ตะขาบ
ฤกษ์ ชัยพฤกษ์
เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อน ผมยังเพิ่งจะแตกเนื้อหนุ่มรุ่นตะกอ คบหาเพื่อนพ้องมากมายซุกซนไปทั่ว ก็ไอ้ความซุกซนนี่แหละเข้าไปในที่รกถูกตะขาบกัด ตัวมันใหญ่ยาวคืบกว่าเท้าเปล่า ๆไปเหยียบตรงด้านหางมันม้วนตัวขึ้นมากัดที่หลังเท้า
เราดีดกระเด็นไปแล้วรุมตีกันจนแหลกเหลว ที่หลังเท้ามีรอยเขียวสองรู เริ่มปวด ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ ลุงคนหนึ่งบ้านแกอยู่ใกล้ ๆ บอกว่าจะช่วยทายาให้ ก็ไปที่บ้านแก เห็นแกค้นเอาสมุนไพรออกมา แกบอกว่าเป็นหัวขั้วของผลฟักทองแห้งสนิทเก็บไว้นานแล้ว แกเอามาฝนกับฝาละมี(ฝาหม้อดิน) ใส่เหล้าขาวกับน้ำมะนาวนิดหน่อย แกฝนจนเป็นน้ำเหลือง ๆข้น ๆ แล้เอามาทาที่รอยตะขาบกัด น่าแปลกตรงที่ความเจ็บปวดค่อย ๆลดลง ๆ สักชั่วโมงหนึ่งก็เหลือแต่ความปวมแดงสองสามวันจึงหายร่องรอย
ไม่ทราบว่าจะเป(นสรรพคุณยากลางบ้านหรือเพราะผมไม่แพ้ตะขาบมากก็ไม่ทราบ และไม่อยากจะลองอีก เจอตะขาบเมื่อไรต้องสำเร็จโทษทุกครั้งไป เมื่อได้ดูสารคดีเกี่ยวกับตะขาบ ก็เห็นว่ามันไม่ค่อยมีพิ(ษภัยเท่าไรถ้าไม่ไปรบกวนมัน แต่ในชีวิตผม กลับถูกอวัยวะของตะขาบมารบกวนหลายครั้ง ก็ตีนตะขาบไงล่ะท่าน รถตีนตะขาบออกมาเพ่นพ่านตอนทหารเขายึดอำนาจ มีให้เห็นหลายครั้งในช่วงชีวิตนี้ ทหารเขาเป็นอะไรถึงยึดอำนาจรัฐบาลได้ ทำไมประชาชนที่เลือกผู้แทนเข้าไปตั้งรัฐบาลบริหารประเทศยอมให้ทหารเข้ามายึดอำนาจไปบริหารเอง
เขาเก่งนักหรือ ครั้งสุดท้ายนี่ก็เห็นไม่ทำอะไรให้ประเทศเลย หัวหน้า(หัวหน้าจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้) เดี๋ยวนี้ก็ยังมาสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทน แล้วเมื่อเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยดีขนาดตัวเองยังมาสมัครรับเรือกหตั้ง แล้วมาทำการายึดอำนาจทำไม ใครสั่ง?
อันที่จริงแล้วตะขาบที่กัดผมไม่ใช่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมี ผมคิดว่าตัวที่ใหญ่ที่สุดในโลกน่าจะอยู่ที่ดอยสิงคุตต์ หรือสิงคุต ประเทศพม่า ใหญ่โตขนาดจับช้างกินเป็นอาหารซษกช้างกองสุมเต็มดอยสิงคุต ต่อมามีเจ้าชายต่างแดนเป็นพ่อค้าสำเภาเดินทางมาพลซากช้างกองสุมเป็นภูเขา จึงคัดเลือกงาช้างบรรทุกลงเรือสำเภาทั้งสิ้น 7 ลำ ตะขาบยักษ์กลับมาก็โกรธเป็นอันมากถือว่าเจ้าชายพ่อค้าสำเภานั้นขโมยงาช้างไป จึงติดตามเรือทั้ง 7 ลำไป จนกระทั่งออกสู่มหาสมุทร ในมหาสมุทรนั้นมีปูยักษ์เจ้าทะเลอยู่ตัวหนึ่ง คอยเอาก้ามอันมหึมาของมันหนีบสิ่งที่จะลอดผ่านไปกินเป็นอาหาร เรือบรรทุกงาช้างของเจ้าชายพ่อค้าสำเภาแล่นผ่านไปได้โดยปลอดภัย แต่ตะขาบยักษ์นั้นถูกหนีบจับไปกินเป็นอาหาร จนกระทั่งสมัยพุทธปฐมโพธิกาล ตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ เดินทางมาค้าขายที่ชมพูทวีปและได้พบกับพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงปฏิญาณตนเป็นอุบาสกคนแรกในพุทธศาสนา และได้รับพระราชทานพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า จึงนำกลับมาบ้านเมืองตนหาที่ก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า และได้กำหนดให้ดอยสิงคุตต์ของตะขาบยักษ์ที่สร้างเจดีย์ เรียกว่า พระธาตุตะโก้ง หรือ เจดีย์ชะเวดากองต่อมามีเจ้าชายต่างแดนเป็นพ่อค้าสำเภาเดินทางมาพลซากช้างกองสุมเป็นภูเขา จึงคัดเลือกงาช้างบรรทุกลงเรือสำเภาทั้งสิ้น 7 ลำ ตะขาบยักษ์กลับมาก็โกรธเป็นอันมากถือว่าเจ้าชายพ่อค้าสำเภานั้นขโมยงาช้างไป จึงติดตามเรือทั้ง 7 ลำไป จนกระทั่งออกสู่มหาสมุทร ในมหาสมุทรนั้นมีปูยักษ์เจ้าทะเลอยู่ตัวหนึ่ง คอยเอาก้ามอันมหึมาของมันหนีบสิ่งที่จะลอดผ่านไปกินเป็นอาหาร เรือบรรทุกงาช้างของเจ้าชายพ่อค้าสำเภาแล่นผ่านไปได้โดยปลอดภัย แต่ตะขาบยักษ์นั้นถูกหนีบจับไปกินเป็นอาหาร จนกระทั่งสมัยพุทธปฐมโพธิกาล ตปุสสะและภัลลิกะ พ่อค้าชาวสุวรรณภูมิ เดินทางมาค้าขายที่ชมพูทวีปและได้พบกับพระพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงปฏิญาณตนเป็นอุบาสกคนแรกในพุทธศาสนา และได้รับพระราชทานพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า จึงนำกลับมาบ้านเมืองตนหาที่ก่อสร้างเจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า และได้สถานที่ดอยสิงคุตต์ของตะขาบยักษ์เป็นที่สร้างพระธาตุตะโก้งหรือเจดีย์ละเวดาองปัจจุบันและได้ทำธงตะขาบตั้งไว้ใกล้เจดีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ตะบาบยักษ์ด้วย
ปัจจุบันชาวรามัญที่ปทุมธานี และ อ.พระประแดง มีประเพณีแห่ธงตะขาบ
วันสุท้ายของสงกรานต์ด้วย เพราะฉะนั้น ตะขาบ ไม่ใช่เรื่องกล้วย ๆ เลยนะครับพี่น้อง