ขณะหนึ่ง ขณะนี้ ๑๗.๑๙ นาฬิกา ด้วยความเคารพ และขออภัยที่ผมใช้ข้อความจารจดความรู้สึกผ่านตัวอักษร แทนที่จะทายทักผ่านโทรศัพท์ อาจารย์ครับ อาจารย์คือพ่อผู้ให้ชีวิตการศึกษาแก่ผม นับแต่อายุสิบแปดปีที่ไม่ได้พบอาจารย์อีก ผมใช้ชีวิตและพยามเตือนสติตัวตามแบบอย่างที่อาจารย์เคยสะกิดไว้เสมอ "จงพิจารณาสิ่งที่ทำ อย่างยุติธรรม ถ้าได้ยุติธรรมแล้ว จงภูมิใจในสิ่งที่จะทำ" บัดนี้ ล่วงเวลามาจะยี่สิบปีแล้ว ทุกครั้งที่พบผ่านความรู้สึกขัดแย้ง ถดถอย และกำลังจะสิโรราบ ผมได้ถ้อยคำอาจารย์ ปลุกให้ลุกขึ้นเสมอ อาจารย์ครับ วันก่อนผมโทรไปหาอาจารย์ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้ยินเสียงในรอบยี่สิบปี แต่พลาดหวังครับ เพราะอาจารย์แม่รับสาย และอธิบายว่าอาจารย์มาทำกิจกิจกรรมเยาวชนอยู่ที่กรุงเทพมหานคร ขณะฟังครั้งแรก ผมดีใจยิ่งนักที่อาจารย์มาอยู่ใกล้ผมเช่นนี้ คิดจะได้ไปกราบเท้าและบอกเล่าวันเวลาที่ผ่าน และไถ่ถามสารทุกข์ให้หายระลึกถึง แต่แล้ว ความผิดหวังก็มาสวัสดีโดยไว เพราะอาจารย์แม่แจ้งให้ทราบว่า อาจารย์ไม่ใช้มือถือครับ อีกทั้งจะติดต่ออาจารย์ได้ก็ต่อเมื่ออาจารย์ติดต่อมาเท่านั้น อาจารย์ครับ สุขภาพอาจารย์เป็นยังไงบ้าง ผมอยากให้อาจารย์แข็งแรง และอยู่เป็นแรงบันดาลใจดีดีให้คนรุ่นหลังนานๆ ผมเป็นศิษย์ที่ใช้ไม่ได้จริงๆ นอกจากขาดการติดต่ออาจารย์แล้ว ยังไม่ได้ปรนนิบัติรับใช้ตามสมควรที่บุคคลผู้เป็นศิษย์ควรทำ นับแต่วันที่ผมจากอาจารย์มา จนถึงวันนี้ ประมาณกาลแล้วอาจารย์คงอายุแปดสิบแล้ว อาจารย์ครับ ผมพบข่าวสารของอาจารย์เสมอ ในเชิงกล่าวว่า ชายอายุแปดสิบ ยังเป็นผู้มีแรงช่วยเหลือสังคมอยู่เป็นอาจินต์ ผมแอบภูมิใจที่ชาตินี้ได้เกิดเป็นศิษย์อาจารย์ครับ ชีวิตผม จากเด็กวัด เด็กชายขอบ ได้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน มีความรู้ประดับสมอง มีสังคมที่กว้างกว่า มีทัศนะที่ถ้วนทั่ว และปัจจุบันมีการงานและวิถีที่ภาคภูมิ ทั้งหมดนี้ผมกราบอาจารย์แทบเท้าครับ สำหรับโอกาสทั้งมวลในส่วนที่ทำให้ผมมีให้ผมเป็น นอกจากบิดารมารดาผู้ให้กำเนิดแล้ว ผมมีอาจารย์เป็นพระในใจผมเสมอในจิตระลึกถึง อาจารย์ครับ อาจารย์จำได้ไหมครับ วันหนึ่งที่ชายขอบของจังหวัด ชายคนหนึ่งรถมอเตอร์ไซเสียอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง นั่นหละครับวาสนาดี เป็นบุญคุณจากฟากฟ้าที่ทำให้ผมได้พบอาจารย์ผู้มีจิตโอบเอื้อ ผมจำได้ครับวันนั้น อาจารย์แวะดื่มน้ำที่บ้านผม ตอนนั้นผมคงจะสิบขวบแล้วกระมัง อาจารย์พาเด็กนักเรียนประจำจังหวัดมาเข้าค่ายบริเวณหน้าทะเลบ้านผม แล้วรถมาเสียอยู่ตรงที่ได้พบอาจารย์พอดี ผมจำได้ อาจารย์มองไก่แจ้ที่ผมเลี้ยงไว้ด้วยความชื่นชม และอาจารย์เล่าว่า ที่บ้านในเมือง อาจารย์ปลูกไม้หลากพันธ์ ทั้งไม้ยืนต้น ไม้ดอก ไม้ผล อีกทั้งชอบไก่แจ้มาก ชอบเวลาเห็นไก่เขี่ยใบไม้ตามโคนต้นมังคุด อาจารย์ว่า นั่นคือความสบายใจที่ได้อยู่กับธรรมชาติเช่นนั้น วันนั้น ผมมองอาจารย์ และนึกอบอุ่นในรู้สึกนึกคิดและคำพูดอีกหลายอย่างที่อาจารย์ถามไถ่ ผมได้แต่เล่าให้อาจารย์ฟังว่า อีกไม่นานผมจะจบ ป ๖ แล้ว และที่นี้ผมโม้ไปว่าผมเรียนเก่งที่สุดในตำบล โม้จนแม่ปรามว่า พูดยกตัวเองมากเกินไป แต่ยังไงหละครับ คนสอบได้ที่หนึ่งก็ต้องเก่งที่สุดในตำบลซินะ ผมได้เถียงค้านแบบเด็กๆในใจ ก่อนอาจารย์กลับ ผมบอกอาจารย์ว่า ไก่แจ้ผมมีหลายตัว ผมจะให้อาจารย์ไปตัวนึงนะครับ แล้วผมก็โปรยข้าวเปลือก เอาซุ่มจับไก่แจ้ให้อาจารย์ได้ตัวนึง ผมจำได้ครับอาจารย์ ไก่แจ้หนุ่มตัวนั้น สร้อยขนสวยมากๆ แถมเดือยก็กำลังยาวพอดี สีน้ำเงินแดง หางจะเป็นดำเหลือบน้ำเงิน ผมจับได้ ยังนึกเสียดายเลย ว่าตัวนี้สวยจริงน่าจะให้ตัวอื่น แต่ไม่รู้เป็นไงผมไม่ยักเปลี่ยนใจ มอบให้อาจารย์ไปโดยแค่นึกเสียดายเหมือนเด็กหวงของเล่นนิดๆก็เพียงนั้น อาจารย์ครับ ก่อนกลับผมถามอาจารย์ว่า "อาจารย์ครับ พวกพี่ที่มาเข้าค่ายมาจากโรงเรียนอะไรครับ" "เบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช" คือคำตอบที่อาจารย์บอกผม แล้วบอกผมว่าถ้าไปในเมืองก็แวะไปหาได้นะ อาจารย์ครับ ผมยอมรับครับว่านั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้ยินชื่อโรงเรียนที่ไพเราะเช่นนี้ และเป็นโรงเรียนที่ผมใช้ตอบคำถามครูว่าจบปอหกแล้วจะเรียนที่ไหน อันที่จริงผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโรงเรียนนี้หรอกครับ ผมเพียงอยากโรงเรียนเพราะจะได้ไปดูไก่แจ้ ดูสวนที่อาจารย์ว่า และได้พูดคุยกับอาจารย์ ครูประถมผมยังเอ่ยเลยครับ เวลาผมบอกว่า จะไปเรียนที่นั่น ท่านว่าน่าลองนะ แต่อย่าหวังมาก เพราะสอบเข้ายาก ซึ่งผมยังนึกสงสัยเลยว่าทำไมต้องสอบ ผมสอบปอหกได้ที่หนึ่ง ก็น่าจะขึ้นมอหนึ่งได้เลยซินะ ทำไมไม่เหมือนสอบปอห้าได้ขึ้นปอหก ผมนี่มันเพี้ยนจริงๆครับอาจารย์ พอผมจบปอหก ผมต้องรอหนึ่งปีเชียวครับอาจารย์กว่าที่จะไปโรงเรียนเบญจมฯที่ว่า เนื่องด้วยเด็กชายขอบอย่างผมได้เรียนมัธยมหนึ่งที่โรงเรียนประจำตำบลแบบงงๆไปแล้ว ผมจำได้ครับ วันหนึ่ง หลังจากสอบมอหนึ่งเสร็จ ผมก็บอกแม่ว่า แม่ครับผมอยากไปเรียนโรงเรียนที่อาจารย์สอน และแม่ผมก็ดีแสนดีครับ ไม่ขัด และพาผมเดินทางนับร้อยกิโลเมตรผ่านเส้นทางที่ทุรกันดารเหลือเกินในยามนั้นไปสมัครสอบ เมื่อผมไปถึงที่แห่งนั้น ผมตกตะลึงกับความใหญ่โตของสถานที่ และปรีเปรมขึ้นมาทันทีเมื่อได้พบอาจารย์ดังวาดหวัง ผมจำได้ วันนั้นอาจารย์บอกผมว่า ถ้าจะเรียนที่นี่จะต้องสอบแข่งขันนะ และต้องตั้งใจเรียนถ้าสอบได้ เพราะแม่เดินทางมาไกลยากลำบากกว่าจะนำผมมาส่งถึงที่ได้ อาจารย์ครับ สำหรับผมในตอนนั้นไม่นึกเกรงกลัวต่อการสอบแข่งขันเลย เพราะผมจบปอหกได้ที่หนึ่ง และจบมอหนึ่งจากตำบลห่างไกลได้ ๔.๐๐ ครับ แต่ผมไม่ได้โม้อะไรหรือบอกอะไรอาจารย์มากกว่าคิดเบาๆตามประสาเด็กตำบลห่างไกล อาจารย์ครับ จนแล้วจนได้ผมก็ได้เรียนโรงเรียนที่อาจารย์สอนสมความตั้งใจ และเป็นครั้งแรกที่ประสบการณ์ทำให้ผมพบว่า ผมยังเป็นเด็กตำบลห่างไกลที่ยังเบาปัญญาและวิชาการนัก แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เล่าเรียนแล้ว ผมคิดและทำหลายประการที่อาจทำให้อาจารย์ผิดหวัง ทั้งที่ผมคอยเตือนตัวเองเสมอว่า ยุติธรรมรึยัง จนเมื่อผมโตขึ้น ผมถึงได้เข้าใจคำอาจารย์อย่างถ่องแท้ การประพฤติและปฏิบัติที่ยุติธรรมแล้วนั้น ต้องต่อตนเอง ผู้อื่น สังคม และคนที่รักเราและเรารักด้วยโดยเสมอหน้า อาจารย์ครับ ถึงอาย่างไรก็ตาม หกปีที่อาจารย์อบรมผม ยามผมเดินนอกทางมากเกินไป ทำให้เป็นหกปีแห่งการเรียนรู้ที่ไพศาลและสถาพรมาถึงปัจจุบันนี้ครับ อาจารย์ครับ ผมคิดถึงอาจารย์จัง โดยเฉพาะยามที่ผมถดถอย และเกือบยอมสิโรราบต่ออยุติธรรมทั้งหลาย ถ้าไม่ได้คำสอนของอาจารย์ก้องอยู่ในสามัญรู้สึก ผมอาจพ่ายแพ้ไปนานแล้วก็เป็นได้ หลายปีที่ผ่านมา ผมได้แต่ส่งความปรารถนาและระลึกถึงผ่านโอกาสและประเพณีต่างๆ ถ้าผมได้เจออาจารย์ผมอยากให้อาจารย์ทราบครับ บัดนี้ เด็กชายขอบ ตำบลห่างไกล กำลังสืบทอดเจตนารมณ์ของอาจารย์ ด้วยคำนึงถึง ความเป็นธรรม ยุติธรรม มโนธรรม และเที่ยงธรรม ตามภาระและหน้าที่ซึ่งผมมีได้เพราะโอกาสที่พบอาจารย์เมื่อสามสิบปีก่อนนั้น อาจารย์ครับ เมื่อผมคิดจะพ่ายแพ้ และถอยกลับ ผมจะถามตัวเองว่าได้ต่อสู้และยืนหยัดในอุดมคติที่ดีงามเหมือนชายอายุแปดสิบที่เพียรทำและส่งต่อแบบอย่างนั้นหรือยัง วันนี้ ผมเหนื่อย และขอลุกขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้งเมื่อเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงอาจารย์ ขอบพระคุณทุกวันคืนที่มีอาจารย์คอยย้ำสติเตือน เขียนมากราบเท้าอาจารย์ด้วยความเคารพครับ / เด็กชายตำบลห่างไกล
26 มิถุนายน 2554 09:40 น. - comment id 124608
สวัสดีค่ะเด็กชายขอบ(ชื่อแปลกจังเลย)...พี่แทนคุณ แทนไท คุณครูของพี่คงดีใจนะค่ะที่พี่ประสบความสำเร็จไม่เพียงแค่หน้าที่การงานแต่รวมทั้งแนวคิดและแบบอย่างที่ดีงาม.. เหนื่อยได้ ท้อได้ ไม่เป็นไร มีแรงแล้วลุกขึ้นใหม่.. น้องน้อยคนนี้เป็นกำลังใจ แม้ไม่ยิ่งใหญ่..แต่จริงใจ กำลังใจที่ส่งไปจะมีให้เสมอมาและเสมอไป
26 มิถุนายน 2554 21:53 น. - comment id 124617
เป็นกำลังใจให้ค่า... ความดีนั้นทำยาก แต่ภูมิใจมากเนาะ อ่านแล้วคิดถึงคุณครูท่านหนึ่งสมัยมัธยมเลยค่ะ
27 มิถุนายน 2554 00:44 น. - comment id 124620
สวัสดีเจ้า คุณแทนคุณแทนไท : คิดถึงครูเหมือนกันเจ้า ^o^ * ครูต้องพายนาวากลับคืนถิ่น รับรุ่นใหม่ข้ามฟากนะยุพิน กว่าชีวินดับดิ้นสูญสิ้นไป * ตอนจบชั้นป.๖ คุณครูประจำชั้น ครูบุญยิ่ง อินทะเคหะ เขียนกลอนให้ลูกศิษย์ทุกคน ครูให้หนูหิ่ง ฯ เป็นคนอ่าน แต่หนูหิ่ง ฯ อ่านไม่จบ เพราะร้องให้ก่อน จึงส่งให้น้อยอ่านต่อ จากกลอนที่ครูเขียนให้ ทำให้หนูหิ่ง ฯ ชอบกลอนมาก แต่ก็ไม่ได้หัดเขียนเป็นเรื่องเป็นราว เพิ่งมาหัดเขียนเมื่อปี 46 และก็เขียนบ้างหยุดบ้างตามประสาเด็กบ้า ๆ บอ ๆ ตอนนี้ครูย้ายไปสอนอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่าตอนนี้ครูอยู่ที่ไหน อยากไปกราบครูบ้างเหมือนกันค่ะ มีความสุขสม่ำเสมอเจ้า
27 มิถุนายน 2554 01:48 น. - comment id 124621
เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ... แซมค่ะ
27 มิถุนายน 2554 05:43 น. - comment id 124623
* ครูส่งศิษย์ถึงฝั่งยังที่หมาย ครูต้องพายนาวากลับคืนถิ่น รับรุ่นใหม่ข้ามพากนะยุพิน กว่าชีวินดับดิ้นสูญสิ้นไป * หนูหิ่ง ฯ พิมพ์ตก 1 บรรทัด ^__^ ครูเขียนยาวกว่านี้มาก มีชื่อลูกศิษย์ทุกคนเลยค่ะ ^^
1 กรกฎาคม 2554 01:46 น. - comment id 124713
เรือจ้าง.. หวังเช่นครู คือผู้ให้ ส่องเป็นไฟให้เห็นแสงแห่งเหตุผล เปิดประเด็น เป็นความรู้ สู่ผู้คน เพื่อส่งพ้น ขึ้นบนฝั่ง ..อย่างตั้งใจ ความภาคภูมิ.. สุมไว้ ใจส่วนลึก ตกผลึก ลึกแต่ปลื้ม ลืมเหนื่อยได้ ปิดทองแผ่น ใต้แท่นพระ ละด้วยใจ ส่งศิษย์ให้ ได้ข้ามฝั่ง ..ตามอย่างครู คารวะ และเชิดชู ..คุณครูทุกท่านนิรันดร !
16 กรกฎาคม 2554 22:21 น. - comment id 125016
..มกราคมที่แสนรัก ทำไมความเป็นคุณในปีนี้ จึ่งเปล่าว้าง และร้างดายนักนะ คุณสังเกตุตัวเองหรือไม่ คุณซูบเซียว และเหม่อลอยบ่อยจนเกินไปแล้วกระมัง คุณเป็นอะไรไปหรือมกราคม ? มีสิ่งใดทำให้วิตก ? ฤากังวลอยู่กับปรารถนาใดหนอ ! ... ที่จริงแล้ว... ยามนี้ คุณไม่น่าพาตัวเองมาซุกตัวอยู่ในท้องทุ่งทะเลสีครามเช่นนี้ ท้องทุ่งซึ่งปล่าวดาย และไร้ความรู้สึกอันศิวิไลซ์ใดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไร... ให้หัวใจคนเปล่าว้าง และร้างดาย ได้ควรสัมผัสเลย ... มกราคม.... อย่าด่วนหาว่าผมใจชืด ขับไล่สหายจากสายลมหนาวอย่างแล้งน้ำใจเช่นนี้เลย ผมมิเคยคิดอะไรเช่นนั้น ... สองสามวันก่อน วันที่ลมหนาวกระซิบบอกแสงดาวที่ผืนน้ำฝั่งโน้น บอกประสงค์ของคุณ ถึงความปรารถนา ว่า มกราจะเยือน จะมาเยือนทะเลสีน้ำเงินฝั่งนี้ในอีกไม่กี่วันนั้น เป็นประสงค์ที่ผมตั้งหวัง และรอท่าอยู่ทุกขณะของความคะนึงถึง ... มกราคมที่รัก... คุณก็รู้ว่าทะเลสีน้ำเงินรักคุณแค่ไหน มาตุภูมิ มิเคยคิดผลักไส ลูกแห่งท้องทะเล แต่ไยเล่ามกราคม ไยคุณถึงกลับมาเยือนผม ด้วยความเปล่าว้าง และร้างดายเช่นที่เป็นนี้ คุณเห็นผืนทรายเบื้องหน้า และแผ่นฟ้าเบื้องโพ้นหรือไม่ คุณทักทายสหายผู้รอการกลับมาของคุณบ้างหรือยังหนอ ชัดว่าเปล่าเลย สิ่งที่แสดงชัด กำลังทำให้ใครเหล่านั้น ถึงนึกน้อยใจ แต่ไม่เท่าที่ห่วงใย แหละตระหนกในความเป็นคุณในยามนี้เป็นหนักหนา คุณเหม่อลอย และเปล่าว้าง อยู่ลำพังเช่นที่เป็นมากี่กาลแล้ว ... มกราคม... มาตุภูมิมิเคยคับแคบเกินไปสำหรับลูกทะเล แล้วลูกทะเลหละ คับแคบสำหรับความรักของทุ่งทะเลเกินไปหรือเปล่าหนอ ? ... สำหรับผม แม้นถึงว่าทุกข์ทรมาแห่งคุณ... หนักหนา สาหัส เกินกว่าจะบอกกล่าวเล่าให้ใครฟัง ไม่เคยเป็นอะไร เกียรติในความไว้วางใจและเสรีในทัศนะแห่งคุณ เราเคารพเสมอ ถ้าจะหวังอะไรก็มีเพียงว่า... ทะเลสีน้ำเงินในนามแห่งมาตุภูมิ ขอโอบกอดมกราคมด้วยความรู้สึกที่แสนรัก และห่วงใยจะได้ไหม ปล่อยทรมาให้ทะเลสีน้ำเงินซึมซับ บ้างเถิดมกราที่แสนรัก ได้ไหมมกรา.. เพราะนอกจากทะเลสีน้ำเงินแล้ว โน่น... ผืนทรายเบื้องหน้า และแผ่นฟ้าเบื้องโพ้น ก็กำลังรอฟังคำตอบแห่งคุณ ... มกราคมที่แสนรัก มิเป็นอะไรเลย ที่ความเป็นคุณในปีนี้ อาจเปล่าว้าง และร้างดาย มาตุภูมิแห่งคุณ ปรารถนาเพียงแววตาแห่งความทรมานั้น จะเรืองหวัง และส่องพลังบ้าง ในยามเราสัมผัสกัน font color=#3C009C> อย่างน้อย เวลานี้ในปีหน้านั้น ทะเลสีน้ำเงิน ผืนทรายเบื้องหน้า และแผ่นฟ้าเบื้องโพ้น จะยังเปี่ยมหวัง ... เปี่ยมหวังว่า มกราคมที่แสนรัก จะกลับมาเยือนเรา แหละพร้อมหน้ากันอีกครั้ง อีกครั้ง... ด้วยบริบทที่เปลี่ยนไป ... กอดผมซิ มกราคม กอดทะเลสีน้ำเงิน ผืนทราย แหละแผ่นฟ้า "โอบกอดมาตุภูมิ" ทะเลสีน้ำเงินในนามแห่งมาตุภูมิ... "กำลังโอบกอดคุณ" ดีใจนะ ที่คุณกลับมา จากทะเลสีน้ำเงิน / พระศุกร์ที่ ๐๕ มกราคม ๒๕๔๙ / แทนคุณแทนไท