ใต้ร่มเงากัลปพฤษ์รำลึกถึง กาลครั้งหนึ่งผ่านมาอุราไหว ยามความรักเล่นกลจนปวดใจ ด้วยหนึ่งใครหมางเมินเดินลับลา ดอกสีชมพูอ่อนซ่อนพิษร้าย ความรักกลายสุดเศร้าเฝ้าโหยหา รักลึกซึ้งจึงเจ็บเหน็บวิญญาณ์ เพียงก้มหน้ารับกรรมฟ้ากำหนด พิรุณพร่ำสาดซัดตัดขั้วดอก ร่วงหลุดออกจากกิ่งยิ่งกำสรด ฟ้าครวญคร่ำน้ำตาพาราดรด ทุกหยาดหยดหลั่งรินปานสิ้นใจ ช่อซีดเซียวด้วยฝนร่วงหล่นพื้น เสียงสะอื้นรักล่มตรมหมองไหม้ เหลือเพียงซากดวงมานเถ้าถ่านไฟ มอบเศษใจคงไว้ในสายลม..... ณ ชมรมหมากรุกของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณมุมหนึ่งภายในห้องของชมรม มีโต๊ะหินอ่อนสีขาวตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะมีหมากรุกที่ยังเดินค้างอยู่กระดานหนึ่ง บนเก้าอี้หินอ่อนกลับนั่งไว้ด้วยเด็กหนุ่มท่าทางอมโรคผู้หนึ่ง ลักษณะรูปร่างของเขาคล้ายคนพิการ ด้วยขนาดของร่างกายที่เล็กกว่าปกติเมื่อเทียบกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน คิ้วของเขาทั้งสองข้างกำลังขมวดเข้าหากันเป็นปมยุ่งเหยิงราวกับว่ามีปัญหายิ่งใหญ่อันใดที่ไม่อาจคลี่คลายได้ เขานั่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องของชมรมที่ปราศจากเงาร่างผู้คน ราวกับว่าตัวตนของเขามิได้สถิตอยู่บนโลกใบนี้ก็ปาน! ความสนใจทั้งมวลของเขาคล้ายจดจ่ออยู่ที่ตัวหมากรุกตัวหนึ่งที่อยู่บนกระดานหมากรุกบนโต๊ะนั้น ปราศจากมิตรสหาย ปราศจากคู่ต่อสู้ แต่ใช่ปราศจากน้ำใจด้วยหรือไม่? ใครก็ตามที่สัญจรผ่านไปผ่านมาต่างอดไม่ได้ที่จะเหลียวหน้ามองเขาผ่านทางช่องหน้าต่างบานหนึ่งแว้บหนึ่ง เพียงแว้บเดียวก็เกินพอ รูปร่างหน้าตาของเขามีความงามซ่อนอยู่ เป็นความงามอย่างลี้ลับ เป็นความงามชวนน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึง! นักศึกษาปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ส่วนใหญ่เพียงได้เห็นใบหน้าของเขาเพียงครั้งหนึ่ง ก็จะไม่กล้าเหลียวกลับไปมองอีกเป็นครั้งที่สองโดยเด็ดขาด! เขาเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ ๓ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มีชื่อจริงว่า “ปัญญา” ชื่อเล่นว่า “หงอด” มาตรแม้นรูปกายส่วนใหญ่ของเขาจะสร้างความหดหู่ให้แก่บุคคลผู้ที่พบเห็นไม่น้อย หากแต่ดวงตาที่เปล่งแสงประกายเจิดจ้าดุจดาวประกายพรึกในยามค่ำ ไม่ยอมสยบง่ายๆ กลับทำให้บุคลิกของเขามีเสน่ห์บางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ ชวนให้น่าสงสัย ชวนให้น่าติดตาม ช่วงเวลาเกือบ ๓ ปีตั้งแต่ที่เขาย่างเท้าเข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขากลับยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างมากขึ้น มากกว่าตอนที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมเสียอีก ในช่วงชีวิตของเขาที่ผ่านมายากจะหามิตรสหายที่รู้ใจได้สักคนหนึ่ง ทุกคนมักดูถูกรูปร่างหน้าตาและความพิกลพิการของเขา ทุกคนคบหากันเพียงรูปลักษณะภายนอก ทุกคนไม่กล้าเดินเคียงข้างกับเขาเพียงเพราะเกรงกลัวว่าจะถูกคนอื่นล้อ......... หากแต่ความภาคภูมิใจหนึ่งเดียวที่คอยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเขามาจนตราบถึงทุกวันนี้ก็คือกระดานหมากรุกที่วางอยู่ตรงหน้าของเขานี้เอง เขารักกีฬาหมากรุกเป็นชีวิตจิตใจ เขารักหมากรุกดั่งบุรุษที่รักสตรีนางหนึ่ง ที่แม้แต่ชีวิตยังยินยอมมอบให้แก่เธอได้ เขารักมันจนถึงขั้นงมงาย ! ด้วยสาเหตุเพราะร่างกายของเขาบางส่วนพิการไม่สมประกอบ เขาเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกบริเวณที่ก้นกบซึ่งมันสามารถงอกยาวได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้นทุกปีเขาจะต้องเข้ารับการผ่าตัด เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนบุคคลทั่วไป ความที่ไม่สามารถเล่นกีฬาประเภทอื่นๆ ที่ต้องใช้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ถนัด เขาจึงหันมาสนใจกีฬาในร่มอย่างหมากรุก และเขาก็รักมันเป็นชีวิตจิตใจ มันคือชีวิตของเขา! ตอนปีหนึ่งเขาเคยได้รับรางวัลเหรียญทองชนะเลิศในกีฬาหมากรุกที่เขาได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของคณะลงเข้าแข่งขันในกีฬามหาวิทยาลัย ขึ้นชั้นปีที่สองผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับแนวหน้าของรุ่น เช่นเดียวกับฝีมือด้านหมากรุก เขายังคงครองแชมป์ ยังไม่เคยมีใครสามารถล้มเขาได้ เขาคือเซียนหมากรุก! นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จิตใจของเขารู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด เนื่องเพราะภายในสองปีมานี้เขายังไม่พบเซียนหมากรุกที่จะเอาชนะเขาได้แม้แต่เพียงผู้เดียว ที่ผ่านมาเขาเหมือนก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุด คล้ายนั่งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของยอดเขาและมองลงมาดูผู้คนด้วยความผิดหวังและว้าเหว่ ไร้คู่ต่อสู้ ไร้คู่แข่ง ไม่ทราบเป็นความรู้สึกที่อ้างว้างปานใด? เงียบเหงาปานใด? คงมีเพียงแต่เขาเท่านั้นกระมังที่สัมผัสความรู้สึกของสภาพจิตใจเยี่ยงนี้ได้ เขาเฝ้ารอคอยคู่ต่อสู้ของเขามานานถึง ๒ ปีทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องโดยหวังว่าจะพานพบเพียงสักคน แต่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่มีจำนวนนับหมื่นคนกลับไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียวที่จะสามารถเอาชนะเขาได้จนกระทั่งเขาขึ้นปี ๓ เพื่อนๆ มักจะถามเขาว่าทำไมเขามักชมชอบเล่นหมากรุกคนเดียว ยามได้เห็นเขานั่งเล่นหมากรุกอยู่เพียงลำพัง เขามักจะทอดถอนหายใจและตอบว่า “สู้กับตัวเองยังน่าสนุกกว่าสู้กับคนอื่นมากนัก เอาชนะตัวเองได้ยังประเสริฐกว่าการเอาชนะคู่ต่อสู้นับพันนับหมื่น” นั่นเองจึงเป็นสาเหตุที่ใครก็ตามที่แวะมาชมรมหมากรุกมักพบเขานั่งเล่นหมากรุกอยู่คนเดียวบ่อยๆ แต่วันนี้น่ากลัวจะผิดแผกแตกต่างไปบ้าง ! “พี่หงอด ! เห็นอาจารย์หรือเปล่า?” เสียงของเพื่อนคนหนึ่งของเขาตะโกนมาแต่ไกล ตั้งแต่โผล่หน้าเข้ามาทางประตูได้เพียงบางส่วน มันได้ปลุกภวังค์ของเขาให้เริ่มหันมาสนใจโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เขาเห็นหน้าเพื่อนสนิทของเขาที่ชื่อ “แอ๊บ” มันมีชื่อจริงว่าพนาคุณแปลว่าความดีของป่าไม้ มันเคยบอกว่าชื่อนี้บิดาซึ่งทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้ตั้งให้ พนาคุณเป็นเด็กหนุ่มผิวสีแทน รูปร่างผอมเพียว ปราดเปรียวคล่องแคล่ว มีบ้านเกิดอยู่ในเขตติดต่อกับมหาวิทยาลัย ตอนสอบเอ็นทรานซ์เขาจึงเลือกคณะที่เขาเรียนอยู่ในปัจจุบัน (วิศวะ) เพียงคณะเดียว! เพียงลำดับเดียว ! เพียงมหาลัยวิทยาลัยแห่งเดียว ! เพราะเขามีความมั่นใจสูงมากว่าจะต้องสอบติดที่นี่ ประกอบกับคะแนนสูงสุดของนักศึกษาที่สอบเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาในคณะนี้ ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ในปีนั้น มีค่าสูงมากจนสามารถจะสอบเข้าเรียนในคณะเดียวกันได้ทุกมหาวิทยาทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่มหาลัยที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งของประเทศ(จุฬา,ธรรมศาสตร์) ถ้าหากได้เลือกเอาไว้ มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดของคณะประจำปีการศึกษานั้นอาจเป็นเขานั่นเอง! หากแต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บเอาไว้เป็นความลับของมหาวิทยาลัย ตอนสมัยเรียนอยู่มัธยมเขาไม่เคยสอบได้ที่ ๒ หรือลำดับที่อื่นๆมาก่อน เขาสอบได้ที่หนึ่งของห้องมาตลอด และที่สำคัญโรงเรียนของเขาก็จัดเป็นโรงเรียนมาตรฐานอันดับหนึ่งของจังหวัดอันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อีกด้วย.... พนาคุณมักชมชอบทำตาแวววาว กลอกกลิ้งไปมาคล้ายมีเลศนัยอันใดที่ไม่อาจเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งมันได้กลายเป็นบุคลิกของเขาไปแล้ว เมื่อพบเห็นเขาครั้งแรกจะเห็นดวงตาสีขาวที่ตัดกับใบหน้าสีผิวแทนของเขาได้อย่างชัดเจน ลักษณะนิสัยที่ยากแก่การเข้าใจของเขาทำให้เพื่อนๆส่วนใหญ่มักเข้าใจเขาอย่างผิดๆไปต่างๆนานาและไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่หรือกำลังจะทำอะไร? ไม่เว้นแม่แต่ครูบาอาจารย์ อาทิเช่น บางทีเขาเดินถือท่อนไม้โตๆอยู่ตามป่า ข้างๆ คณะ อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่รู้ก็มักพากันวิ่งออกมาดูเพราะคิดว่านักศึกษาเกิดเรื่องราวอะไรกันขึ้น แต่กลับพบเห็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งเดินผิวปากสบายอารมณ์ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนเหมือนไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่เหมือนกันมักจะดึงดูดซึ่งกันและกัน ปัญญากับพนาคุณจึงเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก อาจเป็นเพราะว่ามีนิสัยแปลกประหลาดด้วยกันทั้งคู่นั่นเอง “อ้าวพี่แอ๊บ! วันนี้ไปไงมาไงถึงแวะมาถึงที่นี่ได้?” ปัญญาร้องอุทานออกมาเมื่อพบกับเพื่อนสนิทเพราะรู้ดีว่าเพื่อนของเขาคนนี้ไม่มีความสนใจในเกมหมากรุกเลยแม้แต่น้อย การที่พนาคุณปรากฏตัวขึ้นที่นี่จึงสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาไม่น้อย ปกตินักศึกษากลุ่มนี้เวลาพูดจากันจะเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าพี่และแทนตัวเองว่าผม หลายครั้งที่เพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องคณะอื่นที่ไม่รู้จะแสดงอาการงุนงงสังสัยเป็นอย่างมากเวลาได้ยินพวกเขาพูดคุยกัน เพราะไม่รู้ว่าใครแก่กว่ากัน ใครเป็นรุ่นพี่ใครเป็นรุ่นน้อง? เพราะต่างคนก็ต่างเรียกฝ่ายตรงข้ามว่าพี่ “ผมมาหาอาจารย์ !” พนาคุณพยายามเน้นเสียงพูดขณะที่ก้าวเท้าเดินเข้ามาภายในห้อง เบื้องหลังของเขายังเดินติดตามมาด้วยเด็กสาวคนหนึ่ง ดูเหมือนเธอจะกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ มีคราบน้ำตาเปรอะเปื้อนใบหน้าอย่างน่าเวทนา มือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง คอยซับน้ำตาที่หลั่งรินออกมาอยู่บ่อยครั้ง คล้ายมีเรื่องราวเศร้าโศกใหญ่หลวงอันใด? เธอนับได้ว่าเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง ปัญญามองสำรวจเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ารอบหนึ่ง เขาถึงกับต้องตกตะลึงอ้าปากค้างในความงามปนเศร้าของเธอ ก่อนจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเข้าหากันและเริ่มลำดับความคิดประติดประต่อเรื่องราวทั้งหมด เขาพลันลุกขึ้นจากเก้าอี้หินอ่อนแล้วลากแขนเพื่อนของเขาไปตรงมุมห้อง พร้อมกับปลายตามองเด็กสาวแปลกหน้าคนนั้นแว้บหนึ่งก่อนจะกระซิบข้างๆหูของพนาคุณว่า “พี่แอ๊บ ! คงเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นแล้วสิท่า บอกผมมาซิว่าอาจารย์ไปทำน้องสาวคนนี้ท้องใช่หรือเปล่า? ยุ่งตาย...!” พนาคุณรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่ตอบคำถามกลับถามเน้นย้ำคำถามเดิมอีกครั้งหนึ่ง “อาจารย์อยู่ที่ไหน?” ปัญญาเริ่มสังเกตุเห็นสถานการณ์เริ่มตึงเครียดเมื่อเห็นใบหน้าเขียวคล้ำของเพื่อนของเขาที่คล้ายเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จึงรีบตอบว่า “เมื่อตะกี้นี้เอง อาจารย์ยังนั่งเล่นหมากรุกอยู่กับผมเลย ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอาจารย์จะเล่นหมากรุกเป็นกับเขาด้วย แต่ผมคะยั้นคะยออยู่พักหนึ่งให้ช่วยเล่นเป็นเพื่อนหน่อย อาจารย์ก็เลยเล่นกับผมอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ขณะที่กำลังจะรู้แพ้รู้ชนะกันอยู่นั้น ก็พลันมีใครไม่รู้เอาจดหมายฉบับหนึ่งมาให้อาจารย์ ผมมัวแต่ก้มหน้าดูหมากรุกก็เลยไม่ทันสังเกตว่าใคร คงพวกเพื่อนๆ เรานั่นแหละ” ปัญญาหยุดหายใจชั่วขณะ สายตายังอดไม่ได้ที่จะเหลียวไปดูเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวสืบต่อว่า “ อาจารย์ฉีกจดหมายฉบับนั้นออกมาอ่านครู่หนึ่งแล้วก็พลันพูดกับผมว่า “พี่หงอดผมขอตัวไปข้างนอกเดี๋ยวหนึ่งนะ แล้วจะรีบกลับมา” “ผมก็ไม่ทันสังเกตว่าเป็นเรื่องอะไรหรอก ก่อนจากไปอาจารย์วางหมากลงมาตาหนึ่ง แล้วจึงรีบผลุนผลันออกไป” “อาจารย์ไปที่ไหนพี่หงอดรู้หรือเปล่า?” พนาคุณพยายามคาดคั้นคำตอบ “ ผมไม่รู้จริงๆ ผมมัวแต่สนใจหมากตัวนั้น หมากตาสุดท้าย หมากที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนเลยในชีวิต หมากพิฆาต!” ปัญญาแสดงความดีอกดีใจออกมาอย่างออกนอกหน้า แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้ามาเศร้าสลดแทน คล้ายไม่รู้ว่าสมควรหัวเราะหรือร้องไห้กับหมากตานี้ดี “ทำไมถึงเรียกว่าหมากพิฆาตหล่ะ? ใครๆ ก็รู้ว่ายังไม่เคยมีใครเอาชนะพี่หงอดในเรื่องหมากรุกนี้ได้ แต่เรื่องอื่นนั้นกลับไม่แน่นัก เฮอะ เฮอะ ” พนาคุณถามด้วยความสงสัยใคร่รู้จนลืมเลือนเรื่องสำคัญอื่นไป “พี่แอ๊บไม่รู้อะไร หมากตานี้ของอาจารย์ทำให้ผมนั่งขบคิดใคร่ครวญมาเป็นเวลาครึ่งค่อนวันแล้วก็ยังหาทางเดินต่อไปไม่ได้ เพราะถ้าหากผมวางหมากตัวต่อไป ผมต้องแพ้แน่นอน ผมจึงหวังว่าอาจารย์ทางที่ดีอย่าเพิ่งรีบกลับมา รอให้ผมคิดออกก่อน ชื่อเสียงเกียรติยศทั้งหมดของผมที่สะสมในรอบหลายปีมานี้คงต้องพังยับเยินในวันนี้เป็นแน่แท้ ฮา ฮา” ปัญญาสาธยายชี้แจงเหตุผลพร้อมกับหัวเราะ แต่พอเสียงสะอื้นของเด็กสาวคนนั้นเริ่มจะดังขึ้นอีกครั้ง พวกเขาทั้งคู่ก็พลันคิดถึงเรื่องราวเร่งด่วนเฉพาะหน้านี้ขึ้นมาได้อีกครั้ง พนาคุณทำสีหน้าเคร่งเครียดลงทันทีพร้อมกับรีบเดินออกจากห้องของชมรมหมากรุกนำหน้าสาวน้อยคนนั้นจากไป เขาบอกให้เธอนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์แล้วขับจากไปทันที ทิ้งเครื่องหมายคำถามไว้บนใบหน้าของปัญญาพร้อมกับหมากรุกกระดานนั้น หมากพิฆาตตัวนั้น! หมากตาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาเองและทำลายอัตตาของเขาจนย่อยยับลงไปในชั่วพริบตา! บึงน้ำขนาดใหญ่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยจัดเป็นสถานที่ตากอากาศอย่างดีเยี่ยม มันมักใช้เป็นที่นัดพบของเพื่อนพ้อง น้องพี่ หนุ่มสาว คู่รักหรือคนที่ชมชอบบรรยากาศของธรรมชาติอันร่มรื่นแบบนี้ พื้นน้ำที่ใสแจ๋วราวกระจก ราบเรียบสงบและกระเพื่อมไหวตามกระแสลมในบางครั้ง รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าและต้นไม้หลากหลายพันธุ์ สายลมยามเย็นที่ลูบไล้ใบหน้า บางฤดูของปีจะมีนกเป็ดน้ำที่อพยพมาจากต่างถิ่นจำนวนมาก พากันมาลงเล่นน้ำและใช้แนวต้นกกที่ขึ้นเรียงรายปกคลุมหนาทึบบริเวณริมตลิ่งเป็นสถานที่อาศัยเพื่อหลบภัยและวางไข่ ต้นไม้บางต้นมีขนาดใหญ่โตอายุนับร้อยปี บางต้นมองดูไปคล้ายต้นไม้โบราณและอายุมากกว่านั้น บางต้นยืนต้นใบโกร๋นในช่วงผลัดใบ ดูๆไปทำให้นึกถึงต้นไม้ในยุคไดโนเสาร์ ยามนี้เป็นยามบ่ายนักศึกษาส่วนใหญ่ยังเรียนอยู่ในห้องเรียน ฝนเริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกล ท้องทุ่งกว้างไกล เวิ้งว้าง ไร้เงาร่างของผู้คน ที่บริเวณริมบึงน้ำด้านหนึ่งปรากฏเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งท่าชันเข่าใบหน้าซบกับแขนทั้งสองข้างที่วางอยู่บนเข่าคล้ายกำลังร่ำไห้ น้ำตาเปียกชุ่มไปทั่วจนเปรอะเปื้อนกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถืออยู่ในมือข้างขวา หัวใจของเขากำลังแหลกสลายด้วยความเจ็บปวด เขาซบหน้าร้องไห้ ฟูมฟาย ประเดี๋ยวก็เงยหน้าขึ้นมาอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้นสลับกันไปอยู่อย่างนั้นราวกับคนคลุ้มคลั่งเสียสติก็ปาน! กระดาษแผ่นนั้นเป็นจดหมายฉบับหนึ่งที่เพิ่งส่งมาจากหญิงสาวที่เขาหลงรักมีใจความว่า.. สวัสดีจ๊ะ...ศิวา ก่อนอื่นเราต้องขอขอบใจเธอมากนะที่เธอเขียนมาบอกว่าชอบเราและมีความรู้สึกที่ดีๆกับเรา ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราเข้าใจเธอผิดมาตลอด คิดว่าเธอรังเกียจเรา ไม่ชอบหน้าเรา ความคิดอ่านของเราทั้งสองคนคล้ายคลึงกันมาก เราจึงเป็นเพื่อนที่เข้าใจกันมาตลอดเวลาหลายปี แม้เธอจะไปเรียนไกลถึงค่อนประเทศ แต่เราก็ยังมีความรู้สึกดีๆให้เธอเสมอนะ ศิวาอนาคตของเธอยังต้องไปอีกยาวไกล อย่ามาเสียเวลากับเราเลยนะ ลองมองหาคนดีๆในรั้วมหาวิทยาลัยแถวๆ นั้นดูซิ เธออาจจะเจอใครซักคนที่เหมาะสม สำหรับเราคงไม่ได้เรียนต่อหรอกเพราะไม่มีเงิน ก็คงต้องออกไปทำงาน และอีกไม่นานเราก็จะแต่งงานแล้ว เขาดีกับเรามาก รักเรามาก และเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนของเรากับเธอสมัยเรียน ม.ต้นด้วย แต่เราขอปิดเป็นความลับเอาไว้ก่อน แล้วเธอจะรู้ว่าเขาเป็นใครเมื่อเราส่งการ์ดไปให้เธอภายหลัง.... รักและคิดถึงเพื่อนเสมอ อารี กระแสลมเริ่มพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกลับกลายเป็นพายุใหญ่ ในไม่ช้าฝนก็ตกเทลงมาอย่างหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา ต้นไม้ใหญ่น้อยโอนเอนปลิวไปมาตามแรงลม ยอดต้นสนและไม้ใหญ่ส่งเสียงหวีดหวิวแหลมเล็กราวสัตว์ร้ายที่ผุดขึ้นมาจากห้วงนรกอเวจี มันได้เปลี่ยนภาพความงามอันสงบเรียบง่ายเป็นความวุ่ยวายเกิดกว่าจะเปรียบในบัดดล! ทุกทิศทุกทางเต็มไปด้วยม่านสายฝนจนภาพความงามเหล่านั้นพร่ามัวและเลือนรางไปจนแทบหมดสิ้น หากแต่ภาพภายในจิตใจของศิวากลับยิ่งมายิ่งชัดเจนมากขึ้น มันคล้ายเข็มปลายแหลมคมจำนวนนับพันที่พุ่งจู่โจมมาจากทุกทิศทางพร้อมเพียงกันและมีเป้าหมายที่เดียวกันนั่นคือ “หัวใจ” ของเขาเอง ภาพระหว่างเธอกับเขาเมื่อครั้งในอดีตเริ่มผุดขึ้นเป็นฉากๆ ทุกรายละเอียดยังคงติดตาตรึงใจ.......เขาพบเธอครั้งแรกตอนเรียนอยู่ชั้นม.๑ วันนั้นเป็นเวรทำความสะอาดห้องของเขา แต่ไม้กวาดมีไม่พอกับจำนวนคน เขาจึงเดินไปขอยืมไม้กวาดจากห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องของเธอ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครให้ยืมไม้กวาดแก่เขาเลยสักคน ทุกคนภายในห้องนั้นคล้ายไม่ค่อยชอบหน้าของเขาสักเท่าไร ซึ่งเขาก็ไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไร ขณะที่เขากำลังหันหลังกลับด้วยความผิดหวังนั้น เธอก็ปรากฏกายขึ้น เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักตัวเล็กๆ แต่ก็สูงพอๆ กับเขา เขาสบสายตากับเธอ แววตาอันเปี่ยมด้วยความอาทรของเธอดุจดังสายตาของมารดาที่กำลังมองดูบุตร เธอยื่นไม้กวาดในมือของเธออันหนึ่งให้แก่เขา เขาขอบคุณเธอและเดินจากไป นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักว่าบนโลกเหงาใบนี้ยังมีเธออยู่ เธอที่มีชื่อว่า...อารี เมื่อวันก่อน พนาคุณตื่นนอนแต่เช้า เพื่อรีบไปพบกับเพื่อนของเขาคนหนึ่ง เขาเป็นลูกคนสุดท้อง มีพี่ชายและพี่สาวอย่างละคน พ่อแม่จึงเป็นห่วงเขามากเป็นพิเศษ พี่สาวคนโตเรียนจบแล้วทำงานอยู่ในเมืองหลวง นานๆ จะกลับมาเยี่ยมบ้านสักครั้งหนึ่ง ส่วนพี่ชายเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ปีสุดท้ายในเมืองหลวงเช่นกัน เขาจึงไม่ค่อยพบหน้าตาพี่ๆ ของเขามากนัก บุคลิกของเขาแปลกประหลาดยากแก่การเข้าใจจากบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะบรรดาเพื่อนคนอื่นๆ เขาเหมือนกับปัญญาเพื่อนนักศึกษารุ่นเดียวกัน ทั้งลึกซึ้ง เร้นลับ ชวนให้ค้นหา มาตรว่าปัญญาและพนาคุณจะมีเพื่อนสนิทน้อยมาก แต่เขาทั้งสองก็รักกันมากและมีเพื่อนที่รักและสนิทสนมกันเป็นพิเศษอย่างศิวา ที่พวกเขามักชมชอบเรียกว่า “อาจารย์” จนติดปาก สาเหตุที่พวกเขาเรียกศิวาว่าอาจารย์เพียงเพราะเป็นการล้อเลียนกันเล่นๆ เท่านั้น อาจเป็นได้ว่าในบรรดาเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันศิวาจะเรียนแย่ที่สุด ด้วยผลการเรียนที่ต่ำมากทำให้เขาเกือบถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัยถึง ๒ ปีซ้อนติดต่อกันหรือที่เรียกว่าถูก “รีไทร์” แต่ศิวาก็สามารถรอดมาได้แบบหวุดหวิดครั้งแล้วครั้งเล่า เขายังพอมีโชคอยู่บ้าง เพื่อนๆ รู้สึกเป็นห่วงเขามากกลัวว่าเขาจะเรียนไม่จบ จึงแก้เคล็ดด้วยการเรียกเขาว่าอาจารย์ เพื่อนคนอื่นๆ ไม่รู้ก็พากันเรียกตามกันไปจนติดปาก แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ความเป็นมาของชื่อชื่อนี้ เพื่อนร่วมรุ่นอีกคนหนึ่งที่พวกเขาสนิทสนมมีชื่อว่า “เทพฤทธิ์” โดยเฉพาะพนาคุณกับเทพฤทธิ์จะสนิทกันมากเป็นพิเศษ เทพฤทธิ์ได้รับเลือกให้เป็นประธานของชมรมอาสาพัฒนาชุมชน นอกจากการออกค่ายต่างจังหวัดเพื่อช่วยเหลือชุมชนในท้องถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกลแล้ว เขายังมีกิจกรรมอีกมากมายให้ต้องทำอย่างล้นมือ นั่นยังไม่รวมถึงการเรียนที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้เขามักจะไปขอความช่วยเหลือจากบรรดาเพื่อนๆ สนิทของเขาภายในคณะฯ พนาคุณเป็นหนึ่งในนั้น พนาคุณไม่เพียงเรียนเก่งเท่านั้น แต่เขายังมีฝีไม้ลายมือทางด้านการวาดภาพ การปั้น และงานทางด้านศิลปะอื่นๆที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง เขามักได้รับการชื่นชมจากเพื่อนๆ อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะประธานชมรมอาสาฯเพื่อนของเขาที่มักจะสะพายกระเป๋าผ้าใบหนึ่งติดกายอยู่ตลอดเวลา ด้านหน้าของกระเป๋ามีรูปภาพหญิงสาวสีสันสวยสดงดงามดุจดั่งมีชีวิตนางหนึ่ง ซึ่งมาจากผลงานของเขานั่นเอง เทพฤทธิ์จึงมักขอร้องให้พนาคุณช่วยงานทางด้านที่เกี่ยวกับศิลปะภายในชมรมอาสาฯอยู่เสมอๆ ฝีมือของเขาไม่เป็นที่สงสัยจากบรรดาสมาชิกชมรมอาสาฯ นั่นเองที่รุ่นพี่รุ่นน้องภายในชมรมจึงรู้จักกิตติศัพท์ของเขาเป็นอย่างดี ทั้งที่เขาไม่ใช่สมาชิกของชมรม เขาชมชอบเป็นพวกมือปืนรับจ้างมากกว่าจะมาทำงานประจำที่ชมรม เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่มีจิตอาสา แต่ภารกิจคราครั้งนี้น่ากลัวจะแตกต่างไปบ้างเล็กน้อย... “ศิวาอยู่เฉยๆ นะ! เดี๋ยวเราจะช่วยบีบสิวตรงจมูกให้ เห็นแล้วหมั่นเขี้ยวจริงๆ” อารีพูดพร้อมกับทำท่าจะทำจริงๆ แต่ศิวารีบหลบหนีออกไปก่อน เธอจึงหัวเราะคิกคัก ศิวาขี้อายเกินไป ปกติเขาจะพูดน้อย เงียบๆ ขรึมๆ แต่อารีก็มักชมชอบหาเรื่องมาเย้าแหย่เขาเล่นอยู่เสมอๆ คล้ายมองเห็นเขาเป็นเพียงเด็กทารกน้อยคนหนึ่งก็ปาน! ตอนขึ้นชั้นม.๒ ห้องของศิวาและอารีถูกยุบมารวมกันตามแผนการเรียนที่เลือก นั่นคือผู้ชายเรียนแผนกีฬาส่วนผู้หญิงเรียนแผนคหกรรม ผู้ชายก็เอาแต่เล่นๆ ส่วนผู้หญิงก็ทำอาหารและเย็บปักถักร้อยไปตามเรื่องตามราว ศิวาได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าห้อง ส่วนอารีเป็นรองหัวหน้า ความที่เป็นคนช่างพูด ช่างเจรจา อาจารย์จึงเลือกเธอให้เป็นประชาสัมพันธ์ประจำโรงเรียน นับตั้งแต่บัดนั้นมาเธอจึงมีกิจกรรมมากเป็นพิเศษกว่าเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะไม่ว่ามีเรื่องราวอะไรอาจารย์ก็จะใช้ให้เธอเป็นคนประกาศเวลาเคารพธงชาติหน้าเสาธงตอนเช้า หรือในช่วงประชุมนักเรียนประจำสัปดาห์แทบทุกครั้ง ยกเว้นเธอจะไม่มาโรงเรียนเท่านั้น ที่เธอไม่ต้องทำ... “ศิวา เธอไม่เพียงเรียนเก่งเท่านั้น ยังขยันอีกด้วยนะ น่าเอาเป็นเยี่ยงอย่างจริงๆ” อารีอมยิ้มพูดขึ้นมา เมื่อเห็นศิวากำลังรดน้ำผักในแปลงผักอยู่ ศิวาได้แต่ยิ้มพยักหน้า แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป การที่ศิวาและอารีมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าห้องทำให้เขาทั้งสองต้องทำงานร่วมกันอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งอาจารย์ยังไม่เข้ามาสอนเป็นเวลานานผิดปกติ พวกเขาก็จะชักชวนกันไปตาม ทำให้เขาทั้งสองคนสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ จนเพื่อนๆชอบล้อว่าพวกเขาเป็นแฟนกัน เพราะมักเห็นพวกเขาอยู่กันสองคนตามลำพังบ่อยครั้ง “ศิวา ! อารีรับปากครูว่าจะเป็นพิธีกรงานสัปดาห์ภาษาอังกฤษที่จะถึงนี้ เธอจะยอมแพ้ไม่ได้นะ ครูอยากขอให้เธอช่วยมาเป็นพิธีกรฝ่ายชายให้หน่อยจะได้ไหม? เพราะยังขาดอยู่ เธอกับอารีเหมาะสมกันที่สุด” อาจารย์ศัลนีย์ หัวหน้าภาควิชาภาษาอังกฤษเอ่ยขอร้องศิวาขึ้นในวันหนึ่ง “อาจารย์ครับ เรื่องการเป็นพิธีกร เรื่องการพูดผมไม่ค่อยถนัดหรอกครับ จะไปสู้อารีประชาสัมพันธ์ของโรงเรียนได้อย่างไร ถึงเวลาขึ้นเวทีผมจะพูดไม่ออกเอาซิครับ” ศิวาพูดแบบสารภาพขอความเห็นใจจากอาจารย์ของเขา “เธอไม่ต้องพูดเองหรอกนะ อาจารย์จะมีสคริปท์ให้ เธอแค่พูดตามสคริปท์เท่านั้นเอง ง่ายนิดเดียว เธอเรียนเก่งกว่าอารีตั้งเยอะ ภาษาอังกฤษก็ดีกว่า ทำไมยอมแพ้เสียหล่ะ?” อาจารย์ศัลสนีย์พูดให้กำลังใจ “ผมทำไม่ได้จริงๆ ครับ! กลัวว่าจะทำเสียงานเปล่าๆ อาจารย์คงต้องหาคนอื่นแล้วละครับ มีนักพูดชายเก่งๆ ตั้งหลายคนทำไมเลือกผมหล่ะครับ?” ศิวาพูดบ่ายเบี่ยง เขาเป็นคนขี้อาย อาจารย์ศัลนีย์ต่างรู้เหตุผลข้อนี้ดี อาจารย์เพียงทดลองขอร้องเขาดู ซึ่งจะเป็นการช่วยฝึกฝนเรื่องการพูดให้แก่เขาด้วย“ครูเห็นว่าเธอกับอารีเรียนอยู่ห้องเดียวกันและเธอก็สนิทกับอารีมากที่สุด แต่เอาเถอะในเมื่อเธอลำบากใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวครูจะลองหาคนอื่นแทนดู” อาจารย์ศัลสนีย์พูดในที่สุด พร้อมกับส่ายศีรษะด้วยความผิดหวังกับลูกศิษย์คนโปรด.... พนาคุณขับขี่มอเตอร์ไซด์สีดำคันคู่ชีพของเขามาพบกับเทพฤทธิ์ซึ่งเป็นเพื่อนของเขาและประธานชมรมอาสาฯ ในตอนเช้าวันนั้นที่ชมรมอาสาฯตามที่ได้นัดหมายกันเอาไว้เมื่อเย็นวาน “อ้าวพี่แอ๊บตายยากจริงๆ ผมกำลังบ่นถึงอยู่พอดี” เทพฤทธิ์ทักทายเพื่อนของเขาก่อนจะกล่าวสืบต่อไปว่า “คือว่าผมอยากจะรบกวนพี่แอ๊บให้ช่วยเหลือหน่อย แต่คราวนี้ไม่ใช่งานเขียนป้ายเหมือนคราวก่อนหรอกนะ ว่าแต่พี่แอ๊บว่างอยู่หรือเปล่า?” “พี่เทพมีอะไรก็ว่ามา ตอนนี้ผมยังว่างอยู่ แต่เวลาอื่นกลับไม่แน่ เฮอะ เฮอะ” พนาคุณพูดพร้อมกับหัวเราะแบบมีเลศนัย “งั้นผมเข้าเรื่องเลยนะกัน คือมีน้องผู้หญิงปีหนึ่งคนหนึ่งเป็นสมาชิกชมรมอาสาฯของเรา รถมอเตอร์ไซด์ของน้องเขาถูกขโมยไปตั้งแต่เมื่อวาน น้องเขามาขอความช่วยเหลือจากผมให้ช่วยตามหาให้หน่อย ผมก็เลยระดมคนเท่าที่หาได้ออกติดตาหาไปจนทั่วมหาวิทยาลัยตั้งแต่เมื่อวาน แต่ก็ยังหาไม่พบ จึงอยากขอความช่วยเหลือจากพี่แอ๊บด้วยอีกแรง สงสารน้องเขาหน่ะ รถมอเตอร์ไซด์มีคันเดียว เวลาจะไปเรียนก็ลำบาก” เทพฤทธิ์ขอความช่วยจากเพื่อนของเขา “โอ้โฮพี่เทพ! มหา’ลัยกว้างขนาดนี้จะให้ผมไปตามหาที่ไหน? มีหอพักตั้งมากมาย ป่านนี้ขโมยมันไม่เอาไปขายทอดตลาดนอกมหา’ลัย หรือไม่ก็แยกเป็นชิ้นส่วนขายไปแล้วเหรอ? ทำไมไม่แจ้งตำรวจเลยหล่ะ?” พนาคุณถึงกับอุทานออกมา ภายหลังจากได้ฟังเพื่อนของเขาแจ้งความประสงค์ “ผมพาน้องไปแจ้งความที่โรงพักแล้ว ร้อยเวรลงบันทึกเอาไว้เรียบร้อย แต่วันนี้คดีก็ยังไม่คืบหน้า ผมก็พยายามระดมคนจากสมาชิกชมรมอาสาฯและยังขอร้องคนจากชมรมอื่นอีกนับได้เกือบร้อยคนแล้ว ทุกคนกำลังช่วยกันค้นหาอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้เบาะแสอะไร ถ้ามันยังอยู่ภายในมหา’ ลัยพวกเราก็คงจะหาพบ ที่ผมตามพี่แอ๊บมาเพราะรู้ว่าชัยภูมิแถวนี้พี่แอ๊บรู้จักดีมาตั้งแต่เกิด ถ้าพี่แอ๊บหาไม่เจอ น่ากลัวว่าคงไม่มีใครตามหาเจออีกแล้ว!”เทพฤทธิ์พูดอย่างมีความหวังและแหลมคม สมกับเป็นผู้นำ เขายังมีความเชื่อว่ามอเตอร์ไซด์คันที่หายไปจะยังคงอยู่ภายในมหาวิทยาลัย เป็นความจริงที่พนาคุณคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมในบริเวณมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นอย่างดีดุจนิ้วบนฝ่ามือ มีเพียงเพื่อนสนิทเท่านั้นที่รู้ความลับข้อนี้ของเขา พี่สาวของเขาก็เรียนจบจากที่นี่ บ้านเกิดของเขาก็อยู่ติดกับมหาวิทยาลัยที่มีรั้วกั้นเพียงบางส่วนแห่งนี้ มหาวิทยาลัยมีเนื้อที่กว่า ๘,๐๐๐ ไร่ เรียกว่ามีขนาดใหญ่เป็นลำดับต้นๆ ของประเทศ คงไม่คุ้มค่ากับการลงทุนสร้างรั้วกั้นทุกด้าน มีเพียงบางด้านที่ติดกับถนนเท่านั้นที่มีกำแพงกั้น ดังนั้นบริเวณบางส่วนจึงยากแก่การระบุได้ว่าส่วนไหนเป็นมหาวิทยาลัย ส่วนไหนเป็นวัด ส่วนไหนเป็นบ้านของชาวบ้าน และบ้านของเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นการเข้าและออกจากมหาวิทยาลัย สำหรับเขาแล้วไม่ต่างอะไรกับการเข้าออกบ้านของเขาเอง! “เอาหล่ะ! ผมจะลองช่วยค้นหาดูอีกแรง ว่าแต่รถมีลักษณะอย่างไร เลขทะเบียนอะไร ยี้ฮ้ออะไร สีอะไร รถปีไหน รุ่นไหน.....?” พนาคุณสอบถามรายละเอียดของรถอย่างละเอียดจนทำให้เทพฤทธิ์เพื่อนของเขาถึงกับชะงักค้างในความละเอียดของเขา ก่อนจะตอบว่า “ผมรู้แค่ว่าเป็นรถยี้ฮ้อยามมาฮ่า สีขาวและเลขทะเบียนเท่านั้น ถ้าพี่แอ๊บอยากจะรู้รายละเอียดทั้งหมด เดี๋ยวผมจะพาไปพบน้องเจ้าของรถเลยดีกว่า” เทพฤทธิ์นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของพนาคุณเพื่อนของเขาไปถึงหอพักนักศึกษาหญิงแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชมรมอาสาฯเท่าไรนัก ก่อนจะให้นักศึกษาหญิงคนหนึ่งขึ้นไปตามน้องนักศึกษาเจ้าของรถลงมาพูดคุย เพราะตามกฎระเบียบของมหาวิทยาลัยนักศึกษาชายห้ามขึ้นหอพักนักศึกษาหญิงโดยเด็ดขาด นักศึกษาหญิงก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน ภายหลังจากที่พนาคุณได้รับทราบข้อมูลรายละเอียดของรถคันที่หายจากน้องนักศึกษาหญิงเจ้าของรถที่ดวงตาของเธอยังคงแดงบวมคล้ายผ่านการร้องไห้มายาวนาน พร้อมกับส่งเทพฤทธิ์เพื่อนของเขากลับชมรมแล้ว เขาก็เร่งรีบขับมอเตอร์ไซด์ออกติดตามทันที เนื่องจากวันนี้ในตารางเรียนของเขาไม่มีวิชาเรียน จึงทำให้เขามีเวลาว่างทั้งวัน เขาตระเวนเสาะหาไปจนทั่วตามหอพัก ร้านรวงต่างๆ โรงอาหาร ห้องสมุด หมู่บ้าน ไม่เว้นแม้แต่วัดที่อยู่ภายในเขตติดต่อกับมหาวิทยาลัยและบริเวณใกล้เคียง เขาค้นหาตามคณะต่างๆ ตั้งแต่คณะเกษตร เทคโน วิศวะ พยาบาล สาธารณสุข สัตวแพทย์ มนุษย์ ศึกษา วิทย์ แพทย์ การจัดการ ทันตะ เภสัช เทคนิกการแพทย์................... ที่ที่มีรถมอเตอร์ไซด์จอดเรียงรายมากมายจนสุดจะคณานับ การจะค้นหารถมอเตอร์เพียงหนึ่งคันในจำนวนนับพันนับหมื่นคันไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทร การจะพบรถคันที่หายไปนั้น บางทีอาจจะยากยิ่งกว่าการหาทางปีนป่ายขึ้นสู่สรวงสวรรค์เสียอีก นักศึกษาส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในหอพัก ทั้งในส่วนของมหาวิทยาลัยและของเอกชนที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยและใช้รถมอเตอร์ไซด์เป็นยานพาหนะในการเดินทางไปเรียนตามอาคารเรียนในสถานที่ใกล้ไกลแตกต่างกันไป ซึ่งนักศึกษาปีหนึ่งหลายคนเข้าใจว่าขอเพียงมีจักรยานคันหนึ่งก็สามารถไปเรียนได้ทัน ทุกคนที่คิดแบบนี้ในท้ายที่สุดจะเหนื่อยและท้อกับการเดินทางไปห้องเรียนในแต่ละแห่งที่อยู่ห่างไกลแตกต่างกัน ห่างไกลจากหอพัก โรงอาหาร ห้องสมุด และสถานที่สำคัญอื่นๆที่บางทีแทบจะอยู่กันคนละมุมของมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว ประกอบกับลักษณะของถนนหนทางภายในมหาวิทยาลัยสูงต่ำไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นไปตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ทำให้การใช้จักรยานเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง นักศึกษาปีหนึ่งส่วนใหญ่จึงเลิกล้มความคิดการใช้รถจักรยานในภายหลัง บางส่วนเห็นว่าการเดินเท้ายังจะเหนื่อยน้อยกว่าการปั่นจักรยานไปเรียน แต่ส่วนใหญ่จะขอให้ทางบ้านส่งมอเตอร์ไซด์มาให้หรือไม่ก็ขับรถยนต์จากบ้านเอามาใช้กันเองภายในรั้วมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็ซื้อรถในตัวจังหวัดมาใช้กันมีทั้งรถมือหนึ่ง มือสอง มือสาม และอีกหลายมือให้เลือกสรร มีนักศึกษาส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงอาศัยรถโดยสารประจำทางที่วิ่งภายในมหาวิทยาลัยเพื่อเดินทางไปเรียน และมีอีกส่วนที่ยังอาศัยไปกับรถของเพื่อนร่วมห้องหรือเพื่อนสนิท ซึ่งก็ไม่มีความสะดวกสบายสักเท่าไรนัก รถโดยสารประจำทางนานๆ จะมาสักคัน บางทีก็ทำให้นักศึกษาเดินทางไปเรียนสายอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้จึงคลาคล่ำไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์! พนาคุณรู้สึกเหนื่อยและท้อในที่สุด เขาเริ่มจะรู้สึกถอดใจกับภาระกิจที่เขาไม่ค่อยจะถนัดแบบนี้ หากให้เขานั่งวาดรูปเหมือนของใครสักคนหนึ่งยังอาจจะง่ายดายกว่ากันมากนักเมื่อเทียบกับการที่ให้เขาต้องมาตามหาของหายแบบนี้ วันนั้นตลอดทั้งวันไม่เพียงเขาจะล้มเหลวในการค้นหารถเจ้าปัญหาคันนั้นแล้ว เขายังค้นพบว่าการที่เขารู้จักชัยภูมิของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ดีดุจนิ้วบนฝ่ามือไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลยแม้แต่น้อย หากแต่มันยิ่งกลับทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากยิ่งขึ้น เขาครุ่นคิดว่า การค้นหารถคันหนึ่งจากรถที่จอดเรียงรายนับพันนับหมื่นคันแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่คิดคงต้องใช้เวลามากกว่านี้และจำนวนคนมากกว่านี้ หรืออาจเป็นไปได้ว่ารถคันนั้นอาจไม่ได้อยู่ภายในมหาวิทยาลัย? นั่นก็ยิ่งไม่มีทางค้นหาพบ การที่มหาวิทยาลัยมีพื้นที่กว้างขวางแบบนี้คงต้องใช้นักสืบมืออาชีพ! เมื่อเขาคิดถึงนักสืบ ในห้วงสมองของเขาพลันปรากฏบุคคลหนึ่งขึ้น มุมปากของเขาค่อยๆปรากกฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้น หากจะมีคนๆหนึ่งที่อาจจักสามารถค้นหารถมอเตอร์ไซด์คันนั้นพบคงต้องเป็นเขาคนนั้น คนที่เป็นนักสืบ! สายฝนยังคงกระหน่ำโถมเทน้ำปริมาณมหาศาลจากฟากฟ้าลงมาสู่ดิน คล้ายกำลังชะล้างบางสิ่งบางอย่างให้เจือจางเบาบางลงไป สิ่งนั่นอาจบางทีเป็นน้ำตาของเขาเอง! ภาพในอดีตยังคงติดตามหลอกหลอนเขาราวภูติผีอาฆาตที่เฝ้าตามจองล้างจองผลาญเขาอยู่ทุกห้วงขณะจิต “ศิวา เราอยากเป็นพยาบาล แต่แผนที่เราเรียนอยู่คงไม่สามารถทำให้เราสอบได้ เธอพอจะช่วยเราหน่อยได้ไหม?” อารีพูดกับศิวาในวันหนึ่ง เขาจึงถามเธอว่า “เธอจะให้เราช่วยอะไรเหรอ?” “เราจะย้ายแผนไปเรียนคณิต-อังกฤษ เธอไปเป็นเพื่อนเราหน่อยได้ไหม?” “ทำไมเหรอ?” “มีบางวิชาที่ต้องไปเรียนกับห้องอื่น เราไม่มีเพื่อน จึงอยากให้เธอไปเป็นเพื่อน แต่ถ้าเธอไม่ไปก็ไม่เป็นไร เราไปคนเดียวก็ได้” อารีทราบกระจ่างดีว่าศิวาเรียนเก่งวิชาคณิตศาสตร์ เพราะเขาเคยสอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น เธอยังคงจดจำวันนั้นได้ วันที่อาจารย์วันชัย หัวหน้าภาควิชาคณิตศาสตร์ เดินเข้ามาในห้องด้วยท่าทางประหลาดใจ แววตาชื่นชมยินดี ก่อนจะประกาศว่า “ครูแทบไม่อยากเชื่อเลยว่า นักเรียนที่ทำคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ได้สูงสุดของนักเรียนชั้นม.๒ ทั้งโรงเรียน กลับไม่ใช่นักเรียนจากห้องที่เรียนแผนคณิตศาสตร์เป็นแผนหลัก แต่กลับเป็นนักเรียนที่เรียนแผนกีฬา และเขาก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในห้องนี้นี่เอง” อาจารย์วันชัยอมยิ้มพูดออกมาพร้อมกับประกาศสืบต่อว่า “ขอให้นักเรียนทุกคนปรบมือแสดงความยินดีให้กับศิวา ผู้ที่สามารถทำคะแนนได้ท๊อบวิชาคณิตศาสตร์!” เสียงปรบมือของเพื่อนร่วมห้องดังสนั่นไปทั่วห้อง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสีหน้าของศิวาจะมีความสุขมากเพียงไร อารีก็พลอยมีความสุขไปด้วย และรู้สึกสะใจกับผลการสอบครั้งนี้ เพราะห้องม.๒/๑ ที่เต็มไปด้วยนักเรียนระดับแนวหน้าของโรงเรียน มิหนำซ้ำยังเป็นห้องที่เรียนแผนคณิตศาสตร์เป็นแผนหลักของห้องและมีอาจารย์วันชัยเป็นอาจารย์ประจำชั้น แต่ผลการสอบวิชาคณิตศาสตร์ครั้งนี้กลับยังสู้เด็กนักเรียนห้องของเธอที่จัดว่าเป็นเด็กที่เรียนอ่อนที่สุดซึ่งเรียนแผนกีฬาและคหกรรมเป็นแผนหลักไม่ได้ อารียิ้มอย่างมีความสุข อาจบางทีเธอมีความสุขมากกว่าศิวาเสียอีก เธอคิดว่าต่อจากนี้ไปคงไม่มีใครกล้ามาดูถูกห้องของเธอเหมือนที่ผ่านมาได้อีกแล้วว่าเป็นห้องที่เอาแต่กินกับเล่น ไม่เอาการเรียน “แต่ครูก็ต้องขอแสดงความเสียใจด้วยที่ศิวาไม่ได้รับรางวัล เพราะครูเคยสัญญาเอาไว้ว่าจะมอบรางวัลให้แก่นักเรียนที่สามารถทำได้คะแนนเต็มเท่านั้น ซึ่งนักเรียนทั้งชั้นไม่มีใครสามารถทำได้ ศิวาทำผิดไป ๒ ข้อ ขาดไป ๒ คะแนน แต่ถึงอย่างไรครูก็ขอแสดงความยินดีให้กับเธอด้วยนะศิวา!” อาจารย์วันชัยกล่าวพร้อมกับหันหน้าไปทางศิวาพร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างให้กำลังใจและรู้สึกเสียหน้าเล็กน้อยที่เด็กของแกไม่สามารถทำได้ แม้แต่คนที่สอบได้ที่หนึ่งของโรงเรียนก็ทำผิดไปถึง ๓ ข้อในวิชานี้ สาเหตุที่การสอบครั้งนี้เป็นเพียงครั้งเดียวที่ศิวาเอาชนะที่หนึ่งของโรงเรียนได้ก็เพราะว่าครั้งนี้อาจารย์วันชัยใช้กลยุทธ์ด้วยการเอารางวัลเข้าล่อเด็กนั่นเอง อาจารย์วันชัยไม่รู้ว่าศิวาเป็นเด็กยากจน มาจากครอบครัวชาวนาที่แร้นแค้น ถ้าหากแกรู้เหตุผลข้อนี้ก็คงไม่สงสัยต่อผลการสอบที่ออกมามากนัก....ในที่สุดภายหลังจากที่ศิวาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตอบตกลงกับข้อเสนอของอารีไป การรับปากของเขาในวันนั้นยิ่งทำให้เหล่าบรรดาเพื่อนๆทั้งในห้องเดียวกันและห้องอื่นต่างลงความเห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นแฟนกันแน่นอนแล้ว แม้แต่อาจารย์ส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อแบบนั้น เวลาไปเรียนกับห้องอื่นเขาทั้งสองก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าของเพื่อนห้องนั้น แต่สำหรับเขาและเธอกลับยิ่งเพิ่มความผูกพันกันให้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นไปอีก “ศิวา ครูมีทุนการศึกษาเป็นทุนพระราชทานด้วยนะ มอบให้สำหรับนักเรียนที่เรียนดี โรงเรียนเราได้รับจำนวน ๔ ทุน ครูพิจารณาแล้วเธอก็อยู่ในข่ายที่สามารถได้รับทุนนี้ เธออยากได้ไหมล่ะจ๊ะ?” อาจารย์วิภาหัวหน้าฝ่ายแนะแนวกล่าวกับศิวาในวันหนึ่ง “อยากได้สิครับอาจารย์” ศิวาผงกศีรษะรับพร้อมกับตอบคำแม้จะวัดผลการเรียนในชั้นเรียนทุกห้องทุกคนแล้วศิวาจะไม่ได้มีผลการเรียนเป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียน แต่เขาอยู่แถวหน้าเป็นหนึ่งในห้าของนักเรียนที่เรียนเก่งที่สุด เขาจึงเป็นที่รักใคร่ของบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย สำหรับภายในห้องของเขาเองตั้งแต่เรียนชั้นม.๑ จนถึงม.๓ เขาสอบได้ที่หนึ่งของห้องตลอดมา อาจารย์รักเขามาก เขาจึงถูกบรรดาเพื่อนร่วมห้องอิจฉาริษยาและหาทางกลั่นแกล้งต่างๆ นานาอยู่เสมอ เหล่าบรรดาครูบาอาจารย์มักกล่าวขวัญกันว่า “ไม่มีอะไรที่ศิวาจะทำไม่ได้” ไม่ว่าเรียนหรือเล่นเขาก็ทำได้ดี เขาเคยเป็นตั้งแต่หัวหน้าห้อง ประธานลูกเสือ นักกีฬาของโรงเรียน ประธานนักเรียน ไปจนถึงคนนำสวดมนต์และกล่าวคำปฏิญาณหน้าเสาธงในตอนเช้า และในห้วงเวลานั้นเองที่ทำให้เขามีความสุขที่สุด เมื่อเขาได้มีโอกาสยืนถือไมค์นำสวดมนต์คู่เคียงกับประชาสัมพันธ์คนสวยของโรงเรียน ดาวโรงเรียน และที่สำคัญเธอคือคนที่เขาแอบรักแอบปลื้มมานาน โดยมีครูอาจารย์และนักเรียนทั้งโรงเรียนร่วมเป็นสักขีพยานความรักระหว่างเขากับเธอ นั่นคือสิ่งที่เขาคิดฝันจินตนาการในเวลานั้น อาจบางทีเขาคิดเพ้อฝันไปเองเพียงลำพังฝ่ายเดียว..... ย่างเข้าสู่ฤดูฝน ช่อดอกกัลปพฤกษ์สีชมพูอ่อนกลับกลายเป็นซีดจางเพราะถูกสายฝนที่ตกตั้งแต่เมื่อคืนซัดสาดจนขั้วหลุดจากกิ่ง ร่วงหล่นบริเวณโคนต้นกระจัดกระจายทั่วพื้นดินที่ยังชุ่มไปด้วยน้ำขัง คงยังหลงเหลือช่อดอกสีชมพูอ่อนตามกิ่งที่ยังแข็งแกร่งเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ต้นไม้ที่หลงเหลือเพียงกิ่งและก้านอาจมีเสน่ห์บางอย่าง แต่มันก็ให้ความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูกยามที่ได้พบเห็น เพียงหวังว่าต้นกัลปพฤกษ์จะผลิดอกออกมาทดแทนใหม่โดยไว เมื่อยังมีชีวิตก็ย่อมมีความหวัง เช่นเดียวกับพนาคุณ เช้าวันต่อมาเขาตัดสินใจว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนรักที่สุดของเขาซึ่งก็คือศิวานั่นเอง ที่ผ่านมาในยามว่างจากการเรียนพวกเขาทั้งสองคนมักจะชักชวนกันขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ตระเวนท่องเที่ยวไปทั่ว ทั้งบริเวณภายในหรือภายนอกรั้วมหาวิทยาลัย มากกว่าจะทำเรื่องราวที่เป็นการเป็นงานมีแก่นสารสาระอะไรนัก ศิวาเคยบอกกับเขาว่า “หากชีวิตทำแต่เรื่องราวที่มีสาระ ชีวิตก็คงกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง!” การมีเพื่อนรักอย่างพนาคุณทำให้ศิวาได้มีโอกาสเปิดหูเปิดตามากยิ่งขึ้น แม้เขาจะมาจากภาคกลางและเป็นคนแปลกถิ่นอยู่บ้าง แต่แทบทุกตรอกซอกซอย ทุกมุมของมหาวิทยาลัย เขากลับรู้จักคุ้นเคยดีพอๆ กับพนาคุณเพื่อนของเขา เพราะความจริงแล้วพวกเขาแทบไม่เคยอยู่ห่างกันเลย เพื่อนๆ ต่างรู้กันดีว่าหากจะตามหาตัวศิวาได้พบก็ต้องถามเอาจากพนาคุณ หรือจะตามหาพนาคุณก็ต้องสอบถามเอาจากศิวา ทั้งสองคนคล้ายตัวประหลาดของมหาวิทยาลัยที่ไม่ว่าใครจะไปที่ไหนก็อาจพบเขาทั้งสองคนได้เสมอ พวกเขาทั้งสองคล้ายสามารถปรากฏกายได้ในทุกหนทุกแห่ง ทุกที่ทุกทาง และมักสร้างความประหลาดใจให้แก่บุคคลผู้ที่พบเห็นอยู่บ่อยครั้ง พนาคุณรู้ว่าหากเขาไปขอความช่วยเหลือเรื่องตามหารถหายจากศิวาตามลำพัง ศิวาอาจหัวเราะเยาะเขาคิดว่าเขาพูดอำเล่นเหมือนที่ชอบแกล้งกันเป็นประจำและอาจไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด เขาจึงตัดสินใจไปพบน้องปีหนึ่งเจ้าของรถคันที่หายนั้นและพาเธอไปด้วย ถึงแม้เขาจะไม่สนิทสนมกับเธอมากนัก แต่ก็เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เธอรู้จักเขาเพราะเขาสนิทกับเทพฤทธิ์ประธานชมรมอาสาฯ รุ่นพี่ที่เธอเคารพนับถือ ซึ่งเธอก็เป็นสมาชิกของชมรมคนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาช่วยงานได้ไม่นาน เนื่องเพราะเธอเป็นนักศึกษาปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จึงยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับใครมากนัก รวมทั้งสถานที่ต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย ความกว้างใหญ่ไพศาลของอาณาบริเวณของมหาวิทยาลัยก็เพียงพอที่จะทำให้เธอหลงทิศหลงทางไปได้ง่ายๆ ตามปกติเธอจะไม่กล้าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปกับผู้ชาย ถ้าไม่ใช่ญาติหรือคนรู้จัก หากแต่ครั้งนี้ย่อมมีข้อยกเว้น เพราะเรื่องนี้เป็นเธอเองที่มาขอความช่วยเหลือจากพวกรุ่นพี่ ประกอบกับพนาคุณและเทพฤทธิ์ก็มีเจตนาจะช่วยเหลือเธอตามหามอเตอร์ไซด์ที่ถูกขโมยไป นับตั้งแต่รถของเธอถูกขโมยไปเธอก็เสียใจร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร นอนไม่หลับด้วยความวิตกจริต เพราะรถคันนี้เป็นรถคันเดียวของบ้านที่ยังใช้งานอยู่ แม่ส่งมาให้เธอเอาไว้ใช้ภายในมหาวิทยาลัย บ้านของเธอยากจนมาก พ่อและแม่ของเธออุตส่าห์ยอมทนลำบากเดินเท้าไปทำนาเพื่อให้ลูกสาวได้มีรถใช้เพื่อไปเรียนหนังสือ ถึงแม้มันจะเป็นรถเก่าใช้งานมานานปีแล้ว แต่สำหรับเธอแล้วมันมีคุณค่าเกินกว่าจะนับประมาณได้ พ่อและแม่ของเธอยังไม่รู้เรื่องที่รถถูกขโมยไป หากพวกท่านรู้เข้าคงจะเสียใจมาก และเธอก็คงไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ เธอครุ่นคิดอยู่ภายในใจ...เธอยินยอมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปกับพนาคุณ ภายหลังจากที่กลับจากการเรียนในภาคเช้า ทั้งที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษา การไม่มีรถใช้ไปเรียนทำให้เธอต้องขออาศัยไปกับเพื่อน ซึ่งก็ไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร เธอจึงเริ่มเห็นคุณค่าของรถของเธอมากยิ่งขึ้น และเริ่มร้องไห้ออกมาอีกด้วยความเสียดาย พนาคุณพาเธอไปแวะที่ชมรมหมากรุก และพบกับคนประหลาดคนหนึ่งที่ชื่อหงอดซึ่งเธอไม่เคยพบเห็นมาก่อน รุ่นพี่คนนั้นจับจ้องมองเธอจนเธอไม่กล้าสู้หน้า ซึ่งเธอก็เอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ เธอเห็นรุ่นพี่สองคนแอบซุบซิบคุยกันพักหนึ่ง พวกเขาพูดคุยกันถึงอาจารย์ท่านหนึ่ง เธอได้ยินจึงเริ่มรู้สึกปลอดภัยขึ้นมา เธอพลางคิดว่าถ้ามีอาจารย์ยินยอมมาช่วยเหลือเธอเรื่องรถอีกแรงก็คงจะดี เพียงแต่เธอยังวิตกกังวลว่ารถของเธอจะถูกหัวขโมยจากนอกมหาวิทยาลัยเอาไป ถ้าเป็นอย่างนั้นเธออาจจะสูญเสียรถคันนั้นไปตลอดกาล เมื่อเธอครุ่นคิดอย่างนั้น เธอก็ร้องห่อร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งอย่างลืมตัว เป็นเวลาเดียวกันกับที่เธอเห็นพนาคุณเดินนำพาเธอออกไปและบอกให้เธอซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์แล้วขับออกไป เธอไม่รู้ว่าเขาจะพาเธอไปที่ไหน เขาเป็นคนเงียบๆ แปลกๆ น้อยครั้งจะเอ่ยวาจาสักครั้ง แต่เธอรู้สึกว่าเธอไว้วางใจพี่ชายคนนี้ เพราะถึงแม้ว่าเขาจะชอบทำตัวแปลกประหลาดไปบ้าง แต่เวลาพูดจากลับตรงไปตรงมา ซื่อๆ คล้ายเด็กทารกคนหนึ่งก็ปาน เธอเคยพบเขาขณะกำลังวาดภาพภายในชมรมที่เธอสังกัดอยู่ครั้งหนึ่ง เธอจึงเห็นว่าเขาไม่น่าเป็นคนมีพิษมีภัยอะไร ตลอดรายทางเขาและเธอไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำ เธอยังจดจำถนนหนทางภายในมหาวิทยาลัยได้ไม่หมด หลังจากออกจากห้องของชมรมหมากรุก เธอก็สังเกตว่าเขาขับรถผ่านโรงอาหารกลาง หอสมุดกลาง และมุ่งหน้าไปยังบริเวณหลังมหาวิทยาลัยด้านทิศเหนือ และไปจอดที่หน้าหอพักนักศึกษาชายแห่งหนึ่ง เขาบอกให้เธอรออยู่ที่รถ ส่วนตัวเขาก้าวเท้ายาวๆ อย่างรวดเร็วขึ้นไปบนหอพัก เพียงชั่วครู่เขาก็กลับลงมาพร้อมกับบอกว่าอาจารย์ไม่อยู่ เธอยิ่งสงสัยมากขึ้น เธอตั้งคำถามภายในใจว่าทำไมอาจารย์ท่านนี้จึงมาอยู่ในหอพักนักศึกษาชาย? ไม่อยู่หอพักอาจารย์? แต่เธอก็ไม่กล้าสอบถามจากเขา เพราะกลัวว่าเขาจะบอกว่าเธอถามมากเรื่องมากราว เธอจึงสงบปากสงบคำและรอดูสถานการณ์ไปก่อน เขาขับมอเตอร์ไซด์กลับมาที่หอสมุดกลาง เขาบอกให้เธอรอเขาที่ชั้นล่าง แล้วเขาก็เดินหายลับไปภายในห้องสมุด เป็นเวลาเดียวกันกับที่ฝนห่าใหญ่พลันตกลงมาอย่างหนัก เธอจึงเดินเข้าไปภายในห้องสมุดหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันออกมาฉบับหนึ่งแล้วอ่านไปพลาง และรอคอยเขาไปพลาง เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียทั้งเธอและเขาก็คงไม่สามารถไปได้ต่อ เธอเลือกนั่งโต๊ะตรงบริเวณใกล้ๆ กับทางออกของห้องสมุด เพื่อที่เธอจะพบเห็นเขาเวลาเขากลับออกมาได้ง่ายๆ..... “ฉาด !“ เสียงฝ่ามือกระทบกับใบหน้า อารีตบหน้าศิวาในวันหนึ่ง ก่อนที่เธอจะวิ่งหนีจากไป ศิวารู้สึกชาไปทั้งใบหน้า เขาโกรธขึ้นมาทันที เขาพยายามวิ่งไล่ติดตามเธอไปจนไปถึงมุมห้อง เสียงเธอหัวเราะคิกคัก ยกมือไหว้เขาพร้อมกับงอตัว “ขอโทษ! ขอโทษ! ศิวา อย่าทำอะไรเราเลยนะ เราแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง!” เธอร้องบอกเมื่อเห็นศิวาโกรธขึ้นมาจริงๆ ศิวาใช้สองมือบีบจับไหล่ของเธอเอาไว้แน่น ก่อนจะค่อยๆคลายมือออกอย่างช้าๆ เมื่อเห็นสภาพของเธอที่แสดงอาการหวาดกลัวเขาอย่างน่าเวทนา เขาจึงคลายอารมณ์โกรธและเดินจากไปเงียบๆ เขาไม่รู้ว่าเธอตบหน้าเขาทำไม? หรือเธอจดจำมาจากละครในทีวี จริงๆ แล้วเขาควรจะทำอย่างไรกับเธอดี? แม้แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าที่จะคิด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคล้ายมีเธออยู่ภายในใจของเขาอยู่เสมอ เธอเป็นดั่งกำลังแรงใจของเขา เป็นแรงพลังเพื่อให้ก้าวต่อไปข้างหน้า ตอนม.๓ เธอก้าวขึ้นมาเป็นดาวโรงเรียนอย่างแท้จริง กิจกรรมของเธอยิ่งมายิ่งมาก วันหนึ่งเธอร้องไห้พูดกับเขาคนที่เธอไว้วางใจมากที่สุดว่า “ศิวา! เธอบอกเรามาซิว่ามันถูกต้องหรือเปล่า? ที่อาจารย์มาดุว่าเรา เรื่องที่เราไปให้ลายเซ็นกับนักเรียนชายโรงเรียนอื่นที่เข้ามาชมนิทรรศการของโรงเรียนเราในงานแสดงนิทรรศการนอกสถานที่เมื่อวันก่อน?” “อาจารย์ท่านคงหวังดีกับเธอเท่านั้นหรอก อย่าคิดมากไปเลย!” “คนเขาเข้ามาชมงานและขอลายเซ็นต์เรา เราจะเสียมารยาทบอกปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?” “อาจารย์ท่านต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดนิทรรศการนอกสถานที่ของโรงเรียนท่านตำหนิเธอ คงต้องมีเหตุผลของท่านแหละ! ไม่มีอะไรหรอกน่า!” ศิวาพยายามปลอบใจอารีให้เธอหยุดร้องไห้เสียใจ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านในเย็นวันนั้น เขายังจดจำวันนั้นได้ดี มันเป็นวันสุดท้าย วันที่อารีถือสมุดเฟรนชี๊พเล่มหนึ่งเดินเข้ามาหาเขาด้วยแววตาที่เศร้าสร้อยและขอร้องให้เขาช่วยเขียนให้ เขามีความรู้สึกว่าเธอกำลังจะจากเขาไปตลอดกาล นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบเธอก่อนที่จะเรียนจบชั้นม.๓ ความรู้สึกดีๆ ที่มีให้เธอคงต้องจบลงพร้อมกับการเรียนจบศิวาเลือกไปสอบเรียนต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัดในตัวอำเภอเมืองที่ไกลบ้านของเขาออกไปราว ๓๐ กิโลเมตร แต่เขาต้องประหลาดใจเมื่อในวันสอบเขาได้พบกับอารี เธอก็มาสอบเรียนต่อในโรงเรียนเดียวกันกับเขา เขายิ้มอย่างมีความสุขเมื่อรู้ว่าเธอกับเขาต่างก็มีความคิดเหมือนกันที่เลือกเรียนต่อโรงเรียนนี้ ทั้งที่ไม่เคยนัดหมายกันมาก่อนเลย แต่วันนั้นเขาไม่มีโอกาสได้พูดจาอะไรกับเธอเลย นอกจากการทักทายกันด้วยความดีใจตามประสาเพื่อน จนผลการสอบออกมาปรากฏว่าเขาสามารถสอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนประจำจังหวัดแห่งนั้นได้สำเร็จ แต่เธอกลับสอบไม่ผ่าน ในที่สุดเธอจึงต้องไปเรียนต่อทางด้านสายอาชีพที่โรงเรียนอาชีวะซึ่งตั้งอยู่ในตัวเมืองเช่นเดียวกันเพียงแต่ห่างออกไปเท่านั้น นั่นเป็นการดับความฝันของเธอในการเป็นพยาบาลไปด้วยพร้อมกัน มาตรแม้นว่าโรงเรียนของศิวากับโรงเรียนของอารีจะอยู่ภายในตัวอำเภอเมืองเดียวกัน แต่ก็อยู่กันคนละมุมเมือง นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาโอกาสที่เขาและเธอจะได้พบกันจึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก ศิวาจึงใช้จดหมายเป็นสื่อกลางระหว่างเขากับเธอตลอดระยะเวลา ๓ ปีที่เรียนอยู่ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ และอินเตอร์เน็ตใช้..... บ้านของอารีอยู่ระหว่างบ้านของศิวากับโรงเรียนของเขาทั้งสองคน สมัยเรียนอยู่ม.๓ อารีเคยชวนศิวาไปเที่ยวบ้านของเธอพร้อมกับเพื่อนๆ ครั้งหนึ่ง แต่เขามีงานประจำที่ต้องช่วยที่บ้านทำ จึงทำให้เขาปฏิเสธเธอไป จากนั้นมาเธอก็ไม่เคยชวนเขาอีกเลย ทั้งที่ความจริงเขาอยากรู้จักบ้านของเธอใจแทบขาด ทุกครั้งที่เขานั่งรถโดยสารประจำทางเพื่อไปโรงเรียนในตัวจังหวัด ซึ่งจะต้องผ่านทางเข้าไปในตัวหมู่บ้านของเธอ เขาก็มักจะสอดส่ายสายตามองหาเธอในท่ามกลางฝูงชน และเพียงไม่กี่ครั้งที่เขาพบเห็นเธอกำลังยืนรอรถโดยสารประจำทางเพื่อไปเรียนหนังสือที่ศาลารอรถตรงปากทาง เขาและเธอโดยสารรถกันคนละสาย แต่ก็เป็นถนนสายเดียวกัน นั่นคือสายเข้าสู่ตัวจังหวัด เขาและเธออยู่กันคนละอำเภอ แต่ก็เป็นอำเภอที่ติดต่อกัน เขาคอยสังเกตดูเธออยู่อย่างเงียบๆ ตลอดระยะเวลา ๓ ปี โดยที่เธอก็ยังคงอยู่ในหัวใจของเขาตลอดมา และเขาก็ไม่เคยสนใจใครอีกเลย เขาและเธอเติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กันดุจดังต้นไม้ที่ยืนอยู่ข้างๆ กันภายในป่า ไม่ใกล้กันจนเกินไป และไม่ห่างกันจนเกินไป อาจเพียงเพราะยังอยู่ในวัยเรียนที่ยังไม่คิดถึงเรื่องอื่นมากนัก เขาและเธอทำได้เพียงทักทายกันเวลาบังเอิญที่ได้พบเจอกัน จะอย่างไรเสียเขาและเธอก็คงยังก้าวเดินอยู่บนถนนสายเดียวกัน ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือการเรียนหนังสือให้จบ “ศิวา! “ เสียงร้องเรียกดังลั่นของเด็กสาวคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชนภายในตลาดของอำเภอเมืองที่แออัดยัดเยียดไปด้วยผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ผู้คนที่เดินอยู่บริเวณนั้นต่างก็หันไปที่ต้นเสียงและพบกับเด็กสาวคนหนึ่ง เธอคืออารีนั่นเอง! บัดนี้เธอเติบโตเป็นเด็กสาวแรกรุ่นที่สวยซึ้งคนหนึ่ง เพื่อนๆ ร่วมแก๊งของเธออีก ๕ คนที่เป็นผู้หญิงล้วนต่างพากันหันควับมาที่ศิวาราวกับนัดแนะกันเอาไว้ พวกเธอพบเห็นเด็กนักเรียนชั้นม.ปลายหัวเกรียนนุ่งกางเกงขาสั้นคนหนึ่ง หน้าตาเด๋อด๋า หันมายิ้มให้กับเพื่อนของพวกเธอ ก่อนจะเดินลับหายไปในท่ามกลางฝูงชนอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่งอารีโบกมือให้กับศิวาขณะที่เธอนั่งอยู่บนรถโดยสารประจำทางตอนเลิกเรียน ในขณะที่เขายืนรอรถอยู่ตรงศาลารอรถโดยสารประจำทางอีกครั้งหนึ่งตอนหลังเลิกเรียนวันหนึ่ง ขณะที่ศิวาเดินมาถึงศาลารอรถโดยสารประจำทางที่เดิมแห่งนั้น เขาพลันได้ยินผู้หญิงร้องเรียกเชื่อของเขา “ศิวา รอก่อน !” เขาหันไปทางด้านหลังก็พบเจ้าของต้นเสียงซึ่งก็คืออารีนั่นเอง เขาเห็นเธอวิ่งกระหืดกระหอบตามหลังเขามาจนหน้าซีดคล้ายจะเป็นลมหมดแรง เขายิ้มให้เธอด้วยความดีใจ และถามว่า “เธอไปไหนมา ทำไมถึงมาวิ่งตามเราได้?” “เราเดินออกมาจากตลาด พอดีเห็นเธอเดินข้ามถนนมา พยายามจะเดินตามเธอให้ทัน แต่เธอเดินเร็วมากจนเราตามไม่ทัน เราก็เลยวิ่งตามมานี่แหละจ๊ะ!” ศิวาซ่อนหน้าแอบยิ้ม เขาพยายามหลบซ่อนสายตา ราวกับกำลังพยายามกลบเกลื่อนความคิดถึงอย่างสุดซึ้งที่มีต่ออารี ซึ่งตอนนี้เธอได้มายืนเคียงข้างกับเขาที่ศาลารอรถราวกับปาฏิหาริย์ โอกาสแบบนี้ไม่ใช่หรือที่เขารอคอยมานานแสนนาน? โอกาสที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดเวลาเกือบ ๓ ปี เขาพยายามข่มกลั้นอารมณ์ให้สงบนิ่งแต่มันก็ยังคงปั่นป่วนจนหัวใจของเขาแทบจะพังทลายลงในบัดดล เขาหันไปสบสายตากับเธอแว้บหนึ่ง เธอเติบโตขึ้นมากและน่ารักมาก ทั้งเธอและเขาต่างก็กำลังเรียนอยู่ในชั้นปีสุดท้ายก่อนที่จะแยกทางกันอีกครั้ง เธอยังคงดูงดงามและจะยังคงงดงามตลอดกาล เพราะภายในหัวใจของเขามีเพียงแต่เธอผู้เดียวตลอดมา ซึ่งบางทีเธออาจไม่เคยรับรู้อะไรเลย แววตาซื่อไร้เดียงสาของเธอยังคงว่างเปล่า...“เธอซื้ออะไรมาเหรอ?” เขาถามขึ้น เมื่อเห็นว่าเธอเอามือแนบถุงกระดาษใบหนึ่งเอาไว้ที่ทรวงอก “ไปซื้อเสื้อมาจ๊ะ” เธอตอบ ก่อนจะกล่าวสืบต่อไปว่า “ศิวา! เราเห็นชื่อเธอในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งด้วยแหละ! มันเป็นหน้าที่ประกาศผลรายชื่อผู้ที่สอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร ดูเหมือนจะเป็นเหล่านายร้อยตำรวจ ถ้าจำไม่ผิด ทำไมเธอไม่ไปเรียนหล่ะ ไม่ชอบเหรอ?” “เราเพียงแค่สอบผ่านข้อเขียนเท่านั้นเอง ภายหลังจากนั้นเราต้องสอบภาคพละ สัมภาษณ์ ตรวจโรค อีกตั้งหลายด่าน!” “เธอสละสิทธิ์ไม่เข้าสอบต่อเหรอ? “เปล่า ! เราก็เข้าสอบจนครบทั้งหมดนั่นแหละ และมันก็ทำให้เราไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ทั้งที่สอบเทียบได้แล้ว เพราะวันที่ต้องเข้ารายงานตัวเพื่อสอบภาคต่อไปดันไปตรงกับวันที่สอบเอ็นทรานซ์พอดี เราจึงตัดสินใจทิ้งวิชาหนึ่งเพื่อไปรายงานตัว เธอก็รู้ว่าเราเรียนแผนกีฬา ภาคพลศึกษา ว่ายน้ำ วิ่ง วิดพื้น ยึดข้ออะไรพวกเนี๊ย! เราทำได้คะแนนเต็มเกือบทุกด่าน ที่สนุกก็คือตอนสอบว่ายน้ำ เราไปเจอรุ่นพี่นักเรียนนายร้อยที่คุมสอบขู่เอาว่าถ้าเอาชนะได้ในรอบนี้จะมีรางวัลให้ แต่ถ้าว่ายไม่ถึงขอบสระจะโดนเล่นงานหนัก เพราะถ้าใครสอบว่ายน้ำไม่ผ่าน ก็ถือว่าสอบตกไปเลย” “แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร?” “เพราะความกลัว เราก็ว่ายน้ำแบบไม่คิดชีวิตนะสิ! ในชีวิตเด็กที่เกิดมาพร้อมกับทุ่งนาและลำคลองไม่เคยว่ายน้ำเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย ให้ตายเถอะ!” “เราเดาว่าเธอต้องเข้าเส้นชัยคนแรกใช่หรือเปล่า?” “เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้าเส้นชัยตั้งแต่ตอนไหน แต่พอขึ้นมาจากสระไปนั่งหอบแฮ๊กๆ ตายังมองเห็นคนอื่นๆ ว่ายกันอยู่เลย ผลออกมาปรากฏว่าเราว่ายเข้าเส้นชัยก่อนเวลาที่กำหนด แต่เข้าคนแรกหรือเปล่าไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าทำคะแนนว่ายน้ำได้เต็มก็พอใจแล้ว ฮา ฮา” “แล้วรุ่นพี่คนนั้นได้ให้รางวัลเธอหรือเปล่า?” “พี่เขาแค่อำเราเล่นเท่านั้นแหละ!” “แล้วทำไมเธอจึงสอบไม่ผ่านหล่ะ? ไปพลาดตรงไหน?” “เราเองก็ไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร? ตรวจโรคและสัมภาษณ์เราก็สอบผ่านหมด คะแนนก็เต็มเกือบหมด” “น่าสงสัยจริงๆ” “เราก็สงสัยเหมือนกัน แต่คาดเดาว่าอาจจะเป็นคะแนนรวมตอนสุดท้ายที่ทำได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดละมั๊ง!” “แล้วปีหน้าเธอไม่สอบใหม่อีกเหรอ?” “อาจจะสอบ หรืออาจจะไม่!” ขณะที่เขาสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น รถโดยสารประจำทางคันสีเหลืองของอารีก็มาพอดี ศิวาเห็นเข้าจึงร้องบอกเธอ “รถของเธอมาแล้ว ได้เวลากลับบ้านแล้ว แล้ววันหลังค่อยเจอกันใหม่นะ!” “บ๊าย บาย ลาก่อนนะศิวา! เราไปก่อนนะ!” อารีพยักหน้าพร้อมกับโบกมืออำลาเพื่อนของเธอ ก่อนที่เธอจะรีบก้าวเท้าขึ้นรถไป นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเขาและเธอก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอและพูดคุยกันแบบนั้นอีกเลย แต่ศิวาก็ยังคงพยายามเขียนจดหมายถึงอารีอยู่เป็นระยะๆ ในเวลาที่คิดถึง เขากับเธอเริ่มห่างเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆ ห่างไกลกันออกไปทุกทีๆ จนเมื่อศิวาเรียนจบชั้นม.๖ และสอบเข้าเรียนต่อได้ที่มหาวิทยาลัยทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และต้องเดินทางไปพักอยู่ประจำเพื่อเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น ปีๆ หนึ่งมีโอกาสกลับมาเยี่ยมบ้านที่ภาคกลางเพียงไม่กี่ครั้ง นั่นเองที่ทำให้เขาและเธอไม่ได้พบกันอีกเลยตลอดชีวิต เขาเดินทางไปเรียนพร้อมด้วยหัวใจที่เหงาหงอยจนสุดจะพรรณนาเป็นคำพูดใดๆได้... ทั้งพนาคุณและน้องปีหนึ่งคนนั้นยังคงติดฝนอยู่ภายในหอสมุด เดิมทีพนาคุณเข้าใจว่าศิวาจะอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องสมุดตรงที่ประจำของเขา แต่เปล่า เขาไม่พบแม้แต่เงาเพื่อนของเขา เขากลับลงมาก็พบเธอทันที เขาจึงหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งมานั่งอ่านบนโต๊ะเดียวกับเธอโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ เขามองหน้าเธอพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง เธอยิ้มให้เขาครั้งหนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป รอยยิ้มของเธอทำให้เขาถึงกับใจหาย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรอยยิ้มของเธอ มันช่างงดงามถึงเพียงนั้น! หวานซึ้งถึงเพียงนั้น! อบอุ่นถึงเพียงนั้น! ตราตรึงถึงเพียงนั้น! เขาพลันครุ่นคิด รอยยิ้มแบบนี้นี่เองที่เขากล่าวกันว่าสามารถทำให้อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ถึงกับการล่มสลายมาแล้ว นั่นคือรอยยิ้มของสตรี โดยเฉพาะสตรีที่งดงามหยดย้อย! เขาจึงเริ่มมองสำรวจเธอแบบเงียบๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสสำรวจเธออย่างใกล้ชิด นับตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรกเขาก็ไม่มีเวลาสังเกตเธอมากนักเพราะเธอเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ เขาไม่ชมชอบมองดูผู้หญิงร้องไห้ ตอนนี้เธอหยุดร้องไห้แล้ว ใบหน้าของเธอปราศจากคราบน้ำตา เขาแลเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน ใบหน้าผุดผาดรูปไข่ ผิวสีขาวใสราวกระดาษ ละเอียดนวลราวเด็กทารก แก้มสีชมพูอ่อน ปากสีแดงเรื่อๆงามได้รูป จมูกโด่งเป็นสันพอเหมาะ ดวงตาสวยซึ้งปนเศร้าและดำขลับเป็นประกาย ผมยาวสีดำมันเงาถูกรวบเอาไว้และมัดด้วยเชือกป่านสีแดงเส้นหนึ่ง มาตรแม้นเธอจะมิได้แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางใดๆ แต่ความงามของเธอก็เพียงพอจะข่มเดือนและดาวบนท้องฟ้ายามราตรีได้เลยทีเดียว เธอไม่ใช่หญิงสาวที่สวยคมบาดตาบาดใจมีเสน่ห์ หากแต่เธอสวยแบบน่ารักน่าเอ็นดู ซื่อใสไร้มารยา พนาคุณพบว่าตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้และท่องเที่ยวไปจนทั่วทุกสารทิศ ยังไม่เคยพานพบหญิงใดจะสวยน่ารักกว่าหญิงสาวคนที่นั่งอยู่ตรงเบื้องหน้าของเขาในเวลานี้อีกแล้ว ! เธอช่างน่ารักน่าทะนุถนอมกระไรปานนั้น! เขาเหลียวมองสำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าสายตาเกือบทุกคู่โดยเฉพาะของเหล่าบรรดาหนุ่มๆ รุ่นพี่รุ่นน้องทั้งหลายที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องสมุดเวลานั้น ต่างจับจ้องมาที่โต๊ะตัวที่เขานั่งอยู่ จับจ้องมาที่เธอ! กิจกรรมทุกอย่างหยุดนิ่งราวกับโลกหยุดหมุน ทุกคนชะงักค้างกับความงามของเธอ! แต่เธอก็หาได้รับรู้อะไรเลย พนาคุณที่ปกติเป็นคนขี้อายอยู่แล้ว เมื่อถูกสายตารอบข้างจับจ้องมาที่เขาและเธอ เขารู้ดีว่าทุกคนกำลังคิดว่าเขากับเธอเป็นแฟนกัน เขาจึงรู้สึกขวยเขินทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันใด เขามองผ่านกระจกออกไปนอกห้องสมุดก็พบว่าฝนหยุดตกแล้วจึงรีบชักชวนเธอออกไป เธอเอาหนังสือพิมพ์ไปเก็บเข้าที่แล้วก็เดินติดตามเขาออกไป ท่ามกลางสายตานับร้อยที่รู้สึกเสียดายและผิดหวังอยู่ในที ฝนหยุดตกไปแล้ว ท้องฟ้าเปิดจนแสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องเล็ดลอดหมู่เมฆเบาบางลงมาได้อีกครั้ง ทั่วทุกทิศยังหลงเหลือร่องรอยของพายุและสายฝนแรงจัดปรากฏอยู่ ละอองน้ำยังฟุ้งกระจายอยู่ทั่วในอากาศ ทำให้อากาศรอบกายกลับกลายเป็นเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในฤดูหนาว บนถนนยังเจิ่งนองไปด้วยน้ำที่ยังคงขังตามหลุมตามบ่อเล็กๆ บางบริเวณยังมีน้ำบ่าไหลผ่านถนนอยู่ สายน้ำแตกกระจายกระเด็นออกสองฟากข้างของถนน ยามที่เขาขับรถตัดผ่านเข้าไป เธอสังเกตุว่าภายหลังจากที่เขาและเธอออกมาจากห้องสมุดแล้ว เขาก็ขับรถมุ่งหน้าไปทางบริเวณหน้ามหาวิทยาลัย เธอผ่านสะพานที่ทอดยาวสีขาว สองฟากข้างเป็นป่ารกชัฏปกคลุมอยู่ทั่วไป มีบึงน้ำและ ต้นไม้ขนาดใหญ่มากมายยืนท้าทายแรงลมอยู่เรียงรายสลับกันไปราวกับอยู่ในป่าดงดิบมากกว่าจะคิดว่านี่เป็นบริเวณภายในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาเลี้ยวซ้ายวิ่งไปตามถนนที่ยาวเหยียดซึ่งทอดยาวไปยังประตูด้านหน้าของมหาวิทยาลัย สองฟากข้างไร้เงาผู้คน นานๆ ครั้งจะมีรถขับผ่านมาสักคัน เธอสังเกตเห็นด้านขวามือเป็นทุ่งนาเวิ้งว้างผืนใหญ่ มีกระบือยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหลายตัว บางบริเวณเป็นแปลงผักของนักศึกษา มองไปไกลๆ ยังเห็นคล้ายเป็นคอกเลี้ยงสัตว์ตั้งเรียงรายตลอดรายทาง ส่วนด้านซ้ายมือเป็นแนวป่าตลอดแนวถนน มีถนนลูกรังเล็กๆ ทอดตัวขนานไปกับถนนใหญ่ตลอดทาง เธอไม่รู้ว่าทำไมภายมหาวิทยาลัยจึงมีท้องทุ่งกว้างขนาดนี้? และมีต้นไม้มากมายถึงเพียงนี้ ? อาคารต่างๆ ถูกแมกไม้ต่างๆ สีเขียวขจีบดบังเอาไว้แทบหมดสิ้น บางช่วงที่ผ่านไปหยาดน้ำฝนที่ยังคงคั่งค้างอยู่บนต้นไม้ใหญ่ พอมีลมพัดมาก็จะตกหล่นลงมากระทบใส่ตัวเขาและเธอเพิ่มความเหน็บหนาวยิ่งขึ้นไปอีก เขาขับรถพาเธอจนมาถึงบริเวณบึงน้ำที่กว้างใหญ่ซึ่งอยู่ติดกับประตูทางเข้าของมหาวิทยาลัย ภายนอกเป็นถนนที่เชื่อมต่อระหว่างตัวจังหวัด ภายในเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่มีอยู่ทั้งสองฟากฝั่งของถนนที่ทอดตัวสู่ใจกลางของมหาวิทยาลัย บึงด้านขวามีขนาดใหญ่กว่าบึงที่อยู่ด้านซ้าย บริเวณโดยรอบยังคงเปล่าเปลี่ยวปราศจากเงาร่างผู้คนในยามบ่ายเช่นนี้ เธอมองไปโดยรอบเห็นทุ่งหญ้าสลับกับต้นไม้ขนาดใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา ภายในจิตใจก็บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา เพราะเธอไม่เคยอยู่ตามลำพังกับชายหนุ่มแบบนี้มาก่อน ทุกครั้งเวลาที่เธอไปไหนมาไหนก็จะมีกลุ่มเพื่อนผู้หญิงของเธอไปด้วยทุกครั้ง แต่หลังจากรถของเธอถูกขโมยไป เพื่อนๆ ของเธอก็ทำได้แต่เพียงปลอบใจเท่านั้น เพราะแต่ละคนก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มาก ด้วยยังไม่คุ้นเคยกับถนนหนทางและสถานที่ต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ดีพอ แต่เมื่อคิดอีกทีในข้อที่ว่าพนาคุณเป็นเพื่อนสนิทของเทพฤทธิ์ เธอก็คลายใจลงส่ายศีรษะอย่างรวดเร็วเพื่อพยายามสลัดความคิดระแวงอันนั้นออกไป “เฮ้ยศิวา นั่นรูปใครว่ะ น่ารักหว่ะ ขอดูหน่อยซิ!” เพื่อนคนหนึ่งของเขาเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจพร้อมกับแย่งรูปใบนั้นไปจากมือของศิวา เมื่อเห็นว่าเขากำลังมองดูรูปใครอยู่ท่าทางลับๆ ล่อๆ “รูปเพื่อนคนหนึ่งน่ะ!” “ฮั่นแน่ อำกูอีกแล้วมึง แฟนมึงซิท่าสวยซะขนาดนี้!” “เพื่อนสนิทเรียนอยู่ห้องเดียวกันตอนสมัยเรียนม.ต้นหน่ะ!” “ไหนขอกูดูหน่อยซิ! กูว่ารูปดาราญี่ปุ่นชัวร์ ไม่ใช่แฟนมันหรอก!” เพื่อนผู้ชายอีกคนรีบเข้ามาแย่งรูปไปจากเพื่อนคนแรกพร้อมกับกล่าวเมื่อมองเห็นรูปหญิงสาวอายุ ๑๗-๑๘ สวมกางเกงขาสั้น หน้าตาน่ารัก ผิวขาวราวหิมะ นั่งยิ้มหวานอยู่ภายในรูปถ่าย “กูบอกว่าเพื่อนก็เพื่อนซิว่ะ!” ศิวาร้องยืนยันด้วยอาการหน้าแดงเพราะความเขินอาย “จริงดิ ? เรียนอยู่ที่ไหนว่ะ? แนะนำให้กูรู้จักมั่งดิ!” เพื่อนชายคนแรกกล่าว “เฮอะ เฮอะ คนเนี้ยนะเหรอ? เราเคยเห็นยืนคุยกับศิวาตรงศาลารอรถเมื่อวันก่อน เชอะ!” เพื่อนหญิงร่วมห้องคนหนึ่งที่เคยเดินไปพบเจอศิวาและอารียืนคุยกันที่ท่ารอรถ โดยสารประจำทางในวันก่อน พูดขึ้นเมื่อเดินเข้ามาบริเวณที่พวกผู้ชายรุมแย่งรูปเล็กๆที่ข้างหลังห้องเรียนและเห็นผู้หญิงในรูป “เรียนพาณิชย์อยู่อาชีวะ! แล้ววันหลังจะแนะนำให้รู้จัก!” ศิวากล่าวพร้อมกับแย่งรูปใบนั้นกลับคืนไปและเก็บใส่เอาไว้ในกระเป๋าสตางค์ตามเดิม ด้วยอาการเขินอายจนหน้าแดง “กูว่าไม่ใช่แฟนมันหรอก รูปดาราชัดๆ!” เพื่อนชายคนที่สองกล่าวด้วยความเชื่อมั่น “โธ่ไอ้คุณกระบือ ที่บ้านมึงกินหญ้าเป็นอาหารหลักหรือไงว่ะ มึงไม่เห็นรอยมือผู้หญิงที่เขียนอยู่ข้างหลังรูปหรือไง? ไอ้โง่! ” เพื่อนชายคนแรกกล่าว เพราะสังเกตเห็นรอยมือของผู้หญิงข้างหลังรูปที่ระบุชื่อผู้ให้และผู้รับอย่างชัดเจน ภายหลังจากที่พนาคุณจอดรถมอเตอร์ไซด์ เมื่อมาถึงบริเวณบึงน้ำหน้ามหาวิทยาลัย เขาก็มองไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง แต่แล้วเขาก็พลันเห็นเงาร่างเลือนรางของคนๆ หนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่ที่ริมบึงซึ่งอยู่ไกลตาออกไปตรงบริเวณมุมหนึ่งของรั้วมหาวิทยาลัย เนื่องจากบนตลิ่งไม่สามารถขับรถขึ้นไปได้ เพราะเป็นถนนดิน ภายหลังจากฝนตกหนักจึงมีสภาพเป็นโคลนเลนที่ยังคงมีน้ำเจิ่งนองอยู่ทั่วไป เขาจึงจำต้องชักชวนน้องปีหนึ่งคนนั้นเดินเท้าเพื่อเข้าไปดูให้รู้แน่ เธอถึงกับต้องตกตะลึงจนดวงตาเบิกกว้าง! เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏต่อสายตา เธอพบเห็นภาพชายหนุ่มคนหนึ่งนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ใส่เสื้อยืด สวมกางเกงยีนส์ ร่างกายเปียกโชกไปทั้งตัว ปลายเท้าสองข้างห้อยลงไปแช่อยู่ในน้ำของบึงใหญ่ ใบหน้าและลำตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลนจนแทบจะระบุรูปพรรณสัณฐานที่ชัดเจนไม่ได้ เขานอนอยู่บนพื้นดินที่เต็มไปด้วยโคลนเลนซึ่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่เพิ่งตกลงมา ราวกับยึดถือพื้นดินเป็นเสมือนฟูกนอนอันนุ่มนิ่มก็ปาน! เธอเห็นเปลือกตาของเขาปิดสนิทนอนแน่นิ่งราวกับคนตาย เขามานอนหลับในสภาพแบบนี้ได้อย่างไร? ในท่ามกลางพายุและฝนที่ตกหนักราวฟ้าถล่มทลายที่เพิ่งผ่านไป? หรือว่าเขาเสียสติไปแล้ว? หรือว่าเขาเมาสุราจนไม่ได้สติ? หรือว่าเขาจะตายไปแล้ว? เธอครุ่นคิดและเริ่มหวาดกลัวต่อเรื่องราวที่ได้ประสบตรงหน้า ตลอดชีวิตของเธอที่ผ่านมาไม่เคยพบเห็นเรื่องราวแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน เธอจึงยิ่งรุ่มร้อนใจมากขึ้น วิตกกังวลมากขึ้น เธอเผลอยกมือสองข้างขึ้นกุมเอาไว้ที่ทรวงอกด้วยความหวาดวิตกอย่างลืมตัว “อาจารย์! อาจารย์! เป็นอะไรไป? “ เสียงพนาคุณร้องเรียกชายประหลาดที่ยิ่งประหลาดกว่าเขาอีกหลายเท่า พร้อมกับเขย่าตัวแรงๆ เขาเอามือไปอังที่ปลายจมูก จากนั้นก็ก้มลงเอาหูข้างหนึ่งแนบกับทรวงอกตรงบริเวณหัวใจของชายคนนั้น คล้ายกับกำลังฟังเสียงว่าหัวใจของเขาว่ายังเต้นอยู่หรือเปล่า? “พี่แอ๊บค่ะ ! เขาเป็นอาจารย์เหรอค่ะ?” เธออดไม่ได้จึงถามโพล่งออกไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวนจนใบหน้าของเธอเปลี่ยนสีเป็นซีดขาวราวกระดาษที่ถูกแช่น้ำ เธอไม่กล้าเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “เปล่าครับ เขาเป็นเพื่อนพี่เอง!” “พี่เค้าตายหรือยังค่ะ?” เธอถามด้วยอาการอกสั่นงันงก “ยังไม่ตายหรอกครับ มันแค่นอนหลับหรือไม่ก็สลบไปเท่านั้นเอง!” “แล้วทำไมพี่เค้าถึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ล่ะค่ะ?” “พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ! มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย” พนาคุณตอบพร้อมกับพยายามเขย่าตัวเพื่อนของเขาอีกครั้ง แต่น่าเสียดายเพื่อนของเขายังคงนอนแน่นิ่ง ร่างกายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เขาจึงเริ่มหวาดวิตกกังวลขึ้นมาอีกคน สองคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเหมือนจะครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะทำอย่างไรดี แต่แล้วฉับพลันนั้นเขาก็หันหน้ามาทางหญิงสาวพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวพี่กลับไปเอาของที่หอพักแป๊บหนึ่งนะครับ น้องช่วยเฝ้าดูเขาเอาไว้ให้ดีนะ เดี๋ยวพี่จะรีบไปรีบมา!” เขาพูดก่อนจะรีบผลุนผลันก้าวเท้าจากไปโดยไม่ได้เหลียวหน้ากลับมาอีก ทิ้งให้หญิงสาวอ้าปากค้าง ไม่ทันกล่าวถ้อยคำใดๆเลยแม้แต่สักคำเดียว สภาพอาณาบริเวณบึงกว้างแห่งนี้ยังคงเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้เงาผู้คน ภายหลังจากฝนตกหนักคงไม่มีใครอยากจะมาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ อากาศที่เย็นยะเยือก ยามสายลมพัดมาร่างกายถึงกับสั่นสะท้านด้วยความหนาวเหน็บ เวลานี้ทางที่ดีควรหลบอยู่ภายใต้ผ้าห่อนุ่มๆบนเตียงนอนจะเหมาะสมกว่ามากนัก พื้นดินที่ชื้นแฉะเต็มไปด้วยดินโคลนคงไม่เหมาะกับการเที่ยวเดินเล่นให้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนเปล่าๆ ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับสภาพในยามตามปกติที่ใครๆ ก็อยากจะมาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจภายหลังจากที่เรียนหนักมาแล้วทั้งวันเธอหันมองไปรอบๆ กาย ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต มีเพียงต้นไม้โบราณยืนโดดเดี่ยว คล้ายกับยักษ์ตัวใหญ่ที่คอยยืนเฝ้าอาณาบริเวณแห่งนี้มาชั่วนาตาปี เธอต้องมานั่งอยู่เพียงลำพังกับชายประหลาดที่ไม่เคยรู้จัก มิหนำซ้ำไม่รู้ว่าเขาจะเป็นหรือจะตายกันแน่ เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะทนทานรับได้จริงๆ ความกลัวเข้าจู่โจมจิตใจของเธอจนแทบข่มกลั้นไม่ไหว ในที่สุดเธอก็หลั่งน้ำตาออกมา เมื่อน้ำตาช่วยละลายความหวาดหวั่นของเธอให้เบาบางลงไปบ้างแล้ว เธอก็เริ่มมีสติกลับคืนมา เธอเริ่มมองสำรวจรอบกายอีกครั้ง เธอพบเห็นกระดาษแผ่นหนึ่ง ตกอยู่บริเวณใกล้กับที่เธอนั่งอยู่ กระดาษแผ่นนั้นถูกน้ำฝนชะจนขาดออกเป็นสองส่วน เธอสงสัยใคร่รู้จึงหยิบมันเอามาประกอบกันใหม่ แม้ตัวหนังสือที่เกิดจากหมึกของปากกาจะเริ่มเลือนราง จางหายไปบ้าง แต่เนื้อหาใจความยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ หลังจากที่เธออ่านซ้ำมาซ้ำไปจนหลายรอบแล้ว เธอก็พอคาดเดาเหตุการณ์เรื่องราวที่เกี่ยวกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ได้บ้าง เพราะกระดาษแผ่นนี้มีส่วนหนึ่งที่ยังคงขาดติดอยู่ที่มือของเขา มันคงจะถูกฝนชะจนขาดจากกัน เธอจึงเริ่มเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาขึ้นมา เธอนั่งจับจ้องมองเขาแม้สภาพที่เห็นจะไม่ค่อยน่าดูเท่าไรนักก็ตาม ขณะนั้นเองเรื่องราวที่เธอไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เพียงชั่วพริบตา เธอเห็นชายหนุ่มที่ร่างกายเปียกโชกและเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยดินโคลนคนนั้นพลันลุกยืนขึ้นที่ริมบึงน้ำนั้น ฉับพลันนั้นเองเขาก็วิ่งกระโดดพุ่งร่างลงสู่บึงน้ำเบื้องล่างและจมหายไปในพริบตา! เธอกระโดดลุกขึ้นด้วยความตกใจพลันร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วยค่ะ! มีคนตกน้ำค่ะ!” แต่บริเวณโดยรอบยังคงเงียบสงบ ไม่ปรากฏเงาร่างของมนุษย์แม้เพียงสักคนที่จะมาช่วยเหลือเธอ เธอตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคอแหบแห้ง น้ำตาไหลพรากออกมา “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วยค่ะ! มีคนฆ่าตัวตายค่ะ!” เธอพยายามอีกหลายครั้ง แต่ยังคงเปล่าประโยน์ เวลาหลังฝนตกแบบนี้ย่อมไม่มีใครอยากออกจากผ้าห่อเพื่อออกมาเผชิญกับกระแสลมอันหนาวเหน็บและโหดร้ายไร้ปราณีแบบนี้ ในที่สุดเธอไม่รู้จะทำอย่างไร เธอตัดสินใจถอดรองเท้าผ้าใบสีขาวที่เธอสวมอยู่ออกแล้วพลันกระโดดตามชายหนุ่มคนนั้นลงไปในบึง เมื่อร่างกายของเธอสัมผัสกับพื้นน้ำที่เย็นเยียบ เธอพลันได้สติกลับคืนมาอีกครั้งและจดจำได้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น! ประกอบกับน้ำที่เย็นจัดหลังฝนตก จึงทำให้ขาข้างหนึ่งของเธอกลายเป็นตะคริว เธอไม่สามารถเคลื่อนไหวได้! เธอกำลังจะจมน้ำตาย! เธอรีบดิ้นรนยกสองแขนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อพยายามที่จะตะเกียกตะกายให้พ้นน้ำพร้อมกับร้องขอความช่วยเหลือ แต่น่าเสียดายยิ่งเธอดิ้นรนมากเท่าไร เธอกลับยิ่งหมดแรง ยิ่งจมลึกลงไปมากเท่านั้น จนในที่สุดเธอหมดเรี่ยวแรง น้ำได้ทะลักเข้าปากของเธออย่างรวดเร็ว จนเธอสำลักน้ำ และกลืนน้ำเขาไป เธอตกใจสุดขีดและคิดว่าเธอคงไม่มีชีวิตรอดอีกแล้ว ก่อนที่เธอจะสิ้นสติและจมหายไปนั้นเอง พลันมีมือของคนผู้หนึ่งโอบกอดเธอเอาไว้ พร้อมกับฉุดร่างของเธอไปอย่างรวดเร็วดั่งราวสายฟ้า! เธอได้สติกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง พอลืมตาขึ้นก็พบว่ามีใบหน้าของคนผู้หนึ่งแนบกับในหน้าของเธอเอาไว้ ริมปีปากของเธอถูกริมฝีปากของเขาประกบอยู่ จมูกของเธอถูกมือข้างหนึ่งของเขาบีบเอาไว้แน่น ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งวางอยู่บนทรวงอกของเธอ เมื่อได้เห็นดังนั้น เธอจึงตกใจสุดขีด! ถึงกับสะดุ้งกายลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว เธอสำลักน้ำออกมาคำหนึ่ง ก่อนจะไอจนตัวงออยู่พักใหญ่ อาการของเธอจึงเริ่มค่อยๆ ดีขึ้น ร่างของเธอสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บประกอบกับความหวาดกลัว ศีรษะมึนงงไปหมด สองมือของเธอยังกุมอยู่ที่ทรวงอกดูไปน่าเวทนายิ่งนัก เธอไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร เธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและเริ่มลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ เธอเหลียวไปมองชายหนุ่มคนนั้นแว้บหนึ่ง แต่เธอไม่รู้จักเขา ภายในจิตใจยังรู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด เหตุการณ์ต่างๆ มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป เธอพลันนึกขึ้นมาได้ถึงเพื่อนของพนาคุณคนที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย คนที่เขาฝากให้เธอคอยเฝ้าดูเอาไว้ เธอจึงพลันร้องบอกกับชายหนุ่มคนนั้นว่า“มีคนจมน้ำค่ะ มีคนจมน้ำค่ะ ช่วยด้วยค่ะ!” แต่ชายหนุ่มคนนั้นยังคงนั่งนิ่งคล้ายไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด เขายังคงนั่งหันหน้าไปทางบึงน้ำแห่งนั้น ดวงตาเหม่อลอยมองไปยังที่ไกลตา ราวกับว่าเขาไม่ได้นั่งอยู่บนโลกใบนี้ก็ปาน! แม้เธอจะพยายามพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไรก็ตาม แต่เขากลับคล้ายคนหูหนวกตาบอด ไม่ได้ยินอะไร ไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เขากลับกลายเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งที่ไร้ชีวิต ราวกับว่าเธอกับเขาอยู่กันคนละโลกก็ปาน! ด้วยท่าทีแบบนั้นของเขา มันกลับยิ่งทำให้เธอร้อนรุ่มใจมากยิ่งขึ้นไป จนน้ำตาหลั่งรินออกมา... ยามนั้นเป็นเวลาเดียวกันกับที่พนาคุณขับรถมอเตอร์ไซด์กลับมาพอดี เขารีบวิ่งมาที่บริเวณริมบึงน้ำแห่งนั้น แต่แล้วเขาต้องประหลาดใจเมื่อได้พบเห็นภาพชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง นั่งอยู่ไม่ไกลกันนัก หากแต่ร่างกายของคนทั้งคู่กลับเปียกชุ่มโชกราวกับไปตกน้ำตกท่าที่ไหนมาก็ปาน! สภาพที่เขาพบเห็นชวนให้น่าขบขันยิ่งนัก เขาพลันหัวเราะออกมา ทันทีที่หญิงสาวได้พบกับพนาคุณ เธอก็พลันร่ำร้องออกมาว่า “พี่แอ๊บค่ะ ! เกิดเรื่องใหญ่แล้วค่ะ เพื่อนของพี่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายไปแล้วค่ะ!” เธอถึงกับร้องไห้โฮออกมา พนาคุณได้ยินอย่างนั้น เขากลับยิ่งหัวเราะ เขาหัวเราะจนท้องคักท้องแข็ง นั่งลงหัวเราะไม่หยุดหย่อนจนตัวงอ ก่อนจะเงยหน้าพูดออกมาว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น อาจารย์!” เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาเรียกชายประหลาดคนนั้นว่าอาจารย์ เธอก็เริ่มจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ที่แท้มนุษย์โคลนเพื่อนพนาคุณคนนั้นก็คือชายประหลาดคนนี้นี่เอง เธอกลับจดจำเขาไม่ได้ เพราะตอนที่เธอพบเห็นเขาตอนแรกใบหน้าและร่างกายเต็มไปด้วยดินโคลน ต่างกับตอนนี้ที่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา เสื้อผ้าสะอาดสะอ้านคล้ายเพิ่งผ่านการซักมาหมาดๆ ทั้งที่ยังไม่ทันได้ตากแห้งก็นำมาสวมใส่เสียแล้ว อาจบางทีเธอผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมามากเกินไป จิตใจของเธอตึงเครียดมากจนเกินไป เธอจึงไม่ทันได้สังเกตอะไรอย่างละเอียดถี่ถ้วน เธอจงหลงเข้าใจผิดไปเอง “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น? แล้วน้องคนนี้เป็นใคร!?” ชายหนุ่มคนนั้นก็คือศิวานั่นเอง เขากล่าวด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีเท่าไรนัก แต่ก็กล่าวสืบต่อไปว่า “ผมจำได้ว่า ผมตื่นขึ้นมา พบว่าเนื้อตัวเต็มไปด้วยขี้โคลน ก็เลยอยากจะอาบน้ำเล่น ชำระล้างร่างกายใหม่ให้สะอาด ไม่ทันได้สังเกตรอบข้างคิดว่าบริเวณนี้มีผมอยู่เพียงคนเดียว ผมก็เลยเดินไปที่ขอบสระแล้วกระโดดลงไป กลั้นลมหายใจแช่ตัวอยู่ที่ก้นบึงพักหนึ่งและถูตัวเพื่อให้ขี้โคลนที่ติดตามใบหน้าและลำตัวหลุดออกไป ผมดำน้ำเป็นเวลานานพอประมาณก็คิดจะขึ้นมาเปลี่ยนลมหายใจครั้งหนึ่งก่อนแล้วค่อยดำลงไปใหม่ แต่พอผมโผล่พ้นขึ้นมาเหนือน้ำก็พบกับน้องคนนี้กำลังจะจมน้ำอยู่ ผมก็เลยอ้อมไปข้างหลังและฉุดลากเธอขึ้นไปถึงตลิ่งจากนั้นก็อุ้มขึ้นมาวางไว้ตรงนี้ เห็นเธอสลบไป ลมหายใจรวยริน ผมก็เลยพยายามจะ......” “เฮอะ เฮอะ! อาจารย์ก็เลยคิดจะผายปอดให้กับน้องเค้า?” พนาคุณชิงตอบคำพร้อมกับหัวเราะเพื่อนรักของเขา ก่อนจะหันไปทางน้องสาวปีหนึ่งคนนั้นซึ่งเห็นเธอนั่งหน้าแดงอยู่จึงถามว่า “แล้วทำไมน้องถึงลงไปอยู่ในน้ำได้หล่ะครับ?” “หนูเห็นอาจารย์...เอ่อ...เอ่อคือ...พี่เค้าเดินไปที่ริมบึงและกระโดดลงไปในน้ำ จนเวลาผ่านไปตั้งนานก็ยังไม่โผล่ขึ้นมา หนูก็เลยร้องตะโกนเรียกให้คนช่วยค่ะ เพราะคิดว่าพี่เค้ากระโดดน้ำฆ่าตัวตายค่ะ!” เธอหอบหายใจถี่ๆ คล้ายยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเสมือนเรี่ยวแรงจางหายไปหมดสิ้น จนแม้กระทั่งจะเอ่ยวาจาก็ยังแทบจะไม่มีแรง พนาคุณเห็นอาการของเธอดังนั้น เขาพลันล้วงมือลงไปในตะกร้าสีฟ้าใบหนึ่งและหยิบยาดมออกมาส่งให้เธอหลอดหนึ่ง ที่แท้นั่นเป็นตะกร้าใส่ยาต่างๆ ที่เขากลับไปเอามาจากหอพัก พร้อมกับส่งผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งที่เตรียมเอามาไว้ให้กับศิวาให้เธอไปใช้แทน จากนั้นก็เอาถังน้ำและขันน้ำที่เตรียมมาลงไปตักน้ำตรงบริเวณที่ใสสะอาดของบึงมาถังหนึ่งเพื่อให้ศิวาและหญิงสาวได้ล้างทำความสะอาดตัวบริเวณที่เปื้อนดินโคลน เขาคล้ายคิดอ่านละเอียดรอบคอบ เมื่อเห็นเธอสูดดมยาดม ล้างเนื้อล้างตัวและเช็ดเนื้อเช็ดตัวเบื้องต้นแล้วและเห็นว่าอาการของเธอดีขึ้นมาก เขาจึงสอบถามต่อไปว่า “แล้วหลังจากนั้นหล่ะครับ?” “หนูมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เลยค่ะ ด้วยความตกใจไม่รู้จะทำอย่างไร หนูก็เลยตัดสินใจกระโดดลงไปในบึง คิดว่าจะช่วยพี่เค้าได้บ้าง แต่ลืมคิดไปว่าความจริงหนูว่ายน้ำไม่เป็น ก็เลยจมน้ำค่ะ” “ฮา ฮา มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ? เป็นเรื่องแปลกประหลาดเท่าที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาเลยจริงๆ” พนาคุณรู้สึกเป็นเรื่องราวที่น่าหวาดเสียวที่สุด แต่มันก็น่าขบขันที่สุดเท่าที่เขาเคยประสบมาด้วยเช่นกัน เขาพูดพร้อมกับหันหน้าไปทางศิวาเพื่อนของเขา “แล้วอาจารย์มานอนทำอะไรอยู่ที่นี่? ปล่อยให้ผมตามหาจนทั่วมหา’ลัย!” พนาคุณถามศิวาในที่สุด “ผมก็แค่อยากจะนอนเล่นน้ำฝนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก!” ศิวาตอบแบบกลบเกลื่อนพร้อมกับเบือนหน้าหลบสายตาเพื่อนของเขา “ เฮอะ เฮอะ! นอนท่ามกลางขี้โคลนอย่างนี้นะ! วันหลังอย่าลืมชวนผมมานอนเล่นด้วยคนหล่ะ คงน่าสนุกพิลึก!” พนาคุณกล่าวกับเพื่อนของเขาคล้ายกับกำลังประชดประชัน ก่อนจะกล่าวสืบต่อไปว่า “ผมคิดว่าอาจารย์เป็นอะไรไปเสียอีก ผมเรียกตั้งนาน ก็ยังไม่ตื่น” “ว่าแต่พี่แอ๊บมีเรื่องอะไรกับผมหรือเปล่า? ทำไมพาน้องคนนี้มา?” ศิวาพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด พร้อมกับชายตาไปมองหญิงสาวแว้บหนึ่ง พนาคุณก็เลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับหญิงสาวและรถของเธอที่ถูกขโมยไปให้เขาฟังอย่างละเอียด พร้อมกับแนะนำหญิงสาวให้รู้จักกับศิวา คนที่เขาและเพื่อนๆมักเรียกกันว่าอาจารย์ เธอครุ่นคิดภายในใจว่าที่แท้อาจารย์ก็ไม่ใช่อาจารย์ หากแต่เป็นรุ่นพี่คนหนึ่งและเป็นเพื่อนของพนาคุณ เธอหลงเข้าใจผิดมาเสียตั้งนาน เธอมองสำรวจศิวารอบหนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะเมื่อนึกถึงสภาพของเขาเมื่อครู่ที่ผ่านมา พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นภายในใจว่าพี่คนนี้เหรอ? ที่จะมาช่วยเธอค้นหารถที่หายไปของเธอ ขนาดตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดเลย เธอเริ่มรู้สึกสิ้นหวังมากยิ่งขึ้น เมื่อคิดถึงรถของเธอที่หายไป แต่เธอก็ได้แนะนำตัวเอง เธอบอกว่าเธอชื่อ “รัตนาภรณ์” มีชื่อเล่นว่า “น้องนก” เป็นนักศึกษาชั้นปีที่หนึ่ง คณะแพทยศาสตร์..... “ผมไม่ใช่นักสืบ พี่แอ๊บคิดว่าผมจะหารถเจอเหรอ?” ศิวาเอ่ยออกมา “ผมเห็นอาจารย์ชอบอ่านพวกนิยายนักสืบ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์มั่งนะ!” “พี่แอ๊บ นิยายกับเรื่องจริงมันคนละเรื่องกัน!” “แต่ผมคิดไม่ออกแล้วว่าจะทำอย่างไรดี พี่เทพส่งคนไปเป็นร้อยออกช่วยตามหา แจ้งความก็แล้ว นี่เป็นวันที่ ๓ แล้วที่รถหายไป แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไรเลย” “รถหายที่ไหน?” ศิวาทำท่าครุ่นคิดก่อนจะถามขึ้นมา “หน้าสหกรณ์ค่ะ!” หญิงสาวรีบตอบทันที ก่อนที่เธอจะหลบสายตาซ่อนหน้าจากศิวาเพราะยังรู้สึกเขินอายในสิ่งที่เขาเพิ่งกระทำกับเธอ แม้เธอก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะเขาต้องการช่วยชีวิตเธอก็ตาม “งั้นพวกเราไปสหกรณ์กันเดี๋ยวนี้เถอะ!” ศิวากล่าวในที่สุด ร้านค้าสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยมีเพียงแห่งเดียว ตั้งอยู่ตรงข้ามกับหอสมุดกลาง กั้นกลางด้วยถนนสายหลักของมหาวิทยาลัย ถนนสายนี้มีรถราและรถโดยสารประจำทางวิ่งผ่านตลอดทั้งวัน ยามเลิกเรียนจะคับคั่งไปด้วยฝูงคนและรถรา วิ่งกันขวักไขว่ เนื่องจากสหกรณ์ตั้งอยู่บริเวณเดียวกับโรงอาหารกลางและร้านรวงต่างๆ มากมาย ดังนั้น นักศึกษามักใช้บริเวณสถานที่ที่นี้เป็นจุดนัดพบและรับประทานอาหาร บางเวลาจะแออัดยัดเยียดเต็มไปด้วยกลุ่มนักศึกษาจากคณะต่างๆ บริเวณพื้นที่ที่สหกรณ์และโรงอาหารตั้งอยู่สามารถที่จะนำรถมอเตอร์ไซด์มาจอดได้โดยรอบ แต่จุดที่ทางมหาวิทยาลัยตีเส้นเอาไว้เพื่อใช้เป็นที่สำหรับจอดรถมอเตอร์ไซด์โดยเฉพาะก็คือบริเวณด้านหน้าของสหกรณ์ และบริเวณนี้เองที่รถของรัตนาภรณ์ถูกขโมยไปศิวา พนาคุณ และรัตนาภรณ์ กำลังยืนอยู่ตรงบริเวณที่รถถูกขโมยไป “รถมอเตอร์ไซด์ของหนู ถูกขโมยตรงนี้แหละค่ะ!” เธอบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ช่องจอดรถสำหรับมอเตอร์ไซด์ ซึ่งทาด้วยแถบเส้นสีขาวช่องหนึ่ง ช่วงเวลานี้มีรถมอเตอร์ไซด์จอดอยู่เพียงคันเดียว ทันทีที่รัตนาภรณ์มองเห็นรถคันที่จอดเพียงคันเดียวอยู่นั้นเธอก็ถึงกับตกตะลึง ก่อนจะเอ่ยปากเปรยๆ ขึ้นว่า “พี่ค่ะ ! รถคันนี้ทำไมถึงคล้ายกับรถของหนูมากขนาดนี้ก็ไม่รู้ แต่มันไม่ใช่รถของหนูแน่ๆค่ะ” พนาคุณได้ยินเธอพูดดังนั้นเขาพลันหันไปมองหน้าศิวาคล้ายกับจะขอความคิดเห็น “น้องครับ! ตอนที่รู้ว่ารถหายไป ในวันนั้นน้องเห็นรถคันนี้อยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ?” ศิวาเอ่ยถาม “หนูก็จำไม่ค่อยได้หรอกค่ะพี่! เพราะตอนที่มาดูวันนั้นมันมีรถจอดอยู่เต็มเกือบทุกช่องเลยไม่ทันได้สังเกตค่ะ” รัตนาภรณ์กล่าวด้วยความไม่ค่อยแน่ใจ “ช่องจอดรถคันของน้อง กับคันนี้ใกล้กันมากห่างกันเพียง ๒ ช่องเท่านั้นเอง มีความเป็นไปได้มากว่ารถอาจไม่ได้ถูกขโมยไป!” ศิวาเอ่ยออกมาพร้อมกับทำท่าใช้ความคิด “ถ้ามันไม่ได้ถูกขโมยไปหรือมันจะล่องหนไปได้เองอาจารย์!” พนาคุณพูดออกมาเพราะประหลาดใจในคำพูดเพื่อนของเขา “รถคันนี้แตกต่างกับรถของน้องตรงส่วนไหนบ้างครับ?” ศิวาหันไปถามรัตนาภรณ์ “ถ้าสังเกตไม่ดี มันเหมือนกันแทบจะแยกไม่ออกเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสี รุ่น ยี้ฮ้อ แต่ถ้าเป็นเจ้าของจะต้องรู้ค่ะว่ามันไม่เหมือนกัน คันของหนูมีสภาพดีกว่าหน่อยหนึ่งค่ะ เลขป้ายทะเบียนก็ไม่เหมือนกัน และที่สำคัญรถคันนี้มีกระจกเลี้ยวบานข้างหน้าด้านขวาเหลืออยู่ค่ะ ส่วนของหนูจะเหลือข้างซ้ายค่ะ สลับข้างกันค่ะ เท่านี้แหละค่ะ ที่หนูนึกได้” เธอแจกแจงรายละเอียดให้ฟังเท่าที่พอจะนึกออก “ฮา ฮา อาจเป็นไปได้ว่ารถคันนั้นกับคันนี้จะเป็นรถปีเดียวกัน และซื้อพร้อมๆ กันอีกด้วย!” ศิวาถึงกับหัวเราะออกมาก่อนจะกล่าวสืบต่อไปว่า “ที่น่าแปลกประหลาดยิ่งกว่านั้น! ก็ไอ้ตรงที่เหลือกระจกหน้าคนละบานเหมือนกัน ต่างกันที่คันหนึ่งเหลือข้างซ้าย อีกคันหนึ่งเหลือข้างขวา ฮา ฮา” ศิวากล่าวพร้อมกับหัวเราะไม่หยุดหย่อน “แต่ถ้าเป็นเจ้าของรถที่ใช้อยู่เป็นประจำก็ไม่น่าจะหยิบผิดคันได้หรอกอาจารย์! ผมว่าถูกขโมยไปมากกว่า!” พนาคุณตั้งข้อสังเกต “แล้วถ้าคนที่หยิบไปไม่ใช้เจ้าของรถหล่ะ?” ศิวาตั้งคำถาม “นั่นก็อาจเกิดความผิดพลาดขึ้นได้” พนาคุณกล่าวสรุป และกล่าวสืบต่อไปว่า “แต่อาจารย์ ถ้าหากไม่ใช่การขโมย ที่ต้องใช้กุญแจผีหรือเทคนิคพิเศษ แล้วกุญแจมันจะใช้ไขด้วยกันได้เหรอ?” “เออ พี่ค่ะหนูลืมบอกไปค่ะว่า รถของหนูใช้งานมานานแล้ว ช่องใส่กุญแจอาจจะหลอม ใช้กุญแจรถคันอื่นก็อาจไขได้เหมือนกัน เพียงแต่หนูไม่แน่ใจเพราะไม่เคยทดลองทำดูค่ะ แค่เห็นมันหลวมๆ เท่านั้นค่ะ! ” รัตนาบ่งบอกเรื่องราวรูกุญแจรถของเธอออกมา พร้อมกับควักกุญแจจากในกระเป๋ากระโปรงของเธอออกมาแล้วทดลองเสียบเข้าไปที่รูกุญของรถคันนั้นทันที แต่ปรากฏว่าเธอไม่สามารถไขกุญแจเพื่อสตาร์ทเครื่องได้ “ฮา ฮา ไม่ต้องพยายามหรอกครับ ! ไม่ใช่รถทุกคันจะเป็นเหมือนกัน อาศัยข้อมูลเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ!” ศิวาหัวเราะด้วยความเอ็นดูเมื่อเห็นรัตนาภรณ์พยายามจะสตาร์ทรถคันนั้น แต่เธอกลับทำท่าทางเขินอาย ยามนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว นักศึกษาเริ่มทยอยกันมารับประทานข้าวเย็น ภายหลังจากที่คร่ำเคร่งกับการเรียนมาทั้งวัน บางส่วนก็เริ่มกลับไปหอพัก บนถนนเริ่มคับคั่งไปด้วยรถมอเตอร์ไซด์และรถยนต์วิ่งกันไปมาขวักไขว่ แต่ใครก็ตามที่ผ่านมาตรงบริเวณหน้าสหกรณ์ต่างพุ่งความสนใจไปที่คนทั้งสาม คนประหลาดทั้งสามคน! พวกเขาต่างแลเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเนื้อตัวเปียกปอน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าชุ่มโชกไปด้วยน้ำทั่วทั้งตัว คล้ายเพิ่งกลับมาจากการไปเล่นน้ำเทศกาลสงกรานต์ที่ไหนมา? ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเสื้อผ้ายังคงแห้งเป็นปกติ แต่กลับยืนถือถังน้ำใบหนึ่งภายในถังบรรจุไว้ด้วยขันใบหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งกลับถือเอาไว้ด้วยตระกร้ายาใบหนึ่ง คล้ายเป็นคนที่สาดน้ำทำให้หนุ่มสาวคู่นั้นเปียกปอนอย่างที่เห็น แต่พวกเขาทั้งสามคนยังคงยืนเจรจากันคล้ายไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น สภาพของพวกเขาสร้างความขบขันให้แก่ผู้คนที่ได้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาใกล้ๆต่างอดไม่ได้ที่จะหยุดยืนดูพวกเขาทั้งสามคนเจรจากัน แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นเรื่องราวอะไร ที่เด่นที่สุดยังคงเป็นหญิงสาวคนนั้น ด้วยใบหน้าที่สวยซึ้งยากจะพบพานประกอบกับรูปร่างทรวดทรงที่อรชรอ้อนแอ้นสมส่วนของเธอ ก็เพียงพอจะชวนให้ลุ่มหลงงมงายได้แล้ว แม้เธอจะมีผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งคลุมเอาไว้บนไหล่ แต่มันกลับยิ่งเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนใจให้แก่เธอมากยิ่งขึ้น จนไม่ว่าชายหรือหญิงคนใดก็ตามที่ผ่านมาพบเห็นเธอเพียงครั้งแรกก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวกลับไปมองดูเธอให้เต็มตาอีกเป็นครั้งที่สองประดุจดังต้องมนต์สะกดก็ปาน! “พี่แอ๊บ! ช่วยขับรถไปส่งน้องที่หอพักก่อนเถอะ จะได้อาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พักผ่อนให้สบาย ส่วนพี่แอ๊บรีบกลับมา ผมจะรออยู่ตรงนี้แหละ!” ศิวาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ามีฝูงชนเริ่มมุงเข้ามาดูพวกเขามากขึ้นทุกขณะ “ผมก็ลืมไป เดี๋ยวน้องจะไม่สบาย” พนาคุณพลันนึกขึ้นมาได้ เขาหยิบยาแก้ไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้หวัด และยังมียาแก้ไอ ให้แก่รัตนาภรณ์ ก่อนจะสตาร์ทรถและเรียกให้เธอนั่งซ้อนท้าย ก่อนจากไป เธอหันมามองศิวาด้วยแววตาที่คล้ายขอบคุณ คล้ายวิงวอนและเหม่อลอยเซื่องซึม ศิวาเห็นสายตาของเธอแล้วเขาถึงกับก้มหน้าหลบไม่กล้าสบตาด้วย เขาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าพวกเขาจากไปจนลับสายตาแล้ว....“พี่ค่ะ! ถ้ามีเรื่องอะไรให้หนูช่วยก็มาเรียกหนูได้ที่หอทุกเวลาน่ะค่ะ ขอบคุณมากค่ะพี่” รัตนาภรณ์กล่าวก่อนที่เธอจะเดินขึ้นบันไดหอพักไป ซึ่งคืนนั้นไม่แน่นักว่าเธอจะสามารถข่มตาหลับลงได้ เพราะเธอยังคงจดจำเรื่องราววันนี้ได้อย่างไม่มีวันลืม บางทีเธออาจจะจดจำมันไปจนตลอดชีวิต! จดจำเรื่องราวประหลาดในวันนี้! จดจำคนประหลาดที่ไม่เหมือนใครคนนั้น! ทันทีที่พนาคุณกลับมาถึงบริเวณหน้าสหกรณ์ที่ที่ศิวานั่งคอยเขาอยู่ เขายังไม่ทันดับเครื่องมอเตอร์ไซด์ ศิวาก็พลันบอกให้เขาพาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ศิวานั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ของพนาคุณแล้วบอกให้เขาขับออกไปทันที เขาทิ้งมอเตอร์ไซด์ของเขาจอดเอาไว้ที่โรงอาหารกลาง เขาทั้งสองมุ่งหน้าไปทางสนามกีฬากลางซึ่งถ้าตรงไปก็สามารถไปถึงจนสุดประตูหน้ามหาวิทยาลัยที่มีบึงน้ำใหญ่ที่เมื่อตอนบ่ายเขาเพิ่งไปมา พอถึงสนามกีฬากลาง ศิวาก็บอกให้เขาเลี้ยวซ้ายตัดผ่านบริเวณหัวสะพานสีขาวที่อยู่ด้านขวามือ ส่วนด้านซ้ายคืออาคารเรียนของคณะสาขาวิชาที่พวกเขาเรียนอยู่ ซึ่งตั้งเรียงรายตามตลอดแนวถนน ยังไม่ทันพ้นเลยจากบริเวณที่ตั้งของคณะ ศิวาก็บอกให้เขาหยุดที่หน้าหอพักนักศึกษาหญิงแห่งหนึ่งบริเวณทางด้านทิศใต้ของมหาวิทยาลัย หอพักแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับคณะที่เขาทั้งสองคนเรียนอยู่ ซึ่งพวกเขาคุ้นเคยกับบริเวณแถวนี้เป็นอย่างดี อาจบางทีคุ้นเคยมากจนเกินไปอยู่บ้าง! “อาจารย์! พาผมมาที่หอหญิงนี้ทำไม?” พนาคุณทำหน้านิ่วคิ้วขมวดพร้อมกับถามเพื่อนของเขาอย่างไม่ค่อยแน่ใจในตัวเพื่อนของเขามากนัก “ผมเห็นพี่แอ๊บยังไม่มีแฟนก็เลยคิดหาสาวสวยสักคนหนึ่งให้ ฮา ฮา!” ศิวาหัวเราะพร้อมกับตบบ่าเพื่อนของเขาเบาๆ ขณะที่สายตาของเขาก็กำลังมองสำรวจคล้ายเสาะหาอะไรบางอย่างอยู่? “อาจารย์คิดว่ารถคันที่หายไปจะอยู่ที่หอพักหญิงนี้เหรอ?” “ผมแค่สัณนิฐานตามหลักฐานและพยานเท่านั้น! ผมแค่กำลังพิสูจน์สมมุติฐานของผมเอง!” ศิวาตอบพร้อมกับยิ้มน้อยที่มุมปาก “ถ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ทำไมพวกพี่เทพจึงหาไม่พบหล่ะ?” “ผมถามพี่แอ๊บ พี่แอ๊บเองได้มาค้นหาที่หอนี้หรือเปล่า?” “เปล่า!” “เพราะอะไร?” “ก็ใครจะไปคิดว่านักศึกษาหญิงจะกลับกลายเป็นขโมยได้ ส่วนใหญ่ผมก็แค่ขับรถผ่านไปไม่สนใจมากนัก แค่มองผ่านๆ ไม่ได้ลงมาค้นหาโดยละเอียดเหมือนกับหอพักชายหรือบริเวณอื่นที่น่าสงสัยมากกว่า ผมไม่ค่อยเชื่อว่านักศึกษาจะมาขโมยรถกันเองด้วยซ้ำ!” “นั่นเพราะพี่แอ๊บคิดว่ารถถูกคนขโมยไปเหมือนคนอื่นๆ และเชื่อว่าขโมยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย!” “หรือว่าอาจารย์ไม่คิดเหมือนผม?” “ใช่! ผมก็คิดเหมือนพี่แอ๊บไม่ผิดเพี้ยน!” “แล้วทำไมอาจารย์ยังมาที่หอหญิงนี้อีก?” “ก็เพราะว่ารถไม่ได้ถูกขโมยไปนะสิ!” “หมายความว่าอะไร นี่อาจารย์คิดว่าเรื่องนี้เป็นการหยิบรถผิดเหรอ?” “แม่นแล้ว!” “ในโลกจะมีรถที่เหมือนกันจนเจ้าของหยิบผิดได้อย่างนั้นเหรอ?” “อาจเป็นเรื่องยากที่เจ้าของรถเองจะหยิบรถผิด เพราะมีความคุ้นเคยกว่า แต่ก็อาจพลาดได้เช่นกันถ้าหากรถสองคันนั้นเหมือนกันมาก และจอดอยู่ใกล้กันมาก มิหนำซ้ำคนหยิบผิดอาจไม่ใช่เจ้าของเอง!” “แล้วเรื่องกุญแจรถหล่ะ! อาจารย์จะว่าอย่างไร?” “พี่แอ๊บไม่ได้ยินน้องนกพูดเหรอ? ที่บอกว่ารูกุญแจรถของน้องเค้าหลวมหน่ะ!” “แต่โอกาสจะเกิดเรื่องราวบังเอิญประจวบเหมาะแบบนี้ น้อยมากจนแทบไม่น่าจะเป็นไปได้ อีกอย่างน้องนกก็ไม่เคยทดลองใช้กุญแจอื่นไขรถตัวเอง นั่นเป็นเพียงการคาดเดาอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น!” “แต่มันก็เป็นไปได้ ใช่ไหมหล่ะ?” “แต่แล้วทำไมต้องเป็นหอพักหญิงแห่งนี้ด้วย หอพักนักศึกษาหญิงมีตั้งมากมายพอๆ กับหอพักชายนั่นแหละ? “ก็เพราะมีบางสิ่งบางอย่างบอกกับผม!” “ใครบอกกับอาจารย์เหรอ?” “รถคันนั้น” “รถคันที่คล้ายๆ กับคันที่หาย คันที่พวกเราพบที่หน้าสหกรณ์?” “แม่นแล้ว!” “บอกยังไง?” “พี่แอ๊บไม่สังเกตเหรอ? ว่ารถคันนั้นจอดอย่างไร?” “ใครจะไปทันสังเกต! รถคันนั้นอาจไม่เกี่ยวอะไรเลยกับรถของน้องนกก็ได้? ขนาดน้องนกเองก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ารถคันนั้นถูกจอดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่? เป็นแค่เพียงสงสัยเท่านั้น!” “นั่นไงพี่แอ๊บพลาดข่าวดีไปจังๆ เลย รถคันนั้นคือเบาะแสอย่างเดียวที่เรามีอยู่ พี่แอ๊บไม่สังเกตเลยหรือว่ารถคันนั้นมีฝุ่นเกาะจนทั่วเบาะ เพราะมันจอดมานานเกือบ ๓ วันแล้ว! มันถูกจอดเอาไว้ตั้งแต่วันที่รถของน้องนกหายไป! น้องนกมัวไปสนใจกับช่องจอดรถของตัวเองที่หายไปจนลืมสังเกตรถคันอื่นๆ ในบริเวณนั้น จนกระทั่งวันนี้ เมื่อไม่มีรถคันอื่นๆ แล้ว มันจึงเหลือรถคันเดียวอย่างที่เราเห็น น้องนกจึงพบข้อพิรุจน์ และพบว่ารถคันนั้นคล้ายกับรถของตัวเองมากจนแทบแยกแยะไม่ออก!” “ โอเค! ลักษณะการจอดของรถคันนั้นบอกอาจารย์ว่าอะไร?” “การเข้าจอดในช่องที่ตีเส้นเอาไว้ ท้ายของรถย่อมอาจชี้ได้ว่าตัวมันมาจากทิศทางไหน?” “หมายความว่าถ้าท้ายรถหันไปทางไหน นั่นคือทางที่มันมา?” “มีความเป็นไปได้ ไม่เชื่อวันหลังพี่แอ๊บลองขับรถมาในทางตรงกันข้ามดูสิ แล้วลองพยายามเข้าจอดภายในช่องที่เอียงแบบนั้นลักษณะรถจะเอียงแบบไหน?” พนาคุณทำท่าทางครุ่นคิดอย่างหนัก ทบทวนเรื่องราวทั้งหมด แต่เขาก็ยังงุนงงอยู่ดี พลันกล่าวว่า “ผมจำได้ว่า ท้ายรถคันนั้นหันมาทางสนามกีฬากลางซึ่งหากตรงไปก็จะไปถึงประตูหน้ามหาวิทยาลัย แต่จากนั้นมาอาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าจะต้องเลี้ยวซ้ายหรือขวา เพราะถ้าตรงไปก็จะไม่มีหอพักออกไปจนถึงประตูหน้ามหาวิทยาลัยโน่น หากจะมีหอพักก็ส่วนน้อยเท่านั้น ถ้าเลี้ยวขวาก็จะไปหอพักชายและบริเวณด้านหลังของมหาวิทยาลัยทางทิศเหนือ แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะมาถึงหอพักหญิงบริเวณแถวนี้?” “ประการแรก ผมตัดประเด็นในข้อที่ว่ารถถูกขโมยออกไปก่อน ซึ่งมันก็มีความเป็นไปได้ แต่น้อยมาก ดังนั้นรถน่าจะถูกสับเปลี่ยนไปมากกว่า แต่การจะสับเปลี่ยนรถกันได้ ต้องมีปัจจัยหลายอย่างเช่น กุญแจสามารถใช้ร่วมกันได้ ปัจจัยต่อมาคือคนที่นำรถผิดไปอาจไม่ใช่เจ้าของรถ หรือถ้าหากใช่ก็คงรีบร้อนเกินไปจนไม่ทันสังเกตรถอย่างละเอียด ปัจจัยต่อมารถสองคันมีรูปลักษณ์เหมือนกันมากจนยากจะแยกแยะได้ออกว่าคันไหนเป็นคันไหน แต่เราไม่เคยเห็นรถอีกคันหนึ่งที่หายไปจึงไม่รู้ว่ามันเหมือนกันหรือเปล่า? ผมเพียงเชื่อตามน้องนกซึ่งเป็นเจ้าของรถที่ยืนยันว่ามันคล้ายกันมาก ในกรณีแบบนี้เจ้าของก็มีโอกาสพลาดได้เช่นกัน ปัจจัยต่อมารถสองคันนั้นบังเอิญมาจอดใกล้กันมาก และมิหนำซ้ำยังมาจอดในเวลาไล่เลี่ยกันอีกด้วย ปัจจัยเหล่านี้มันได้ชี้ว่านี่เป็นพฤติกรรมของผู้หญิง ถ้าหากเป็นผู้ชายการผิดพลาดในลักษณะนี้ค่อนข้างยากกว่า” “แล้วเรื่องกระจกเลี้ยวของรถหล่ะ บอกอะไรกับอาจารย์บ้าง?” “นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุด ผมยังไม่เชื่อจนเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าของรถเองจะจำไม่ได้ว่ากระจกเลี้ยวของตัวเองมีกี่บานและอยู่ด้านไหน? เพราะมันอยู่ด้านหน้า พบเห็นง่ายที่สุด อย่างไรเสียเวลาขับออกไปก็จะต้องใช้กระจกเวลาจะเลี้ยวรถ โดยเฉพาะเจ้าของรถที่ใช้รถอยู่ประจำ เวลาจะเลี้ยวรถทีหนึ่งต้องหันไปมองกระจกเพื่อดูว่ามีรถข้างหลังกำลังจะวิ่งแซงขึ้นมาหรือเปล่า?โดยเฉพาะตอนเลี้ยวขวา การขับอยู่ช่องเลนส์ซ้ายเวลาเลี้ยวขวาก็น่าจะพบความผิดปกติของกระจกและย่อมพบว่ากระจกอยู่กันคนละข้างคงต้องสงสัยว่าตัวเองอาจจะหยิบรถผิดไป แต่นี่กลับไม่พบอะไร พฤติกรรมแบบนี้ยังคงชี้ไปที่ผู้หญิง เพราะว่าพวกผู้หญิงไม่ค่อยสนใจเรื่องรถมากนักก็อาจทำให้ละเลยเรื่องกระจกไปได้ บางทีอาจไม่เคยมองดูกระจกเลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็อาจมีความเป็นไปได้?” “ผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าถ้าหากเป็นเจ้าของรถจะไม่ทันเห็นความผิดปกติของกระจกเลี้ยวที่สลับข้างกันอยู่ ต่อให้ยืมรถเขามาก็เถอะ จะจำเรื่องนี้ไม่ได้เชียวเหรอ? มันอยู่ใกล้กับตามากนะ!” “การขับรถอยู่บนถนนนานๆ ระยะทางไกลๆ ก็น่าจะพบความผิดปกติได้ง่ายกว่าการขับขี่ในระยะใกล้ๆ ใช้เวลาน้อยนิด เหตุผลก็เพราะการขับรถไปไกลๆ อาจจะต้องเลี้ยวหลายครั้งหลายหนก็อาจเป็นไปได้ ดังนั้นก็น่าจะพบเจอสิ่งที่ผิดปกติของตำแหน่งกระจกขึ้นมาบ้าง สิ่งนี้อาจบอกได้ว่าคนที่หยิบรถผิดไปอาจอยู่ไม่ไกลเท่าใดนักระหว่างหอพักกับสหกรณ์ นี่เพียงข้อสังเกตเท่านั้น อาจผิดพลาดก็ได้!” “อาจารย์กำลังจะบอกผมว่าคนที่หยิบรถผิดไปต้องมีที่พักอยู่ไม่ไกลจากจุดที่รถหายมากนัก และพฤติกรรมแบบนี้มีแต่พวกผู้หญิงที่ผิดพลาดได้ง่ายกว่าผู้ชาย!” “ไม่ใช่แค่นั้น! ข้อสนับสนุนที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าคนที่หยิบรถผิดไปคือผู้หญิงก็คือ รถรุ่นนี้เป็นรถที่ผู้หญิงมักใช้กันมากกว่าผู้ชาย หรือที่เรียกว่าเป็นรถผู้หญิงนั่นเอง !ผมเห็นรถคันที่จอดอยู่คันนั้นก็รู้สึกได้ทันทีว่านี่เป็นรถของผู้หญิง! ไม่ใช่ผู้ชาย!” “ถ้าเป็นจริงอย่างที่อาจารย์พูด หอพักหญิงที่อยู่หลังโรงอาหารกลางก็อยู่ในข้อสัณนิฐานด้วยเช่นกัน เพราะหากขับรถออกมาตามทางนี้แล้วเลี้ยวขวาโดยไม่มองกระจกเลี้ยว คนขับก็จะไม่พบความผิดปกติของตำแหน่งกระจกเลี้ยวได้เช่นเดียวกัน! และหอพักก็ตั้งอยู่ใกล้นิดเดียวกับสหกรณ์ ใกล้กว่าหอพักนี้มาก!” “ยังมีอีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจ!” “อาจารย์ลองบอกมา!” “ผมยังไม่คิดว่าคนขับรถจะแย่ขนาดนั้น ขนาดที่ว่าเลี้ยวขวาแล้วจะไม่มองกระจกเลี้ยวเพื่อดูรถที่มาข้างหลัง เพราะมันผิดนิสัยของมนุษย์ ถึงไม่มีกระจกก็ต้องเหลียวหลังกับไปมอง เหตุที่ว่าทำไมต้องเลี้ยวซ้ายไม่ใช่เลี้ยวขวานั้นยังมีอีกข้อหนึ่งที่ช่วยสนับสนุน พี่แอ๊บคงจำที่น้องนกบอกได้ว่ารถของน้องเค้ามีกระจกเลี้ยวอยู่ด้านซ้ายเหลือเพียงข้างเดียว ดังนั้นคนที่หยิบรถผิดไปคงไม่ได้เลี้ยวขวา เพราะถ้าเลี้ยวขวาต้องมองกระจกด้านขวาเพื่อมองรถที่มาด้านหลัง เมื่อพบว่ามันไม่มีคงต้องตกใจแทบตาย ดังนั้นเป็นไปได้กรณีเดียวนั่นคือต้องเลี้ยวซ้าย การเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดทำให้ไม่ต้องมองหากระจกเลี้ยวก็เลยไม่พบความผิดปกติของกระจกบานซ้ายที่เพิ่มขึ้นมา เพราะเดิมทีรถคันที่คนหยิบผิดไปขับมาตอนแรกมีเพียงกระจกด้านขวาด้านเดียวซึ่งเป็นรถของเขาเอง หรือไม่ก็ยืมเขามา ซึ่งมันก็ยิ่งสนับสนุนในข้อที่ว่าในเมื่อรถของเขามีกระจกเลี้ยวขวาอยู่แล้วทำไมถึงไม่ใช้หล่ะ? และถ้าเขาใช้เขาก็ต้องพบว่ามันไม่มีกระจก ป่านนี้ก็คงรีบเอามาส่งคืนแล้ว คงไม่ปล่อยรถตัวเองทิ้งไว้นานขนาดนั้นเป็นวันๆ หรอก!” “จากการสัณนิฐานของอาจารย์จึงระบุว่าเป็นที่นี่!” “ค้นหาดูเดี๋ยวก็รู้เอง!” เพื่อนรักทั้งสองคนจึงช่วยกันลงไปค้นหารถมอเตอร์ไซด์คันที่หายไป บริเวณที่จอดรถภายใต้หอพักหญิงแห่งนั้น แม้บริเวณนั้นจะมีรถมอเตอร์ไซด์จอดเรียงรายอยู่จำนวนมากพอประมาณ และส่วนใหญ่เป็นรถแบบผู้หญิง แต่ในที่สุดพวกเขาก็หาจนพบ มันเป็นรถยามมาฮ่า สีขาว เลขป้ายทะเบียบตรงกับของรัตนาภรณ์ไม่ผิดเพี้ยน สภาพรถของรัตนาภรณ์อาจดูใหม่ว่าเล็กน้อย แต่ทันทีที่พวกเขาทั้งสองพบเห็นมัน พวกเขาถึงกับหัวเราะกันจนตัวงอ เพราะพวกเขาเชื่อว่ารถทั้งสองคันนี้ถ้านำไปจอดข้างๆ กันมีน้อยคนนักที่จะระบุได้ว่ามันต่างกันตรงไหน ถ้าไม่สังเกตให้ดีคงไม่สามารถหาพบ ยิ่งถ้าจดจำเลขทะเบียนไม่ได้คงต้องเกิดการหยิบผิดได้อย่างง่ายดาย รถทั้งสองคันเป็นรถยี่ห้อเดียวกัน ผลิตปีเดียวกัน สีเดียวกัน รุ่นเดียวกัน มิหนำซ้ำสภาพก็เก่าพอๆ กันอีกด้วย นั่นแสดงว่ารถสองคันนี้อาจซื้อมาในเวลาใกล้เคียงกันหรือไม่ก็การใช้งานทำให้สภาพของรถทั้งสองคันมีสภาพจนแทบจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน! ศิวาทดลองเอากุญแจรถของเขาใส่เข้าไปที่รูกุญแจ ปรากฏว่าสามารถไขสตาร์ทรถคันนั้นได้ติดในทันที นั่นแสดงว่ารูกุญแจรถหลวมมากแล้ว จนไม่ว่ากุญแจอะไรก็สามารถไขรถได้ ปัญหาสุดท้ายก็คือต้องหาตัวเจ้าของรถคนที่หยิบผิดมาให้พบ เพื่อบอกว่ารถของเธอจริงๆ แล้วจอดค้างวันค้างคืนอยู่ที่หน้าสหกรณ์มาแล้วเกือบ ๓ วัน จนในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบตัวหญิงสาวเจ้าของรถ เธอบอกว่าเธอเป็นเจ้าของรถเอง แต่เมื่อ ๓ วันก่อนเพื่อนของเธอได้ขอยืมรถของเธอไปใช้ เธอเล่าว่าเพื่อนของเธอขับรถตระเวนไปหลายที่ แต่พอกลับเอารถมาคืน เธอก็พบว่ามันไม่ใช่รถของเธอเพียงแต่มันเหมือนกันมากเท่านั้นเอง นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนของเธอหยิบรถผิดมา ประกอบกับกุญแจรถก็ใช้ด้วยกันได้ด้วย ซึ่งกว่าเธอจะรู้มันก็ผ่านไป ๒ วันแล้ว เธอพยายามสอบถามเพื่อนของเธอว่าไปสับเปลี่ยนรถที่ไหนมา แต่เพื่อนของเธอก็ไม่สามารถตอบได้ เพราะขับไปจอดตั้งหลายที่ และตอนที่สับเปลี่ยนก็ทำไปโดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ จึงไม่รู้ว่าที่ไหน เวลาไหน เธอจึงพยายามติดตามค้นหา แต่มหาวิทยาลัยกว้างขวางขนาดนี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะตามหารถเพียงคนเดียวได้พบ ในที่สุดเธอผู้เป็นเจ้าของรถคันที่จอดอยู่หน้าสหกรณ์จึงติดตามพวกเขาไปเอารถและคืนรถคันที่หยิบผิดไปนั้นให้แก่เขาทั้งสอง พร้อมกับขอบคุณพวกเขาที่เอาเรื่องนี้มากับบอกเธอ ศิวาจึงให้พนาคุณขับรถของรัตนาภรณ์ไปส่งให้เธอที่หอพักนักศึกษาหญิง ในค่ำวันนั้นนั่นเองพร้อมกับกำชับให้บอกกับเธอด้วยว่าควรเปลี่ยนหรือหาทางซ่อมช่องใส่กุญแจเสียใหม่ด้วยจะได้ไม่โดนคนอื่นขับไปได้อีก...... ทันทีที่รัตนาภรณ์ได้เห็นรถของเธอกลับคืนมา ก็แสดงความดีอกดีใจจนแทบหลั่งน้ำตาออกมา เธอยกมือไหว้ขอบคุณพนาคุณครั้งแล้วครั้งเล่าที่ช่วยนำรถที่หายไปกลับมาให้เธอได้จนสำเร็จ เธอไม่รู้ว่าจะตอบแทนเขาอย่างไร? นอกจากการกล่าวคำขอบคุณอยู่ไม่ขาดปาก พนาคุณเห็นเธอดีอกดีใจอย่างมีความสุข เขาก็พลันยิ้มออกมาเขากล่าวกับรัตนาภรณ์ว่า เธอไม่ต้องขอบคุณเขาก็ได้ เพราะคนที่ช่วยหารถมอเตอร์ไซด์ได้จนพบนั้นคือศิวาเพื่อนรักของเขา เธอควรจะไปขอบคุณเขามากกว่า แต่ภายหลังจากวันนั้นมาเธอก็แทบไม่เคยพบเจอศิวาอีกเลย นานๆ ครั้งเธอจะพบเห็นเขาขับรถคนเดียวอยู่บนท้องถนนผ่านเธอไป ทุกครั้งเธอก็พยายามโบกไม้โบกมือทักทายเขา แต่เขาคล้ายไม่เคยมองเห็น ดวงตาของเขาคล้ายเลื่อนลอยและเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งเธอพบเจอเขาที่โรงอาหาร เธอพยายามจะเข้าไปทักทายและขอบคุณเขาเรื่องรถ แต่เขาคล้ายจดจำเธอไม่ได้ และพยายามเดินหนีห่างออกไป เธอมีความรู้สึกว่าเขาพยายามหลบหน้าเธอ เธอก็ไม่ทราบว่าเพราะสาเหตุอะไร? แม้แต่บางครั้งที่เธอกับเขาขับรถมอเตอร์ไซด์สวนทางกันบนท้องถนน เธอพยายามยิ้มให้เขา แต่เขาคล้ายไม่เคยรู้จักเธอมาก่อน เธอจึงไม่กล้าทักทายเขาอีก เธอทำได้เพียงแต่เฝ้ามองเขาอย่างสงสัย หลายครั้งที่เธอพยายามขับรถมอเตอร์ไซด์ไปบริเวณหอพักของเขา และพบเขายืนอยู่ที่หน้าหอพัก สายตาเขายังคงมองเธอเหมือนเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น เธอไม่กล้าทักทายเขา ทำได้เพียงขับรถผ่านไป เธอทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรดีขึ้น เขาคล้ายกับไม่อยากคิดจะคบหากับเธอ แม้แต่ไม่คิดจะพูดจาอะไรกับเธอสักคำ เธอสิกลับมีเรื่องราวที่จะพูดจากับเขามากมายเหลือเกิน บางครั้งเรื่องนี้ก็ถึงกับทำให้เธอร้องไห้ออกมาเพราะความเย็นชาของเขา เขากลับกลายเป็นก้อนหินไปแล้ว! เขาไม่มีจิตใจ! เขาไม่ใช่มนุษย์!แต่คนที่มักเรียกเธอลงมาพูดจากันบ่อยครั้งที่สุด แม้แต่เวลาดึกๆ ดื่นๆ ก็คือพนาคุณกับปัญญา พี่ชายสองคนนี้คล้ายมีเรื่องราวที่จะพูดคุยกับเธอมากมายเหลือเกิน แต่เธอก็พยายามจะลงมาจากหอพักแม้บางครั้งจะง่วงมากก็ตามที เพราะเธอเกรงใจพนาคุณมาก ทุกครั้งที่เธอเห็นพนาคุณ มันทำให้เธอคิดถึงใครอีกคนหนึ่ง ซึ่งเธอภาวนาว่าเขาจะมาเรียกเธอลงมาคุยแบบนี้บ้าง เธอรู้ว่าพนาคุณกับปัญญาเป็นเพื่อนที่สนิทของเขามาก และทุกครั้งที่เธอพบเห็นเขา ก็มักจะเห็นเขาไปกับพนาคุณหรือไม่ก็ปัญญาเท่านั้น แต่ทำไมเวลาพี่ชายสองคนนี้มาคุยกับเธอที่โต๊ะหินอ่อนหน้าหอพักของเธอครั้งใดกลับไม่เคยพบเจอเขามาด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่เธอรอคอยเขามาตลอดเวลา.......... หัวใจแหลกสลายมลายลับ ไปพร้อมกับคำลาน้ำตาหลั่ง ทรุดกายล้มก้มหน้ากายเซซัง ยามรักพังพ่ายยับไปกับตา สวรรค์พาพานพบสบเพียงครึ่ง สุดคำนึงรักเลือนเหมือนปริศนา ด้วยเวรกรรมทำไว้แต่ใดมา จึงโศกายิ่งนักรักร้าวราน ยกสองมือวันทาคนอาภัพ โค้งคำนับดินฟ้าอธิษฐาน ขอมอบใจและกายถวายธรรมทาน เบื้องบาทภควานสืบสานธรรม์ แม้ตกตายมิเสียดายกายสังขาร มุ่งนิพพานสุขสงบจบโศกศัลย์ ยอมเป็นทาสบาทุกาภควันต์ กี่กัปกัลป์จงรักยิ่งภักดี