ประจักษ์พยานผู้รู้แจ้ง...
คีตากะ
ปราศรัยโดยท่านอนุตราจารย์ชิงไห่
ฮาวาย สหรัฐอเมริกา ๒๒ ตุลาคม ๒๕๓๖
(ต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ)
ตัวเรามิได้กลับชาติมาเกิด หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัย ของข้อมูลที่เราเก็บสะสมไว้ต่างหากที่กลับมาเกิด ส่วนของเรานี้ ซึ่งเรียกกันว่าสติปัญญา หรืออาจเรียกว่าจิตสำนึกที่ ๖ จะเก็บสะสมข้อมูลในรูปของกรรมไว้มากมายหลายประเภท แล้วจากนั้น ส่วนของเรานี้ก็จะนำมันกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง เหมือนกับขวดโคคาโคล่า หรือเหมือนสิ่งอื่นๆ บางอย่างในสหรัฐอเมริกา เนื่องด้วยเดี๋ยวนี้ ที่นั่นสนับสนุนให้คนนำสิ่งของกลับมาใช้ใหม่ เรื่องของเราก็เหมือนกัน “ขวด” ของเราถูกนำกลับมาใช้ใหม่ ทุกครั้งที่มันนำมาใช้ได้อีก และมันยังคงเชื่อมต่ออยู่กับวัตถุอื่นๆ ในโลกนี้ เมื่อนั้นเราก็จะเรียกมันว่า การกลับชาติมาเกิด มันเป็นเพียงการนำกลับมาใช้ใหม่ประเภทหนึ่งเท่านั้นเอง ตัวสารโคคาโคล่าภายในจะไม่กลับมาเกิด กลับมาแต่เพียงขวดเท่านั้น ทั้งนี้ผู้คนอาจตระหนักในเรื่องนี้หรือไม่ก็ได้ แต่สารก็จะยังคงอยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกเหมือนกับว่า มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่ เราเห็นมันเหมือนว่า มันถูกนำกลับมาใช้ใหม่
สิ่งซึ่งนำมาใส่ในขวดนั้นจะไม่กลับมาเกิด มันคือตัวตนแท้ของเรา ดวงวิญญาณของเรา ทุกครั้งที่เราต้องการทดลองสิ่งใหม่ๆ เราจะประกอบตนขึ้น ใส่สารหรือตัวเรื่องราวที่นำกลับมาใช้ใหม่ ก็เป็นเช่นนั้นเอง แต่แล้วก็อีก เราต่างเคบชินที่จะเข้าใจว่า ตนเองเป็นสารหรือข้อมูลทั้งหลายเหล่านั้น ดังนั้นเราจึงมักกล่าวว่า เรากลับชาติมาเกิด แต่นั่นไม่เป็นความจริง เราไม่เคยตายและไม่เคยเกิด เรามีตัวตนอยู่เสมอมา เราเป็นประจักษ์พยานที่เฝ้าดูทุกสิ่งที่ถูกสร้างหรือถูกทำลายลงในจักรวาล เราเป็นพยายอยู่เสมอ แต่บางครั้งเราก็จะคิดว่า เราเป็นเรื่องราว ซึ่งเราเฝ้าดูอยู่และกลืนเข้าไปกับเหตุกาณณ์ ดังนั้นเราจึงเป็นทุกข์หรือมีความสุข
มันก็เหมือนกับเวลาที่เราดูโทรทัศน์ แล้วเราก็ลืมไปว่า ที่เราดูอยู่นั้นเป็นเพียงภาพยนตร์ แล้วเราก็ร้องไห้หรือหัวเราะ เราจะสนับสนุนคนนี้และอยากฆ่าอีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรา ไม่มีใครเป็นศัตรูกับเรา หรือเป็นเพื่อนเรา และไม่มีใครมีตัวตนจริง แต่เรากลับเกลียดคนนั้น “โอ้! คนที่มีหนวดนั่น มันเป็นผู้ร้าย ฆ่ามันเลย ฆ่ามันเลย!” เธอจะนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์และบอกว่า “ฆ่ามัน! รีบฆ่ามันเลย! “ หรือไม่ก็บอกว่า “ออกไป ออกไป! เขาจะฆ่าคุณ! รีบออกไป! ทางนี้ ทางนี้!” ราวกับว่าคนในโทรทัศน์หรือในจอจะฟังเราหรือได้ยินเสียงของเราจริงๆ แต่เขาก็ไม่ได้ยิน พวกเขาทำในสิ่งที่เขาต้องทำ ตามคำสั่งของผู้กำกับ ไม่ใช่ตามคำแนะนำของเรา ดังนั้นเรื่องราวของภาพยนตร์หลายๆ เรื่องจึงไม่ถูกใจเรา เราอยากจะเปลี่ยนเรื่องราวเสีย แต่แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดเล่า? หากเราเปลี่ยนมันไป มันก็ไม่ใช่ภาพยนตร์เรื่องนั้นอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนั้นๆ จะต้องเป็นไปอย่างที่มันเป็น จริงๆ แล้วเราหลอกตัวเองมากมายหลายครั้ง เราพิสูจน์ได้ทุกวันเสียด้วย เราไม่จำเป็นต้องมาคุยกันเรื่องการกลับชาติมาเกิด เรื่องมายาสภาวะ หรือสิ่งใดก็ตามในโลกนี้หรอก เราก็สามารถพิสูจน์มันได้
ฉันจะเล่าเรื่องโง่เขลาเกี่ยวกับฉันเรื่องหนึ่งให้เธอฟัง เมื่อวานนี้หรือไม่ก็เมื่อวานซืน เมื่อฉันมาฮาวายตอนแรก พวกเขาเช่าห้องชุดให้กับฉัน และให้กับเจ้าหน้าที่ทั้งหลายของเรา เช่น เจ้าหน้าที่ที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับฉัน นอกจากนี้ เรายังต้องต้อนรับแขกเหรื่อด้วย สถานที่นี้เขาเช่าไว้เป็นเวลา ๑๐ วัน ราคาไม่แพง ถูกๆ แต่ใหญ่มาก และอยู่ใกล้ชายหาด ฉันเคยคิดว่าจะเชิญเธอไปที่นั่น แต่ฉันไม่ทราบว่าจะจัดห้องหับให้เธออย่างไรดี มันใหญ่ก็จริง แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น! มันใหญ่พอสำหรับคน ๑๐ คน แต่ไม่พอสำหรับคนเป็นพันๆ คน เมื่อคุยถึงเรื่องนี้ เรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพของโลกนี้ บางครั้งเราจะกล่าวว่า “โอ้โฮ เยี่ยมจริงๆ !” แต่มันอาจไม่เยี่ยมขนาดนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นๆ เราจะอยู่ในสภาวะของมายาเสมอ จนกระทั่งเมื่อได้นำมาเปรียบเทียบกับอย่างอื่น แล้วเราก็จะทราบว่า เรานั้นคิดผิดไปเสียแล้ว
ในการบำเพ็ญประเภทต่างๆ ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาบำเพ็ญ พวกเขารับประทานอาหารมังสวิรัติ พวกเขานั่งสมาธิ และพวกเขาต่างดียิ่ง แต่ดีแค่ไหนล่ะ? เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บำเพ็ญธรรมวิถีกวนอิมแล้ว พวกเขาเพียงคล้ายขนมอบครึ่งสุกครึ่งดิบเท่านั้นเป็นต้น! ดังนั้นเราจะทราบได้ว่าบรรดาสิ่งดีและยิ่งใหญ่ในโลกนี้นั้น ต่างก็มีข้อจำกัดของตน เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสัจธรรมหรือพลังสูงสุดอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า
กระจกวิเศษ
เอาละ กลับมาคุยเรื่องโง่เขลาของฉันกันต่อ ฉันเข้าไปในห้อง แล้วมันช่างมหัศจรรย์จริงๆ ทุกๆ ที่มีกระจกขนาดใหญ่ ฉันจะได้ดูได้ว่า ฉันสวยงามขนาดไหน (ผู้ชมหัวเราะ เมื่อท่านอาจารย์แสดงท่าทางเหมือนภูมิใจในความสวยงามท่าน) และในห้องนอนก็มีกระจกบานใหญ่ ฉันทราบว่ามันเป็นกระจก ทุกคนทราบได้ในทันทีว่ามันคือกระจก ไม่มีอะไรให้เข้าใจผิดกันได้ในเรื่องนี้ ในห้องน้ำก็มีหน้าต่างอยู่ ๒ บาน และถ้ามองออกจากหน้าต่าง ๒ บานนี้ ก็จะสามารถเห็นทะเลได้ ทีนี้ถ้าฉันมองเข้าไปในกระจก ก็จะมองเห็นกระจกทั้งหมด ๔ บาน แล้วฉันก็จะคอยคิดอยู่เสมอว่า “ทำไมทะเลถึงไปอยู่ข้างนั้นล่ะ?” ฉันเลยนึกไปว่า สถานที่นี้ตั้งอยู่ตรงมุมหาดและล้อมรอบด้วยทะเล ฉันจึงสามารถเห็นทะเลในหน้าต่างบานนั้น และเห็นทะเลผ่านหน้าต่างบานโน้นด้วย ฉันโง่เขลาอยู่เป็นเวลา ๒ วัน ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม? จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันบังเอิญมองออกไปนอกหน้าต่างบานจริงและมองเห็นว่าไม่ได้มีทะเลอยู่ตรงนั้น ฉันกล่าวว่า “เป็นไปได้อย่างไรกันนี่?” ฉันจึงหันกลับไปมองตรงผนังอีกครั้ง ตรงที่มีกระจกอยู่แล้วกล่าวว่า “โอ้ ทะเลอยู่ตรงนั้น!” แล้วกระทั่งขณะนั้น ฉันก็ยังไม่เข้าใจ
เขาจึงมีคำกล่าวกันว่า ปราชญ์เป็นดั่งคนเขลา จริงๆ แล้วในภายหลังฉันก็นึกขึ้นมาได้ “อ้อ ใช่แล้ว มันคือกระจกนั่นเอง!” แต่มันเป็นการยากที่จะคิดออกมาได้ ไม่น่าเชื่อเลย เนื่องจากฉันไม่คุ้นเคยกับทิวทัศน์แบบนี้ หน้าต่าง ๒ บานจึงกลายเป็น ๔ บานซึ่งฉันไม่เคยพบเห็นมาก่อน และทะเลไปอยู่ตรงผนัง แต่มันดูเหมือนจริงมาก จนฉันตะลึงไปกับความงดงามของวิวทะเลที่ผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง จนฉันลืมนึกถึงกระจกไป ฉันลืมไปจริงๆ ! มันเหมือนฉันโดนตีแสกหน้า “โอ พระผู้เป็นเจ้า! เราเป็นถึงอนุตราจารย์ ดีๆ แต่เรากลับไม่ตระหนักเห็นความแตกต่างระหว่างหน้าต่างกับเงาสะท้อนของมัน” ฉันจึงหัวเราะเยาะตนเองและนึกขำเป็นอย่างยิ่ง
แต่ฉันประหลาดใจที่ฉันไม่ได้ตระหนักว่า มันเป็นเงาสะท้อนของหน้าต่างแต่แรก ฉันรู้สึกประหลาดใจมากอยู่หลายวันทีเดียว ทำไมฉันจึงถูกหลอกได้ง่ายดายเช่นนี้? เพียงเพราะฉันรักทะเล ฉันจึงเพ่งความสนใจไปที่ทะเล และคิดว่า “โอ้โฮ! เราสามารถเห็นทะเลผ่านหน้าต่างเหล่านี้ได้ ยอดเยี่ยมจริงๆ เรามีหน้าต่างอยู่ ๔ บานและมีทะเลอยู่ทั้ง ๔ ด้าน” ฉันปลื้มใจกับทะเล แล้วก็ลืมไปว่า มันเป็นภาพลวงตา มิใช่ว่าฉันคิดไม่ออก หากแต่เป็นเพียงว่า ฉันจดจ่ออยู่กับทะเลจนเกินไป
ดังนั้น ในทำนองเดียวกัน ในชีวิตประจำวันของเรา ผู้คนส่วนมากจะจดจ่ออยู่กับเป้าหมายแห่งความปรารถนาที่พวกเขาชื่นชอบ แล้วพวกเขาก็ลืมภาพลวงตาไป พวกเขาจะลืมกระจกวิเศษไปเสีย มิใช่ว่าพวกเขาไม่สามารถสืบทราบได้ เมื่อพวกเขาพร้อม เขาก็จะทราบ จะมีอาจารย์มา หรือมิฉะนั้นพวกเขาก็จะตื่นขึ้นมาด้วยตนเอง จริงๆ แล้วเมื่อมีอาจารย์มา ก็หมายความว่า พวกเขาได้ตื่นขึ้นด้วยตนเองแล้ว มิฉะนั้นใครจะไปบอกให้พวกเขาเชื่อได้ว่าพวกเขามีอะไรอยู่ภายใน? เช่นเดียวกันกับฉันนั่นเอง ฉันมีดวงตา กระจกก็อยู่ที่นั่น ฉันจะคิดให้ออกก็ได้เสมอ แต่แล้วฉันก็มีใจจดจ่ออยู่กับภาพของทะเลมากเกินไป และเพลิดเพลินใจไปกับมัน และมันก็ดูเหมือนจริงมากเหลือเกิน ฉันคิดว่ามีหน้าต่างอยู่ ๔ บาน ที่ฉันเล่ามานี้ล้วนเป็นความจริง ไม่ได้ล้อเล่น ฉันไม่ได้เล่านิทานเพื่อจะได้อุดช่องว่างการบรรยายธรรมให้แนบเนียน แต่มันเป็นเรื่องจริง ฉันโง่เขลาได้ขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม? แล้วพวกเธอก็มาติดตามฉัน! (ผู้ชมหัวเราะ) ดังนั้นจงระวังให้ดีว่าพวกเธอไปทางไหนเมื่อใช้กระจกบานนี้
ภาพสะท้อนกับความเป็นจริง
จนกระทั่งทุกวันนี้เราก็ยังติดอยู่ในภาพมายาหรือไม่ก็ติดอยู่เป็นบางครั้ง ดังนั้นเราจึงค้นไม่พบความเป็นจริงระหว่างภาพมายา ซึ่งคือภาพสะท้อนหรือเงากับความเป็นจริง ดังนั้นเราจะมัวเล่นเกมชีวิตขึ้นๆ ลงๆ แล้วก็สนุกกับมัน แล้วบางครั้งเราก็จะตบตนเองแล้วกล่าวว่า “ไฉนจึงเป็นเช่นนี้ไปได้?” มันไม่อยู่ที่นั่น เพราะมันไม่ได้อยู่ที่นั่น มันไม่เคยอยู่ที่นั่นมาก่อนเลย
ในทำนองเดียวกัน ชีวิตของเราช่างดูสมจริง จนเรามิอาจเข้าใจหรือเชื่อได้ว่า มันเป็นภาพมายา ว่ายังมีชีวิตแท้จริงอื่นอยู่อีก ซึ่งคือตัวจริงของชีวิตเงานี้ แต่เมื่อเราปิดตาลง เราจะปิดประสาทรับรู้ทั้งหมดและมองหาตัวเรื่องที่แท้จริง แล้วเมื่อนั้น เราจะตระหนักว่า “โอ้ ยังมีโลกอันมหัศจรรย์อยู่ และมันเป้นจริง” อยู่ที่นั่นจะรู้สึกดี รู้สึกจริงแท้ และรู้สึกดีกว่าอยู่ที่นี่ ก็เหมือนเมื่อฉันมองผ่านหน้าต่างบานจริง ก็มีลมจริงพัดมาเล้าโลมใบหน้าและต้นไม้ข้างนอกพริ้วไหวไปมา ในขณะที่ในกระจก มันจะแตกต่างไปเล็กน้อย ฉันพบว่าหน้าต่าง ๔ บานนั้นล้วนแตกต่างกัน เพราะในนั้นไม่มีต้นไม้ แต่ข้างนอกนั้นมี แล้วฉันก็ตระหนักว่า “อ้า! นี่เป็นเพียงภาพสะท้อนที่แตกต่างไป ดังนั้นมุมสะท้อนจึงต่างไป” ดังนั้นภาพที่สะท้อนออกมาจะขาดอะไรไปบางอย่าง
ดังนั้นในชีวิตจริง มันก็เป็นเช่นเดียวกัน ภาพสะท้อนไม่มีวันสมบูรณ์แบบ เพราะเรามองจากมุมมองที่แตกต่างไป และเราก็จะรู้สึกไม่พึงพอใจ มันเป็นเช่นนั้น เธอจะรู้สึกว่า มีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะปรารถนาของจริง แล้วความเป็นจริงก็จะมาปะทะเรา แล้วเมื่อนั้นเราก็จะทราบว่า นั่นคือสาเหตุที่เราพลาดไป นั่นคือสาเหตุที่เราสะดุดไปแสนไกล...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet