อาทิตย์บ่ายคล้อยต่ำลงใกล้ค่ำแล้ว ทางเข้าบ้านของน้องปรางมืดสลัวลงทุกที ความคับข้องใจในเหตุการณ์เมื่อยามเช้าเกาะกินใจข้าพเจ้าอยู่นานจนไม่อาจสลัดให้หลุดไปจากความคิดคำนึงได้ เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่ข้าพเจ้าต้องจากเด็กสาวคนนั้นไปเพื่อไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ น้องปรางเป็นผู้หญิงผิวขาวผมยาว ตัวเล็ก ๆ แววตาแจ่มใสน่ารัก ถ้าใครไม่สังเกตจะไม่มีทางรู้เลยว่าเธอนั้นเป็นคนตาบอด ข้าพเจ้ายังจำวันนั้นได้อยู่ วันที่เราพบกันวันแรก ในวันที่มีฝนพรำ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงไวโอลินที่ไพเราะที่สุดในชีวิต ดังแว่วมาจากชายคาร้าน จำได้ว่า ณ วินาทีนั้น ผู้คนทั้งร้านพากันเงียบสนิท ศิโรราบให้กับคีตกานต์ที่ไพเราะประหนึ่งบทเพลงที่บรรเลงจากสรวงสวรรค์ นักดนตรีเปิดหมวกน่ะพี่ แกมาเล่นแถวนี้เป็นประจำ เก่งนะ รู้สึกว่าจะตาบอดด้วยนี่เป็นข่าวสารของบริกร ที่แวะเวียนมาบอกข่าวให้หลังจากที่เสียงไวโอลินนั้นจบลง ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าข้าพเจ้าตอบบริกรผู้นั้นอย่างไร จำได้แต่ว่าหลังจากเช็คบิลแล้วข้าพเจ้ารีบวิ่งไปทำความรู้จักกับเจ้าของเสียงเพลงทันทีตามประสาของผู้ที่รักและเลือกเรียนในทางดนตรี เราพูดคุยกันหลายเรื่อง และสนิทกันอย่างรวดเร็ว เพราะมีดนตรีเป็นตัวเชื่อมประสาน ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงน้ำอุ่น ๆ ขวดนั้น ที่เจ้าของมีไมตรีจิต เข้าไปอุ่นให้จากร้านเซเว่น แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า นั่นก็คือวิธีการจับคันชัก และกดสายไวโอลินของเธอประหลาดพิสดารไม่เหมือนคนทั่วไปที่เขาเรียนมาเลย เธอบอกว่าเธอชอบเสียงไวโอลิน เธอจึงหัดเรียนด้วยตัวเองจากไวโอลินตัวน้อยที่พ่อเธอซื้อให้ โดยเธอเปิดเพลงทุกเพลงที่เธอชอบและค่อย ๆ แกะโน้ตแต่ละตัวออกมา ทุกครั้งที่เธอเล่นเพลงใดเพลงหนึ่งได้ นั่นแหละคือความสุขสูงสุดในชีวิต หลังจากนั้นที่บริเวณร้านอาหารแห่งนี้ก็มีนักดนตรีเปิดหมวกมาเล่นเพิ่มอีกหนึ่งคน โดยข้าพเจ้าจะหิ้วกีต้าร์คู่ใจมาร่วมเล่นด้วยทุกครั้งที่มีเวลาว่าง เธอทำให้ข้าพเจ้ารับรู้ว่าความภาคภูมิใจของนักดนตรีเปิดหมวกนั้นไม่ได้อยู่ที่เศษเงินเล็ก ๆ น้อย ที่มีผู้คนหยิบยื่นให้ แต่ความสุขที่แท้จริงของนักดนตรีอยู่ที่การได้แบ่งปันสิ่งที่ตนเองรักให้คนอื่น ๆ ร่วมชื่นชมด้วยมากกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเราขยับใกล้ชิดขึ้นอีกขั้น เมื่อข้าพเจ้าได้รับเชิญให้ไปเยี่ยมบ้านกลางสวนของเธอ ข้าพเจ้ายังจำได้ถึงทางเข้าที่ดูร่มรื่นแต่ค่อนข้างไกล(ปกติคุณพ่อของเธอจะเป็นคนขับรถไปส่งเธอทุกครั้งที่เธอไปเล่นดนตรี) ข้าพเจ้าได้รับการต้อนรับขับสู้ที่ค่อนข้างดีจากคุณพ่อคุณแม่ของเธอ ท่านเล่าว่าน้องปรางเป็นลูกสาวคนเดียวที่ท่านรัก เมื่อน้องปรางบ่นว่าอยู่บ้านคนเดียวเบื่อ ๆ อยากไปลองเป็นนักดนตรีเปิดหมวกดูบ้างแม้ไม่เห็นด้วยนักแต่ก็อนุโลมให้ไปเล่นได้ ที่บ้านน้อยกลางสวนหลังนี้ มีประตูรั้วบ้านที่เป็นไม้สีฟ้าอ่อน ตัดขอบด้วยลายเส้นสีแดงเป็นช่อง ๆ ตารางดูน่ารัก เมื่อเปิดเข้าไปในบริเวณบ้านก็จะเจอบ้านปูหลังน้อยล้อมรอบด้วยไม้สวนนานาพันธุ์มากมาย ในวันนั้นเองที่ริมท้องร่องเล็กๆ ใต้ต้นมะปรางต้นใหญ่ เราปูเสื่อนั่งเล่นดนตรีกันพร้อมให้อาหารปลาอย่างมีความสุข ที่สวนแห่งนี้ดูสงบและร่มรื่น มีไม้ดอกมากมาย เต็มไปด้วยผีเสื้อและแมลงปอ ณ เวลานั้น เหมือนกับเวลาได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะ และคลับคล้ายกับว่าเราได้ยินเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน บรรยากาศยามเช้าวันนี้สวยจังนะเจ้าของร่างเล็ก ๆ นั้นเอ่ยขึ้น สวย? ข้าพเจ้ามองหน้าเธออย่างฉงน เธอมองเห็นด้วยหรือ? คนตาบอดก็มองเห็นได้นะเธอยื่นมือมาจับหน้าอกข้างซ้ายของข้าพเจ้าพร้อมกับยิ้มอย่างมีปริศนา ถ้าเราหยุดเวลาเอาไว้ได้ก็คงจะดี ข้าพเจ้าตอบเธอไปอย่างนั้น ข้าพเจ้าเร่งฝีเท้าไปตามทางเดินนั้นอย่างสับสน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้คืออะไร? ที่หลังประตูไม้บานนั้น ร่างเล็ก ๆ ร่างนั้นยังอยู่ในชุดเดิมก่อนที่เราจากกันไม่เปลี่ยนไปเลย วันแรกวันนี้ที่กลับจากต่างประเทศกับสองปีที่ผ่านมาทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม เรายังนั่งให้อาหารปลา และดูผีเสื้อใต้ต้นมะปรางใหญ่ต้นนั้นอยู่ แต่ที่ต่างออกไปก็คือเธอบอกว่า มองเห็นแล้ว เธอไม่บอกว่าเธอมองเห็นได้อย่างไร เพียงแต่เธอยื่นมือมาแตะที่อกข้างซ้ายของข้าพเจ้าพร้อมบอกกับข้าพเจ้าว่า เธอมองเห็นแล้วและเธอก็มองเห็นอยู่เสมอมา! พี่ว่าพี่เจอน้องปรางเมื่อเช้านี้เหรอบริกรคนเดิมมองหน้าข้าพเจ้าอย่างพิศวง คล้าย ๆ กับจะช็อคสุดขีด เธอถูกรถชนตายเมื่อประมาณเดือนก่อนนี้เอง งานศพน้องเค้าผมยังไปมาเลยเสียงสั่น ๆ ของบริกรท่านนั้นคล้ายเสียงที่ดังมากับสายลม น่าสงสารพ่อแม่น้องเค้านะ คงเสียใจมากจนทนไม่ได้ก็เลยย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ที่ประตูไม้สีฟ้าอ่อนยามใกล้ค่ำวันนี้แลดูเก่าหมองกว่ายามเช้ามากมาย แต่ก็ยังตัดขอบด้วยเส้นสีแดงเล็ก ๆ เป็นช่อง ๆ และยังดูน่ารักอยู่เหมือนเดิม ข้าพเจ้ายืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่หน้าประตูบานนี้ ความทรงจำหลายหลากวิ่งผ่านไปมาในหัวของข้าพเจ้า เธอยังไม่ตาย ต่อให้ใครหลายคนที่ข้าพเจ้าโทรไปตรวจเช็คแล้วยืนยันว่าเธอ ตายแล้วก็ตาม แต่เมื่อเช้านี้ข้าพเจ้าก็ยังมองเห็นเธอมีชีวิตอยู่...เธอยังอยู่ที่บ้านหลังนั้นเหมือนเดิม! มือเธอยังนิ่ม ๆ ลมหายใจเธอยังอุ่น ๆ ตัวเธอยังมีกลิ่นหอม แล้วเธอจะตายไปได้อย่างไรกัน? แสงสว่างยามเย็นลดน้อยลงทุกที แต่ที่ประตูสีฟ้ากลับดูสดใหม่และกระจ่างขึ้นอย่างไม่เคยคิดว่าจะใหม่เท่านี้มาก่อน เส้นสีแดงเล็ก ๆ ที่ตัดขอบประตูช่างคล้ายกับด้ายแดงแห่งพรหมลิขิตอะไรปานนั้น ความรู้สึกบางอย่างบอกกับตัวข้าพเจ้าว่า เธอยังอยู่ที่หลังประตูและยังคงเฝ้ารอคอยข้าพเจ้าอยู่อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไหนเลย เพียงแค่ข้าพเจ้าผลักประตูบานนั้นและเดินผ่านเข้าไป ....เวลาในโลกแห่งความรักของเราทั้งสองจะถูกหยุดนิ่ง และมีความสุขอยู่ในโลกใบนั้นชั่วกาลนาน.... และในทางกลับกันเพียงแค่ข้าพเจ้าเดินหันหลังกลับจากประตูบานนั้น .......เวลาของเราทั้งคู่จะถูกแยกให้ขาดจากกันชั่วดินฟ้า..... ประตูสีฟ้าบานนั้นอยู่ใกล้เพียงชั่วเอื้อมมือ แต่เหมือนอยู่ห่างไกลลิบลับ เราพร้อมที่จะทอดทิ้งซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อคนที่เรารักหรือไม่? เพียงแค่เอื้อมมือไปให้ถึงที่ประตูสีฟ้าบานนั้น.....
21 มิถุนายน 2554 10:40 น. - comment id 124491
พี่ใบไม้เขียนเรื่องเศร้า..... มะขิ่น
22 มิถุนายน 2554 12:37 น. - comment id 124524
สวัสดีดีค่ะคุณกระบี่ใบไม้ อ่านแล้วทราบซึ้งจังเลย.. น้องปรางสาวน้อยผู้พิการดวงตา.. แต่มีหัวใจที่เข้มแข็งใช่ความรู้สึกสัมผัสถึงความรักที่ส่งผ่านจากใจถึงใจ.... ..น้องปรางโชคดีนะค่ะมีคนมองข้ามความพิการมอบความรักให้เธอ.......