>>> .. เปรต!! ข้าวเย็น .. <<< เรื่องเล่า..ชวนสยอง! ชุดที่ 1 โดย สิติยะ ป

สิติยะ ป.

ป 1    
     ..... ณ อำเภอพญาเม็งราย เมื่อ 50 ปีก่อน .....
                          ๐๐๐๐๐๐๐๐
     มีหมู่บ้านเล็ก ๆ หมู่บ้านหนึ่ง ประมาณ 60 หลังคาเรือน ประชากรที่อาศรัยต่างก็ประกอบอาชิพกสิกรรมทั้งหมด เส้นทางการคมนาคมมีความเป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะเป็นถิ่นทุรกันดารในสมัยนั้น ภาระกิจของชาวบ้าน เช้ามาก็ออกไปทำไร่ทำนา เย็นก็กลับเข้าบ้านเพื่อพักผ่อนหลับนอน เอาแรงไว้ต่อสู้งานไร่ งานนาในวันรุ่งขึ้น นับเป็นวัฏจักรหมุนเวียนอยู่เช่นนี้เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
     แต่กระนั้น...ชาวบ้านก็มีศูนย์รวมใจในการรักษาศีลบำเพ็ญทานเป็นที่พึ่งทางใจ ซึ่งนั่นก็หมายถึงวัดนั่นเอง
     แม้จะเป็นเพียงวัดเล็ก ๆ ในท้องถิ่นชนบทเช่นนี้ ก็หาได้ขาดแคลนพระภิกษุ - สามเณร เฉกเช่นปัจจุบันไม่ วัดจึงเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่าง นับแต่การศึกษาเป็นต้นไป
     ตุ๊ลุงคำตัน ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ที่นี่มานานหลายปีดีดัก ลูกศิษย์ลูกหาในการเล่าเรียนเขียนอ่านในแต่ละรุ่นของท่านก็คือ ลูกหลานของชาวบ้านในแถบนั้น
     เมื่อวัยชราภาพเริ่มคืบคลานเข้ามา ชาวบ้านจึงได้ขอร้องท่านไม่ให้ออกรับบิณฑบาตรเพื่อเลี้ยงชีพ เพื่อให้สามเณรลูกศิษย์ได้มีโอกาศอุปถัมภ์อุปถากตอบแทนคุณ ในการออกรับบิณฑบาตรหาเลี้ยงท่าน
     ในบางปีสามเณรเหลือน้อย ทุกคนจึงตกลงกันหาภารโรงหรือขโยมมาทำหน้าที่รักษาความสะอาดปัดกวาดเช็ดถู ตามกำลังที่พึงปฏิบัติ โดยมีข้าวเปลือกของแต่ละหลังคาเรือนเป็นอามิส
     ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน มีสามเณรที่เหลืออยู่เพียง 3 รูป เฝ้าวัด นอกนั้นต่างก็ขวานขวายเข้าเรียนต่อในต่างแดน เช่นเมืองหลวง บ้างก็สิกขาลาเพศไปก็มี
๐๐๐๙๙๙๙๙๙๙๙๙๐๐๐
     ลุงทรวง... คือผู้ได้รับเกียรตินั้น เนื่องจากแกเป็นคนตัวเปล่าเล่าเปลือย เมียตายจากเมื่อ 10 กว่าปี โดยได้พยายามสร้างหน่อเนื้อเชื้อไขเป็นของตัวเองแล้วแต่ไม่สำเร็จ ชีวิตเมื่อถึงวัยชราหรืออีกนัยหนึ่งคือเมื่อแก่ตัวมา จึงไม่มีผู้ใดให้ฝากฝีฝากไข้ นั่นสิ..เนื่องด้วยกรรมอะไรนะ?
     จัดเข้าในเหตุและผลอันเป็นเอกฉัน ที่ชาวบ้านต่างยินยอมพร้อมใจกันยกมือสนับสนุนในที่ประชุม โดยไม่ต้องหาเสียงหรือโนโหวต ให้สิ้นเปลืองงบประมาณของวัด
     มีผู้สันทัดกรณี แนะนำให้แกซื้อหมูและไก่มาเลี้ยง เพราะข้าวปลาอาหารของวัดหลังเที่ยงเหลือเฟืออย่างมากมาย แกจึงปฏิบัติตามคำแนะนำนั้นอย่างแข็งแกร่ง
     ตกเย็น เมื่อภาระกิจที่รับผิดชอบเสร็จสิ้นลง แกก็จะรวบรวมข้าวเย็นข้าวปลาอาหารที่เหลือและขอบูชา อย่างไม่ต้องเช่า! แน่นอน..มันคืออาหารหมู ทั้ง 5 ตัว และไก่ทั้ง เกือบ 20 ตัวของแกอย่างมิต้องสงสัย
     " ตุ๊ลุง ปู่จาข้าวเย็นจิ่มเน้อ "
นั่นคือเสียงที่พระเณรในวัดจะได้ยินเป็นประจำ พร้อมกับเสียงสำทับจากตุ๊ลุง
     " เอ้อ สตางค์ก่าปู่จากะเอาจ่อมตู้บริจาคในศาลาหั้นนะ "
     " แกร๊ง!! "
เสียงของเหรียญ หล่นกระทบพื้นตู้บริจาค ซึ่งหมายถึงว่าพระเณรเมื่อได้ยินก็ให้เกิดความโล่งอกโล่งใจ เป็นเช่นนี้เรื่อยมาในแต่ละวัน				
ป 2
     2 ปีผ่านไป ไวเหมือนขี้จุ๊! ลุงทรวงขายหมูไปแล้ว 3 รุ่น ส่วนไก่นั้นนับรุ่นไม่ถ้วน แกมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ไหนจะค่าข้าวเปลือกที่ชาวบ้านนำมารวมกันและมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของแกแต่เพียงผู้เดียว เกือบ 2 เกวียน ในแต่ละปี ตำแหน่งพ่อเลี้ยงอยู่แค่เอื้อม ขออีกสัก 10 ปี หน่อยเถอะน่า..ฮื่มส์! น่าดู แกเกิดอาการกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ
     " ตุ๊ลุง ปู่จาข้าวเย็นจิ่มเน้อ "
นั่นคือเสียงที่พระเณรในวัดจะได้ยินเป็นประจำ แม้จะล่วงเลยมาแล้วหลายปี พร้อมกับเสียงสำทับจากตุ๊ลุงเจ้าเก่า เหมือนเคย หากเป็นสมัยนี้ ผู้อ่านคงคิดไปว่าน่าจะเป็นการท่องสคริปเอา หรือต่างฝ่ายต่างบันทึกเทปไว้เป็นแน่แท้..ว่าไหม?
     " เอ้อ สตางค์ก่าปู่จากะเอาจ่อมตู้บริจาคในศาลาหั้นนะ "
     " !! "
     ยิ่งหลายปีเข้า เสียงเหรียญกระทบพื้นตู้บริจาคก็ไม่ค่อยมีเสียงให้ได้ยิน ให้พอรื่นหูชื่นอกชื่นใจเช่นแต่ก่อน
     " ผมว่า..น่าจะเป๋นใบสิบบาทหนาเณร ว่าก่อ.. "
     สามเณรน้อยผู้สังเกตุการณ์ ทำหน้าที่เป็นกองสอดแหนม! ให้ข้อคิดเห็น เพราะอุ๊ยทรวงแกเริ่มมีฐานะที่ดีขึ้น พอลืมตาอ้าปากได้มาเป็นลำดับ
     " ผมว่า อุ๊ยเปิ้ลน่าจะเอากระดาษปันเหรียญไว้ เวลาจ่อมจะได้บ่เกิดเสียงดัง "
เสียงวิพากวิจารณ์ในกลุ่มสามเณรด้วยกัน ส่วนตุ๊ลุงท่านเลิกให้ความไส่ใจไปนานแล้ว โดยให้ข้อคิดเห็นแต่เพียงว่า
     " ทุกอย่างมีกรรมอยู่ในตัวของมันเอง "

๐๐๐๙๙๙๙๙๙๙๙๙๐๐๐

     จะเชื่อไหมว่า..5 ปี ผ่านไป ห๋า!!..ไม่เชื่อหรอ อุวะ! เชื่อหน่อยดิ! ผมเริ่มออกนอกเรื่องเพราะอยากทะเลาะกับผู้อ่าน 
     จักรยานรุ่นใหม่ล่าสุดที่ชาวบ้านแถบนั้นไม่กล้าซื้อ แต่แก มี วิทยุทรานซิสเตอร์ใช้ถ่านเป็นพลังงาน แบบสายสะพาย แกซื้อ นั่นย่อมหมายถึงฐานะที่มีความเจริญขึ้นอย่างเป็นระดับ ประกอบกับลุงทรวงเป็นคนที่ช่างเก็บหอมรอมริบ ชนิดที่ว่าไม่หวานเหมือนน้ำตาล (เค็มน่ะ!)
     อนิจจา...พอเข้าปีที่ 6 สังขารเริ่มเหนื่อยล้า เรี่ยวแรงพละกำลังที่เคยมี เสื่อมถอยตามกาลเวลา สิ่งเหล่านี้มักจะมาพร้อมกับโรคภัยไข้เจ็บ ที่มักเรียกกันจนติดปากว่า โรคชรา ผิดกับตุ๊ลุงที่ยังมีสภาพสังขารกายและสังขารธรรมที่ยังทรหดอดทนอยู่
     " ทรวงเอ้ย..งานหนักน่ะเพลา ๆ เหียพ่องเน้อ หื้อพระน้อยเปิ้ลยะแตนเอา "
ตุ๊ลุงมักจะเตือนแกด้วยความเมตตาอยู่เสมอ แต่แกก็ไม่ยอม เพราะถือว่าหน้าที่ต้องมาก่อน ทุกเช้าทุกเย็นสายตาของบุคคลทั่วไปจะเห็นแกเฟีย...อุย..โทดครับ จะเห็นแกจูงจักรยานคู่ชีพเข้าออกวัดอยู่เสมอ จูงบ้าง ขี่บ้างตามประสาของแก
     สายของวันหนึ่ง..ชาวบ้าน 7 - 8 คน ต่างวิ่งกระหืดกระหอบ หน้าตาตื่นเข้าวัดมา!!!

     " พระ ๆ ตุ๊ลุงอยู่ก่อ?? "
สามเณรผู้ถูกสอบถามกำลังสาละวนกับการล้างบาตร ล้างถ้วยชามอยู่ ปกติเป็นหน้าที่ของอุ๊ยทรวง แต่ไฉนวันนี้คิดกบฏ ไม่ซื่อตรงต่องานในสาขาอาชีพของตนนะ พึ่งเห็นอุ๊ยทรวงไม่มีจรรยาบรรณในอาชีพที่ได้รับปากไว้ก็วันนี้แหละ
     " ตุ๊ลุงอยู่บนโฮง "
ว่าพลางชี้มือขี้นบนกุฏิชั้น 2 ทุกคนต่างแทบจะวิ่งกรูขึ้นไปพร้อมกัน
     " มีหยังหนานสี..เกิดเรื่องหยังขึ้น ว่ามาเลาะ "
     " ลุงทรวง ๆ ..ๆ ต๋ายแล้วครับ!! "
ตุ๊ลุงรีบคลายคำหมาก เพื่อจะอ้าปากค้างด้วยความตกใจตามบทที่ผู้เขียนบอก
     หนานสีเล่าให้ฟังพอสรุปได้ว่า...ตอนสายมีผู้ไปพบศพอุ๊ยทรวงข้างถนนทางไปบ้านของแกพร้อมจักรยานคู่ชีพ จึงไปแจ้งให้พ่อหลวงบ้านทราบ แล้วพ่อหลวงจึงให้ตนมากราบเรียนให้ตุ๊ลุงทราบอีกที ดูจากสภาพศพคาดว่าตอนเช้าน่าจะออกมาวัดตามปกติ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ แต่เป็นลมกลางทางโดยไม่มีใครรู้ใครเห็นและช่วยชีวิตได้ทัน
     " เอาศพมาไว้วัด! "
เป็นคำสั่งอันเฉียบขาดของตุ๊ลุง หลังจากตกตะลึงนิ่งอึ้งไปชัวขณะ
                                         ๐๐๐๐๐
     งานสวดอภิธรรมศพลุงทรวง เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะชาวบ้านต่างก็รักและนับถือแกมาตลอดด้วยอุปนิสัยทีเป็นกันเองกับทุกคน เหล้าไม่กิน หากแต่สูบบุหรี่ขี้โยมวนใหญ่ ระยะหลังสุขภาพไม่ค่อยดี ผู้สันทัดกรณีจึงแนะนำให้แกหยุดสูบ อีกนิสัยหนึ่งคือแกเป็นคนรักเด็กอย่างมาก ๆ โดยเฉพาะกับสามเณรน้อยแต่ละรุ่นแกรักเหมือนลูกเหมือนหลาน โดยให้เหตุผลว่าแกไม่มีลูกจึงอยากจะทดแทนในส่วนนี้ โถ.. ลุงทรวง! อนาถนัก...
     เมื่อเสร็จสิ้นจากงานศพซึ่งตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดไว้ 3 วัน สามเณรทุกรูปจะรีบสรงน้ำ ชักชวนให้ตุ๊ลุงนำพาไหว้พระสวดมนต์เย็นก่อนเวลากำหนดในศาลาการเปริยญเหมือนที่เคยปฏิบัติมา ให้เป็นกรณีพิเศษ เสร็จแล้วก็จะพากันมานั่งรวมกันอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปกลางกุฏิชั้นบนเพื่อท่องหนังสือ ต่างเกิดความอบอุ่นใจว่าอย่างน้อย ๆ ด้านขวามือของพระพุทธรูป ก็เป็นห้องของตุ๊ลุงละวะ...				
ป 3
     ทรัพย์สินศฤงคารทั้งสิ้น ได้รับพิจารณาให้แบ่งสรรปันส่วนอย่างยุติธรรม โดยมีตุ๊ลุงทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ด้วยอาการขอร้องแกมบังคับของพ่อหลวงและชาวบ้าน ท่านจึงก้าวเข้ามารับตำแหน่งนี้ชั่วคราวแบบจำยอม เพราะหาได้ใช่กิจของสงฆ์ไม่
     ทรัพย์สินอันเป็นของเคลื่อนที่ได้ภายในบ้าน ให้ตกเป็นของวัดทั้งหมด เงินทองที่มีอยู่ให้ตั้งเป็นกองทุนการศึกษาสำหรับพระเณร ส่วนที่ดิน ให้ถือเป็นที่สาธารณประจำหมู่บ้าน แต่มีข้อแม้ว่า...เรื่องราวรายละเอียดของทรัพย์สินและที่ดินทั้งหมด ห้าม! ให้ศิราน้อย รู้เป็นอันขาด ด้วยเป็นบุคคลไม่น่าไว้วางใจ เกรงจะนำออกขายเหมือนที่ผ่านมาเช่นกระทู้นี้... 
     http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=90251.0
     กลางดึกของคืนหนึ่ง...หลังจากฌาปนกิจศพของลุงทรวง สิ้นไป 5 วัน สิ่งที่สามเณรทุกรูปกลัวมากที่สุดในชีวิตนี้ ก็ได้คืบคลานเดินทางมาถึง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
     ประตูที่คิดและแน่ใจว่าได้ลั่นดาลไว้เรียบร้อย เกิดมีเสียงดังกุก ๆ กัก ๆ เหมือนมีมือคนเขย่า...!! เส้นขน! ที่มีอยู่บนหัว บนแขน หรือที่ไหน ๆ ของนักบวชน้อยทั้ง 3 รูป ได้พร้อมใจกันลุกเกรียวขึ้น...ในเหตุการณ์อันน่าสพรึงกลัวที่อาจเกิดขึ้นได้...
     เสียงสายลมด้านนอก พัดแรงปะทะประตูกุฏิครั้งแล้วครั้งเล่า...เณรน้อยทุกรูปจ้องมองเป็นตาเดียวกัน...และในฉับพลันทันใด ประตูก็ค่อย เปิดแง้มออก....อะไรกันนี่!!!
     " แอ๊ดดดดดดดด..... "
ให้ตายเถอะ!! ประตู...ประตู...ประตูกำลังจะแง้มออกอย่างเต็มที่แล้ววววววว....

๐๐๐๙๙๙๙๙๙๙๙๙๐๐๐

     " อ๊ากกกกกกกกกกกกกก!!! "
หือ..ผู้เขียนลองแซมเปิ้ลร้องดูม่ะย่า... 
     ๐๐๐
     ทันทีที่ประตูถูกแง้มเปิดจนหมด...ภาพที่สามเณรน้อยทุกรูปเห็นในขณะนั้น มันช่างน่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยงเสียยิ่งนัก
     เป็นรูปใบหน้าคน..ที่มีดวงตาอันแดงกล่ำเถลือกถลน! ใบหน้าเป็นแผลเหวะหวะเน่าเฟะเต็มวงกบประตู ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งตลบอบอวน สามเณรทุกรูปจำใบหน้านี้ได้เป็นอย่างดี..
     " เหวอออออ....!!! อุ๊ยทรวง!!! "
ณ บัดนั้น ความชุลมุนพร้อมเสียงเอะอะโวยวาย ก็ให้บังเกิดขึ้นอย่างไม่ได้ศัพท์ พระน้อยต่างโผเข้าหากัน กอดกันกลมโดยมิได้นัดหมาย ผ้าห่มเพียงผืนเดียวแทบจะฉีกขาดย่อยยับ เพราะต่างก็ยื้อแย่งดึงดันใช้เป็นเกาะกำบังภัยโดยสัญชาติญาณ...
     " น้อย..เป๋นหยังน้อย..!!"
เสียงตุ๊ลุงผลักประตูออกมาอย่างแรง พร้อมกับคำถามปนน้ำเสียงอันตกใจของท่าน
ระฆัง! มาช่วยไว้ทันเวลา ทุกรูปโผผวาเข้าเกาะกุม กอดขาตุ๊ลุงไว้แน่น พร้อมกับเล่าเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา....พร้อมกับชี้ไปที่ประตูกุฏิ
     แต่ก็ต้องตลึงงัน! เพราะประตูทุกบานปิดสนิท! ไม่มีแม้แต่ร่องรอยว่าเคยเปิดทิ้งไว้...นี่มันอะไรกัน!!!
     ตุ๊ลุงปิดเปลือกตาลงครู่หนึ่งอย่างอ่อนใจ คงมีเพียงท่านเท่านั้นที่รู้ว่าอุ๊ยทรวงมาปรากฏตัวทำไม!!??..เอ...จะเป็นเพราะรัก..เพราะห่วงเณรน้อยของแกหรือเปล่านะ? หรือว่า...หรือว่ามีห่วงกรรมอันหนักหน่วง แน่นหนามัดดึงดวงวิญญาณของแกไว้ ...หรือเปล่านะ?!!?
     " ทรวงเอ้ย...ตุ๊ลุงเข้าใจ๋ดีเน้อ..ถ้ามันไปไหนบ่ได้เตื่อก็อยู่นี่ก่อนกะได้ แต่ห้ามแสดงตั๋วเน้อ..ลูกพระลูกเณรเปิ้ลตกอกตกใจ๋ เป๋นบาปเป็นก๋ำหนา..."
     ท่านกล่าวน้ำเสียงเรียบ แต่เปรี่ยมด้วยเมตตาตามแบบฉบับของท่าน
     นับแต่นั้นมา ไม่มีผู้ใดเห็นเปรตอุ๊ยทรวงอีกเลย ตกดึก จะมีก็แต่เพียงเสียงหมาหอนที่โหยหวลรับกันเป็นทอด ๆ รอบบริเวณวัดทุกคืนไป
     " ... บลู๋วววววววววว!!!! ... "
     " ... โบล๋ววววววววววววววว!!! .. "
                                          สู่สุคติเถิดนะ...อุ๊ยทรวง				
comments powered by Disqus
  • สิติยะ ป.

    3 สิงหาคม 2554 11:51 น. - comment id 125397

    เรื่องนี้
    ได้ได้นำเสนออยู่ในเวปบอร์ดเชียงรายโฟกัส
    http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=104175.0
    อยากให้ทุกท่านได้อ่านจึงนำมาลงที่นี่อีกครังครับ
    อย่าลืมแสดงความคิดเห็นนะครับ
    57.gif

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน