ปราศรัยโดย ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ณ มหาวิทยาลัยมอนทรีออล ควีเบค, แคนาดา 17 เมษายน 2536 (เดิมเป็นภาษาอังกฤษ) บทความนี้ได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เซ็นทรัล เดลี่นิวส์, ฟอร์โมซา กุมภาพันธ์ 2539 ฉันรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาอยู่ในประเทศอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ เป็นประเทศแห่งความเจริญรุ่งเรือง สันติภาพ ความรักความกรุณาและมนุษยธรรม เพราะประเทศของพวกท่านมีสิ่งซึ่งอีกหลายๆ ประเทศไม่มี ได้แก่ ความอบอุ่น และความรักตามประสามนุษย์ที่มีต่อกันและกัน รวมทั้งระดับมาตรฐานของจิตใจอันสูงส่ง ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมากที่ทราบว่า ในประเทศของท่านไม่มีการตัดสินโทษถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งแสดงว่าในดินแดนแห่งนี้ “ความรัก” ปกครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้เราหวังว่าประเทศอื่นๆ จะได้เรียนรู้จากตัวอย่างของพวกท่าน ให้พระเจ้าเป็นผู้มอบความยุติธรรม และไม่มีการแก้แค้นกันเอง ฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับบุคคลบางคนซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ตัวอย่างเช่น ผู้อพยพ ผู้ลี้ภัยชาวเอาแลคซึ่งได้รับการต้อนรับเข้ามาอยู่ในประเทศของท่านด้วยความ รักและไม่มีการแบ่งแยก พวกเขามีความสุขมากในประเทศแห่งนี้ ฉันมั่นใจว่าสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มผลบุญและพระพรมากมายมาสู่ประเทศอันยิ่งใหญ่ ซึ่งพวกท่านอาศัยอยู่ เฉพาะประเทศที่มีระดับจิตใจสูงส่งมากเท่านั้น ที่จะสามารถมีคุณสมบัติดีๆ เหล่านี้อยู่ในครอบครอง อันได้แก่ ความรัก ความกรุณา การไม่แบ่งแยกเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ การไม่แยกเขาแยกเรา หากทุกชาติเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยโลกของเราก็คงจะกลายเป็นสวรรค์น้อยๆ ไปแล้ว เราคือพระเจ้า น่าเสียดายที่มีสิ่งต่างๆ มากมายที่คอยขัดขวางมิให้ผู้คนสามารถเข้าใจสัจธรรมขั้นพื้นฐานว่า ความรักคือกฎอันยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาล ดังนั้น หลายๆ คนจึงไม่ได้มีความสุขในชีวิตอย่างที่เขาควรจะมี ยิ่งเรายึดติดกับชีวิตแน่นแฟ้นมากเท่าไร เราก็จะยิ่งมีความสุขกับรสชาติของชีวิตได้น้อยลงเท่านั้น ดังนั้น คนที่รู้แจ้งจึงมีความสุขมากขึ้น และได้รับความพอใจมากขึ้น เมื่อพวกเขามีภาวะจิตใจที่มั่นคง เขาก็สามารถจะทำสิ่งที่น่าพิศวงได้มากมาย เพราะพวกเขาเงียบสงบพอที่จะเข้าใจว่าปัญญาของเขาอยู่ที่ไหน ความยิ่งใหญ่ของเขาอยู่ที่ไหน และสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ได้ เวลาที่เรามีเรื่องวุ่นวาย อยู่ในภาวะที่กระวนกระวายหรือต้องรีบเร่ง ส่วนใหญ่แล้วเราก็จะลืมสิ่งที่เราต้องการจะทำ หรือทำสิ่งต่างๆ ออกมาอย่างไม่สมบูรณ์ ดังนั้น จิตใจอันสงบของผู้รู้แจ้งจึงสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนมากกว่าเดิม นี่แหละคือเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังศาสตร์แขนงนี้ จงหยุดนิ่งและรู้ตัวว่าฉันนั้นคือพระเจ้า “ตัวฉัน” ในที่นี้คือใครกัน? ก็คือ “ผู้ที่” อาศัยอยู่ภายในตัวเรา นี่แหละคือ “ตัวตน” ที่แท้จริง ดังนั้น เราจึงเป็นพระเจ้า การตระหนักรู้ในเรื่องนี้ไม่ใช่เกิดจากการที่เราได้ยินคนพูดแบบนั้น หรือเกิดจากความเชื่อแต่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการตระหนักรู้ด้วยตัวของเราเอง จำเป็นต้องมีเทคนิคพิเศษเหมือนกันศาสตร์แขนงอื่นๆ ด้วยเช่นเดียวกัน เราเรียนรู้และมีความชำนาญในเรื่องต่างๆ ของชีวิตก็โดยอาศัยการทดลองทำด้วยตนเองทั้งสิ้น ในทำนองเดียวกัน การรู้แจ้งก็สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยความพยายามมานะบากบั่น และด้วยประสบการณ์ของตนเอง เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงคงอยู่ตลอดไป นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงได้ยินบรรดานักบุญและนักปราชญ์จำนวนมากในทุกยุคทุกสมัยกล่าวว่า เราคือพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในตัวเรา ถ้าพระเจ้าอยู่ในตัวเราก็หมายความว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ถ้าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็คือพระเจ้า แต่ถึงแม้เราจะได้ยินเช่นนี้มาหลายครั้งหลายหน เคยอ่านคัมภีร์ไบเบิลมาหลายเล่ม เคยอ่านวาทะของบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระโมฮัมเหม็ด และท่านอื่นๆ อีกมาก แต่เราก็ไม่สามารถเชื่ออย่างจริงจังว่าเราเป็นเช่นนั้น เราไม่สามารถค้นพบพระเจ้าซึ่งควรจะต้องอาศัยอยู่ภายในตัวเรา ทั้งนี้ก็เพราะเราขาดประสบการณ์ของตัวเราเอง เราไม่ได้รู้สิ่งนี้ด้วยการค้นพบของตัวเราเอง เราเพียงแต่ได้ยินมาเท่านั้น ในสมัยโบราณ เมื่อวิทยาศาสตร์ยังเจริญก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน เราก็มีปัญหามากมาย แม้แต่ฝนก็ยังทำให้เราวุ่นวาย แม้แต่หิมะก็ยังทำให้เรากังวล ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เรื่องเล็กๆ หรือเรื่องใหญ่ๆ ก็สามารถขัดขวางภารกิจประจำวันของเราได้ ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เรามีร่ม มีเสื้อกันฝน เราก็สามารถเดินฝ่าฝนได้ เรายังสามารถมีความสุขกับฝน และทำงานในขณะที่ฝนตกได้ ยิ่งกว่านั้นเรายังมีรถยนต์ รถประจำทาง เรามีสิ่งต่างๆ มากมายที่จะป้องกันตัวเราจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ดังนั้นเราจึงมีความสะดวกสบายมาก ในสมัยก่อน ถ้าเราจะจัดให้มีการพบปะกันอย่างที่เรามีในวันนี้ พวกเราหลายคนที่อาศัยอยู่ห่างไกลมากๆ ก็คงไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่เพียงเพราะระยะทางเท่านั้น แต่อาจเกิดจากฝน อากาศ หรืออะไรอย่างอื่นก็ได้ ดังนั้นในสมัยโบราณ คนจึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ ในภูเขา ใต้ต้นไม้ เพื่อป้องกันตัวเองจากภัยธรรมชาติ ในปัจจุบันหลายคนก็ยังทำเช่นนี้อยู่ เช่น ในประเทศที่ยังไม่มีการพัฒนาบางประเทศซึ่งไม่ควรจะต้องเป็นเช่นนั้น การรู้แจ้งก็เหมือนกัน ก็คล้ายกับเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ชีวิตของเรา ทำให้เรามีความสุขไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร สมมุติว่าเราไม่มีเสื้อกันฝน ไม่มีร่ม ไม่มีรถยนต์ หากวันหนึ่งมีฝนตกเราก็ต้องหยุดงานทุกอย่างที่เราจะทำ เลิกทำสิ่งต่างๆ ที่เราอยากจะทำ หรือต้องการจะทำให้สำเร็จ หากจะเปลี่ยนแปลงโลก ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในทำนองเดียวกัน หากเรารู้แจ้งชีวิตก็จะดีเยี่ยม จะไม่มีอะไรในชีวิตที่เรียกได้ว่าเป็นความทุกข์ความน่ากลัวหรือปัญหาวุ่นวาย การที่เรามีสิ่งเหล่านี้ก็เพราะเราขาดการป้องกันเท่านั้นเอง ยกตัวอย่างเช่น ฝน ถ้าหากไม่มีฝนตกเราก็จะไม่มีน้ำ ไม่มีต้นไม้ ไม้ดอกต่างๆ ก็จะไม่สามารถเจริญเติบโตได้ พืชผลต่างๆ ที่เราต้องใช้ในการยังชีพก็ไม่สามารถเจริญได้ ดังนั้น ฝนก็ไม่ใช่สิ่งเลวรายอะไรในตัวของมันเอง แต่ที่มันทำให้เกิดความวุ่นวายก็เพราะเราไม่มีร่ม เราจึงต้องเดินอยู่ในความหนาวเย็นเป็นระยะทางหลายไมล์ เราจะรู้สึกหนาวสั่น เราจะเป็นหวัด เราจะเจ็บป่วย และเราอาจจะเสียชีวิตก็ได้ ถึงแม้ว่าฝนนั้นจะเป็นเพียงปรากฏการณ์ของธรรมชาติซึ่งมีประโยชน์ และมีอันตรายน้อยมาก ดังนั้น หากเราไม่มีเครื่องมือป้องกันตัวของเรา แม้แต่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่สวยงามก็ยังกลายเป็นอันตรายต่อตัวเราได้ ดังนั้น คนจำนวนมากจึงอยากจะเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเรา แต่บรรดานักปราชญ์ผู้รู้แจ้งกลับกล่าวว่า “ไม่ใช่! ต้องเปลี่ยนตัวเธอเอง” เพราะถ้าเธอเปลี่ยนแปลงตนเอง เราก็จะเปลี่ยนแปลงโลกรอบๆ ตัวเรา และถึงแม้โลกจะยังคงเป็นเหมือนเดิมอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้เราก็จะไม่ได้รับผลกระทบเลย หากแต่ละคนเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมีสงคราม และจะไม่มีอุบัติภัยต่างๆ เกิดขึ้น หากทุกคนมีร่ม มีเสื้อกันฝน มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศหรือหยุดฝน หรือทำอิทธิปาฎิหาริย์เพื่อควบคุมฤดูฝนเหมือนกับหลายๆ คนต้องการจะเรียน และมีพลังปาฎิหาริย์แบบนี้? มันอาจจะหยุดฝนได้ อาจจะทำให้ฝนตกนานขึ้น อาจจะหันเหให้มันไปตกที่อื่นได้ และก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้อิทธิปาฎิหาริย์เหล่านี้มาก แต่ทำไมเราต้องไปกังวลด้วยล่ะ? เพียงแต่เราสวมเสื้อกันฝน ซึ่งราคาถูก เป็นของง่ายๆ และทุกคนก็สามารถใช้ได้ก็เพียงพอแล้ว ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าต้องการจะนั่งเรือข้ามแม่น้ำแต่เจ้าของเรือไม่ยอมรับท่าน เพราะท่านไม่มีเงินในตอนนั้น แน่ล่ะท่านยังเป็นพระภิกษุผู้สละโลกอยู่ ท่านไม่มีทรัพย์สินเงินทองอะไร ดังนั้น ท่านจึงไม่มีทางเลือกอย่างอื่นจึงต้องเดิมข้ามแม่น้ำไป ในปัจจุบันนี่ ก็ยังมีพวกโยคีหลายคนในอินเดีย ทิเบต และที่อื่นๆ ซึ่งสามารถจำทำเช่นนั้นได้ มีหลายคนถามฉันเกี่ยวกับเรื่องพลังอิทธิปาฏิหาริย์เพราะคนมักจะอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่เขาไม่สามารถจะอธิบายได้ ระวังเรื่องที่วิทยาศาสตร์ถือว่าเป็นสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” ฉันก็ตอบพวกเขาไปว่า “ถูกต้อง! สิ่งเหล่านี้มีจริง แต่อย่างไรก็ดีเรื่องพวกนี้ไม่ควรนำมาใช้ส่งเดช และไม่ควรนำมาแสดงเพื่อเป็นการโอ้อวด” แม้แต่พระเยซู ซึ่งมีพลังอิทธิปาฏิหาริย์มากมายแต่ท่านก็ไม่ได้ใช้มันตลอดเวลา ท่านระมัดระวังมาก เพราะฉะนั้นท่านจึงปลุกคนตายเพียงคนเดียวให้ฟื้นคืนชีพได้ ท่านรักษาคนตาบอดเพียงสองคนให้หายจากโรค ไม่ได้เที่ยวปลุกคนตายให้ฟื้นชีวิตขึ้นมาตลอดเวลา ถ้าทำแบบนั้นก็จะทำให้กฎแห่งธรรมชาติเกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่นักบุญผู้รู้แจ้งเขาไม่ทำกัน แต่ละคนจะต้องเรียนรู้ที่จะมีความปรารถนาอยู่ภายในหัวใจของเขา ที่จะรู้จักตัวเอง รู้จักพระเจ้า จากนั้นอาณาจักรของพระเจ้าจึงจะมา อาจารย์จึงจะมาช่วยบุคคลผู้นั้น ถ้าเราใช้อิทธิปาฏิหาริย์หรือใช้วิธีเหนือธรรมชาติเพื่อชักจูงให้คนเชื่อถือเรา เราก็นำคนให้ออกนอกลู่นอกทางโดยไม่รู้ตัว เพราะเราจะจำกัดพลังของพระเจ้าอยู่เพียงแค่ความสามารถในการทำปาฏิหาริย์เหล่านี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้จากบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญบางคน นอกจากนี้การที่เราทำเช่นนี้ จะเป็นการแทรกแซงธรรมชาติ และแน่นอนเราก็จะนำหายนะมาสู่ตัวเรา สิ่งที่เราแสวงหา คือ สิ่งที่เป็นนิรันดร เช่น ปัญญา ความรัก และความยิ่งใหญ่แห่งพลังจักรวาล ไม่ใช่เพียงแค่การได้รับพลังในระดับต่ำๆ ที่อยู่ในมุมเล็กๆ เท่านั้น พลังปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การทำโดยไม่ต้องทำ เมื่อเราได้รับปัญญาอันยิ่งใหญ่ เราก็จะได้รับพลังอิทธิปาฏิหาริย์จำนวนมากด้วย แต่ในเวลานั้น เรามีอยู่มาก มากจนเราไม่รู้ว่าเรามีอยู่มากแค่ไหน และสิ่งต่างๆ ก็หลังไหลออกมาจากตัวเราโดยอัตโนมัติ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะทำมันเลย คล้ายกับคนที่รวยมากๆ เขาก็ไม่รู้ว่าเขามีเงินอยู่เท่าไร เขาไม่สามารถจะนับมันได้ เขาไม่เคยมีโอกาสเห็นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา ดังนั้น ผู้ที่รู้แจ้งจึงมีความสุขอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยในเวลาส่วนใหญ่เขาจะมีความสุขอยู่เสมอ และแม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความไม่มีสุข ซึ่งถูกนำมาให้เขาโดยการติดต่อใกล้ชิดกับบุคคลที่เขารัก ในตอนนั้นบางครั้งเขาก็อาจจะได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากความรักที่เขามีต่อบุคคลนั้น เขาจึงอาจจะแบ่งปันความลำบากหรือความทุกข์ของบุคคลนั้นไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เขาก็จะมีความสงบมากอยู่ภายใน เขารู้ดีว่าความทุกข์เป็นเพียงสิ่งที่ไม่จีรัง เขาจะไม่ถูกลากเข้าไปจมอยู่ในความทุกข์เหมือนกับคนส่วนใหญ่ ดังนั้น ถ้าเราเพียงแต่ต้องการจะมีความสุขในชีวิตนี้ เราก็ควรจะรู้แจ้งด้วย แน่ละ ฉันควรจะบอกพวกเธอด้วยว่า เธอจะต้องแสวงหาพระเจ้า เพื่อเห็นแก่พระเจ้าเท่านั้นไม่เพื่อเห็นแก่ความสุขในชีวิตนี้ แต่ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะมาด้วยกัน ถ้าเธอรู้แจ้ง เธอก็มีความสุข และยิ่งเธอมีความสุขมากขึ้น เธอก็จะเชื่อมั่นในการรู้แจ้งมากขึ้น เธอจะชื่นชมในธรรมชาติของพระเจ้ามากขึ้นด้วย จะมีประโยชน์อะไรที่ต้องมาคอยหวังที่จะมีความสุขถาวรในสวรรค์ ในเมื่อเราสามารถจะตักตวงมันได้ที่นี่ แม้จะอยู่ในความมืดและความทุกข์ยากทุกๆ นาทีของชีวิตของเรา? ผู้ที่รู้แจ้งจะมีความสุขในทั้งสองโลก มีความสุขในสวรรค์ และมีความสุขในโลกด้วยในเวลาเดียวกัน ทำไมล่ะ? ก็เพราะเขารู้ว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในโลกนี้ก็เป็นพระประสงค์ของสวรรค์ด้วย มันเป็นการจำลองของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอาณาจักรสวรรค์ที่สูงขึ้นไป และเนื่องจากเขามีความผ่อนคลายอย่างมาก เขาไม่กลัวอะไรเลย ไม่กระวนกระวายใจ ดังนั้น ไม่ว่าเขาจะมีความสุขอยู่กับสิ่งใด เขาก็จะมีความสุขถึงขีดสูงสุด มีคนจำนวนมากคิดว่า หลังจากรู้แจ้งแล้วเธออาจจะไม่รู้วิธีรักภรรยาของเธอหรือรักสามีหรือลูกๆ ของเธออีกต่อไป แต่กลับเป็นเรื่องที่ตรงกันข้าม เพราะเฉพาะเวลาที่เธอมีความสุขมากๆ และได้รู้จักคุณค่าในตัวของเธออย่างแท้จริงเท่านั้น เธอจึงจะสามารถรักผู้อื่นได้อย่างแท้จริง เพราะเธอได้เห็นเงาสะท้อนของภรรยาอยู่ภายในตัวเธอ ได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเธอเองอยู่ในตัวภรรยา เธอก็จะเคารพเขาและรักคุณสมบัติที่ดีทุกอย่างที่พระเจ้ามอบให้แก่บุคคลคนนั้น เพราะเธอตระหนักรู้แล้วว่าพระเจ้าได้ให้อะไรแก่เธออยู่ภายใน เธอก็ย่อมรู้ว่าพระเจ้าจะมอบคุณสมบัติที่ดีเหล่านั้นให้แก่ทุกๆ คนเหมือนกัน แต่บางครั้งเราก็เลือกเดินในทิศทางตรงข้าม ดังนั้น เราจึงทุกข์ทรมาน และเราก็โทษพระเจ้า เราจะพูดว่า ทำไมพระเจ้ามีพลานุภาพมากมาย แต่ไม่สามารถจะเปลี่ยนโลกนี้ให้กลายเป็นสวรรค์ พลังนี้ไม่ได้อยู่ในมือของพระเจ้า แต่อยู่ในมือของพวกเธอ ฉันรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้จากประสบการณ์ ไม่ใช่จากหนังสือหรือจากคัมภีร์เล่มไหน ฉันรู้สิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์ในชีวิตของลูกศิษย์ของฉันด้วย นี่แหละคือเหตุผลที่เรามาพบกันในวันนี้ ร่วมแบ่งปันความสุขแห่งการรู้แจ้ง เป็นความมีน้ำใจดีของบันดาลูกศิษย์ของฉันที่ต้องการจะให้พวกเธอได้รับในสิ่งที่เขาได้ค้นพบ เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงต้องฝ่าความยากลำบากต่างๆ มากมาย รวมทั้งสิ้นเปลืองเวลาและค่าใช้จ่าย เพื่อที่จะจัดให้มีการพบปะกันในวันนี้ เราไม่ได้ทำสิ่งนี้ด้วยความกระหายที่จะให้พวกเธอ หันมาปฏิบัติตามหนทางของเรา แต่เรากระทำไปด้วยทัศนคติอันเปี่ยมสุขของบุคคลที่มีความสุข ดังนั้น เราจึงไม่สนใจที่จะต้องสวมใส่ชุดเสื้อผ้าพิเศษที่แสดงถึงการสละโลกให้พวกเธอเกิดความประทับใจ เราไม่ได้พยายามที่จะทำให้ตัวเรามีลักษณะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้เธอเปลี่ยนศาสนา เราไม่ได้พยายามจะให้อะไรแก่เธอหรือแสดงพลังอิทธิปาฏิหาริย์เพื่อให้เธอเข้ามาอยู่กลุ่มเดียวกับเรา แต่เราทำในฐานะที่พี่น้องคนหนึ่งจะทำต่ออีกคนหนึ่ง เรากระทำลงไปก็เพื่อเห็นแก่การกระทำนั้น จริงๆ แล้ว เราก็ยังมีความสุขไม่ว่าพวกเธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อในเรื่องนี้ก็ตาม เราจะยังมีความพอใจไม่ว่าพวกเธอจะมาหรือจะไป เพราะสำหรับเราแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะต้องเคร่งเครียดจริงจังอีกต่อไป ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำก็ไม่ต่างอะไรสำหรับเรา ฉันอาจจะนั่งสบายอยู่บนยอดเขาในฟอร์โมซา และมีความสุขอยู่กับพลังสมาธิ หรือฉันอาจจะนั่งอยู่ที่นี่ ได้รู้จักผู้คนในโลกนี้มากขึ้น ก็ไม่ต่างอะไรสำหรับฉัน ดังนั้น หากเธอรู้สึกว่าพร้อมทีจะรับความสุขนี้ ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริงเพราะมาจากส่วนที่เป็นรากเหง้า เนื่องจากเธอรู้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นสวรรค์ โลกหรือนรก เธอก็รู้หมด แล้วเธอจะเลือกสิ่งทีเธอต้องการจะได้รับ ดังนั้นความสุขของเธอจึงเป็นความสุขที่แท้จริงและยืนยาว มิฉะนั้นแล้วสิ่งที่เราเรียกว่าความสุขในโลกนี้ส่วนใหญ่แล้ว เราก็ไม่มีอิสระที่จะเลือกเอามาได้ บางครั้ง เราอาจจะถูกลากไปงานปาร์ตี้และเราก็พยายามจะมีความสุขในงานนั้น บางครั้งเราอาจจะถูกบังคับให้แต่งงาน เนื่องจากเหตุผลทางการเมืองหรือธุรกิจ แล้วเราก็พยายามจะทำให้มันออกมาดีที่สุด บางครั้งเราก็ฝืนดำเนินชีวิตไปพร้อมๆ กับครอบครัวใหญ่ และพยายามจะหาเลี้ยงพวกเขา ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เราคิดว่าเราเก่งมากเพราะสามารถดูแลครอบครัวได้ แต่เราก็ไม่สามารถจะเลือกได้เสมอไป ดังนั้น เราจึงไม่รู้สึกว่ามีความสุขในหลายๆ สิ่งที่เราทำ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นผู้ควบคุมสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราไม่ได้เป็นเจ้าของบ้าน เป็นแค่ผู้มาเยือนคนหนึ่ง เราถูกลมพัดพาไป และเราก็ต้องไปพบกับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราหมดความสนใจและหมดสนุกในชีวิตเนื่องจากไม่รู้ว่าทำไมเราจึงต้องทำโน่นทำนี่ แต่หลังจากการรู้แจ้งมันก็จะต่างไป สิ่งใดที่เรามีความสุข เราจะมีความสุขจริงๆ เราจะเข้าใจคุณค่าของชีวิต รวมทั้งคุณค่าของสิ่งที่อยู่เหนือชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ในโลกใด ชีวิตจะมีอยู่สองด้าน ด้านหนึ่ง คือ ด้านวัตถุ อีกด้านหนึ่ง คือ สิ่งที่คงอยู่ถาวร หากเรารู้จักเพียงแค่ด้านเดียว และไม่ได้รับอีกด้านหนึ่งเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในโลก เขาจะสนุกอยู่กับโลกวัตถุของสิ่งที่เรียกกันว่า ชีวิต แต่ไม่รู้จักภาพที่แท้จริงของสิ่งนั้น เขารู้จักแต่เงาของมัน ดังนั้นเขาจึงมีความสุขกับชีวิตที่เป็นเพียงวัตถุเท่านั้น และกลัวว่าจะสูญเสียมันไป แต่บุคคลที่รู้แจ้งจะรู้จักทั้งสองส่วน ทั้งส่วนที่คงอยู่ถาวรและส่วนที่เป็นแบบจำลอง เขาสามารถจะมีความสุขกับทั้งสองส่วนในเวลาเดียวกัน และสามารถจะเลือกมีความสุขกับส่วนใดส่วนหนึ่งก็ยังได้ แต่ฉันคิดว่า ไหนๆ เราก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ก็น่าจะมีความสุขกับมัน ไม่มีอะไรในโลกที่ไม่น่าอภิรมย์เลย จริงๆ นะ เว้นแต่สิ่งที่ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของผู้อื่น ดังนั้น เราจึงแนะนำให้กินอาหารมังสวิรัติ เพื่อให้ปลาสามารถแหวกว่ายอยู่ในทะเลได้นานเท่าที่มันอยากจะว่าย วัวก็สามารถกินหญ้าอยู่ในท้องทุ่งจนกว่าธรรมชาติจะทำให้มันต้องกลับไปอยู่ในที่ที่มันสมควรอยู่ เราก็สามารถมีความสุขกับสัตว์เหล่านี้ และสัตว์ก็สามารถมีความสุขกับเรา ผู้ที่รู้แจ้งบางคน ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร หรือทำมากแค่ไหน แต่เขาเลือกที่จะดำเนินชีวิตภายใน ซึ่งเป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิต เป็นด้านจิตวิญญาณของชีวิต ก็เลยทำให้ผู้คนยึดติดอยู่ในความคิดที่ว่า บุคคลที่รู้แจ้งทุกคนต้องเป็นเช่นนั้น คือ จะต้องไปที่เทือกเขาหิมาลัย ต้องไปอยู่ในถ้ำ ต้องสละละทิ้งสิ่งสวยงามทุกอย่างในชีวิตเพื่อที่จะรู้แจ้ง แต่ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน เพราะเราจะอยู่ห่างจากโลกนี้มากเกินไป และหลายๆ คนจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากเกินไป แล้วเขาจะช่วยตัวเองได้อย่างไร? เขาจะรู้ในสิ่งที่เรารู้ได้อย่างไร? แน่ละ สำหรับคนที่เป็นนักบุญหรือบุคคลผู้รู้แจ้งนั้น คงจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์มากกว่าที่จะได้อยู่ห่างไกลจากโลกที่เคร่งเครียดวุ่นวาย และได้อยู่อย่างปราศจากความกังวลตามวิถีของบุคคลนั้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ยังมีพี่น้องชายหญิงอีกมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือของเรา อยู่ในโลกแต่อยู่เหนือโลก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีประโยชน์ หากนักปราชญ์ผู้รู้แจ้งกลายเป็นผู้ไร้ประโยชน์ ก็จะเป็นส่งที่สูญเปล่าของธรรมชาติ ดังนั้น เราจึงควรอยู่ในโลก แต่อยู่เหนือสิ่งต่างๆ เราสามารถจะมีบ้าน มีรถของเราเอง แต่เราไม่ตกเป็นทาสของทรัพย์สมบัติเหล่านั้นอีกต่อไป ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้เราก็ใช้มันไป ถ้าเราไม่มี เราก็ไม่ใช้ เป็นชีวิตที่เรียบง่ายมาก ฉันมีรถสวยๆ อยู่หลายคันตอนที่ฉันอยู่ฟอร์โมซา แต่ฉันขายมันไปก่อนที่จะออกเดินทางทั่วโลกในครั้งนี้ เพราะเราขาดเงินค่าตั๋วเครื่องบินนิดหน่อย ในอนาคต หากฉันไม่มีรถสวยๆ แพงๆ เหล่านี้อีก ก็ไม่มีปัญหา ฉันสามารถจะยืมจากคนนี้วันหนึ่ง แล้วยืมจากอีกคนหนึ่งในวันต่อมาได้ ทำไมฉันจะต้องมีรถเองด้วยล่ะ? เพราะฉะนั้น สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ เราจะมีความสุขไปกับมันถ้าหากมันมีอยู่ แต่ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความแตกต่างอะไรสำหรับเรา นี่แหละคือวิถีทางของจิตที่รู้แจ้ง ไม่ใช่ว่าเราจะต้องคอยวิ่งหนีจากโลกแห่งวัตถุ แต่เราจะต้องอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้น ฉันคิดว่าวิธีนี้เหมาะสำหรับคนส่วนใหญ่บนโลกนี้ที่จะปฏิบัติได้จริงๆ เพราะเราถูกห้อมล้อมด้วยวัตถุ คอยจนกระทั่งเราจากโลกวัตถุนี้ไปแล้ว เราก็จะสามารถมีความสุขกับบรรยากาศทางจิตวิญญาณของชีวิตที่แท้จริงได้อย่างสมบูรณ์ แล้วทำไมจะต้องรีบให้มันเป็นแบบนั้นด้วยล่ะ หากทุกคนที่รู้แจ้งวิ่งไปที่ภูเขาหิมาลัยแล้วอยู่ที่นั่นกันหมด อีกไม่นานเราก็คงไม่มีบุคคลรู้แจ้งหลงเหลืออยู่เลย และคนอื่นๆ ก็คงไม่รู้จักการรู้แจ้ง เราเพราะทุกคนหายไปหมดแล้ว ไม่มีการติดต่อ ไม่มีข่าวสาร ไม่มีตัวอย่างให้ดู ไม่มีใครมาเดินอยู่ข้างๆ เรา คอยแนะนำเราเกี่ยวกับเรื่องสุข เรื่องทุกข์ของโลกนี้ หรือคอยให้กำลังใจเราในการดำเนินชีวิตตามแบบเทวดา หรือแบบพระเจ้า ในสมัยก่อนเป็นเรื่องยากมากที่จะรู้ว่าบุคคลที่เป็นอาจารย์อยู่ที่ไหน และใครเป็นบุคคลที่รู้แจ้ง ผู้คนต้องปีนเขาข้ามน้ำข้ามทะเล ได้รับความยากลำบากมากมายในการค้นหาบุคคลที่รู้แจ้ง ดังนั้นในสมัยโบราณ โลกของเราจึงไม่มีการพัฒนามาก ผู้คนมีชีวิตอยู่ในความยากจน ไม่มีความสะดวกสบายอะไรมาก เพราะฉะนั้น ฉันจึงคิดว่า สถานการณ์ของยุคโบราณไม่สมบูรณ์แบบดีนัก ฉันคิดว่าบุคคลที่รู้แจ้งควรจะต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้ ต้องทำสิ่งต่างๆ ที่เขาควรจะต้องทำ ต้องดูแลคนที่พระเจ้ามอบมาให้แก่เขา รวมทั้งมีความสุขและรู้แจ้ง เพราะถึงแม้เธอจะวิ่งหนีไปอยู่ในป่า เราก็ไม่สามารถวิ่งหนีไปจากจักรวาลได้ เราก็ยังอยู่ที่นี่ เราจะหนีไปไหนได้? หลายๆ คนคิดว่าผู้รู้แจ้งจะต้องมีลักษณะพิเศษ อาจจะต้องมีหนวดเครายาวมาก บังเอิญฉันไม่มีเลย แต่สำหรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันแล้ว ฉันคิดว่าฉันสามารถจะปลูกหนวดเคราได้ด้วยซ้ำ เหมือนการใช้สารเคมีบางอย่าง? หรือบางทีคนที่รู้แจ้งควรจะต้องอยู่ที่ภูเขาหิมาลัย จริงๆ ก็มีคนที่รู้แจ้งบางคนอาศัยอยู่ที่หิมาลัย แต่ไม่ใช่ทุกคนต้องทำอย่างนั้น ฉันไม่อยากจะอ้างถึงคัมภีร์ไบเบิล หรือพระสูตรอะไรอีกแล้ว มิฉะนั้น ฉันอาจจะมีปัญหายุ่งยากตามมา ฉันจะพูดในสิ่งที่ฉันรู้ก็แล้วกันลืมเรื่องคัมภีร์ไปได้เลย ตอนแรกฉันคิดจะอ้างพระสูตรของพุทธศาสนาให้พวกเธอได้ฟัง แต่มาคิดแล้วก็ไม่เอาดีกว่า ยิ่งเธอรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี (คนหัวเราะ) ยิ่งเรียบง่าย เธอก็ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากซับซ้อน หรือเรื่องไร้สาระเพิ่มเข้ามารกในสมองของเธอ เพราะคัมภีร์นั้นไม่สามารถทำให้เรารู้แจ้งได้ รายการอาหารไม่สามารถจะทำให้ความหิวของเราได้รับการตอบสนอง สิ่งที่เราต้องการคือการสอนโดยตรง หันเข้าสู่ภายในและฟังคำสอนแห่งสวรรค์ มีคำสอนอยู่ 2 ชนิด ชนิดแรกคือคำสอนทางทฤษฎี ซึ่งมาจากอาจารย์ต่างๆ ในขณะที่อาจารย์เหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ เพื่อใช้สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตนในสังคม คำสอนแบบนี้มีไว้สำหรับความคิดจิตใจ เพื่อจะได้ปรับตัวเข้ากับขนบธรรมเนียมและกฎหมายของประเทศนั้นๆ ในยุคสมัยนั้นๆ โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีไว้สำหรับแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของพวกลูกศิษย์ เพื่อแนะนำเขาในแง่มุมต่างๆ ของชีวิต เช่น ด้านการเมือง ธุรกิจ ชีวิตสมรส อะไรทำนองนี้ แต่คำสอนพวกนี้เป็นเรื่องทางโลกทั้งนั้น เป็นระดับของโลกวัตถุ ยังมีคำสอนอีกประเภทหนึ่งซึ่งเป็นคำสอนที่แท้จริง ดั้งเดิมและคงอยู่ตลอดไป คำสอนแบบนี้ไม่ใช่คำพูด สามารถกระทำได้โดยผ่านสิ่งที่เราเรียกว่า “การถ่ายทอดทางความคิด” เมื่อบรรดาลูกศิษย์หันเข้าสู่ภายในและฟังคำสอนจากสวรรค์ ในเวลาประทับจิตเราจะสอนพวกเธอว่าจะทำได้อย่างไร แต่ไม่ใช่เพราะว่าเราบอกเธอแล้วเธอก็สามารถทำได้ แต่เพราะว่าเธอพร้อมที่จะรับมันต่างหาก พลังของอาจารย์จะ “เปิดสวิทซ์” ให้แก่ปัญญาที่มีอายุเก่าแก่ของเธอซึ่งนอนหลับใหลอยู่ภายในตัวเธอมานานชาติแล้วชาติเล่าจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ก็เหมือนกับเวลาที่เราเปิดไฟความมืดก็จะหายไปในบัดดล นี่แหละคือกระบวนการรู้แจ้งฉับพลัน เป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับทุกคนที่มีความจริงใจและปรารถนาจะรู้ว่าเขามีความยิ่งใหญ่ขนาดไหน เขาสามารถจะติดต่อกับจักรวาลทั้งหมดได้อย่างไร พระเจ้าอาศัยอยู่ภายในตัวเขาอย่างไร ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่เคยทราบ จากนั้น สิ่งอื่นๆ ในชีวิตก็จะดูแลตัวของมันเอง นี่คือความจริง! ฉันถามลูกศิษย์ของฉันทุกคน ไม่มีใครเลยที่บอกว่าเขาไม่ได้มีความสุขมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือไม่ได้รับความพอใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หรือไม่ได้รับความพอใจมากขึ้นกว่าสมัยก่อน ไม่ได้ฉลาดขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่ได้มีความสามารถมากขึ้น มีพลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพียงแค่ 2-3 อาทิตย์หลังจากนั้น หรืออาจจะ 2-3 วัน หลังจากนั้น ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถรับได้ดีขนาดไหน แค่หลังจากการประทับจิต 2-3 นาที หรืออาจจะระหว่างการประทับจิตด้วยซ้ำ เธอก็รู้แล้วว่าตัวเธอได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างถาวร และเธอได้เร่งความเร็วสูงขึ้นแล้ว เธอจะไม่ได้อยู่ในระดับมาตรฐานของมนุษย์อีกแล้ว แต่จะเข้ามาอยู่ในกลุ่มของนักบุญโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะภายนอกเลย ไม่ต้องวิ่งหนีไปที่ไหน ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตของเธออย่างพลิกผัน เพียงแต่อยู่อย่างเดิมและมีความสุขกับโลกทั้งสอง มีความสุขกับชีวิตที่แท้จริง รวมทั้งสภาพจำลองอันอนิจจังของชีวิตที่แท้จริง นี่แหละคือสิ่งที่เราค้นพบ นี่แหละคือสิ่งที่เรายังค้นพบต่อไปเรื่อยๆ และเป็นสิ่งที่เราอยากจะแบ่งปันให้เธอได้รับรู้ (คนปรบมือ) คำถามและคำตอบ ถ: ท่านคิดว่าควรจะทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องความเกลียดชัง ความรุนแรงในชีวิตประจำวัน ยกตัวอย่างเช่น การมีอคติ หรือการเหยียดผิว หรือเราสามารถจะสื่อสารถึงคนที่ไม่ต้องการจะฟังอย่างไรดี? อ: ฉันคิดว่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นผลมาจากจิตใจที่ไม่รู้แจ้ง ถ้าเรารู้แจ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ปัญหาโดยไม่จำเป็นต้องพูดจากัน ไม่ต้องมีการเทศน์สอนกันเลย เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความเกลียด ความโลภ อะไรพวกนี้ ล้วนมาจากการไม่รู้แจ้งในบุคคลนั้น เนื่องจากเขาไม่พอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ในชีวิต ไม่พอใจในกรอบของชีวิตที่เป็นอยู่ จึงกลายเป็นธรรมชาติและทำให้เขามีความปั่นป่วน ก้าวร้าว โกรธ และมีความโลภอยากได้เพิ่มมากขึ้น เพราะเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขาพอใจมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น จริงๆ แล้วรากเหง้าลึกๆ ของสิ่งเหล่านี้ก็คือ ความใฝ่หาสภาพที่จะได้มีความสุขมากขึ้นในชีวิต ซึ่งก็คือความใฝ่หาการรู้แจ้งในส่วนลึกๆ นั่นเอง ดังนั้น ถ้าเราต้องการจะรักษาโรคเหล่านี้ เราก็ต้องแนะนำเรื่องการรู้แจ้งให้เข้ามาอยู่ในชีวิตของผู้คน และทำให้เขามีความสุขกันมากขึ้น ถ: ทำไมอัตตาของฉันจึงสูงขึ้น? อ: ฉันจะรู้ได้อย่างไรล่ะ มันเป็นเรื่องของเธอ (คนหัวเราะ) บางทีอาจจะไม่มีใครเคยด่าเธอ บางทีตำแหน่งของเธออาจได้รับการยกย่องอย่างสูงในสังคม หรือบางทีเธออาจจะประสบความสำเร็จมากในธุรกิจของเธอ หรือบางทีภรรยาของเธอหรือสามีของเฮอาจจะเอาใจมาเกินไปก็ได้ บุคคลที่รู้แจ้งอย่างแท้จริง ถ: ฉันอยากจะรู้แจ้ง ทำไมฉันจะต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการอยู่ในสังคมด้วยล่ะ? อ: ทำไมถึงไม่ยุ่งล่ะ? มันเป็นทางเลือกของเธอ แน่นอน แต่ทำไมจึงต้องวุ่นวายเลือกโน่นเลือกนี่ด้วยล่ะ? เพราะเราเกิดมาในสังคมนี้ เราเป็นหนี้สังคมอย่างมาก เริ่มตั้งแต่เรารอดชีวิตมาได้ เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้รับความสะดวกสบายมากมายหลายอย่างที่มีอยู่ในขณะนี้ ดังนั้น จึงเป็นการดีที่เราจะอยู่ในสังคมเพื่อจ่ายคืนในความกรุณาที่เราเคยได้รับ เพียงแค่อยู่ร่วมกับเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในนั้น และไม่แบ่งแยกว่า "ฉันรู้แจ้งนะ เขาไม่รู้แจ้ง ฉันเป็นผู้รู้แจ้ง ฉันจะไม่ยอมอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รู้แจ้ง" อะไรทำนองนี้ เมื่อบุคคลใดหันเข้าสู่ภายในตลอดเวลา เขาจะไม่สนใจรังเกียจว่ามีใครอยู่รอบตัวเขาบ้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ในสังคม หรืออยู่นอกสังคม เขาเพียงแต่เป็นตัวของเขาเองและทำสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต้องทำขณะนั้น อยู่ในปัจจุบันเสมอนี่แหละคือคนรู้แจ้งที่แท้จริง ถ: เป็นไปได้ไหมที่จะตื่นขึ้นโดยไม่ต้องมีใครนำทาง ทางด้านจิตวิญญาน? อ: ได้ เป็นไปได้มาก แต่ถ้าไม่มีใครนำทางเธอก็คงไปได้ไม่ไกลนัก เข้าใจไหมว่า การตื่นขึ้นและการตื่นอย่างสมบูรณ์เต็มที่นั้นต่างกัน ดังนั้น เมื่อมีอาจารย์ท่านหนึ่งซึ่งเคยเดินทางจากโลกแห่งวัตถุไปสู่ระดับสูงสุดแห่งการรู้แจ้งมานำทางให้เธอ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เร็วที่สุดและปลอดภัยกว่า! ถ: จากการรู้แจ้งนี้ หรือจากการประทับจิตนี้ เราสามารถจะนำคนทุกคนและสรรพสัตว์ทั้งมวลไปสู่การรู้แจ้งสูงสุดได้อย่างไร และจะทำลายสิ่งที่ไม่ดีหรือความทุกข์ยากทั้งมวลได้อย่างไร? อ: เราคงไม่สามารถนำสรรพสัตว์ทั้งมวลไปสู่การรู้แจ้งสูงสุดได้เพียงเราเพราะว่าเรารู้แจ้ง แต่สำหรับเรา ตัวเราเองซึ่งเป็นผู้รู้แจ้งนั้น สิ่งต่างๆ ทั้งหมดและความทุกข์ยากทั้งหมดจะมลายหายไปนี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อเธอรู้แจ้ง เมื่อเธออยู่ในสภาวะสมาธิก็ไม่มีสรรพสัตว์ใดๆ อยู่ ไม่มีความทุกข์ยาก ไม่มีอะไรอยู่เลย เมื่อเธอออกมาจากการรู้แจ้ง หากเธออยากจะออกมาจากสภาวะสมาธิ อยากจะติดต่อกับผู้ที่ยังไม่รู้แจ้ง ซึ่งยังเห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นความทุกข์ทรมานอยู่ เธอก็พยายามช่วยเขาดู ใครที่อยากรู้จักสภาพที่ไม่มีความทุกข์ก็มาได้เลย ถ้าเขาไม่มาก็ไม่เป็นไร เขาต้องเรียนรู้บทเรียนของเขา เธอไม่สามารถจะบังคับลูกๆ ในครอบครัวของเธอทุกคนให้เป็นศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยเพียงเพราะว่าเธอเป็นศาสตราจารย์ แต่เธอสามารถจะแนะนำเขาทีละขั้นทีละตอน จนกระทั่งเขาเติบโตขึ้นและมีการศึกษาพอที่จะเป็นได้เช่นเดียวกับเธอ ถ: ฉันจะสามารถกำจัดความกลัวตายได้อย่างไร? อ: โอ! ฉันตายทุกวัน ไม่มีความจำเป็นต้องกลัวเลย เมื่อเรารู้ว่าความตายก็เหมือนกับการก้าวเดินจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง มันเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ ฉันอาจจะนั่งอยู่ที่นี่แล้วก็ตาย แต่เธอก็คงไม่รู้มันรวดเร็วมาก การก้าวจากระดับชั้นหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่งเป็นกระบวนการเรียกว่าความตายสามารถทำได้ในหนึ่งวินาที เพราะฉะนั้นจึงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว ถ้าเธอกลัวความตายก็จงมาหาฉันๆ จะสอนให้เธอรู้วิธีการตายทุกๆ วัน (คนปรบมือและหัวเราะ) เธอจะชินกับมันเอง ก็เหมือนกับเธอขับรถยนต์ครั้งแรก เธอยังไม่รู้วิธีขับรถเธอก็เลยกลัว ถ้าเธอขับรถอยู่ทุกวันเธอก็จะเคยชินกับมันไปเอง ด้านที่เป็นบวก ถ: ตามที่ท่านพูดมานั้นด้านบวกหมายถึงอะไร การอยู่ในทางบวกคืออะไร? อ: ฉันเข้าใจละ ก็คงจะเป็นทัศนคติของคนบางคน เขาพยายามจะสะกดจิตตนเองให้คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดีเยี่ยม ในชีวิตนี้ทุกสิ่งสามารถเป็นไปได้ แต่การคิดเพียงอย่างเดียวก็ช่วยได้น้อยมาก ถ้าเรารู้จักรากเง้าของปัญหาทั้งมวลโดยการส่องคบไฟแห่งการรู้แจ้งไปทั่วทุกมุมของชีวิต เราก็จะจัดการแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น ไม่ใช่ด้วยวิธีการทางด้านบวก แต่ด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ไม่ว่าวิธนั้นจะเป็นไปในทางบวกหรือทางลบก็ตาม ถ้าเราอยู่แต่ทางด้านบวกและไม่สนใจอีกด้านหนึ่งของชีวิตซึ่งมีความสำคัญมาก ก็เหมือนเธอเลือกเอาแต่ผู้ชายไม่ในใจผู้หญิง เราจะทำอย่างนั้นได้หรือเปล่า? ไม่ได้! เราทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นบุคคลที่รู้แจ้งจะรู้วิธีจัดการกับทั้งทางบวกและลบ ไม่ทิ้งอะไรไป แต่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีประโยชน์เต็มที่ต่อชีวิตนี้ และชีวิตที่ตามมาหลังจากนั้น ฉันไม่สอนให้ทำอะไรสุดโต่งไปทางด้านใดด้านหนึ่ง ถ: ท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของเด็กของเรา ท่านรู้สึกมีความเชื่อมั่นมากในคนรุ่นต่อไปของเราหรือไม่? อ: อนาคตของเราจะดีมาก ปัจจุบันมีคนรู้แจ้งเพิ่มมากขึ้นมากกว่าในสมัยพระเยซูหรือพระพุทธเจ้า หรือไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดในโลกนี้ ดังนั้น ฉันคิดว่าอนาคตของเราจะสดใสมาก ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว สถานการณ์ด้านการเมืองของโลกก็มีความหวังมากแล้ว หลายๆ ชาติที่เคยเป็นศัตรูตัวฉกาจกันมาก่อนก็หันมาจับมือกันและต้องการจะพูดคุยเกี่ยวกับการฟื้นฟูสันติภาพและเศรษฐกิจ ดังนั้น เราจึงควรรู้สึกในทางบวก ถ: เราสามารถจะหาเลี้ยงชีพของเราได้อย่างไรโดยไม่ไปฉกฉวยโอกาสในการหาเลี้ยงชีพของผู้อื่น? ยกตัวอย่างเช่น ถ้าฉันไม่ทำงานก็จะมีบางคนได้งานนั้นไปและมีความสุข ถ้าฉันไม่ตัดต้นไม้เพื่อเอามาเลี้ยงตนเอง ต้นไม้ทั้งต้นนั้นก็สามารถใช้เลี้ยงชีวิตสรรพสัตว์ได้อีกเป็นจำนวนมาก อ: เธอมีงานทำก็เพราะพระเจ้าให้งานนั้นแก่เธอ แม้ว่าเธอจะออกจากงานนั้นก็ไม่มีใครมาเอางานนั้นไปได้หากงานนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเขา เพราะฉะนั้นไม่ต้องมีความรู้สึกผิด อะไรที่เธอได้มาเธอก็จะได้มา เพียงแต่ว่าถ้าเราพยายามแข่งขันกับคนอื่นแล้วพยายามกดคนนั้นให้ต่ำลง พยายามใช้เล่ห์กลหลายอย่างเพื่อให้เขาหลุดจากตำแหน่งเพื่อเราจะได้แทนที่เขา ถ้าทำอย่างนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเราได้มันมาตามธรรมชาติในสังคมที่มีการแข่งขัน ใครมาก่อนก็ได้ก่อน หากอีกคนหนึ่งเขาต้องการตำแหน่งนั้น เขาก็ควรจะเร็วเหมือนๆ กับเธอหรือมีความสามารถเหมือนเธอ เรื่องการตัดต้นไม้นั้น เธอสามารถจะตัดต้นไม้แล้วปลูกเพิ่มขึ้นอีกสิบต้น เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไร ขอให้ปลูกต้นไม้มากขึ้น เราเคารพธรรมชาติแต่เราไม่เป็นทาสของธรรมชาติ ต้นไม้มีไว้เพื่อให้บริการแก่เราในหลายๆ ด้าน มันอาจจะให้ร่มเงาแก่เราเมื่อเราต้องการร่มเงา มันอาจจะทำให้บ้านของเราแข็งแรงถ้าหากในห้องต้องการเสามาช่วยเพิ่มความแข็งแรง มันอาจจะให้ความอบอุ่นแก่บ้านของเธอถ้าเธอต้องการฟืนมาก่อไฟ เพราะฉะนั้น อย่ากังวลเรื่องการตัดต้นไม้ถ้าได้รับอนุญาตให้ทำได้ ถ้าประเทศของเธอมีต้นไม้มากมายอุดมสมบูรณ์ เธอจะต้องดูสถานการณ์ ไม่ใช่เอาแต่คอยบูชาธรรมชาติ เพราะคุณค่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่สูงที่สุด ถ้าเธอตัดต้นไม้ลงหมดแล้วไม่ปลูกต้นใหม่เลยก็เป็นสิ่งไม่ดีแน่นอน แต่ถ้าเธอตัดหนึ่งต้นแล้วปลูกอีก 10 หรือ 20 ต้นจะมีอันตรายอะไรเล่า? เราไม่ควรจะเป็นพวกคลั่งไคล้อะไรจนมากเกินไป เราต้องยืดหยุ่นในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน ถ: การจะกลายเป็นเทวดาหรือปีศาจนั้น เราเป็นคนตัดสินใจเองใช่หรือไม่? อ: ใช่ แน่นอน แต่สภาพแวดล้อมก็มีส่วนด้วย ถ้าเราไม่แข็งแรงพอที่จะยืนหยัดต้านทานสิ่งยั่วยวนในชีวิต แน่นอน เราก็จะตกลงไปอยู่อีกด้านหนึ่งของธรรมชาติซึ่งเป็นด้านลบ เมื่อเราแข็งแรงพอเราก็อยู่ตรงกลาง เราสามารถมีได้ทั้งทางบวกและทางลบถ่ายเทไปมา นี่แหละคือวิถีทางของบุคคลที่รู้แจ้ง สภาวะสมาธิของอาจารย์ผู้รู้แจ้ง ถ: เราจะบรรลุถึงสภาวะสมาธิที่ถาวรได้อย่างไร? อ: สมาธิน่ะหรือ มีอยู่หลายชนิด แน่นอน บางชนิดก็อยู่ได้ไม่นาน ซึ่งแบบนี้คือแบบที่เธอจะได้ในการบำเพ็ญในระยะแรกหลังจากประทับจิต สมาธิบางชนิดก็คงอยู่เป็นเวลานานอาจจะนานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน หลังจากที่เธอฝึกไปสักระยะหนึ่ง สมาธิอีกชนิดหนึ่งเป็นสมาธิที่ธรรมดามาก คล้ายกับว่าเธอมีสมาธิอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงในขณะที่เธอทำงานอยู่ในโลกนี้ แบบนี้คือสภาวะสมาธิของผู้ที่เป็นอาจารย์ ดังนั้น ผู้ที่เป็นอาจารย์จึงดูคล้ายๆ กับสรรพสัตว์ธรรมดาสามัญทั่วไปแต่ปัญญาของท่านเด่นชัดมาก พระพรและพลังของท่านก็ชัดเจนมาก Be Veg, Go Green 2 Save The Planet www.SupremeMasterTV.com www.godsdirectcontact-thai.org
24 มิถุนายน 2554 12:17 น. - comment id 124565
เมื่อรู้ เห็น ได้ยินมากๆแล้วทำให้ทุกข์ล่ะ แล้วไม่รู้ ไม่เห็นก้อทุกข์อีก...
28 มิถุนายน 2554 05:21 น. - comment id 124650
ความทุกข์มีสองแบบ ๑ ทุกข์เพราะตัวเองทุกข์ ๒ ทุกข์เพราะคนอื่นทุกข์ แบบที่หนึ่งแก้ได้ด้วยการรู้แจ้ง(ตรัสรู้) แบบที่สองแก้ได้ด้วยการโปรดสัตว์(ช่วยคนอื่นให้รู้แจ้ง) มีชายคนหนึ่งเดินทางมาหาอาจารย์ผู้รู้แจ้งที่วัดอาจารย์ก็ถามว่า "ท่านต้องการอะไร?" " ต้องการดับทุกข์ครับ" ชายคนนั้นตอบ "ไหนเอาทุกข์ของเธอมาซิ เดี๋ยวอาตมาจะช่วยดับให้ !" อาจารย์กล่าวกับเขา มีชายอีกคนหนึ่งมาหาอาจารย์ คร่ำครวญร้องไห้ อ้อนวอนกับอาจารย์ว่า "อาจารย์ครับ ผมมีความทุกข์มากมายเหลือเกิน ผมครวญจะทำอย่างไรดี?" อาจารย์ก็พูดกับเขาว่า "แล้วเธอทุกข์ทำไมหล่ะ?" สองเรื่องนี้กำลังบอกเราว่า ๑ ทุกข์ไม่มีอยู่จริง ถ้ามีต้องสามารถเอาออกมาได้ และจะสามารถดับได้(เหมือนดับไฟ) ๒ ทุกข์ถ้ามีก็เป็นเรื่องของตัวเราเองที่สร้างขึ้นมาเอาเองทั้งสิ้น ถ้าเราไม่ทุกข์ ก็ไม่มีใครทุกข์ นั่นคือให้แก้ที่ตัวเราเอง ด้วยการอย่าทุกข์ ด้วยการบำเพ็ญปฏิบัติธรรมให้เข้าใจทุกข์ ด้วยการเห็นความจริงของทุกข์ ด้วยการปล่อยวางทุกข์ ด้วยการพ้นจากทุกข์(ที่ความจริงเป็นเรื่องของการเข้าใจผิดคิดฝันไปเองว่ามีทุกข์) ด้วยการปล่อยวางตัวตนอัตตาหรือนิสัยที่ชอบทุกข์ ด้วยการเข้าถึงพระเจ้า เพื่อจดจำได้ถึงสัจธรรมสูงสุด ว่าไม่มีใครทุกข์ จัดเต็ม