โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ รวบรวมจากวารสาร การช่วยเหลือคนอื่น ก็คือการช่วยตัวเราเอง เพราะฉะนั้น ทุกๆ ครั้ง เราควรสร้างความคิดที่บริสุทธิ์มากๆ ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และความตั้งใจที่ดีตลอดเวลา โดยไม่หวังสิ่งใดๆ ตอบแทน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด สิ่งที่เลวไม่ได้มาจากหัวใจ แต่มาจากนิสัย ส่วนสิ่งที่ดีนั้นติดตัวมาตั้งแต่เกิด สิ่งที่ดีมาจากหัวใจเธอ เพราะเธอเกิดมาพร้อมๆ กับสิ่งเหล่านี้ เธอเกิดมาโดยมีคุณสมบัติจากสวรรค์ บางครั้ง... ความยากลำบากที่เราเผชิญอยู่ ไม่ได้ลำบากอะไรมาก เพียงแต่เราคิดมากไปเอง เรากลัวมากเกินไป ก็เลยใช้จินตนาการของตนเอง เพิ่มความยากลำบากให้มากขึ้น ดังนั้น... สิ่งที่เราควรจะกลัวมากที่สุดก็คือ จิตใจที่หวาดหวั่นของเราเอง แทนที่จะเป็นสิ่งต่างๆ จงทำสิ่งทุกอย่าง เพื่อครอบครัวของเธอ เพื่อสังคมของเธอ เพื่อตัวเธอเอง อย่าไปรอให้คนอื่น มาทำให้ชีวิตของเธอดีขึ้น สดใสขึ้น จงสร้างชีวิตของเธอด้วยตัวเธอเอง เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง อย่าคิดว่าศีลทั้งหลาย ทำให้พวกเราไม่เป็นอิสระ ยึดเราไว้ให้อยู่ภายในกรอบ แต่มันเป็นวิธีหนึ่งของอิสรภาพ อิสระจากความรู้สึกผิด อิสระจากความกังวล อิสระจากโรคภัย อิสระจากกรรม อิสระจากหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าเราต้องการจะเปลี่ยนโลกของเรา ให้เป็นสวรรค์ เราจำเป็นต้องมุ่งหน้า สู่หนทางของความจริง คุณธรรม และความงาม เราต้องเรียนรู้จากนักปราชญ์ เพื่อแสวงหาอุดมคติอันสูงส่ง และปัญญาภายใน โลกนี้จึงจะกลายเป็นสวรรค์ เรามายังโลกนี้ เพื่อจะเรียนรู้ความสมบูรณ์เพียบพร้อม ดังนั้นเราจึงต้องมีคุณสมบัติต่างๆ ทุกอย่าง และเรียนรู้ที่จะใช้มันในทางสายกลาง มันไม่ถูกต้องที่แค่พูดว่า เรากล้าหาญมาก ไม่กลัวอะไรเลย แล้วก็วิ่งเข้าใส่อย่างไม่พินิจพิจารณา เราต้องนำสันติสุขไปสู่ทุกหนทุกแห่ง เราต้องปลูกฝังสิ่งที่ดีขึ้นภายใน เพื่อว่าเราจะได้เป็นตัวแทนแห่งสันติสุข ไม่ว่าเราจะไปที่ใด เราคือสันติสุข เราคืออาณาจักรของพระเจ้า เราคือเทวดา เราคือพุทธะ มันมีประโยชน์ ที่จะบังคับตัวเองให้หัวเราะบ้าง ในบางครั้งนะ เพราะว่า... เซลล์ของร่างกายของเรามันจะตอบสนองดีมาก มันจะฟังแต่สัญญาณที่สั่งมาเท่านั้น เวลาเซลล์ร่างกายตรงปากหัวเราะ เซลล์ในร่างกายทั้งหมดก็จะหัวเราะไปด้วย เราต้องศึกษาแล้วศึกษาอีก เริ่มต้นใหม่อย่างมั่นคงขึ้น วันนี้เราล้มเหลว เราก็ลุกขึ้น เพื่อเราจะสามารถก้าวหน้าไป ด้วยเจตนาที่แน่วแน่ แล้วเราก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแรงขึ้น และมีปัญญามากขึ้นในสวรรค์ วิญญาณไม่เคยกลับมาเกิดใหม่ มีแต่ความคิดที่เป็นนิสัยของเรา ความปรารถนาของเรา และการยึดติดของเราที่กลับมาเกิดใหม่ ถ้าเรารู้จักวิญญาณ, ถ้าเรารู้แจ้ง ถ้าเรารู้จักการติดต่อกับทั้งจักรวาล เราก็จะไม่กลับมาเกิดที่ไหนอีกเลย เราอยู่ที่นั่นอยู่เสมอ เราไม่เคยเกิดและไม่เคยตาย เวลาที่เราคิดว่าเราเก่งมาก ยอดเยี่ยมมาก เราอาจจะถูกหลอกโดยสมองของเรา สมองของเราชอบความรุ่งโรจน์ คำสรรเสริญ จินตนาการอันสวยหรู และคิดว่าเราเก่ง แต่ในอีกด้านหนึ่ง สมองก็ดูถูกตัวเรา หรือลดชั้นตัวเราเองด้วย มันอาจจะจมอยู่ในความหดหู่ เศร้าหมอง และความรู้สึกมีปมด้อย รวมทั้งหลอกเรา เกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของเราด้วย มันอาจจะเป็นไปได้ทั้งสองทาง ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ระหว่างตัวเรากับนักปราชญ์ ต่างกันเพียงเส้นผมเส้นเดียว และเมื่อเราก้าวข้ามไปได้ เราก็จะอยู่ในกลุ่มของบรรดานักบุญ และถ้าเราอยู่ข้างหลัง ห่างไปเพียงเส้นผมเส้นเดียว เราก็เป็นบุคคลที่โง่เขลา เที่ยวก้มหัวให้แก่ความกดดันทุกอย่าง ของโลกนี้ กลัวทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคน และไม่รู้ว่าชีวิตของเราก่อนหน้านี้ รวมทั้งหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แม้ว่าเราจะมีตา แต่เราก็เหมือนคนตาบอด เรามีหู แต่ก็เหมือนหูหนวก ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้ยินคำสอนจากสวรรค์ ตัวบุคคลก็เป็นเพียงนิสัยและความคิด ที่สะสมมาชาติแล้วชาติเล่าเท่านั้น เราไม่ได้เป็นบุคคลนั้น เราไม่เคยถูกแบ่งแยกจากกัน เราคือปัญญา เราคือความรัก สิ่งเหล่านี้มีอยู่ทั่วไป ทุกหนทุกแห่งในจักรวาล มันจะถูกแบ่งแยกจากกัน ด้วยผิวหนังเพียงแค่ชั้นเดียวได้อย่างไร? ตั้งแต่โบราณกาลมาแล้ว ผู้บำเพ็ญที่ยิ่งใหญ่ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ และบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย ล้วนประสบความสำเร็จ ด้วยความบากบั่นพากเพียร ไม่ใช่คนเหล่านั้น ได้รับความสำเร็จในชั่วพริบตา ดังนั้นเมื่อเราประสบความยากลำบาก เราควรต้องขอบคุณพระผู้สร้าง ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ ที่ให้โอกาสเรา ในการฝึกความอดทน เวลาเธอยิ้ม ทั้งกายและใจของเธอก็ยิ้มไปด้วย และระดับของจิตสำนึกของเธอ ก็จะสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่ง โดยอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น จงยิ้มไว้ให้มากๆ จงยิ้มในเวลาที่มีความสุข และเวลาเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้เวลาที่เธอต้องร้อง แต่จงยิ้มไปด้วยในเวลาที่เธอร้องไห้ ปล่อยให้น้ำตาไหลร่วงลงมา แต่ก็ยิ้มอยู่ในใจด้วย พยายามยิ้มเข้าไว้ เมื่อใดก็ตามที่เธอสามารถจะทำได้ น่าเสียดาย... ที่มีสิ่งต่างๆ มากมาย ที่คอยขัดขวางไม่ให้ผู้คนสามารถเข้าใจ สัจธรรมขั้นพื้นฐาน ว่าความรักคือกฎอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ดังนั้น... หลายๆ คนจึงไม่ได้มีความสุขในชีวิต อย่างที่เขาควรจะมี ปัญหาในโลกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาตำหนินักการเมือง หรือมาโทษระบบเศรษฐกิจของประเทศไหน หรือโทษนิกายลัทธิอะไรของชาติใด แต่ต้องโทษความเพิกเฉย ของธรรมชาติของตัวเราเอง ที่เราไม่รู้ว่าตัวเรายิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่รู้ว่าตัวเรานั้นคือความสุข ความพอใจที่ติดมาอยู่กับร่างกาย เราไม่รู้ว่าเราคือความรัก ซึ่งอยู่ในรูปของบุคคลคนหนึ่ง โลกไม่ควรจะอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ ถ้าพวกเราทุกคนรู้แจ้ง หรืออย่างน้อยสักครึ่งหนึ่งของพวกเรารู้แจ้ง แต่จะยิ่งดีขึ้นถ้าพวกเราส่วนใหญ่รู้แจ้ง ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องสันติภาพ สันติภาพจะมาเอง ไม่จำเป็นต้องอยากได้อะไร เพราะว่าเรามีปัญญาแล้ว "ปัญญาคือพระเจ้า พระเจ้าคือชุมพาบาลของฉัน ฉันจะไม่ปรารถนาอะไรอีกแล้ว" ถ้าเราเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เราจะสามารถกลับตัวได้ทันที และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทุกสถานการณ์ ถ้าเป็นแบบนี้ ใจของเราก็จะไม่ติดอยู่ที่ไหน เราจะไม่ล้มคว่ำ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหน เรายังต้องช่วยเหลืองานสังคมด้วย ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม ที่เราสามารถจะช่วย ให้ความทุกข์ยากลดน้อยลง นั่นแหละคืองานที่สูงส่ง ซึ่งไม่เพียงจะได้รับการจดจำ ในโลกนี้เท่านั้น แต่จะได้รับการสรรเสริญ จากสวรรค์ด้วย เราไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความอยาก ไม่ได้มาพร้อมกับความเกลียด หรือการแบ่งแยกผิว เราเกิดมาจากความบริสุทธิ์ และความงาม เราจึงควรคงไว้ในสภาพนั้น นอกจากจะบริสุทธิ์แล้ว เรายังคงจะต้องฉลาดมากขึ้น นี่แหละ คือหนทางของสุภาพบุรุษ นี่แหละ คือหนทางของผู้ยิ่งใหญ่ ความจริงแล้ว กาย วาจา และใจ เป็นสิ่งเดียวกัน ซึ่งมีรูปแบบต่างกันเท่านั้น ดังนั้น ความคิดของเรา ก็เหมือนการกระทำของเรา การมีความจริงใจต่อผู้อื่น คือเกราะคุ้มกันที่ดีที่สุด ในการรักษาเกียรติภูมิ และสัญชาตญาณการรู้ของเราเอง และเป็นวิธีที่ดีที่สุดด้วย ทำไม? เราจึงต้องก้มหัวของเรา ให้แก่ความกดดันของสังคม และทำตัวเหมือนกับคนอื่นๆ? เราควรจะต้องมีความกล้าหาญและแข็งแกร่ง เพื่อจะได้แตกต่างจากคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความแตกต่างนั้น ทำให้เราสูงส่งขึ้น มีความสุขขึ้น ฉลาดมากขึ้น มีความรักมากขึ้น และสามารถช่วยตัวเราเอง ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ รวมทั้งสังคมและโลกของเราได้ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้น การเสียสละทั้งหลายนั้นจึงคุ้มค่ามาก เราควรจะต้องเป็นวีรบุรุษแห่งศตวรรษ ไม่ใช่เพียงแค่ "ใช่ ใช่ - ไม่ใช่ ไม่ใช่" เหมือนคนทั่วไป แล้วเราก็จะตายไปโดยไม่ได้อะไรเพิ่มมากขึ้น เธออย่าฟังด้วยหูเพียงอย่างเดียว ต้องฟังด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดของเธอ และก็เข้าใจด้วยปัญญาของเธอเอง นั่นแหละคือคำสอนที่แท้จริง ไม่ใช่คำพูด เพราะอาจารย์หลายคนสอนด้วยคำพูด ฉันไม่ใช่หมายถึงสิ่งนั้น คำสอนที่แท้จริงก็คือ พลังที่มองไม่เห็นซึ่งติดมากับคำพูด ติดมากับคำสัญญาทุกข้อ ที่อาจารย์ผู้นั้นให้แก่เธอ สิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริง เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ว่าการลอกเลียนแบบนั้น มีความแตกต่างจากสิ่งดั้งเดิมที่แท้จริง หลายคนมองว่า โลกนี้มีความทุกข์ยากมาก มีเครื่องหลอกล่อยั่วยวนมาก แต่บางคน ก็มองว่าโลกนี้เป็นโรงเรียน เป็นโรงเรียนที่ดีสำหรับการฝึกฝน มันขึ้นอยู่กับทัศนคติในใจของเรา ถ้าฉลาด มีปัญญามาก และบำเพ็ญในวิถีของเราได้ดี เราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ดี พวกเราไม่ได้เรียนรู้การยืดหยุ่น ดังนั้นพวกเราจึงหกล้ม จึงทนทุกข์เวทนา ด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงสมควรเรียนรู้ การติดต่อกับต้นกำเนิดปัญญา ที่แท้จริงของพวกเรา จากนั้น อาศัยแต่ความรัก และความเห็นอกเห็นใจกัน จะไม่ใช้การโจมตีประนาม ไปจัดการกับเหตุการณ์ต่างๆ จริงๆ แล้วไม่มีใครที่เลวจริงๆ เพียงแต่เขาเกิดมา พร้อมกับความโน้มเอียงที่จะเรียนรู้ เขาจะเรียนรู้ได้เร็วมาก ไม่ว่าสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่เลว ถ้าเขาเรียนสิ่งที่ดี เขาก็จะกลายเป็นคนดี ถ้าเขาเรียนสิ่งที่เลว เขาก็มีแนวโน้มที่จะเลว ไม่ใช่คอยมองหาความสำเร็จอยู่เสมอไป เพื่อที่จะวัดสติปัญญา หรือความสามารถของพวกเธอ เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนความล้มเหลว ก็เป็นความสำเร็จ และบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนความสำเร็จ ก็กลายเป็นความล้มเหลว เพราะมีบางครั้งที่ความล้มเหลวนั้น กลับเป็นประตูไปสู่ความสำเร็จ ถ้าเราถอยทุกครั้ง ที่เผชิญความยากลำบาก ไม่ช้าไม่นาน เราก็ต้องเจอกับสถานการณ์เช่นเดิมอีก เราควรจะเผชิญหน้ากับมันจะดีที่สุด จะได้มีประสบการณ์ด้วย เราจะได้ทราบว่า ถ้าเจอเช่นนี้ในครั้งต่อไปควรจะทำอย่างไร ต่อไปภายหน้า เมื่อเราต้องเจอกับความลำบาก ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เราก็จะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีใครกำลังทำสิ่งใดๆ อยู่ เว้นแต่ความรักของพระเจ้า ปัญญาที่แท้จริงเท่านั้น คือสิ่งที่เราสามารถพึ่งได้มากที่สุด ไม่ใช่ตำแหน่งหรือความมั่งมีในทางโลก ไม่ใช่ความงามหรือความสามารถพิเศษทางโลก บุคคลผู้ยิ่งใหญ่นั้น มีความถ่อมตนอย่างมาก เมื่อใดที่เราไม่ยอมถ่อมตน เราก็ไม่มีความยิ่งใหญ่ ศาสนาทั้งมวลจะเป็นเรื่องสูญเปล่า ถ้าปราศจากประสบการณ์จริง Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org
11 สิงหาคม 2554 19:09 น. - comment id 125590
ขอบคุณปรัชญาของชีวิตแนวคิดที่หน้าปฏิบัติค่ะ จริงๆแล้วตั้งใจไปวชชีพราหม์ 3 วัน 11-12-13แต่ติดขัดด้วยอะไรหลายๆอย่างเลยไม่ได้ไปเลยค่ะ... มาส่งรอยยิ้มและความจริงใจให้แล้วกันค่ะ
11 สิงหาคม 2554 22:41 น. - comment id 125596
พระพุทธเจ้าสรรเสริญธรรมวิถีกวนอิมว่า ไม่มีธรรมวิถีใดที่จะเป็นเลิศกว่าธรรมวิถีนี้อีกแล้ว หนทางสู่นิพพานดุจดังขึ้นภูเขาสูงชันมากอันตราย หนทางสู่อบายง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ อันตรายบนเส้นทางแห่งการบำเพ็ญสุดคณานับ ต้องหาอาจารย์ดีรับการประทับจิตเพื่อกำจัดกรรมกีดขวางสร้างภูมิคุ้มกันเสียก่อน ไม่อาจเสี่ยงอันตรายตามยถากรรม เพราะเสนาหมู่มารมีเป็นอันมาก เล่ห์กลก็ลึกล้ำ "ควรประทับจิต" จากอาจารย์ที่แท้จริงเสียก่อนจึงควรบำเพ็ญได้อย่างปลอดภัย ไม่ควรเดินตามอาจารย์ดัง ควรหาอาจารย์ดี เป็นเรื่องที่สำคัญมาก อย่ามัวเสียเวลา