ความรุ่งเรืองที่แท้จริง...
คีตากะ
ปราศรัยโดย ท่าน Suma Ching Hai
ศูนย์ซีหู, ฟอร์โมซา
๒๓ ตุลาคม ๑๙๙๔
(เดิมเป็นภาษาจีน)
มีชายผู้มั่งคั่งร่ำรวยมากคนหนึ่ง เขาเชิญพระองค์หนึ่งมีชื่อว่า ซันกา มาเขียนคำกลอนให้เขาท่อนหนึ่ง ในสมัยโบราณเมื่อสร้างบ้านใหม่เสร็จหรือเวลาเปิดร้านใหม่ คนจะหาผู้ที่เขียนตัวอักษรได้สวยที่เก่งที่สุด และมีชื่อเสียงมาเขียนโคลงกลอนให้เพื่อจะได้มีโชค เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องของญี่ปุ่นก็ได้ เมื่อชายผู้ร่ำรวยเชิญซันกามาเขียนกลอนเขาก็พูดกับท่านว่า “กรุณาเขียนอะไรเพื่อที่ครอบครัวของเราจะได้เจริญรุ่งเรืองไปหลายๆ รุ่นไปเรื่อยๆ และให้ความร่ำรวยและสถานภาพนี้สืบทอดต่อๆ ไปถึงรุ่นลูกหลานของเราด้วย ซันกาก็หยิบพู่กันขึ้นมาเขียนว่า “พ่อตาย ลูกชายตาย หลานชายก็ตายด้วย” พอเขากำลังเขียนแบบนี้ไป ชายผู้ร่ำรวยและคนในครอบครัวของเขาก็งุนงงและรู้สึกโกรธมาก ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเขียนแบบนั้น “เราเชิญท่านมาเขียนโคลงกลอนเพื่ออวยพรเราในโอกาสขึ้นบ้านใหม่นะ ทำไมท่านถึงเขียนว่าทั้งครอบครัวของเราตายหมดล่ะ? (ผู้ฟังหัวเราะ) โอ! ? ท่านต้องการจะสาปแช่งพวกเราใช่ไหม?”
พระองค์นั้นก็พูดกับพวกเขาอย่างสงบมากว่า “อา! พวกเธอไม่รู้อะไร ฉันไม่ได้กำลังจะเล่นตลกอะไรกับพวกเธอหรอก ขอถามพวกเธอหน่อยว่าถ้าลูกชายของเธอตายก่อนเธอ แบบนั้นจะดีไหม? เธอจะไม่รู้สึกเศร้าเสียใจหรือ? ถ้าหลานชายของเธอตายก่อนเธอ แบบนั้นจะดีไหม? แล้วเธอจะมีรุ่นหลานเหลนต่อๆ ไปรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้อย่างไร? ทรัพย์สมบัติที่ดินมรดกและธุรกิจของเธอจะเจริญต่อไปได้อย่างไร? เธอจะมีใครมาดูแลจัดการต่อไปได้อย่างไร? เพราะฉะนั้นฉันจึงบอกว่าหลังจากที่พ่อตายแล้ว ต่อจากนั้นลูกชายก็ตาย แล้วหลานชายก็ตายในภายหลัง ไม่มีอะไรผิดนี่! (อาจารย์และผู้ฟังหัวเราะ, ปรบมือ) มันก็เป็นไปตามลำดับที่เหมาะสม แล้วทรัพย์สมบัติและธุรกิจของเธอก็จะมีโอกาสเจริญรุ่งเรือง” เขาบอกว่านี่เป็นความเจริญรุ่งเรืองที่แท้จริง ทุกๆ คนต้องตายไม่ช้าก็เร็ว! (อาจารย์หัวเราะ) คนในโลกกลัวตายและก็กลัวเวลาที่ได้ยินเรื่องความตาย! ความจริงแล้วไม่มีอะไรจะต้องกลัวเลย ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะตาย เพื่อให้มีอะไรบางสิ่งบางอย่างมา, บางอย่างก็ต้องจากไป! สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจะตายอย่างไร (อาจารย์หัวเราะ) ตอนนี้เราตายกันทุกวันดังนั้นเราจึงไม่กลัวความตาย! ทุกวันในระหว่างที่นั่งสมาธิ จิตวิญญาณก็ออกจากร่างไป นั่นก็เป็นความตายแบบหนึ่งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงไม่กลัว! คนทั่วไปภายนอกกลัวกันมากเวลาพูดถึงความตาย! โดยเฉพาะเวลาเธอได้รับเชิญไปงานแต่งงานแล้วเธอพูดคำว่า “ความตาย” ออกมา ก็จะไม่มีใครเอาเหล้าไวน์มาให้เธอหรอก! (ผู้ฟังหัวเราะ)
ความตายเป็นเรื่องธรรมดามาก เราลงมาที่นี่ก็เพื่อจะเรียนรู้ชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น อาจจะหกสิบปี สี่สิบปี บางคนก็สี่ปี บางคนก็สี่วัน และบางคนก็สี่อาทิตย์ ขึ้นอยู่กับว่าบทเรียนที่เธอจำเป็นต้องเรียนรู้นั้นจะยาวนานแค่ไหน ก็เหมือนกับอาจารย์เซนที่เราพูดถึงนี่ บางทีเขาจำเป็นจะต้องได้รับบทเรียนมาก เขาจึงมีชีวิตอยู่ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี คนบางคนกลับไปเร็วมาก เด็กทารกบางคนจบบทเรียนของพวกเขากันตอนที่เกิดมา พวกเขาก็เลยจากไป! พวกเราผู้ใหญ่ที่ไม่รู้ก็ร้องไห้กันใหญ่เวลาเด็กคนนั้นตาย ความจริงแล้วมันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา เข้าใจไหม? โลกนี้มันกลับตาลปัตร ความตายไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย จะไม่ดีก็เฉพาะความกลัวว่าถึงเวลาที่เราตายนั้น เรายังเรียนรู้บทเรียนของเราไม่จบ แล้วเราก็ต้องกลับมาและมาตายอีกครั้ง เป็นเรื่องยุ่งยากลำบากลำบนมาก ดังนั้นเราต้องทำให้มันตายครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องกลับมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่นิสัยเก่าๆ จะถูกล้างออกไปก็มีนิสัยที่ไม่ดีอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมาก่อนที่จะกลับมา เมื่อเราสะสมพอกพูนมากไป เราก็กลายเป็นคนที่ไม่ดีมาก มีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง ตอนที่เราลงมาตอนแรกสุด เราบริสุทธิ์ไร้เดียงสากว่านี้ มีปัญหาแค่อย่างหรือสองอย่างเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเราลงมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่เราจะล้างนิสัยก่อนๆ ออกไปหมด เราก็เรียนรู้นิสัยต่างๆ ที่แย่กว่าอีกในโลกนี้ เมื่อพอกพูนมากขึ้นๆ มันก็ร้ายแรงมากขึ้น ลักษณะเลวๆ เหล่านี้ควรจะถูกเผาไหม้ไปด้วยไฟนรก นั่นก็คือเวลาที่จะไปนรก
ความจริงแล้วนี่เป็นระบบของการวิวัฒนาการอย่างหนึ่ง เหมือนกับบางครั้งเวลาเครื่องมือของเราไม่ดีแล้ว หรือใช้ไม่ได้อีกแล้วหลังจากที่ใช้มานาน เราก็เผามันทิ้งหรือหลอมมันทำเป็นอันใหม่ออกมา ก็เหมือนกับเวลารถยนต์เก่าเกินไปแล้ว มันก็ถูกหลอมเป็นเหล็กชิ้นใหม่ แล้วเราก็ใช้เหล็กชิ้นนั้นสร้างเป็นเครื่องมืออีกชิ้น พวกเราก็เป็นเหมือนแบบนี้ ถ้าเราไม่ดี พระเจ้าก็จะหลอมเราเป็นชิ้น แล้วสร้างเครื่องมืออันใหม่ที่สมบูรณ์กว่าขึ้นมาอันหนึ่งจากชิ้นเดิมนั้น เพราะฉะนั้นนรกและสวรรค์ก็คือเครื่องมือที่จะทำให้เราพัฒนาและก้าวหน้าขึ้น ถ้าเราไม่ได้กำลังก้าวหน้าขึ้น พระผู้สร้างก็จะช่วย นรกก็เป็นการช่วยแบบหนึ่ง...
Be Veg, Go Green 2 Save The Planet