคคลจะได้รับจากการรู้จักเลื่อมใส ปฏิบัติ และอธิบายวัชรเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตรเผยแผ่แก่ผู้อื่น ความปีติปราโมทย์อันบุคคลจักได้รับจากการปฏิบัติพระสูตรนี้แม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท ย่อมไม่อาจพรรณนาด้วยการยกตัวอย่างหรืออ้างตัวเลข”
“สุภูติ จงอย่ากล่าวว่า ตถาคตมีมนสิการว่า ‘เราจักขนปวงสัตว์ข้ามสู่ฝั่งวิมุติ’ จงอย่าคิดอย่าง สุภูติ เพราะเหตุใดฤา ก็เพราะเหตุว่า แท้จริงแล้วไม่มีสัตว์ใดให้ตถาคตขนข้ามสู่ฝั่งโน้น ถ้าตถาคตมีมนสิการว่าสัตว์เหล่านั้นมีแล้วไซร้ จิตของเราย่อมติดข้องอยู่กับตัวตน บุคคล สัตวะ และชีวะ
“สุภูติเอย สิ่งที่ตถาคตเรียกตัวตน แท้จริงแล้วมิได้มีตัวตนอย่างที่ปุถุชนคิดกัน สุภูติ ตถาคตไม่สำคัญมั่นหมายบุคคลใดว่าเป็นปุถุชน ดังนี้จึงเรียกเขาได้ว่าปุถุชน”
“เธอคิดอย่างไรเล่า สุภูติ บุคคลจักพึงภาวนาถึงตถาคตได้ด้วยลักษณะ 32 ประการ กระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “อย่างนั้น พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุคคลจักพึงภาวนาถึงพระตถาคตได้ด้วยลักษณะ 32 ประการ”
สมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัส “ถ้าเธอกล่าวว่า เธออาจเห็นตถาคตได้ในลักษณะ 32 ประการ ดังนี้แล้วจักรพรรดิก็คือตถาคตด้วยเช่นกัน กระนั้นฤา”
สุภูติกราบทูล “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง บุคคลไม่ควรภาวนาถึงตถาคตด้วยลักษณะ 32 ประการ พระเจ้าข้า”
ในกาลนั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคตรัสเป็นคาถาว่า
“บุคคลใดตามยึดตถาคตด้วยรูป
หรือด้วยเสียง
ย่อมผิดมรรควิธี
ฉะนี้เขาจะไม่เห็นตถาคตได้เลย”
“อนึ่ง สุภูติ ถ้าเธอคิดว่าตถาคตบรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน แล้วไม่จำต้องมีลักษณะใดๆ อย่างนี้เรียกว่าคิดผิด สุภูติ จงอย่าคิดอย่างนี้ อย่าคิดว่าเมื่อบุรุษใดบรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน แล้วต้องพิจารณาว่าธรรมารมณ์ทุกชนิดเป็นสิ่งไม่มีอยู่ ขาดไปแล้วจากชีวิต จงอย่าคิดอย่างนั้น บุรุษผู้ลุถึงจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน ย่อมไม่โต้แย้งว่าธรรมารมณ์เป็นสิ่งไม่มีอยู่ ขาดไปแล้วจากชีวิต”
“สุภูติ แม้นว่าพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะจำนวนมากเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา จนเปี่ยมล้นทั่วสามล้านอสงไขยโลกธาตุ สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ ก็ยังน้อยกว่าอานิสงส์อันบุคคลจักพึงได้รับเมื่อเขาแจ่มแจ้งเข้าใจ และเลื่อมใสความจริงที่ว่าธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน และเขายังมีชีวิตอยู่ด้วยสัทธรรมนี้ ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า สุภูติ ก็เพราะเหตุว่าพระโพธิสัตว์ไม่จำต้องสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ใดๆ เลย”
สุภูติทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์หมายความอย่างไร พระเจ้าข้า เมื่อทรงรับสั่งว่าพระโพธิสัตว์ไม่จำต้องสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ใดๆ “
“สุภูติ พระโพธิสัตว์ย่อมปลูกฝังสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ แต่จิตท่านไม่ติดข้องอยู่กับกุศลมูลและความปีติปราโมทย์นั้น ด้วยเหตุดังนี้ ตถาคตจึงกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ไม่จำต้องสั่งสมกุศลมูลและความปีติปราโมทย์ใดๆ”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลกล่าวว่า สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงพระดำเนินมา ทรงพระดำเนินไป ประทับนั่ง และทรงไสยาสน์ บุคคลนั้นย่อมไม่เข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าว ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่าตถาคตหมายความว่า ‘ไม่มาจากไหนและไม่ไปที่ไหน’ ดังนี้แลจึงเรียกว่าตถาคต”
“ดูก่อนสุภูติ ถ้ากุลบุตรกุลธิดาจักสลายสามล้านอสงไขยโลกธาตุให้เป็นปรมาณุภาค เธอคิดว่าปรมาณุภาคนั้นย่อมจักมากมายนักกระนั้นหรือ”
สุภูติกราบทูล “มากมายนัก พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า ถ้าปรมาณุภาคมีอยู่จริง พระตถาคตจักไม่ตรัสเรียกว่าปรมาณุภาค สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกปรมาณุภาค แท้จริงแล้วมิใช่ปรมาณุภาค ดังนี้จึงอาจเรียกได้ว่าปรมาณุภาค ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียกโลกธาตุ แท้จริงแล้วมิใช่โลกธาตุ ดังนี้จึงเรียกได้ว่าโลกธาตุ เพราะเหตุใดฤา ก็เพราะเหตุว่าถ้าโลกธาตุมีอยู่จริง ก็ย่อมประกอบด้วยปรมาณุภาคซึ่งปรุงแต่งรวมกันอยู่ตามเหตุปัจจัย สิ่งที่พระตถาคตเจ้าตรัสเรียกปรุงแต่งรวมกันอยู่ แท้จริงแล้วมิได้ปรุงแต่งรวมกันอยู่เลย ดังนี้จึงได้ชื่อว่าปรุงแต่งรวมกันอยู่
“สุภูติ ที่เรียกว่าปรุงแต่งรวมกันอยู่เป็นเพียงวิธีพูดอย่างปรัมปรา มิได้มีสิ่งจริงอยู่เลย มีแต่ปุถุชนเท่านั้นที่หลงยึดอยู่กับถ้อยคำปรัมปรานี้”
“ดูก่อน สุภูติ ถ้าบุคคลกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงอาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐิแล้วไซร้ บุคคลนั้นเข้าใจสิ่งที่ตถาคตกล่าวแสดงหรือไม่หนอ”
“หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุคคลเช่นนั้นไม่เข้าใจพระตถาคต ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเหตุว่า สิ่งที่พระตถาคตตรัสเรียก อาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐินั้น แท้จริงแล้วมิใช่อาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐิ ดังนี้จึงได้ชื่อว่าอาตมทิฏฐิ ปุคคลทิฏฐิ สัตวทิฏฐิ และชีวทิฏฐิ”
“อนึ่ง สุภูติ บุคคลผู้บรรลุจิตอันเลิศ รู้ตื่น รู้เบิกบาน พึงรู้ว่านี่คือลักษณะแท้จริงของธรรมทั้งปวง เขาพึงเห็นว่าธรรมทั้งปวงเป็นเช่นนี้ พึงเลื่อมใสต่อการเห็นธรรมทั้งปวงอย่างไม่สำคัญมั่นหมายในธรรม สุภูติเอย สิ่งที่ตถาคตเรียกความสำคัญมั่นหมายในธรรม แท้จริงแล้วมิใช่ความสำคัญมั่นหมายในธรรม ดังนี้จึงได้ชื่อว่าความสำคัญมั่นหมายในธรรม”
“ดูก่อนสุภูติ หากบุคคลบำเพ็ญทานบริจาคด้วยสัปตรัตนะจำนวนมหาศาลเกินคณนา จนเปี่ยมล้นทั่วสรรพโลกอันมีห้วงอวกาศไม่สิ้นสุด สุขานิสงส์จากการบำเพ็ญบุญกุศลนี้ไม่อาจเทียบได้กับความปีติปราโมทย์อันเป็นผลานิสงส์เมื่อกุลบุตรกุลธิดาได้บรรลุถึงจิตอันตื่น ได้อ่าน สาธยาย เลื่อมใส ปฏิบัติพระสูตรนี้ และอธิบายเผยแผ่แก่ผู้อื่นแม้เพียงคาถาเดียว สี่บาท อนึ่ง จักพึงตั้งจิตอย่างไรในการเผยแผ่แสดงเล่า จงอย่ายึดมั่นผูกพันอยู่กับสัญญา อธิบายทุกสิ่งตามสภาวะแท้จริงโดยไม่หวั่นไหว ไฉนจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
“สรรพสิ่งปรุงแต่งดุจความฝัน
ดุจพรายน้ำ ดุจสายฟ้า ดุจภูตหลอน
จงดูให้เห็นสิ่งเหล่านี้
ด้วยการเพ่งภาวนา”
เมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงพระสูตรจบลง พระสุภูติมหาเถระ บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดาและมาร ซึ่งประชุมสดับพระธรรมเทศนาพร้อมกันอยู่ ณ ที่นั้น ต่างปลาบปลื้มยินดี บังเกิดความเลื่อมใส รับพระสัทธรรมไปปฏิบัติด้วยประการฉะนี้แล..
Be veg, Go Green 2 Save The Planet
www.godsdirectcontact-thai.org
www.suprememastertv.com