หอคอยบาเบล...
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่าน Suma Ching Hai ศูนย์ซีหู ฟอร์โมซา
๓๐ พฤษภาคม ๑๙๙๐ (เดิมเป็นภาษาจีน)
ตอนนี้เวลาแห่งการเกิดอุทกภัยได้ผ่านพ้นไปแล้ว โนอามีชีวิตอยู่จนถึง ๘๐๐ ปีและบุตรชายมากมาย อาจจะเป็นพันๆ คน! หนังสือกล่าวว่าโนอาและลูกๆ ของเขาได้ปลูกองุ่น ลูกของเขาก็มีลูกมากมายซึ่งก็มีลูกออกมาอีกมากมาย มีลูกหลานรุ่นแล้วรุ่นเล่า มีคนมากมายเกินไปและครอบครัวมากมายต้องย้ายไปที่อื่น ถ้าพวกเขาไม่ย้ายก็จะไม่มีหญ้าพอเพียงสำหรับฝูงสัตว์ เนื่องจากทุกคนพูดภาษาง่ายๆ พวกเขาจึงเข้าใจเป็นอย่างดี จึงเป็นการง่ายที่พวกเขาจะร่วมมือกันในงานใดๆ
พวกเขาบางคนย้ายไปยังที่ที่เรียกว่าบาบิโลน ที่นั่นพวกเขาได้คิดค้นวิธีการทำอิฐ พวกเขาเรียนรู้ที่จะเผาอิฐทำให้มันแข็งและแข็งแรง พวกเขาได้เรียนรู้ที่จะยึดอิฐเข้าด้วยกันด้วยวัสดุโบราณคล้ายกับซีเมนต์ที่เรามีในปัจจุบันนี้ ด้วยวิธีนี้พวกเขาก็สามารถสร้างบ้านได้
วันหนึ่งคนหนึ่งในพวกเขาได้พูดว่า “เราควรสร้างเมื่องที่ใหญ่มากให้พวกเรา และในเมืองนั้นก็มีหอคอยอันศักดิ์สิทธิ์ ใหญ่และสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเพื่อเราจะได้สร้างชื่อเสียงให้กับพวกเรา” เหลวไหล! (ผู้ฟังหัวเราะ) พวกเขาต้องการสร้างมันเพื่อจะได้มีชื่อเสียง และทุกคนในบาบิโลนก็เห็นชอบ คิดว่ามันเป็นความคิดที่ดีมาก นับจากนั้นเป็นต้นมา ทุกคนก็ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างหอคอยบาเบล
พระเจ้าเริ่มต้นที่จะสังเกตงานของพวกเขาจากสวรรค์ เมื่อเห็นว่ากำแพงนั้นค่อยๆ สูงขึ้นและมนุษย์กำลังมีความเห็นมากขึ้นและยุ่งอยู่กับความคิดของพวกเขา พระเจ้าทราบว่าจะมีความยุ่งยากเกิดขึ้น มนุษย์เริ่มต้นที่จะคิดมากเกินไปแล้ว อัตตาของพวกเขาและความคิดในทางโลกก็จะแผ่ขยายออกมา ในเวลานั้นมนุษย์เริ่มต้นเชื่อว่าพวกเขาเป็นเทพและสามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ดังนั้นก่อนที่พวกเขาจะสร้างหอคอยเสร็จ พระเจ้าก็เกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง พระองค์คิดว่าถ้ามนุษย์พูดภาษาต่างกัน พวกเขาก็จะไม่เข้าใจกันและดังนั้นจะไม่ทำงานอย่างหักโหม
และแล้วพระเจ้าก็เริ่มต้นทำให้ภาษาของพวกเขาสับสนและส่งคนไปยังมุมต่างๆ ของโลก ไปเหนือ ใต้ ออก ตก บางคนก็ตั้งหลักแหล่งที่ริมฝั่งทะเลและบางคนก็อยู่บนเกาะ บางคนก็ย้ายไปยังที่ซึ่งไกลออกไป บางคนก็ไปอียิปต์ บางคนไปอาฟริกา และบางคนไปอาระเบีย
ลูกหลานของโนอาได้ทวีคูณและเพิ่มมากขึ้นๆ แต่ละวงศ์ตระกูลก็ออกลูกออกหลานเป็นหญิงชายอีกมากมาย แต่ละครอบครัวก็ใหญ่ขึ้นๆ ในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นประเทศชาติขึ้นมา ในแต่ละชาติผู้คนก็พูดภาษาต่างๆ กัน นับจากนั้นมาพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้หรือพูดคุยติดต่อกันได้
จนถึงขนาดนี้ ทุกคนที่คิดถึงหอคอยบาเบล พวกเขาก็ถูกเตือนให้ระลึกว่าทำไมคนจึงพูดบาเบลมากมาย ซึ่งหมายถึงพวกเขา “บลา บลา บลา” มาก คำว่าบาเบลหมายถึงการพูดพล่ามไร้สาระเหมือนเด็ก เพราะฉะนั้นหอคอยนี้จึงได้ชื่อว่าหอคอยบาเบลเหมือนอย่างความหมายของคำว่าบาเบล เรามักจะพูดมากเกินไปอยู่เสมอ
นี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าและลูกหลานโนอา มีคติสอนใจในเรื่องนี้และเราสามารถเรียนรู้จากมันได้ มันคืออะไรล่ะ ยิ่งมนุษย์สบายมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็คิดถึงพระเจ้าน้อยลง ย้อนกลับไปเมื่อพ่อแม่ของพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างเรียบง่ายมาก ทุกคนอาศัยอยู่ในเรือและจำพระเจ้าได้ หลังจากนั้นไม่นานพระเจ้าก็ให้ชีวิตที่สบายแก่พวกเขา ไม่มีน้ำท่วม ไม่มีการลงโทษ ไม่มีผู้ที่คอยย้ำเตือน ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มรู้สึกว่าพวกเขายิ่งใหญ่
บางครั้งเมื่อเรามีชีวิตที่สบายมากขึ้น เราก็จะมีเพื่อนมากขึ้นเหมือนอย่างอีฟคนโง่และอาดัมผู้ก๋ากั่น สมัยเมื่อพวกเขายังอยู่ในสวรรค์ พวกเขาก็ถูกความเพ้อฝันพาไปคิดว่าพวกเขามีไม่พอและพวกเขาควรที่จะเหมือนพระเจ้า แต่จะเป็นเหมือนพระเจ้าไปทำไม? ก็เป็นเพียงลูกแอปเปิ้ลที่พวกเขาไม่มี และพวกเขาก็ถูกหลอกให้ทำเรื่องโง่ๆ พวกเขามีโลกทั้งโลกและสวรรค์ทั้งสวรรค์อยู่แล้ว พวกเขามีความสุขทุกวันและมีอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาก็ยังคงต้องการที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า พวกเขาช่างโง่เสียนี่กระไร! ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พระเจ้าลงโทษพวกเขาโดยการส่งพวกเขาลงมายังโลกมนุษย์ ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นที่พวกเขาจะสามารถเรียนรู้บทเรียนของพวกเขาได้ แล้วพวกเขาก็จะรู้ว่า “ชีวิตเมื่อก่อนเป็นชีวิตที่ดี ตอนนี้มันเจ็บปวด” แล้วพวกเขาก็จะเริ่มทะนุถนอมมัน พวกเขามีทุกอย่างอยู่แล้วยกเว้นแอปเปิ้ลลูกหนึ่ง แต่พวกเขายังคงอยากที่จะเป็นเหมือนพระเจ้า ช่างมีอัตตาเสียจริงๆ ! หมดหนทางที่จะช่วยเหลือได้!
เพราะฉะนั้นเราจะต้องพิจารณาตัวเราเป็นครั้งคราว เมื่อเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี เราไม่ควรเพ้อฝันมากเกินไป มิฉะนั้นแล้วเราจะเสียใจในภายหลังเมื่อมันสายเกินไปที่จะหวนกลับมา ปกติเมื่อมีชีวิตที่สบายคนก็ดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องที่ไม่ดีหรือเรื่องที่ไม่ควรทำ เพราะฉะนั้นแม้ในสภาพที่สบายและมีความสุข เราก็ไม่ควรที่จะลืม ปล่อยตัวปล่อยใจตนเองและจบลงด้วยการเป็นคนอ่อนแอ ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสภาพที่ยากลำบากกว่า ในทางกลับกันเราควรที่จะรักษาความกล้าหาญของเราและจิตใจที่สมดุลเอาไว้...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet
www.SupremeMasterTV.com