อาจารย์เล่านิทาน โดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ มีชายคนหนึ่งเดินเตร่เข้าไปในป่าลึก เขาอาจจะเดินเที่ยวเล่นหรือไปทำธุระอะไรบางอย่าง แล้ววันหนึ่ง เขาก็เกิดไปเห็นหมาจิ้งจอกซึ่งขาขาดทั้งสี่ข้าง เขาก็นึกประหลาดใจว่าหมาจิ้งจอกสามารถรอดชีวิตอยู่ในป่าทึบนี้ได้อย่างไรทั้งๆ ที่ไม่มีขาหลงเหลืออยู่ เขาก็เลยเฝ้าดู คอยดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็เห็นเสือตัวหนึ่งนำเหยื่อที่ถูกล่ากลับมาและกินเหยื่อนั้น หลังจากนั้นถ้ายังมีอะไรเหลืออยู่ หมาจิ้งจอกก็เอามากินต่อ ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า หมาจิ้งจอกมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไรในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าก็เลี้ยงดูหมาจิ้งจอกโดยผ่านมาทางเสืออีกเช่นเคย ชายผู้นี้ก็เลยคิดว่า เขาคงจะรู้แจ้งขึ้นมาบ้างแล้ว เขาพูดว่า "อา เราจะต้องพึ่งพาพระเจ้า เราต้องเชื่อมั่นในพระเจ้า แล้วท่านก็จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างแก่เรา" ดังนั้นเขาจึงเลิกทำงาน ไม่สนใจภรรยาและลูกๆ ของเขา และไม่ไปนั่งสมาธิกลุ่มที่ศูนย์ซีหูอีกด้วย (คนหัวเราะ) เอาแต่นั่งอยู่ในป่า พยายามยกทุกสิ่งทุกอย่างให้พระเจ้าดูแล และคิดว่าพระเจ้าจะนำอาหารมาให้เขา ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้น ทำสมาธิถึงพระเจ้าและแม้แต่คำพระหรือนะโมอนุตราจารย์ชิงไห่ อู๋ ซั่ง ซือ ซูม่า จื้อ ก็ยังไม่ยอมท่อง (คนหัวเราะ)เขากล่าวว่า "ทำไมล่ะ ฉันเชื่อมั่นในพระเจ้าเท่านั้น ทำไมฉันจะต้องเรียกชื่อของใครด้วย? ฉันไว้ใจพระเจ้า รักพระเจ้าและเชื่อในพระเจ้า ฉันเกรงกลัวและเคารพพระเจ้า แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ฉันยอมให้พระเจ้าดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง" เขาก็เลยนั่งอยู่ที่นั่นคอยต่อไป เผื่อจะมีเนยสดเค้ก ขนมปัง เนยแข็ง เต้าหู้ มาหาเขา ในวันแรกก็ไม่มีอะไรมาเลย เขาก็ยังคงนั่งต่อไป เขากล่าวว่า "พระเจ้ากำลังทดสอบศรัทธาของฉัน" เขาจึงนั่งต่อไปอีกวันหนึ่งในวันที่สองก็ไม่มีเต้าหู้ปรากฏมาให้เห็น ไม่มีกะหล่ำปลีงอกจากพื้นดินขึ้นมาตรงหน้าเขา ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เขาจึงคิดว่า "โอ พระเจ้าคงกำลังทดสอบความกล้าหาญและความเชื่อของฉันแน่ๆ เลย แน่นอน ฉันจะแสดงให้พระเจ้าได้เห็นความเชื่อของฉัน ได้เห็นว่าฉันยอมท่านทุกอย่าง ได้เห็นความเชื่อมั่นไว้วางใจในพระเจ้าอันไม่สั่นคลอนของฉัน" ดังนั้นเขาจึงนั่งอยู่ตรงนั้น และรอคอยต่อไปพอถึงวันที่สาม ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีเนยสด ขนมปัง เนยแข็ง เต้าหู้ กะหล่ำปลี แคร็อท ไม่มีแม้แต่น้ำฝน เอื๊อกๆ คราวนี้เขารู้สึกว่ามีการทดสอบจากคอของเขา มีการทดสอบจากกระเพาะของเขา จากแขนขาของเขา ไม่จำเป็นต้องเป็นการทดสอบจากพระเจ้าเสมอไป แต่มันมาจากส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายของเขา ชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายเริ่มจะ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) พยายามเอาเรื่องกับเขา เขาก็เกิดความทุกข์ทรมานมาก และพยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสวดขอพระเจ้า "กรุณาอย่าทดสอบผมต่อไปเลย ผมเชื่อมั่นในพระองค์จริงๆ ผมยอมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อท่านจริงๆ ความศรัทธาของผมที่มีต่อท่านไม่สั่นคลอนเลย มันไม่มีวันสูญหายไปเลย" จากนั้นก็มีเสียงมาจากสวรรค์หรืออาจจะมาจากกระเพาะของเขาก็ได้ ฉันไม่รู้ (อาจารย์และทุกคนหัวเราะ) เสียงนั้นกล่าวว่า "โอ เธอ เจ้าคนโง่ ทำไมถึงได้เรียนวิธีการของหมาจิ้งจอกพิการเล่า? ตื่นขึ้นได้แล้ว และทำตามวิธีการของเสือ"จริงๆ แล้ว เราอาจจะบวชเป็นพระภิกษุก็ได้ แต่เราควรทำงาน ทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ เพื่อการยังชีพของเรา ฉันจึงได้บอกเธอว่า เราต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยตัวเราเอง เพราะว่าเราได้รับเครื่องมือต่างๆ รวมทั้งความฉลาด มีไหวพริบ เราไม่ใช่หมาจิ้งจอกพิการ ถ้าเราเป็นหมาจิ้งจอกพิการ บางทีพระเจ้าอาจจะช่วยเรา แต่เนื่องจากเราไม่ได้พิการ แล้วทำไมเราต้องทำตามอย่างวิธีการของสัตว์พิการด้วยล่ะ? เราควรจะต้องเดินอย่างราชสีห์ เสือ ช้าง ม้า เราควรจะเป็นผู้ให้ ไม่ใช่เป็นขอทาน ไม่ใช่เป็นผู้รับ นี่แหละคือวิถีของชีวิต ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลกมายานี้ เราก็ควรหาเลี้ยงตัวของเราเอง ฝึกหัดตัวเรา ลองเล่นกับเครื่องมือเหล่านี้ดู ทดลองกับมันด้วยความสามารถและความฉลาดมีไหวพริบของเรา ดูซิว่าชีวิตจะให้อะไรกลับมา ดูซิว่าพรุ่งนี้จะนำอะไรมาให้เราด้วยสติปัญญาและความสามารถของเรา เราเฝ้าดูชีวิตเจริญพัฒนาขึ้นในตัวเรา เราเฝ้าดูชีวิตเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เฝ้าดูเครื่องมือของเรานำผลประโยชน์กลับมาให้เรา ให้ครอบครัวของเรา และสังคมส่วนรวม เรามีความฉลาด มีไหวพริบ เราก็ควรใช้มัน ปัญญานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความฉลาดและความสามารถเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัญญานั้นเราเก็บเอาไว้ ปัญญานั้นไม่มีทางจะนำออกไปจากตัวเราได้ ปัญญาไม่สามารถฝึกหัดได้ ไม่มีวันถูกทำให้ด่างพร้อยได้ ไม่มีวันลดลงหรือเพิ่มขึ้น แต่ความฉลาด มีไหวพริบ, ความรู้นั้นเราต้องใช้เพื่อจัดการกับชีวิตประจำวันในโลกแห่งวัตถุนี้ ปัญญาเราเก็บไว้สำหรับตัวเราเอง และเราสามารถจะใช้มันในวัตถุประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่า สูงส่งกว่า เช่น ทำให้คนอื่นรู้แจ้ง หรือทำให้ตัวเราเองมีพลังมากขึ้น เพื่อเราจะได้สามารถช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อย่างเช่นการรักษาโรคโดยไม่ได้รักษา การรู้โดยปราศจากการรู้ การช่วยเหลือโดยไม่ได้ช่วย อวยพรแก่โลกโดยไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความหยิ่งทะนง และไม่มีร่องรอยของเกียรติยศชื่อเสียงในส่วนที่เป็นของเรา นั่นแหละคือวิธีที่เราควรจะเป็นเพราะฉะนั้นวันนี้หรือพรุ่งนี้หรือทุกวันเราจึงนั่งสมาธิ นี่ก็เหมือนกับการทำตามแบบวิธีการของเสือ เราให้ เราอวยพร เราไม่ขอร้องอะไร ไม่ขออะไรจากใคร ฉันคิดว่า พระเจ้า เทวดา ผู้ที่รู้แจ้งแล้วทั้งหลาย ท่านกำลังทำงานของท่านอยู่แล้ว ท่านกำลังทำงานของท่านให้เสร็จ ตอนนี้เราต้องเจริญตามรอยเท้าของท่านเหล่านั้นและทำงานแบบเดียวกับท่านด้วย ไม่ใช่เอาแต่สวดอธิษฐานเพื่อตัวเราเอง หรือขอโน่นขอนี่เพื่อชีวิตที่เป็นอนิจจังนี้ เมื่อไรก็ตามที่เราต้องการสิ่งใดจริงๆ เราก็อาจจะอธิษฐานขอได้ ขอเพียงแค่สิ่งจำเป็นเพื่อให้เราสามารถบำเพ็ญต่อไปได้ แต่ไม่ใช่เป็นขอทานไปตลอดกาลในอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณ... Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.suprememastertv.com www.godsdirectcontact-thai.org