อทิสมานกาย ๙๓ คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ ๑๕ ค่ำ ท้องฟ้าปราศจากเมฆก้อนใหญ่นอกจาก ก้อนเมฆเล็กที่ล่องลอยผ่านไปตามกระแสลมพัด ทำให้บริเวณลานกว้างใน บ้านเจ้าเปล่งที่ถูกจัดวางไว้ด้วย โต๊ะยาวๆพร้อมเก้าอี้ยาวเช่นเดียวกัน หลายๆโต๊ะยาว ที่จัดวางไว้ห่างกันไม่เท่าไหร่นัก ริมรอบบริเวณไฟฟ้า ดวงเล็กเรียงราย เหนือเสาที่ถูกปักด้วยเสาเรียงราย ส่งแสงเจิดจ้า ไม่มาก นัก ทอแสงสว่างแข่งกับแสงแห่งนวลจันทร์ที่ทอทาบลอดต้นไม้และไป ยังลานกว้างพอประมาณบริเวณนั้นหลังจากพ้นจากเขาที่บดบังไว้ จึงทำ ให้บริเวณนั้นสว่างไสว ไม่มากนัก แต่ก็มองเห็นได้เป็นอย่างดีตลอด ทั้งแสงไฟและแสงแห่งดวงจันทร์ อีกด้วย ซึ่งภายในบริเวณนั้นอากาศ สายลมพัด เอื่อยๆแสนสดชื่นใบไม้ต่างไหวไปๆมาๆ สภาพจึงจัดว่าเหมาะสมดี แต่ทว่าภายในบริเวณล้วนมีบรรดาผู้คนเป็นจำนวนมากเดินขวักไขว่ไป มาทั้งหญิงและชาย ต่างช่วยกันจัดลำเลียงบรรดาโถน้ำและแก้วจัดวางไว้ ตามโต๊ะยาวๆนั้น ส่วนหน้ากระท่อมที่ติดภูเขายื่นออกมา วางไว้ด้วยแคร่ ไม้เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าพอประมาณนั่งด้วยร่างที่นุ่งขาวห่มขาวสวมใส่ ประคำสีออกดำๆกำลังนั่งสนทนากับคนสองสามคนอยู่ เพื่อรอเวลาถึงจะ มาถึงอีกในไม่ช้า แต่หากสังเกตุดีๆจะเห็นว่าบรรดาชายหรือหญิงนั้นแต่ง กายแปลกประหลาดนักคล้ายๆกับสาวในยุควรรณคดีเสียเกือบทั้งหมดจะ มีนุ่งผ้าซิ่นบ้างก็คละเคล้ากันไปมาๆ ทุกๆคนเฉพาะหญิงนั้นจัดว่าเป็นคนที่สวยงามกลิ่นหอมที่ออกมาจาก ร่างนางนั้นช่างแปลกประหลาดกลิ่นหอมเย็นๆ ผิดกับจำพวกน้ำหอมที่ ชาวกรุงชอบใช้ล้วนเป็นคล้ายๆแป้งร่ำหรือพวกน้ำอบโชยกลิ่นหอมเย้า ยวนนัก ส่วนชายเล่าหรือก็แต่งกลายแบบโบราณนุ่งกางเกงออกสีดำๆ และสีน้ำเงินเข้มยาวเลยหัวเข่าเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าหรือก็ไม่เหมือนพวก ที่แต่งกายในยุคบัจจุบันเลย ทุกๆคนกระวีกระวาดทำงานกันตัวเป็นเกลียว ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาก่อนนำหน้าด้วยคนนำทาง ครั้นมา ถึง ชายกลุ่มนั้นจำนวนหกคนก็แปลกใจยิ่งนัก เมื่อแลไปที่ร่างของชายที่ นุ่งขาวห่มขาว ทั้งหมดต่างขยี้นัยน์ตากันหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย นัก หนึ่งในนั้นก็พลันเอ่ยถามพรรคพวกทันทีว่า “พี่ชวนนั่นใช่เจ้าเปล่งหรือไม่พี่ พี่ลองดูซิหรือว่าเป็นอาจารย์หมอผี กำลังก้มหน้าก้มตาคุยกับใครบางคนก็ไม่รู้ซิพี่” “เออๆจริงซินะเจ้าใหญ่หรือตี๋ใหญ่ที่ถามมา ข้าว่าคงจะใช่เจ้าเปล่งแต่ แปลกจริงๆทำไมมันแต่งขาวนุ่มขาวก็ไม่รู้ซินะ” “ข้าก็ว่าจะใช่เพียงแปลกที่การแต่งตัวเท่านั้นใบหน้ารูปร่างหรือใช่นะ ใช่แน่ๆพี่ชวน” “คงจะใช่แน่ๆเลยพี่ เฮ้ยพวกเราไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกเดินไปหามัน ก็จะรู้เองแหละน่า” เจ้าวาสเสนอขึ้นมา ทำให้ทุกๆคนคล้อยตามไปด้วย ต่างก็เดินไปพลาง เจ้าตี๋เล็กก็แกล้งส่งเสียกระแอมไอออกมา ทำให้คนที่นั่งบนแคร่นั้น เงยหน้าขึ้นมาทันที พร้อมส่งยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินออกมาต้อนรับทันที พร้อมทั้งยกมือไหว้ไปทางเจ้าชวนทันที “สวัสดีพี่ชวน สบายดีหรือเปล่าล่ะ ระยะนี้พ่อหวนท่านไปเป็นเจ้า อาวาสวัดโคกอีแร้งแล้วล่ะแทนหลวงพ่อทอง พี่ไปงานมาหรือเปล่าล่ะ ส่วนข้าไม่ได้ไปหรอก เพราะกำลังคิดวางแผนการณ์ที่นายแจ้งมาให้ มาๆนั่งหาอะไรกินกันก่อนนะ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกผลไม้นะพี่ ส่วนอาหารอื่นก็มีบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง เชิญๆๆๆพวกเรานั่ง กันให้สบายได้แล้วล่ะ เฮ้ยๆๆๆ...พวกเราทุกๆคนคงจะสบายดีนะ” “ข้าบอกแล้วว่าใช่เจ้าเปล่งแน่นอนไม่ผิด” เจ้าวาสเปรยขึ้นพร้อมบอกให้ทุกๆคนเข้าไปหาเจ้าเปล่งทันทีด้วย ความสงสัย เจ้ากุ๋นจึงถามว่า “ข้าถามจริงๆเถอะว๊ะเปล่งทำไมถึงได้แต่งตัวแบบนี้ดูไปคล้ายๆพวก อาจารย์หรือพวกหมอเสน่ห์หรือหมอผี ด้วยสวมประคำอีกด้วยซิ” “เพื่อการฝึกสมาธิให้แนบแน่นเองนั่นแหละว๊ะไม่มีอะไรหรอกส่วน ที่แต่งกายสีขาวนั้นหาใช่เป็นอาจงอาจารย์อะไรหรอกว๊ะกุ๋น เพียงแต่ ว่าข้าเลิกกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผลไม้แทนการแต่งกายแบบนี้จิตใจก็ผ่องใส ไม่ว้าวุ่นอะไรไม่ติดยืดอะไร การติดยืดมีเพียงแค่คำสั่งนายเท่านั้นเอง แหละที่มีคุณมากยากจะทดแทนได้เท่านั้นว๊ะ” แล้วทุกๆคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นึกชมมันในใจ ต่างพากันเข้าไปสวม กอดเจ้าเปล่ง ยกเว้นเจ้าชวนเท่านั้นที่เพียงแค่ยืนอมยื้มหันหน้าไปมอง รอบๆกาย แล้วใบหน้าคิ้วมันก็ขมวดด้วยความสงสัยจึงเอ่ยถามเจ้าเปล่ง ขึ้นเพื่อแก่ความสงสัย ด้วยเห็นมีผู้คนจำนวนมากทั้งชายและหญิงอีก อย่างหนึ่งการแต่งกายหรือก็แปลกๆผิดชาวบ้านทั่วๆไปเท่านั้น ทำให้มัน นึกย้อนไปยังสาวลัดดาที่เป็นเจ้าของร้านอาหารทางบ้านทันที นับว่า หล่อนนั้นจัดว่าเป็นหญิงงามที่สุดในตำบลก็ว่าได้ แต่หากมาเทียบกับสาว ที่ต่างพาดสไบเฉียงเหล่านี้แทบเรียกว่าผิดกันราวกับฟ้าดินทีเดียว แล้ว มารวมอยู่กับเจ้าเปล่งได้อย่างไร ส่วนชายหรือก็แต่งกายประหลาดๆไป “เปล่งพี่ขอถามหน่อยเถอะนะ ด้วยรู้สึกมันแปลกๆชอบกลยังไงไม่รู้ ซิ ด้วยเห็นชายหญิงแต่งกายประหลาดแบบคนโบราณไม่ผิดเลยนะ” ทุกๆคนก็ผละจากสวดกอดเจ้าเปล่งแล้วสนทนากันหันไปมองรอบๆ ข้างมันทันที ก็แลเห็นดังคำที่พี่ชวนหัวหน้าพวกมันเอ่ยเหมือนกันต่างพา กันมองมายังเจ้าเปล่งทันที เมื่อได้ยินลูกพี่มันถามขึ้นมา “อ้อๆคนของนายและของข้าแหละพี่ชวน วันนี้นายสั่งให้มาต้อนรับ พวกเราและ คนในเมืองเดี๋ยวก็คงจะมานั่นแหละ เด็กๆพวกเราทั้งนั้น แหละไม่มีใครอื่นๆหรอก” “แล้วทำไมถึงแต่งกายไม่เหมือนพวกเราเลยล่ะ กูก็ชักสงสัยเหมือนกัน นะโว้ยคุณเปล่ง” “ฮ่าๆๆๆ!!!!.....ก็คนที่พวกมึงแลเห็นอยู่นี้มันไม่ใช่มนุษย์นี่นาจะแต่ง กายเหมือนพวกเราไปได้อย่างไร ข้าเองก็ต้องทำตามเขาบ้างเข้าเมืองตา หลิ่วหากไม่หลิ่วตาตามก็ดูกระไร เหมือนมึงพายเรือหากเข้าไปในคลอง มึงก็ต้องพายเรือไป ถ้าหากคลองมันคดมึงจะไม่พายเรือคดไปตามคลอง ได้หรือว๊ะ ข้าเองก็แต่งตัวเหมือนกันแหละว๊ะ” เจ้าเปล่งเอ่ยให้บรรดาพวกพ้องฟัง ทำให้ทุกๆคนเมื่อได้ยินว่าไม่ใช่ คนแบบพวกมัน ก็พากันนึกถึงผีขึ้นทันใด ต่างสะดุ้งตกใจหน้าซีดไป ตามๆกัน รวมทั้งเจ้าชวนปกติมันจะเคร่งขรึมก็อดพลอยตกใจไปด้วย เหมือนกัน “ถ้าอย่างงั้นมันก็พวกผีซิว๊ะ ไอ้คุณเปล่ง” ทั้งหมดร้องกันลั่น แล้วต่างเข้าไปรวมตัวรอบเจ้าเปล่งทันทีเหมือน จะให้เจ้าเปล่งช่วยเหลือยยังไงยังงั้นแหละ พลันเจ้าเปล่งก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ใช่ผีหรอกเพื่อนๆพี่ชวน เขาเป็นพวกหุ่นของนายบ้าง พวกผีบ้าง แต่ได้ปรับตัวเองเปลี่ยนสภาพเหนือผีไปแล้ว พวกรุกขเทวีบ้าง นางไม้ บ้าง ครั้นเมื่อมีงานก็ต้องแต่งตัวกันดีๆ หากไม่เชื่อลองถามพวกเราที่ เคยโดนมาแล้วก็ได้ซิว่าข้าพูดจริงไหม” “จริงๆว๊ะ พวกเราสามคนโดนกันมาแล้วเมื่อหลงไปในค่ายกลค่ายแกน อะไรนี่ล่ะพี่ชวนและลองถามเมื่อคราวมาเยี่ยมคราวก่อนก็ได้นะ” เจ้าวาสเอ่ยขึ้นให้ลูกพี่มันฟัง แต่ที่มันตกใจเพราะเหตุการณ์ยังย้อนมาให้ มันจำได้ไม่รู้ลืมเมื่อคราวก่อนนั่นเองแหละ ทำให้เจ้าชวนงงยิ่งนักย้อน ถามกลับไปว่า แล้วพวกเอ็งเจอกันมาทุกๆคนแล้วหรือไม่เห็นเล่าอะไร ว่าเจออะไรกันบ้างเลย ให้กูฟังเลยปิดเงียบกันทุกๆคน ทำให้พวกที่โดนกันมาต่างมองหน้ากัน ด้วยเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก ยกเว้นเจ้าวาสเอ่ยขึ้นว่า “ไม่มีอะไรหรอกพี่ชวนแต่สภาพเหตุการณ์ผิดกันเท่านั้นเองล่ะแตกต่าง กันไม่เหมือนคราวนี้เท่านั้นและมีน้อยกว่านี้มากนักแหละ” “พี่ชวนเรื่องมันแล้วก็แล้วไปเถอะพี่อย่าไปถามพวกมันเลย มันจะอับ อายเสียเปล่า เชิญไปนั่งที่โต๊ะยาวด้วยกันเถอะไปคุยกันที่นั่นก็แล้วกัน นะพี่ อีกประเดี๋ยวพวกสารวัตรกับพวกก็จะมาถึงแล้วล่ะ ส่วนนายคงจะ มาล่าสุด แล้วก็จะเริ่มประชุมกันเลยพี่” เจ้าเปล่งตัดบทเพื่อไม่ให้เพื่อนๆต้องอับอายในเรื่องดังกล่าวเลยรีบนำ หน้าไปยังโต๊ะยาวพร้อมนั่งสลับหันหน้าชนกันคุยกันไป บรรดาสาวๆ ทั้งหลายก็พากันเข้ามา ช่วยรินน้ำส่งให้แต่ละคนยกเว้นเจ้าเปล่งคนเดียว เท่านั้น เล่นเอาบรรดาพระกาฬทั้งห้าต่างไม่กล้าที่จะสบตากับบรรดา สาวสวยทั้งหลาย มันพากันคิดไปต่างๆนาๆไม่กล้าที่จะละลาบละล้วง ดังนิสัยชายหนุ่มทั่วๆไป ทันใดนั้นมันทั้งห้าก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อได้ยินเสียสาวหนึ่งในห้านาง เอ่ยขึ้นทันที ด้วยมันจำเสียงเหล่านี้ได้ดีอย่างไม่มีวันลืม “พี่ๆจำน้องไม่ได้หรือ หายไปนานหรือว่าลืมน้องที่เคยมีอะไรกันไว้ แล้วล่ะ แหม๋ๆผู้ชายนี้ทำไมลืมง่ายดายจริงๆน๊ะ???....” “เสียงนะคิดว่าพวกพี่ๆจำได้จ๊ะ แต่ทว่าเมื่อก่อนนั้นพี่ไม่รู้จริงๆว่าน้อง เป็นใครกัน พอรู้ก็รู้สึกว่ามันเยือกเย็นเหมือนเอาใจไปแช่น้ำแข็งเลยล่ะ” เจ้าวาสซึ่งตั้งสติได้ตอบแทนพวกมันที่ได้แค่อ้าปากค้าง ทำไมพวกมัน จะจำเสียงไม่ได้ เพียงแต่บัดนี้พวกนางแต่งตัวเรียบร้อยแล้วลวดพาดสไบ เฉียงกันไป กลิ่นกายหอมหวนมันจำกลิ่นได้เป็นอย่างดี เมื่อนางได้ยินเช่นนั้นก็ต่างพากันเข้ามานั่งเคียงคู่ด้วยทันที เล่นเอา ไอ้ตี๋ ใหญ่ ไอ้ตี๋เล็กไอ้ชื่นและไอ้กุ๋นต่างรีบถอยออกห่างทันที ส่วนไอ้วาสมัน นั่งเฉยๆด้วย ตอนนั้นมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างไร เพียงแค่มีนาง หนึ่งเดินมาชักชวนมันไปเล่นน้ำแต่มันรีบหนีไปเสียก่อน จนได้แม่นางไม้ มาช่วยเหลือมันไว้ จึงทำใจแข็งไว้แต่มันคิด หากมันมีเมียได้สวยแบบนี้ มันก็ยอมล่ะเป็นไงเป็นกัน ไอ้วาสรำพึงในใจเมียคนหาไม่ได้นี่นา ลองหา เมียเป็นผีบ้างก็คงจะดี บางทีอาจจะดีกว่าเมียคนเสียอีกเพียงแค่ขอให้แปลง กายเป็นแบบนี้เสมอๆไม่ใช่ว่าเป็นรูปร่างอีกอย่างหนึ่งเท่านั้น กลิ่นหรือก็ หอมหวนยิ่งนัก ขออย่าให้เหม็นเป็นใช้ได้มันรำพึงในใจ ดังนั้นไอ้วาสจึงหันมาส่งยิ้มแล้วถามชื่อทันทีว่า “อ้าวแล้วน้องล่ะ มีชื่อว่าอะไรล่ะ???...พี่จะได้เรียกชื่อถูกจ๊ะน้อง” “น้องชื่อมณฑาจ๊ะพี่วาส แล้วทำไมพี่ถึงไม่กลัวเหมือนเพื่อนๆพี่เสีย ล่ะ??.....หรือว่าพวกนางนั้นไม่สวยเท่าน้องใช่ไหม??....” “เรื่องแบบนี้พี่เองก็ไม่รู้เหมือนกัน แล้วแต่ใจเขาจ๊ะน้องมณฑา ส่วนพี่ เองนั้นไม่คิดอะไรมาก เป็นโสดมาถึงขนาดนี้แล้วจะหาสาวใดมาสนใจพี่ ไม่มีเลย ทั้งๆทีพี่เองก็ไม่ใช่คนเจ้าชู้อะไรหรอกแค่บางครั้งเพียงหยอกเย้า เล่นเท่านั้นเอง หรือว่าพี่เองอาจจะรูปไม่งามไม่ต้องใจสาวๆพูดจาหรือก็ ไม่ไพเราะ เลยทำให้ไม่มีใครเหลียวแลเมื่อจะหาเมียคนจีบไม่ได้ก็ทำใจ ได้ลองคิดจะจีบสาวไม่ใช่คน บางทีวาสนาพี่ส่งหรืออาจจะมีก็อาจจะมี เมียกับเขาได้บ้างจะเป็นอะไรก็ช่างเถอะพี่ทำใจได้แล้วล่ะจ๊ะ” “น้องเองก็รู้ว่าพี่เป็นคนมีนิสัยอย่างไรและเป็นโสดด้วยจึงหลังจาก หยอกเย้าพวกพี่ๆเล่นก็ได้แต่คอยมองพี่ พี่บอกว่าไม่ค่อยสบายก็ไม่อยาก ไปรบกวนพี่ ทั้งๆที่รู้แล้วว่าพี่ไม่เป็นอะไรแต่เรื่องนี้น้องเองก็ไม่ค่อยชอบ ไปหักหาญน้ำใจใครเสียด้วย อีกอย่างหนึ่งเหมือนมีใครมาบอกว่าพวก พี่ๆรวมทั้งพี่นะเป็นเพื่อนของอาจารย์อีกด้วยล่ะจ๊ะ ความคิดที่กล่าวมานี้ ขอให้เป็นจริงเถอะนะ รับรองว่าน้องจะไม่ทำให้พี่ผิดหวังอย่างแน่นอน อันว่าต้องถึงจะไม่ใช่คนก็ตามที แต่น้องตอนนี้มีศีลมีสัตย์กว่าแต่ก่อนและ อีกอย่างหนึ่งสภาพปัจจุบันนี้ไม่เหมือนก่อนแล้วล่ะจ๊ะ ได้เปลี่ยนแปลงเมื่อ ได้สร้างกุศลผลบุญไว้จึงได้เป็นนางไม้ไปแล้วจ้า เพียงแต่พี่เองจะยอมรับได้เท่านั้นเอง ส่วนน้องนั้นก็ยังไม่เคยยุ่ง เกี่ยวกับใครๆเลย เสียชีวิตก็ตอนวัยยังสาวด้วย ถูกสัตว์มันฆ่าตายไปจ๊ะ จึง ได้เร่ร่อนมาเรื่อยๆจนมาพบสถานที่นี้แหละจ๊ะ พอดีได้รับความเมตตา จากรุกขเทวีท่านรับไว้เพื่อคอยรับใช้งานแม่นางท่าน และท่านได้พามาพบ อาจารย์เปล่งได้ช่วยอบรมบ่มนิสัยใหม่ตลอดจนสร้างบารมีให้แก่ตัวเอง ด้วยจ๊ะ แต่เรื่องนี้แล้วแต่เวรกรรมใครเวรกรรมมันจ๊ะ หากไม่เสียชีวิตไปก็คงจะหนีไม่พ้นพี่ได้หรอกด้วยเราสองเคยสร้าง กุศลมาด้วยกันอธิษฐานกันไว้แล้วเมื่อภพก่อนอีกด้วย ดังนั้น ทำให้น้องบังเกิดความสงสารเอ็นดูพี่ทั้งๆที่มีเหล่าชายในลักษณะ เดียวกันมาเกี้ยวพาราสีน้อง น้องก็หาสนใจใยดีไม่จ้าพี่หรอก” ครั้นเจ้าวาสได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ก็ลืมหมดว่านางเป็นอะไรไป แต่ด้วย มันเองเป็นคนเด็ดเดี่ยวสัตย์ซื่อนัก รักใครมักจะรักยอมถวายชีวิตให้อยู่ แล้วดังนั้นมัน จึงไม่สนใจใยดีว่านางจะเป็นอะไรถึงจะไม่ใช่คน ดังนั้น มันจึงเกี้ยวพาราสีนางมณฑากระเซ้าเย้าแหย่หยอกล้อกันเล่น จนทำให้ พวกมันที่ต่างที่เขยิบหนีแม่นางต่างๆนั้นจ้องมองไอ้วาสเป็นตาเดียวกัน ว่าทำไมไอ้วาสถึงได้กล่าวจีบนางผีตนนี้ได้เหมือนกับว่านางผีนั้นเป็นคน ส่วนเจ้าเปล่งครั้นเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันขณะที่กำลังคุยอยู่กับ เจ้าชวนลูกพี่มัน ต่างคุยกันอย่างสนุกสนานเย้ากันว่าไอ้เปล่งเดี๋ยวนี้หาใช่ ธรรมดาเสียแล้ว คุมพวกผีสางนางไม้ได้ในทำนองเดียวกันก็แลเห็นไอ้ วาสกำลังจึงสาวๆอยู่เหมือนกัน แต่ชวนเองเป็นคนไม่ค่อยสนใจในเรื่อง นี้เพียงแค่ถามเจ้าเปล่งว่า “นี่แน๊ะเปล่ง เมื่อเจ้าคุมบรรดาพวกนี้มีอะไรกับพวกสาวๆบ้างหรือเปล่า ล่ะ ไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวอายบอกข้าได้น๊ะข้าไม่บอกพวกเราหรอก” “พี่เองก็รู้นิสัยข้าเป็นคนอย่างไรดีอยู่แล้วนี่นาจะไปสนใจได้อย่างไรยิ่ง มาปกครองพวกนี้ขืนทำเป็นสมภารกินไก่วัดแล้วต่อไปจะปกครองได้ อย่างไรกันได้อีกเล่า อาจารย์นายก็สั่งนักสั่งหนาหากวันใดข้าผิดคำมั่น สัญญาไว้กับอาจารย์นายแล้ว วิชาการต่างๆจะทำให้ข้าเองต้องลงไปยัง อบายนรกแน่นอน ข้ากลัวมากพี่เพราะอาจารย์นายได้พาข้าไปเที่ยว มาแล้วสู้อดเปรี้ยวไว้กินหวานมิดีกว่าหรือ จึงวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆทั้งสิ้น เพียงเมื่อทำงานให้นายเรียบร้อยก็เป็นอันใช่ได้ เมื่อไม่กี่วันนี้ข้าเองก็ทำ ธุระให้นายเสร็จไปอย่างหนึ่งแล้วล่ะ” “พี่โชติใช้ให้เอ็งไปทำงานอะไรหรือว๊ะเจ้าเปล่ง” “นายใช้ข้าไปทำลายของผิดกฏหมายข้าได้ทำตามคำสั่งเรียบร้อยแล้ว” ดังนั้นเจ้าอาจารย์เปล่งก็เล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ชวนฟังจนหมดสิ้น ทำให้เจ้าชวนยิ่งเกิดเพิ่มศรัทธาเชื่อมั่นรักพี่โชติมันยิ่งขึ้น ถึงกับรำพึงใน ใจว่า ดีนะที่เราไม่เป็นคนเกเรและทำงานที่ไม่ดีด้วยนิสัยเราไม่ชอบทาง นี้หากทำงานไป เหมือนพ่อที่พี่เขายังเมตตาสงสาร มิฉนั้นป่านนี้ไม่ตาย ก็มีหวังติดคุกหัวโตแน่นอน และแล้วทั้งหมดก็หยุดสนทนากันเมื่อแล เห็นชายคนหนึ่งนำหน้า สารวัตรชัชวาลย์ ผู้กองจำลองและผู้กองจรัสเข้า มาในบริเวณนั้น เจ้าเปล่งก็ลุกขึ้นออกไปต้อนรับพร้อมยกมือไหว้ทันที “นายแจ้งให้ทราบแล้วว่าจะมาประชุมกันคืนนี้ ทำไมใกล้ๆแค่นี้ก่อน นี้เราทั้งหมดก็เคยมากันแล้วนี่นา แต่ทำไมจะหาทางมาพบไม่ได้หรือไง จึงต้องให้คนออกไปรับเรามานะ?????....” สารวัตรชัชวาลย์เอ่ยถาม พร้อมหันไปมองรอบๆตัวก็เห็นพวกของ ชวนก็จำได้อย่างแม่นยำจึง เดินไปทักทายทันที บรรดาหญิงทั้งหลายเห็น ดังนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปทันที พร้อมคอยจังหวะเมื่อคนมาใหม่มานั่ง ก็จะได้จัดน้ำจัดท่ามาบริการให้ “แล้วนายยังไม่มาอีกหรือ เปล่ง แล้วทำไมตอนนี้แต่งตัวยังกับนักบวช เชียวนะ????...” “ยังครับท่านสารวัตรนายบอกว่าให้รอคอยก่อน คิดว่าประเดี๋ยวก็คงจะ มาเองแหละครับ อ้อๆที่แต่งตัวแบบนี้อำพลางตนเองได้ดีอีกด้วยแล้วมี บางอย่างจะบอกท่านสารวัตรไม่ได้ด้วยครับ” “อ้าวๆๆๆ????...เราก็พวกเดียวกันจะมาปิดบังกันทำไมล่ะ???...” ผู้กองจำลองกับผู้กองจรัส ถามขึ้นพร้อมๆกัน “ผมกำลังศึกษาวิชาการต่างๆทางด้านเวทย์มนต์ตลอดแผนการณ์ต่างๆ อยู่ครับ ที่ให้คนไปรับท่านทั้งสามมานั้นผมได้ทดลองวางสิ่งบางอย่างไว้ หากไม่มีคนไปรับแล้วอาจจะติดอยู่ในนั้นจนตายไป ย่อมหาทางออก ไม่ได้หรอกครับ” “ฮ่าๆๆๆ????....ร้ายกาจถึงปานนี้เชียวหรือ???....ก็เขานำทางมาก็เห็นมี แต่ต้นไม้ธรรมดาเท่านั้นนี่นา ไหนบอกว่าร้ายกาจหาทางออกไม่ได้” ตำรวจทั้งสามระดับหน้าถามด้วยความแปลกใจ ดังนั้นเจ้าเปล่งจึงเล่า เรื่องทั้งหมดให้ฟังว่าได้จัดการสร้างค่ายกลเอาไว้ หากไม่เชื่อไปสอบถาม เจ้าตี๋ใหญ่และพรรคพวกยกเว้นพี่ชวนได้ครับ ทำเอาตำรวจทั้งสามตีสี หน้าฉงนไปตามๆกัน แล้วหันไปสอบถามพรรคพวกตำรวจลับคือพวก เจ้าเปล่งทันที และก็ได้รับการยืนยันด้วยทั้งหมดได้หลงเข้าไปติดกับอยู่ ในนั้นหาทางออกไม่ได้ เล่นเอาตำรวจทั้งสามด้วยงวยงงไปแบบเชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่ง แต่ในเมื่อได้รับการยืนยันเช่นนั้นก็ต้องฟัง เจ้าเปล่งก็เชิญให้ ไปนั่งยังที่อันสมควร เพื่อรอนายมันจะมาถึง แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวก ตำรวจทั้งหลายแปลกใจก็คือ ในบริเวณนั้นมีจำนวนคนทั้งหญิงและชายเป็นจำนวนมาก หากประมาณคร่าวๆไม่ต่ำกว่าพันคนเป็นเด็ดขาด แต่แปลกๆด้วยบริเวณนั้นก็หาใช่ที่จะกว้างขวางใหญ่โตไม่เพียง คนเดิน สลับไปสลับมาแล้วก็หลบไปแล้วก็มา แต่หน้าตาไม่เหมือนๆกัน โต๊ะยาว หรือก็มีจำนวนมากเสียด้วย อีกทั้งบนพื้นก็ถูกปูไว้ด้วยเสื่อที่ยังไม่ได้กาง หลายสิบม้วนอีกด้วย โต๊ะยาวนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้นเองนอกนั้น คงจะนั่งกับพื้นเสียแน่นอน ท่านสารวัตรและผู้กองคิดเช่นนั้น มีอีกสิ่งหนึ่งคือไม่ได้ยินเสียงนกหากินในกลางคืนร้องเลยสักตัวเดียว ซึ่งมันผิดปกติวิสัย หากเป็นป่าเช่นนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีเสียงร้องของสัตว์ หากินในกลางคืนบ้าง หรือไม่ก็ต้องมีพวกค้างคาวบินว่อนๆ ยุงหรือก็ไม่ มีสักตัวเดียว อากาศเย็นสดชื่นมากๆเอาเสียด้วยบรรดาพวกต้อนรับหรือ ก็เป็นสาวๆสวยๆทั้งนั้น สวยกว่าสาวๆในเมืองที่เห็นมาเสียอีกยิ่งสร้าง ความแปลกใจให้แก่นายตำรวจทั้งสามคนเป็นยิ่งนัก ครั้นจะถามหรือก็ เห็นจะไม่เหมาะสม จึงเพียงนั่งสนทนากันถึงเรื่องราวต่างๆในเมือง และ เหตุการณ์ต่างๆเท่านั้นเอง อากาศในบริเวณนั้นก็หอมนักคล้ายกลิ่นของ บรรดาดอกไม้ต่างๆมารวมกัน ครั้นแล้วทุกๆคนก็หยุดการสนทนาเมื่อแลเห็นร่างของชายหนุ่มคน หนึ่งเดินเคียงคู่มากับสาวสวยสองคน ซึ่งความสวยนั้นที่พวกเขาคิดว่า บรรรดาสาวๆที่กำลังต้อนรับหรืออยู่ในที่นี้ เมื่อมาเทียบกับสาวที่เดิน เคียงขนาบข้างชายหนุ่มมาแทบจะเรียกว่าผิดกันยิ่งกว่าฟ้าดินเสียอีก เมื่อชายหนุ่มและสาวแสนสวยเดินมาใกล้ๆ ทุกๆคนก็ยืนขึ้นต้อนรับ ทันที ด้วยเป็นชายหนุ่มโชตินายของพวกเขานั่นเอง บรรดาหนุ่มสาว ทั้งหมดก็พากันนั่งลงโดยพร้อมเพรียงกันต่างยกมือขึ้นไหว้พนม สารวัตรชัชวาลย์และผู้กองทั้งสองตลอดจนเจ้าเปล่งและพวกต่างก็ร้อง ออกมาด้วยเสียงเดียวกันว่า “นายๆๆๆมาแล้วหรือ เชิญครับเชิญพวกเรารอคอยพร้อมกันแล้ว มาคอยตั้งนานพอสมควรแล้วครับ” แล้วทั้งหมดต่างก็แสดงความเคารพ จนชายหนุ่มและหญิงสาวแสน สวยเข้ามานั่งประจำยังที่ ที่เจ้าเปล่งจัดไว้ให้เป็นพิเศษ พลันเขาก็เอ่ย ขึ้นว่า “ขอเชิญทุกๆคนนั่งตามสบายเดี๋ยวค่อยจะมีเรื่องขอความ ร่วมมือและจะ ปรึกษากันหน่อยนะ” ดังนั้นบรรดาโต๊ะยาวและที่นั่งยาวจึงถูก จัดนั่งเรียงรายไปเต็มหมดล้วนด้วยบรรดาที่ได้รับการแต่งตั้งตามลำดับ ชั้นส่วนที่รองลงมา ก็นั่งยังลานทั้งหญิงชายเต็มไปหมด เมื่อครบแล้วชาย หนุ่มจึงได้เอยขึ้นว่า................... แก้วประเสริฐ.
14 มิถุนายน 2554 17:01 น. - comment id 124322
มาติดตามงานครูแก้วครับ สนทนากับสิ่งที่ไม่ใช่คน ก็น่าสยองเหมือนกันครับ
15 มิถุนายน 2554 09:24 น. - comment id 124324
หวัดดครับ เข้า มาอ่านยามเช้าบรรยากาศดี..ๆๆทำให้เพลินๆครับ สบายดีนะครับ....เมือคืนที่ผ่านมา..ผมฝันว่า มีนายกหญิงครับ...แต่โดนช่วงชิงโดยผู้ชาย ที่ไม่ใช่ชายครับ..โห..มันจะเปนอย่างที่ฝัน หรือเปล่าน๊า...ถ้าเปนอย่างงั้นประชาชนชาว รากหญ้าจะลุกขึ้นมาทวงสิทธิ์ที่ถูกแย่งดวงใจ ของพวกเขาไป...มันจะเกิดกลียุคไหมท่าน
15 มิถุนายน 2554 10:41 น. - comment id 124325
คุณ กิ่งโศก ครูเขียนไปเรื่อยๆ เนือยๆ อย่างไรไม่รู้ บอกตรงๆตอนนี้บ้านเมืองเราแย่เอามากๆ ทำให้ครูเองเกิดเหน็จอนาถใจจริงๆจ้า แต่ ก็พยายามจะเขียนไว้ให้จบ จะเห็นว่าครูรอ ให้หมดหน้านี้เสียก่อนถึงจะเริ่มเขียนใหม่ ส่ืวนมากจะเขียนแล้วส่งเลย ไม่ค่อยได้มา ตรวจสอบ เรียกว่าเขียนกันสดๆเลย รักศิษย์ครูมากเสมอ อ้อครูอ่านงาน เขียนเธอแล้วนับว่าดีจ้า รักมากเสมอ แก้วประเสริฐ.
15 มิถุนายน 2554 10:45 น. - comment id 124326
คุณ เอื้องอังกูร ผมก็คิดเหมือนคุณแหละครับแต่เพียง ไม่ได้ฝันเท่านั้นเองแหละ บ้านเมืองเรา ตอนนี้มีสามหรือสี่อำนาจไปแล้วล่ะครับ ช่างน่าเวทนาเมืองไทยจริงๆ ผมติดตามอยู่ ให้เหน็จอนาถใจเสียจริงๆ นี่แหละความโลภ ล่ะครับ ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักพอ พอตายห่าไป ก็เอาไม่ได้สักนิดเดียวในวัตถุ ความดีที่ควร ให้คนเขาคิดถึงก็มีเพียงแค่คำด่าเท่านั้น เองแหละครับ นี่คือความชั่วที่จะตราตรึง ไว้ในหัวใจและจะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ ไปอีกด้วย ว่ากูชั่วถึงขั้นเทพหรือยังครับ ขอบคุณรักเสมอๆครับ แก้วประเสริฐ.