อทิศมานกาย ๘๙ ครั้นทั้งห้าได้รับยินดังนั้นก็พากันมองหน้ากันไปๆมาๆ พลางงงงวยสงสัย เจ้าตี๋เล็กหันไปทางนางไม้ก็เห็นหล่อน ยิ้มแล้วเดินหลีกหายลับไปยังหลังต้นไม้ใหญ่ เจ้าชื่นที่สงสัยอยู่อดใจไม่ได้ ก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ใครหรือครับเป็นอาจารย์ของพวกคุณที่อาศัยอยู่ในที่นี้????..” “อ้อๆๆๆ...อาจารย์เปล่งเพื่อนของพวกคุณนั่นไง ท่านเป็น อาจารย์ของพวกเราอีกด้วย” “ไอ้เปล่งหรือ!!!!!!????...” เสียงทั้งหมดอุทานกัน แต่ไม่วายสงสัย หันไปมองหน้าเจ้าพ่วง เห็นหน้าตามันทะมึงตึงขึ้นมาทันที ที่เรียกอาจารย์มันว่าไอ้เปล่ง “นี่หากไม่ใช่เพื่อนของอาจารย์ผมล่ะก็ คุณทั้งหมดจะได้เห็นดี กัน จะได้รู้ฤทธิ์เดชของผมเสียบ้าง ดีนะที่อาจารย์บอกถึงนิสัย ใจคอของพวกคุณให้ผมบ้าง ฮึๆๆๆมิฉะนั้น???....” เสียงคำรามเปล่งเสียงออกมา ทำให้พวกทั้งห้าถึงแม้ว่ามันจะ เป็นคนไม่เคยเกรงกลัวใคร ครั้นทั้งหมดต่างมองไปที่ใบหน้า ของเจ้าพ่วงก็ให้เกิดความสะดุ้งในใจกันทั้งหมด ด้วยใบหน้า นั้นรู้สึกผิดสักเกตุกว่าคนธรรมดา แต่ก็ยังรักษาอาการด้วยการ ข่มกลั้นเอาไว้ พลันตี๋ใหญ่ก็เอ่ยว่า “ขอโทษนะ???...พวกเราไม่รู้ว่าที่เอ่ยไปนี้จะใช่คนเดียวกับ เพื่อนของพวกเราหรือไม่เท่านั้นเอง” ใบหน้าของเจ้าพ่วงนั้นพลันก็ค่อยๆคืนกลับสภาพดังเดิม พลางเอ่ยว่า “ใช่แล้วล่ะ...อาจารย์เปล่งก็คือเพื่อนของคุณนั่นแหละแต่คุณ ควรจะรักษามารยาทไว้บ้าง เพราะผมก็เป็นศิษย์ท่านคนหนึ่ง หากคุณเล่ามีคนมาเรียกคนที่พวกคุณนับถือว่า ไอ้ หรือ อี บ้าง ล่ะคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนของคุณก็ตามจะเรียก ก็ควรจะเรียกกันระหว่างเพื่อนๆของคุณเท่านั้น” “ขอโทษด้วยนะ...ด้วยพวกเราไม่รู้จริงๆ เพราะว่าชื่อเปล่งนี้คง มิใช่คนเดียวกับเพื่อนของพวกผมนี่นา” เสียงเจ้าวาสเอ่ยขึ้นแก้ตัวให้แก่พวกมันทันที “ไม่รู้ไม่เป็นไรหรอก ถ้าอย่างนั้นตามผมมาก็แล้วกันนะไม่ อยากให้อาจารย์คอยนาน” ดังนั้นเจ้าพ่วงก็เดินออกนำหน้า ครั้นไปได้ระยะหนึ่งมันก็ หยิบก้อนหินขนาดใหญ่พอประมาณที่ซุกไว้ที่ริมพุ่มไม้ออกมา ทั้งหมดมองการกระทำของมัน ครั้นเมื่อเห็นดังนั้นก็เหลียว ไปดูบริเวณที่พึ่งผ่านมา ก็พากันตกตลึงไปหมด เพราะที่นั่น ล้วนแล้วแต่เป็นพงต้นไม้ขึ้นทั้งเล็กและใหญ่ไปหมด ไม่มีหน ทางเดินเอาเสียเลย ต่างก็พากันมองหน้ากันแต่ไม่พูดจาอย่างไร รีบเดินตามหลังไปอย่างกระชั้นชิด ครั้นเมื่อหนุ่มทั้งห้าเดินออก มาแล้ว เจ้าพ่วงก็หันไปหยิบก้อนหินก้อนเดิมนำกลับไปวางยัง ที่เดิมอีก พวกพระกาฬทั้งห้าก็แลเห็นสภาพนั้นเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง หนึ่งไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว ด้วยมองอะไรไม่เห็นสิ่งที่เคยเห็น มาเมื่อสักครู่นี้ ทำไมมันกลับไปกลับมาอีก ก็ให้นึกทึ่งในสิ่ง ที่มันเผชิญขึ้น ต่างคนต่างนึกกันไปต่างๆนาๆกัน แต่ก็รีบเดิน ตามหลังชายคนนั้นที่ไม่กล่าวอะไรเดินล่วงหน้าไป สักพักก็ หันหลังมาพูดขึ้นว่า “พวกคุณอย่างห่างผมมากนักนะเดี๋ยวจะหลงเข้าไปอีก พยายามเดินตามหลังผมมา” คราวนี้ทุกๆคนรู้แล้วว่าอะไระเป็นอะไร รีบเดินเข้าใกล้อย่าง กระชั้นชิดทันที สักครู่เห็นร่างชายที่เดินนำทางพาคดไปคดมา ไม่นานนัก ก็แลเห็นกระต๊อบที่สร้างพิงกับภูเขา ที่หน้าลานมี ร่างชายสองคน คนหนึ่งนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ ข้างล่าง ชายที่นั่งบนแค่เกล้าผมยาวไว้ข้างหลังเป็นมุ่นผมกลมๆ แต่แต่งกายด้วยผ้าสีขาวล้วนๆ แม้จะขมุกขมัวบ้างแต่ก็ดูเป็น สีขาวอยุ่ ไม่สกปรกมีหนวดเคราปิดบังใบหน้าไว้ ทั้งเจ้าตี๋ใหญ่ ตี๋เล็ก ชื่น วาส และกุ๋น จำไม่ได้ว่าเป็นใครแต่ ร่างที่นั่งนั้นมีสง่ายิ่งนัก ครั้นชายที่นำทางมารีบเข้าไปกราบที่ พื้นทันที พลางกล่าวรายงานขึ้นว่า “อาจารย์ครับ ผมไปนำเพื่อนๆอาจารย์มาแล้วครับเขาติดอยู่ ที่ค่ายสระเปลี่ยนใจครับ” “อืมๆๆๆดีมากพ่วง นำเจ้าเริ่มเขาออกไปจัดหาที่พักในถ่ำไว้ สำหรับให้เพื่อนๆอาจารย์พักผ่อนเถอะนะ ขอบใจมาก” “ครับอาจารย์” ทั้งสองทั้งเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็ลุกขึ้นเดินไปหลังกระต๊อบหาย ไปทันที บรรดาพรรคพวกต่างจ้องมองเห็นตาเดียวกัน ส่วนทั้งห้าก็รีบเข้ามานั่งแทนพลางเพ่งมองชายแต่งกายชุดขาว และยกมือไหว้ทันที “ไม่ต้องหรอกเพื่อนๆ เราเปล่งไงล่ะจำไม่ได้หรือไง???.....” “ไอ้...???.....” แต่แล้วคำพูดทั้งหมดก็ชะงักทันทีที่จะเอ่ยนาม ด้วยพวกมันยัง จำคำพูดของชายที่นำทางมาได้ และนี่ก็เป็นสถานที่อาศัยของ อาจารย์เขา ถ้อยคำหลังจึงชะงักไป ชื่นพลันเอ่ยว่า “เปล่งเองหรือ เป็นไงสบายดีหรือเปล่า พวกเราเป็นห่วงและมี งานต้องมารายงานนายด้วย แต่นายไม่อยู่ไปกรุงเทพฯจึงได้มา หานี่แหละ แต่ทำไมแต่งเนื้อแต่งตัวยังกับนักทรงศีลแน๊ะ” หากเป็นสมัยก่อนนั้นมันจะไม่พูดแบบนี้ ด้วยความรู้สึก ทั้งหมดต่างคิดว่าสถานที่นี้คงจะไม่ธรรมดาแน่นอนด้วยพวก มันเจอมาแล้ว นี่ขนาดแค่สระเปลี่ยนใจ หรือว่าพวกมันต่างคิด ตรงกันคงจะมีหลายๆแห่งอีกนะที่คงจะร้ายกาจยิ่งกว่านี้ “อ้อๆๆคงเรื่องกำนันมั่นใช่ไหมล่ะ นายเราเรียกไปปรึกษากัน แล้วว่าให้จัดการอย่างไรกัน เหมือนอาจารย์จะทราบล่วงหน้า ไว้ก่อนแล้วล่ะถึงเรื่องนี้ พวกมึงไม่ต้องลำบากหรอกเพราะกู จะให้แผนซ้อนแผนกับพวกมันไว้น๊ะ” “เรื่องกำนันมั่นจะส่งมอบยาเสพย์ติดใช่หรือไม่ล่ะกุ๋น” “อ้อๆๆๆ....เพื่อนเรื่องนี้นายอาจารย์สั่งก่อนไปกรุงเทพฯ และบอกไว้ว่าพวกเราทั้งหมดจะมารายงานให้กูรู้เอง ส่วนพวก เองนั้นหากค้างคืนที่นี้ะ เมื่อจะพักที่นี่ก็ได้ปลอดภัยทุกอย่าง หรือจะกลับ เดี๋ยวกูจะให้เด็กมันนำทางไปส่งนี่ก็บ่ายมากแล้ว ให้มึงไปบอกพี่ชวนด้วยว่าให้อยู่เฉยๆไว้ ไปคอยฟังข่าวที่ร้าน แม่ลัดดานั่นแหละดี ด้วยระยะนี้มีอะไรผิดสังเกตุเพราะว่าเป็น ร้านที่ห่างไกลและชุมนุมพวกรถด้วย มีอะไรผิดปกติบางอย่าง ให้พวกเราช่วยสืบๆแล้วไม่ต้องมาทั้งหมดหรอกไปแจ้งแก่นาย ก็พอ ท่านก็จะให้คนมาเรียกข้าเองแหละ” “ครับท่าน.????...ไอ้???.....เฮ้ย!!!!....เปล่งพวกเราไม่พักหรอก เมื่อเห็นเพื่อนสบายดีก็จะได้กลับและไปทำตามที่เปล่งพูดนั่น แหละ ระยะนี้เด็กข้าเองที่มาส่งข่าวที่บ้านพี่ชวนก็บอกว่ามี เหตุการณ์ทะแมงๆยังไงไม่รู้เหมือนกัน ตั้งแต่พ่อกำนันไปบวช มีแค่ผู้ใหญ่บ้านรักษาการณ์แทนเท่านั้นแหละจึงกลายเป็นที่ ชุมนุมของคนไปโดยปริยายนะ อีกอย่างหนึ่งนายสั่งว่าให้ไป บอกพี่ชวนว่าไม่ต้องสมัครเลือกตั้งเป็นกำนันกับเขาด้วยนะ ทั้งหมดรับคำเกือบพร้อมๆกันโดยมีเจ้าวาสเอ่ยนำก่อน” “อ้าวไม่พักสักคืนก่อนหรือข้าจะให้สาวๆมาคอยต้อนรับ เหมือนเมื่อก่อนเข้ามานะ แต่ไม่เหมือนเดิมหรอกจะแต่งกาย สวยๆทั้งนั้นแหละ” “สาวๆสวยๆๆ!!!!!!!!!!!!???...” ไอ้ตี๋เล็กและพวกสะดุ้งเฮือกไปตามๆกัน มันยังจำเหตุการณ์ที่ พึ่งผ่านมาหยกๆได้เป็นอย่างดี หญิงพวกนี้ไม่ใช่คนแน่นอน มันต่างคนต่างคิดต่างๆนาๆ พลางจ้องมองหน้าเจ้าเปล่งซึ่ง บัดนี้การแต่งกายมันไม่เหมือนเก่า คงจะไม่ธรรมดาไปแล้ว มิฉะนั้นใยพวกเหล่านี้จึงขึ้นตรงทั้งหมด และก็คงจะไม่ใช่คน อย่างแน่นอน ดังนั้นเหมือนจะมีใจตรงกัน พลางอุทานขึ้น พร้อมๆกัน “ไม่ล่ะเปล่งพวกเรามาเยี่ยมนายเห็นว่าสบายดีก็โล่งใจกัน แล้วจะได้รีบกลับ ด้วยพี่ชวนไม่ค่อยมีใครช่วยแม่เย็นหรือ ก็บวชชีแต่มาสร้างกระต๊อบเล็กๆอยู่คนเดียวไปแล้ว บ้านนี้ จึงเหลือแค่พี่ชวน งานไร่นาสวนก็อาศัยลูกจ้างมาเช้าเย็นกลับ เท่านั้นเอง นี่บ่ายคล้อยมากแล้วหากช้าคงจะกลับไปบ้านบางโค มืด เดี๋ยวพี่ชวนจะเป็นห่วงนะ เพียงเห็นเพื่อนสบายดีก็โล่งใจ” เสียงเจ้ากุ๋นเอ่ยนำขึ้น “ถ้าอย่างนั้นตามใจเพื่อนๆก็แล้วกัน เราถึงแม้ว่าจะแต่งกาย ผิดไปแต่ความเป็นเพื่อนก็คงเหมือนเดิม หากจะให้เราช่วยงาน อะไรบอกมาได้เลยนะ เพียงแค่ไปยืนตะโกนที่ริมป่าเท่านั้นก็ จะมีคนมาคอยรับให้ อ้อๆๆๆดีเหมือนกันนี่ก็จวนจะใกล้คนที่ จะมารับของแล้ว จะได้ชิงตัดหน้ามันเสียก่อน ส่วนเราไม่ไป ส่งเพื่อนๆหรอกนะ จะให้เด็กนำทางไปเดี๋ยวจะหลงทางอีก” ใช่แล้วไม่บอกพวกมันทั้งหมดก็รู้และไม่อยากจะอยู่ด้วยจริงๆ เพราะนึกในว่าไอ้เปล่งมันคงจะอยู่กับพวกผีปีศาจนางไม้ แน่นอนหากพวกมันผิดใจอะไรขึ้นมา คงได้เจอในสิ่งที่พวกมัน ไม่อยากจะเจอเป็นแน่ พวกมันต่างคิดต้องตรงกัน “เมื่อพวกข้าเห็นแกสบายดีไม่เป็นอะไรก็โล่งใจแล้วล่ะเปล่ง ถ้าอย่างนั้นเราจะกลับกันแล้วนะ” เจ้าตี๋ใหญ่เอ่ยนำขึ้นทันที “ตามใจเพื่อนก็แล้วกันนะ ดีเหมือนกันข้าเองก็เป็นห่วงพี่ชวน เหมือนกันบอกเล่าให้พี่เขารู้ด้วยนะ” “แล้วจะให้ใครไปส่งพวกข้าล่ะ” ด้วยพวกมันต่างผวากันไปตามๆกัน คนนะพวกมันไม่กลัวแต่ สิ่งที่มองไม่เห็นและเห็นแล้วซิน่ากลัวกว่าคนเสียอีก “ถ้าอย่างนั้นให้คนของเปล่งนำทางพวกข้าได้แล้วล่ะ” “จะกลับแล้วหรือ เอาล่ะข้าจะให้เขาไปส่งเอ็งก็แล้วกัน” พลางหันไปเรียกทันที “เริ่มเอ๋ย!!!!...มาหาข้าหน่อยจะวานสักหน่อยนะ” “ครับอาจารย์” แล้วร่างชายหนุ่มฉกรรจ์ก็รีบเข้ามาหาทันที เล่นเอาบรรดาเพื่อนเจ้าเปล่งพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่มันคิด ว่าจะเป็นคนนำทางเดิมเสียอีก ซึ่งน่าตาน่ากลัวกว่าคนๆนี้ “พาพวกเพื่อนอาจารย์ไปส่งที่ถนนหน่อยนะ พวกเขาจะกลับ กันแล้วล่ะ” “ครับอาจารย์” มันกล่าวอย่างนอบน้อมแล้วหันหน้าไปทางพวกเพื่อนๆของ อาจารย์มันทันที “พร้อมหรือยังครับ ถ้าพร้อมเชิญได้เลยครับ” ทุกๆคนต่างสบายใจขึ้นเพราะหนุ่มฉกรรจ์คนนี้ถ้อยทีวาจา ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่เหมือนกับคนที่ชื่อเพิ่มเอาเสียเลยน่ากลัว ยามมันโมโหขึ้นมา แล้วต่างพากันลุกขึ้นหันไปทางเจ้าเปล่ง กล่าวขึ้นว่า “พวกเราไปก่อนนะเปล่ง หากว่างๆจะมาเยี่ยมเยียนอีกล่ะ” “ตามสบายเลยเพื่อน หากมาแค่ตะโกนเรียกชื่อเราเท่านั้น ก็จะมีคนออกไปนำทางให้นะ แต่อย่าเข้ามาโดยพละการเสีย ล่ะ เดี๋ยวจะหลงทางอีก” ไม่ต้องบอกพวกมันทั้งห้าก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกัน ด้วยเจอ มาแล้วนี่ขนาดเบาๆนะ ส่วนปืนผาหน้าไม้ไม่ต้องพูดถึงทำอะไร แก่พวกนี้ไม่ได้หรอกพวกมันคิด แล้วก็ยกมือโบกอำลาเจ้าเปล่ง พลางเดินตามเจ้าเริ่มออกไปทันที แต่ทว่ามันแปลกใจเพราะทาง เดินขากลับไม่ใช่ทางเดิมเป็นอีกทางหนึ่งที่ดูใกล้ๆนิดเดียว ทุกๆคนจึงหันมามองหน้ากัน แต่ไม่ได้ซักถามแต่อย่างใด ต่าง รีบพากันเดินตามในระยะกระชั้นชิดไม่ยอมห่างตัวเจ้าเริ่มเลย จนพ้นป่าดังกล่าวถึงถนน มันจึงรีบข้ามกลับไปบ้านนายมัน แล้วรีบขับรถออกกลับบ้านบางโคทันที หลังจากพวกเพื่อนๆต่างไปกันหมดแล้ว เจ้าเปล่งที่ยังนั่งบน แคร่อยู่คอยจนเจ้าเริ่มกลับมา ก็ให้ไปตามเจ้าเปล่งมาพบทันที ครั้นทั้งสองมาถึงเบื้องหน้าแล้ว เจ้าเปล่งก็อธิบายวางแผนการณ์ ทั้งหมดให้ทั้งสองฟัง “พ่วงและเริ่มพรุ่งนี้เช้าให้นำพวกเราคนละยี่สิบคน แยกย้าย กันไปที่บ้านกำนันมั่น แล้วก็แปลงกายเป็นเป็นพวกที่จะมารับ ของ เดี๋ยวคืนนี้ให้เจ้าทั้งสองไปถามเจ้าที่เจ้าทางบ้านกำนันมั่น ว่าพวกมันมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรเวลาเท่าใดด้วยนะ” “ครับอาจารย์เดี๋ยวคืนนี้ข้าจะไปถามเจ้าที่ผีบ้านเขาแล้วจะได้ กลับมาจัดกำลังคนไว้” “เมื่อได้รับของมาแล้วให้คอยเวลาพวกตัวจริงมันไว้ด้วยส่วนที่ เหลือให้คอยเป็นแนวระวังเท่านั้นพอ คงจะไม่กี่คนที่ให้เอาไป เพื่อความไม่ประมาทเท่านั้นเองแหละ อ้อๆๆๆอย่างไรกลับจาก ถามแล้วมารายงานข้าด้วย แล้วมานำหนังสือจากข้าไปยื่นให้ แก่กำนันอีกด้วยนะ งานนี้อย่างได้พลาดเป็นอันขาด หากได้ ของมาแล้วให้นำกลับที่พัก แล้วจัดการทำลายทิ้งเสียให้หมดอย่า ลืมคำสั่งข้าเสียล่ะ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วส่งกำลังส่วนหนึ่ง ไปคอยรักษาคุ้มครองบ้านกำนันหวนด้วย ใช้พวกนางพรายและ นางไม้ประจำกันผลัดเปลี่ยนกันก็แล้วกัน ทั้งกลางวันกลางคืน ด้วยพวกเราอยู่ได้ทั้งกลางวันกลางคืนได้แล้วด้วยข้าได้สอนวิชา การต่างๆให้พวกเขาไว้ สามารถทนอยู่ได้” “ครับอาจารย์ และจะมีอะไรอีกไหมครับ หากไม่มีข้าจะได้รีบ ไปจัดกำลังพลเตรียมไว้ แล้วค่ำๆพวกเราสองคนจะไปบ้าน กำนันมั่นกัน” “ไปได้แล้วล่ะให้ระวังพวกผีๆเพื่อนของมันด้วยนะกำลัง เร่ร่อนอยู่ในแถวนั้น หากจะอนุเคราะห์มันได้ก็ช่วยเหลือมัน ก็แล้วกัน หากตัวใดประพฤติดีข้าก็อนุญาตให้นำมาได้นะ” “ครับอาจารย์ ข้าไปก่อนนะเดี๋ยวจะให้นางไม้มาคอยรับใช้ อาจารย์ต่อไป อาจารย์ไม่ต้องห่วงหรอกครับงานนี้ต้องสำเร็จ” “หากพวกเอ็งเห็นว่าผีที่อาศัยอยู่ในบ้านนั้นมีนิสัยดีก็รับมาไว้ ให้มาคอยรับใช้พวกนางไม้เขาก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะไปพักผ่อน ทบทวนวิชาสักหน่อยนะ” “ครับอาจารย์ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละอาจารย์จะได้พักผ่อน” แล้วเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็รีบออกจากที่พักหายไปในป่าทันที ร่างเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มปรากฏกายขึ้นที่หน้าบ้านของ กำนันมั่น มันมองไปแลเห็นภายในบ้านยังส่งเสียงร้องรำทำ เพลงกันอย่างสนุกสนาน ทั้งหญิงชาย บ้างก็ออกมารำป้อกัน ด้วยความเมา แม้ว่ายังไม่ดีกมากนัก ทันใดก็มีเสียงร้องตะโกน ลั่นออกมาจากหน้าเรือนชานบ้านเป็นร่างชายรูปร่างขาวท้วมๆ ดังขึ้น “เฮ้ยๆๆ...พวกมีเบาๆหน่อยได้ไหมว๊ะ แล้วกูให้พวกมึงจัด ของไว้เรียบร้อยแล้วหรือ ถึงได้มาฉลองกันด้วยความสบายใจ” “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วจ๊ะพ่อ ข้าได้จัดไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว ล่ะพ่อไม่ต้องห่วงหรอก” เสียงร้องตอบดังลั่น คือเสียงของเจ้าแม้นลูกชายกำนันเอง “ถ้าอย่างนั้น???...พวกมึงก็เบาๆหน่อยนะโว้ยต้องตื่นนอนกัน แต่เช้า เขาจะมารับของราวเก้าโมงกว่าๆนะ เขาส่งข่าวมาบอก” “จ๊ะพ่อไม่ต้องห่วงหรอก เหล้าเหลืออีกไม่เท่าไหร่ก็จะ หมดแล้วล่ะ เดี๋ยวพวกข้าก็จะไปนอนกันแล้วรองานพรุ่งนี้จ๊ะ” “เออ????...ดีแล้วล่ะ อย่าส่งเสียงดังมากๆข้านอนไม่หลับว๊ะ” เสียงตะโกนบอกของกำนันมั่นแล้วร่างก็หลบหายไปในบ้าน เจ้าพ่วงเจ้าเริ่มมองหน้ากัน แล้วก็ยกมือขึ้นภาวนาสิ่งที่มันได้ ร่ำเรียนมา สักครูหนึ่งก็ปรากฏควันขาวจางๆพวยพุ่งเข้ามาแล้วค่อยๆ ปรากฏร่างเป็นเทพรุกขเทวา ทั้งเจ้าที่เจ้าทางทั้งสองขึ้น พวกมันจึงนั่งยองๆน้อมไหว้ทันทีอย่างนอบน้อมท่าน พร้อมทั้ง บอกแก่เรื่องราวทั้งหมดว่านายและอาจารย์มันสั่งมาทันที ครั้น เทพรุกขเทวาได้ยินเช่นนั้น ก็เนรมิตรูปร่างหน้าตาพวกที่จะมา รับของทันทีโดยแปลงร่างหัวหน้าที่จะมารับของให้เจ้าพ่วงและ เจ้าเริ่มเห็นแล้วค่อยๆคืนกลับสู่สภาพเดิม แล้วร่างนั้นค่อยๆ เลือนลางเป็นควันลอยหายไปยังศาลพระภูมิที่ตั้งที่หน้าบ้าน ครั้นทั้งสองทราบและเห็นดังนั้นแล้วก็ไม่สนใจพวกที่ในบ้าน จึงหันกลับ เพื่อจะได้กลับไปหาอาจารย์มันและแล้วสิ่งต่างๆก็ พลันปรากฏ เป็นร่างของบรรดาสัมภเวสี โดยมีเจ้าสนและพรรค พวกปรากฏกายเข้าขวางทางทันที เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็หัวร่ออย่างไม่หวั่นไหว ต่อร่างของเจ้าสน เข่ง โจ๊ก เจี๊ยบ ผ่อง เขียวและ ดำ ที่ร่างมันมี สภาพร่างกายสะอิดสะเอียนล้วนแล้วแต่น้ำเหลืองไหลเยิ้มทั้ง ร่าง ส่วนไอ้สน ไอ้เข่งและไอ้โจ๊ก ร่างมันค่อยๆสูงชะลูดแขน ขาแกว่งไกวไปๆมาๆ เมื่อเจ้าพ่วงเจ้าเริ่มเห็นเช่นนั้นก็พากัน หัวร่องอหายทันที บัดดลภายในบ้านที่กำลังร้องรำทำเพลงอยู่อย่างสนุกสนาน ต่างชะงักกันเงียบกริบหันไปมองทางหน้าบ้าน พอรู้ว่าอะไรเป็น อะไรเท่านั้น วงพวกมันก็แตกกระเจิงทันที ไอ้แช่มบัดนี้มันหาย เกือบเป็นปกติก็ตกตลึงแล้วรีบวิ่งหนีแยกย้ายกันไปจ้าระหวั่น ต่างสวมใส่ตีนหมาแยกกันไปคนละทางในสิ่งที่มันพบเห็นร่าง ของบรรดาพวกที่เคยเป็นลูกน้องเพื่อนๆมัน เสียงดังโพล้งเพล้ง แก้วแตกกระจายโดยที่ไม่มีใครสนใจใยดีสักคนเดียว “เสียงแหบโหยหวน แว่วดังขึ้นจากเจ้าสน เจ้าเข่ง เจ้าโจ๊ก แผ่วเบาอย่างเยือกเย็นพลางกล่าวว่า พวกมึงทั้งสองมาทำไมกัน ที่นี่ว๊ะ” ยิ่งทำให้เจ้าพ่วงเจ้าเริ่มก็ยิ่งหัวร่อกันใหญ่ เจ้าพ่วงพนมมือขึ้น แล้วตบไปยังพื้นดินทันทีสามครั้ง เสียงร้องกร๊ดๆๆๆโหยหวน อย่างทุกข์ทรมานร่างนั้นค่อยๆเตี้ยลงๆทั้งหมด กลับกลายเป็น ร่างกายเตี้ยแคระไปในทันใด สูงขนาดแค่หัวเขาคนธรรมดา เจ้าเริ่มเห็นเช่นนั้นก็ยกเท้าขึ้นเตะไปยังบรรดาปีศาจร้ายจน ร่างทั้งหมดกระเด็นไปปะทะรั้วหน้าบ้านร้องแรกแหกกระเฌอ กันไปตามๆกัน ร่างพวกมันจะหายตัวไปก็ไม่ได้ด้วยอำนาจ อะไรบางอย่างมาปิดกีดกั้น ไม่สามารถหายไปได้อีกแล้ว ร่าง ทั้งหมดที่ปรากฏร่างในลักษณะต่างๆบัดนี้คืนสภาพเดิมที่เป็น คนอยู่ดังเดิม เจ้าพ่วงเห็นเจ้าเริ่มก็หัวร่อลั่น พลางเข้าไปแต่ร่าง มันนั้นเพียงลอยเข้าไปหาแล้วไล่กระทืบ จนพวกเจ้าสน เพื่อน ทั้งหมดต่างพากันพยายามจะวิ่งหนี แต่ไม่อาจทำได้นอกจาก วนเวียนไปๆมาให้ เจ้าเริ่มเจ้าพ่วงไล่ถีบ ไล่เตะกันอย่าง สนุกสนาน ต่างช่วยกันบรรเลงเพลงเตะถีบกันชุลมุน เสียงร้อง คร่ำครวญโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จากบรรดาผีร้ายต่างๆ เมื่อเจ้าสนได้สติก็พากันยกมือไหว้และขอร้องอย่าทำมันกับ พวกอีกเลย บรรดาที่เหลือก็พากันยกมือขึ้นไหว้ด้วยทั้งสิ้น ต่างพร่ำคร่ำครวญ บ้างร่ำไห้กันอย่างน่าเวทนายิ่งนัก ร้องไห้ ไป ร้องเจ็บปวดไป วิ่งวนไปรอบๆเพื่อหลีกการถีบเตะทั้งสอง จนเจ้าพ่วงและเริ่มชักสงสาร ด้วยไหนๆอาจารย์สั่งมันไว้ว่าหาก ตัวใดประพฤติตัวดีกลับเนื้อกลับใจได้ให้ให้อนุเคราะห์มันไว้ เพื่อทำบุญแก่มันและเป็นการสร้างบุญอีกทางหนึ่งด้วย ที่ทำไป เพื่อจะสั่งสอนมันให้เข็ดหราบไว้ก่อนเท่านั้นเอง “พี่ๆๆๆและเพื่อนเป็นใครทำไมไม่กลัวพวกข้าเหมือนพวกไอ้ แม้นลูกกำนันเสียล่ะ???.....” เสียงไอ้สนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย เจ้าเริ่มก็เอ่ยขึ้นว่า “ฮ่าๆๆๆ....พวกเอ็งอย่ารู้ไปเลยว่าพวกข้าเป็นใครแต่ก็สามารถ กำหราบพวกเอ็งได้ และยังมีพวกข้าที่เก่งกว่าพวกเอ็งอีก มากมายนัก นี่ดีนะที่อาจารย์ของข้ายังสงสารพวกเอ็งไว้มิฉะนั้น เอ็งจะทุกข์ทรมานยิ่งกว่านี้เสียอีกและอาจจะไม่ได้ไปผุดไปเกิด ชดใช้หนี้เวรที่พวกมึงสร้างไว้ก่อนจะไปรับกรรมอีกชั้นหนึ่ง นะยังในนรก แต่หากพวกเอ็งกลับเนื้อกลับตัวได้อาจารย์ข้า จะได้อบรมสั่งสอน บางทีเอ็งอาจจะผ่อนหนักเป็นเบาได้” “แล้วอาจารย์ของพวกพี่ๆล่ะเป็นใครหรือขอรับ” เสียงเจ้าสนชักอ่อนเมื่อสำนึกความหลังถึงความผิดได้และได้ ยินว่ายังพอมีหนทางหนักให้เป็นเบา อีกเมื่อกล่าวแล้วได้หันไป แจ้งแก่บรรดาพรรคพวกทันที ซึ่งบรรดาเหล่านั้นก็ต่างได้ยิน ต่างหน้าซีดไปตามๆกันถึงแม้มันจะเป็นผีร้ายก็ตาม ครั้นมันรู้ ว่าจะต้องไปรับกรรมที่แสนสาหัสกว่านี้อีกในเมื่อมันตายแล้ว พวกพ้องยังไม่เคยเลยที่จะทำบุญให้แก่พวกมันสักครั้งเดียวตอน มันดีๆอยู่ได้แต่จิกสับโขกหัวใช้พวกมันต่างๆนาๆ แต่เบื้องหน้า มันก็พูดจากับมันอย่างดี ซ้ำยังแนะนำหนทางให้แก่มันอีก ทั้งหมดจึงก้มลงกราบเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มทันที ทั้งหมด พร้อมกล่าวพร้องกันว่า “บัดนี้พวกข้าสำนึกผิดกันหมดแล้ว ยิ่งพี่มาบอกว่าพวกข้าต้อง ลงไปชดใช้หนี้กรรมอีก ปัจจุบันข้าก็ขาดการพิงพักอาศัยอยู่แม้ แต่อาหารการกินก็ต้องแย่งกันที่ทางสามแพร่งหากมีคนนำมา วางไว้ให้ ส่วนเพื่อนข้าหรือก็เปล่าหามีน้ำใจแก่พวกข้าไม่ทั้งๆ ที่พวกข้ารักและซื่อสัตย์ต่อมัน ถึงตอนนี้ก็ยังคอยดูแลช่วยเหลือ มันไม่ได้ไปไหน อาศัยหลับนอนในสถานที่ต่างๆตามต้นไม้ก็ ไม่ได้เพราะเขาอาศัยกันอยู่แล้ว พวกข้าต้องนอนกันบนตาม ถนนหนทางนี้แหละพี่ ขอพี่กรุณารับพวกข้าไว้รับใช้ด้วยเถิด จะใช้พวกข้าอย่างไรก็ได้ แต่พวกข้าคิดว่าคงเป็นในสิ่งที่ดีๆเป็น แน่ ขอความเมตตาจากพี่ทั้งสองด้วยเถิด” ครั้นเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มเห็นดังนั้นต่างก็ให้มันตั้งสัตย์อธิษฐาน ไว้ ซึ่งทั้งหมดก็กล่าวคำสาบานทันที เมื่อเป็นเช่นนั้นเจ้าพ่วง เห็นว่าถึงพวกมันจะเคยทำในสิ่งไม่ดีมาก่อน แต่ในส่วนลึกของ มันยังไม่ความดีอยู่บ้าง จึงพนมมือแล้วเป่าไปยังบรรดาพวกเจ้า สนทันที ทันใดร่างของพวกเจ้าสนก็สูงขึ้นเท่าคนธรรมดาทั่วๆ ไป เมื่อพวกเจ้าสนเห็นดังนั้นก็ต่างพากกันดีใจก้มลงกราบแก่ ทั้งสองทันที เจ้าเริ่มก็เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ในเมื่อเจ้าสำนึกได้เช่นนี้ถือได้ว่าหลังจากพบกับอาจารย์ของ พวกข้าแล้วเจ้าอาจจะได้รับความเมตตาจากท่านอนุเคราะห์นี่ ดีนะที่อาจารย์ข้าบอกกล่าวข้าทั้งสองไว้ล่วงหน้ามิฉะนั้นพวก เจ้าจะต้องเข้าไปอยู่ยังที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันร้อนแรงจนกว่า อายุขัยของพวกเจ้าจะมาถึงนั่นแหละเขาจะมารับตัวพวกเจ้าไป แล้วต้องไปทนทุกข์ทรมานในขุมนรกอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ไหนๆ เมื่อพวกกลับเนื้อกลับใจ หมั่นเอาใจใส่ทำความดีชดใช้หนี้กรรม เก่าก็อาจจะช่วยเจ้าได้มาก” “ครับพี่ๆพวกผมขอยอมรับคำสั่งพวกพี่จะใช้ผมอะไรก็ได้ พวกผมได้สำนึกผิดแล้ว” พวกมันกล่าวทั้งหมดแล้วก็ยังก้มลงกราบอีก ทั้งเจ้าพ่วงเจ้า เริ่มมองเห็นแล้วอดเวทนาสงสารไม่ได้ จึงเองถามเรื่องราว ต่างๆเกี่ยวกับที่พวกจะมารับในวันรุ่งขึ้น บรรดาเจ้าสนและ พรรคพวกก็เล่าให้ฟังจนหมดสิ้น และต่างพากันอาสาจะช่วย ขจัดให้ ทำเอาเจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มต่างก็หัวร่อ อ้อๆๆๆก่อนจะ ไปข้าจะพาเจ้าไปกราบพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางเทพรุกขเทวดาก่อน เมื่อเจ้าสนและพรรคพวกได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตกใจตัวสั่น พลางเอ่ยว่า “พี่ทั้งสองข้ากลัว ทุกวันนี้เข้าไปในบ้านยังไม่ได้เลย” “ไม่ต้องกลัวหรอกข้าจะนำไปเอง” เมื่อกล่าวแล้วเจ้าเพิ่มก็พาเดินไปนอกรั้วบ้านซึ่งติดกับศาลทั้ง สองคือศาลพระภูมิและศาลเจ้าที่พลางพนมมือกล่าวอะไรสักพัก พลันก็ปรากฏร่างทั้งสองขึ้น ท่านหันไปทางบรรดาเจ้าสนและ พวกก็หัวร่อ หันมาทางเจ้าพ่วงกล่าวว่า “ดีเหมือนกันนับว่าเป็นการสร้างกุศลอีกทางหนึ่งให้แก่พวก มันที่ข้าจำเป็นต้องคอยระวังไว้ แต่บัดนี้ได้รับคำสั่งมาแล้วว่า ให้กลับไปได้แล้วไม่ต้องมาคอยปกป้องคุ้มครองที่นี้อีก นี่ก็ เตรียมตัวจะออกเดินทางแล้วล่ะ” “ถ้าอย่างนั้นพวกของข้าขอกราบลาท่านทั้งสองก่อนด้วย จะต้องมีงานทำอีกมากมายขอรับท่าน” “เชิญเถอะ พยายามสร้างกรรมดีไว้ให้มากๆนับเป็นบุญของ พวกเจ้าที่มีนายและอาจารย์ซึ่งเป็นคนมีบุญวาสนามากและยัง สูงกว่าพวกข้ามากมายนักช่วยเหลือไว้ ข้าเองก็จะไปด้วยเหมือน กัน ด้วยต้องไปฟังเทพชั้นสูงว่าจะให้ข้าไปอยู่ที่ใดบ้าง???....” กล่าวจบร่างของพระภูมิเจ้าที่เจ้าทางก็เลือนจางหายไป ดังนั้น เจ้าพ่วงและเจ้าเริ่มก็นำพวกเจ้าสนทั้งหมดออกเดินทางกลับ นำพวกเจ้าสนไปฝากไว้กับแม่นางไม้โดยแบ่งแยกกัน ขอให้ ช่วยอบรมสั่งสอนพวกมันด้วย แล้วหันไปทางพรรคพวกเจ้า สนทั้งหมดให้เชื่อฟังแม่นางไม้นี้ไว้อย่าขัดขืนเป็นอันขาดหาก เจ้าขัดขืนข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ ด้วยข้าได้มอบพวกเจ้าให้แก่ แม่นางหมดแล้ว ครั้นฝากฝังแม่นางไม้แล้วก็รีบไปพบอาจารย์ รายงานผลงานทั้งหมด จึงออกมากพร้อมรับหนังสือจากอาจารย์ ไปพักผ่อนเพื่อรอการทำงานต่อไปในวันรุ่งขึ้น........... แก้วประเสริฐ.
13 พฤษภาคม 2554 21:10 น. - comment id 123809
เขียนได้เร็วมากครับครู
14 พฤษภาคม 2554 13:47 น. - comment id 123816
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รัก...นิสัยครูไม่ว่าจะเป็นการแต่ง กลอนหรือเขียนเรื่องสั้นนิยายอะไรมักจะ ชอบเขียนสดจ้ิา เรื่องนี้ไม่ยากหรอกด้วย ผ่านงานยากมาแล้ว สำหรับครูถือว่าง่ายจะ เขียนเมื่อไหร่ก็ได้ สมัยก่อนนั้นขนาดเรื่อง สั้นก็นับว่ายากแล้ว พอเขียนไปจับจุดได้ เรื่องยากก็กลายเป็นง่ายไป ลุ่มลึกฯทัศยุฯ ครูว่ายากกว่าเรื่องนี้เสียอีก เพียงเรื่องนี้วก สู่ปัจจุบันเป็นหลักประกอบด้วยเรื่องผีสาง นางไม้เทพต่างเท่านั้นเองแต่ก็เป็นส่วน น้อยเนื่องจากครูไม่ต้องการจะให้ไปซ้ำ กับเรื่องที่เขาเขียนทั่วๆไปนั่นเอง ทั้งหมด ล้วนแต่คิดขึ้นเองเพียงแค่สร้างจินตนาการ ใส่เข้าไปจับโยงเรื่องให้น่าอ่านก็เท่านั้น เองแหละ ทดลองหัดเขียนซิสนุกนะนึก อะไรได้ก็มาขัดเกลาดัดแปลงเอาจ๊ะ รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
17 พฤษภาคม 2554 10:31 น. - comment id 123832
หวัดดีวันวิสาขะครับ วันนี้วันหยุดได้อ่านอทิสมานกายด้วยความ สุข..วันนี้เปนวันสำคัญทางพุทธศาสนาไปทำ บุญที่ไหนครับ..ผมก้อคงเปนวัดแถวบ้าน.. ยานบางบอน.. ขอให้มีความสุขในวันวิสาขะครับ
17 พฤษภาคม 2554 12:49 น. - comment id 123833
คุณ เอื้องอังกูร แถวๆบ้านแหละครับอายุมากแล้ววันนี้ เป็นวันที่มหัศจรรย์ยิ่งวันหนึ่งครับคือวันที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน ตรงกันครับ อทิสมานกายจวน ใกล้จะอวสานแล้ว อ้อๆๆผมแต่งเรื่องการ ท่องไพรหรือสิ่งต่างๆไว้ ขณะนี้ได้ลงเกริ่น ไว้ในเรื่อง "แดนพิศวง" ที่เคยรับปากไว้ แล้วครับ แต่เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น หากจบ เรื่องอทิสมานกาย ก็คงจะได้อ่านต่อครับ ขอบคุณที่ได้ติดตามงานผมมาด้วยดี เสมอมาครับ รักเสมอ ปล.ลืมบอกไปว่า พนมเทียน กับผมก็ เรียนหนังสือมาจากโรงเรียนเดียวกันครับ คุณหาอ่านเรื่องเกี่ยวกับความรักซิครับ ท่านเขียนได้อย่างแยบยลนักผมว่าหา นักเขียนใดๆยากจะเทียบได้แม้แต่ ทมยันตรี ผมว่ายังห่างไกลกับท่าน พนมเทียนครับ แต่ท่านชอบในแนวท่อง ไพรหรือตื่นเต้นเช่นเดียวกับผมครับ. แก้วประเสริฐ.