ฉันไม่ได้ลงมือเขียนอะไรนานมากแล้ว บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกว่า อืมม ฉันต้องเขียนอะไรสักทีนะ แต่ไม่ว่าอะไรที่แวบผ่านเข้ามา ที่ทำให้อยากเขียนเรื่องราว ฉันก็มักทิ้งร้างไว้ จนมันหลุดลอยเลื่อนผ่านไปทุกที วันนี้เมื่อฉันนึกอยากเขียน สิ่งที่ฉันทำคือ เปิดโปรแกรมเวิร์ดขึ้นมา แล้วลงมือพิมพ์ทันที .................................................. จริงๆแล้ว ฉันอยากเขียนรีวิวหนังสือสักเล่ม หนังสือเล่มที่ฉันยังอ่านไม่จบ แต่ฉันรู้ว่ามันต้องเป็นหนังสือเล่มที่ดีเล่มหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันวางแผนไว้ในหัว ว่าจะเขียนอย่างไร เริ่มอย่างไร จบอย่างไร จะคัดลอกเนื้อความบางส่วนในหนังสือนั้นมาลงอย่างไรและตรงไหน แต่ให้ตายเถอะ พอฉันเปิดหน้าหนังสือ เตรียมคัดลอกเนื้อความส่วนที่ฉันต้องการมาลง ฉันก็ปิดมันลงเฉยๆเสียทุกครั้ง การคัดลอกข้อความตามที่คนอื่นเขียบนไว้มันช่างเป็นงานที่น่าเบื่อหน่ายและไร้รสชาติสิ้นดี ...................................................... ฉันเลยคิดว่า เอาละ งั้นฉันจะเอาเนื้อความส่วนที่ฉันจะคัดลอกนั้นมาเขียนใหม่เอาเองละกัน แม้ว่ามันจะไม่ดี ไม่สละสลวยเท่าต้นฉบับ แม้ว่าจะขาดตกหกหล่นไปบ้าง อย่างน้อยมันก็ไม่น่าเบื่อ-นี่ว่าสำหรับตัวฉันเอง ..................................................... มันมีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งซึ่งชื่นชอบการดูละครสัตว์ [มีเด็กที่ไหนบ้างนะที่ไม่ชอบละครสัตว์] และสิ่งที่เด็กคนนี้ชอบมากที่สุดในคณะละครสัตว์ก็คือสัตว์ทั้งหลายนั่นเอง และในบรรดาสัตว์ทั้งหลายทั้งหมด สิ่งที่เด็กชายชอบมากที่สุดก็คือช้าง เจ้าช้างตัวใหญ่โต มีหูใหญ่ ตาเล็ก มีงวง มีงา ร้องเสียงดัง ท่าทางทรงพละกำลัง ทุกครั้งที่เจ้าช้างปรากฏตัว เด็กชายจะรู้สึกเลือดสูบฉีด หัวใจเต้นแรง และสายตาของเด็กชายไม่เคยคลาดไปจากเจ้าสัตว์ร่างมหึมานั้นได้เลย แต่สิ่งหนึ่ง-เพียงสิ่งเดียว ที่คาใจเด็กชายมาตลอดทุกครั้งที่ไปดูละครสัตว์ คือเมื่อหลังจากแสดงเสร็จ เจ้าช้างตัวนั้นจะถูกผูกไว้ที่หลักไม้เล็กๆอันหนึ่ง หลักที่ดูว่าถูกปักไว้แน่นหนา แต่ด้วยพละกำลังมหาศาลของเจ้าช้าง เด็กชายเชื่อว่าถ้ามันจะดึงให้หลักนั้นหลุดออกมา ย่อมไม่เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรง เด็กชายจึงเอาความสงสัยนั้นไปถามผู้ใหญ่หลายคน ส่วนใหญ่จะได้รับคำตอบว่า เพราะช้างนั่นมันถูกฝึกให้เชื่องแล้วนี่ไง มันจึงไม่ดึงหลักอันเล็กนั่นจนหลุด ก็ถ้ามันถูกฝึกให้เชื่องแล้ว ทำไมเราถึงต้องล่ามมันด้วยล่ะ? – เด็กชายถาม แต่ไม่เคยมีใครให้คำตอบที่น่าพึงพอใจกับเขาได้ เด็กชายโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และยังคงเก็บคำถามนี้เอาไว้ในใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาจึงได้เจอกับคนผู้ซึ่งฉลาดพอที่จะให้คำตอบของคำถามนี้แก่เขา “ที่เจ้าช้างละครสัตว์มันไม่หนี เพราะมันถูกล่ามไว้กับเสานี้ตั้งแต่มันยังเล็กๆยังไงล่ะ” – นี่คือคำตอบ ลองนึกภาพลูกช้างน้อย ที่ถูกล่ามไว้กับเสาต้นหนึ่ง มันพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดึงโซ่ให้ขาด ดึงเสาให้หลุดถอน เพื่อที่จะได้อิสระ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นความพยายามที่สูญเปล่า มันไม่แข็งแรงพอ แต่ละวัน แต่ละคืน เจ้าลูกช้างน้อยพยายามดิ้นรน จนหมดเรี่ยวแรงนอนฟุบอยู่ข้างเสา และฟื้นขึ้นมาทดลองใหม่ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งวันหนึ่ง ลูกช้างมันถึงตัดสินใจยอมแพ้ ว่ามันคงไม่มีทางเอาชนะเสาต้นนี้ได้แน่ๆ มันจึงเลิกดิ้นรนอีกต่อไป แม้กระทั่งมันเติบโตขึ้น เรี่ยวแรงแข็งแกร่งกว่าเดิม ร่างกายใหญ่โตกว่าเดิม มันก็ยังคงเก็บความคิดที่ว่ามันไม่มีทางเอาชนะเสาต้นนี้ได้เอาไว้ในหัว โดยไม่เคยคิดที่จะทดลองซ้ำอีกเลย บางครั้งคนเราก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ ? ..................................................... นี่เป็นเรื่องเล่าของ ฆอร์เฆ่ บูกาย นักจิตวิทยาและนักเขียนชาวอาร์เจนตินา ฆอร์เฆ่เล่าเรื่องเล่าเล็กๆ นิทานสั้นๆให้กับคนไข้ที่มาทำจิตบำบัดกับเขาฟังอยู่เสมอ แทนที่จะหมกมุ่นอธิบายอยู่แต่ทฤษฏีจิตวิทยาที่เคร่งเครียดซับซ้อน หนังสือเรื่อง “จะเล่าให้คุณฟัง” เป็นหนังสือที่รวบรวมนิทานและเรื่องเล่าของเขา เป็นหนังสือเล่มแรกของฆอร์เฆ่ บูกายที่ถูกแปลเป็นภาษาไทยโดยสำนักพิมพ์ผีเสื้อสเปน [สำนักพิมพ์ผีเสื้อที่แปลหนังสือจากภาษาสเปนมาเป็นภาษาไทย] ทั้งเล่มประกอบด้วยเรื่องเล่าสั้นๆแบบนี้ประมาณห้าสิบเรื่อง เรื่องที่เพิ่งเล่าจบไป เป็นเรื่องแรกของหนังสือเล่มนี้ ฉันจะเล่าต่ออีกสักเรื่องละกัน ..................................................... เรื่องเล่าอีกเรื่องที่จะหยิบมาเล่าตรงนี้ เป็นเรื่องของแหวน มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง ประสบปัญหาในชีวิต ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร เขาจึงมาพบนักปราชญ์คนหนึ่งที่เขารู้จัก “ท่านอาจารย์ครับ ผมรู้สึกตัวเองว่าไม่มีค่าอะไรเลย ใครต่อใครมักจะบอกผมวาเป็นคนที่ไม่เอาไหน ท่าทางเงอะงะ โง่ทึบ ไม่แข็งแรง ไม่มีดีอะไรสักอย่าง ผมจะต้องทำอย่างไรดีครับ ผมจะต้องปรับปรุงตัวอย่างไรดี ถึงจะเป็นที่ยอมรับจากพวกเขา” อาจารย์คนนั้นจึงตอบไปว่า “ฉันเองก็มีปัญหาของฉันที่ต้องแก้ ไม่มีเวลามาแก้ปัญหาให้เธอหรอกนะ แต่ถ้าหากว่าเธออยากจะช่วยให้ฉันแก้ปัญหาของฉันสักหน่อยก็คงดี แล้วหลังจากนั้นฉันอาจจะว่างพอช่วยแก้ปัญหาให้เธอได้” ชายหนุ่มรับคำ นักปราชญ์คนนั้นจึงถอดแหวนวงหนึ่งออกจากนิ้วยื่นแล้วให้ “ช่วยเอาแหวนนี้ไปขายที่ตลาดให้ฉันที ขายให้ได้ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ แต่จงอย่ารับราคาที่น้อยกว่าหนึ่งเหรียญทองคำเด็ดขาด” ชายหนุ่มจึงเอาแหวนนั้นเดินไปที่ตลาด และเสนอขายมันให้กับทุกคนที่เขาพบ ทุกคนมองอย่างสนใจ แต่เมื่อเขาบอกราคา ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ “หนึ่งเหรียญทองคำ? มันมากไปนะ ถ้าน้อยกว่านี้สักหน่อยฉันก็คงพอจะช่วยเธอได้หรอก” ชายหนุ่มร้อนใจ กลัวว่าเมื่อขายแหวนไม่ได้ อาจารย์จะไม่ช่วยแก้ปัญหาให้เขา จึงบางคนที่อยากช่วยชายหนุ่ม เสนอราคาให้สองเหรียญเงิน – นี่มากสุดเท่าที่ฉันจะช่วยเธอได้แล้ว – ชายหนุ่มได้แต่ส่ายหน้า เขาไม่ได้รับอนุญาตให้ขายแหวนวงนี้ด้วยราคาที่น้อยกว่าหนึ่งเหรียญทอง เมื่อเขาถือแหวนกลับมาหานักปราชญ์ผู้นั้น สีหน้าของเขาท้อแท้ยิ่ง “ท่านอาจารย์ครับ ไม่มีใครที่ตลาดยอมซื้อแหวนวงนี้ในราคาหนึ่งเหรียญทองเลย บางทีราคาที่แท้จริงของมันอาจไม่ใช่หนึ่งเหรียญทองตามที่ท่านอาจารย์ตั้งไว้ก็ได้นะครับ” “จริงสินะ เธออาจพูดถูก” อาจารย์รับคำ “เอาอย่างนี้ เธอจงไปหาพ่อค้าเพชรพลอย และเอาแหวนวงนี้ให้เขาดู วานให้เขาช่วยตีราคาให้หน่อย แต่เธอไม่ต้องขายมันนะ ให้เอามันกลับมาคืนให้ฉันก็พอ” ชายหนุ่มจึงเอาแหวนนั้นไปหาพ่อค้าเพชรพลอยและร้องขอให้เขาตีราคาให้ หลังจากพ่อค้าเพชรพลอยพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฉันให้ราคาเธอไม่ได้มากไปกว่าห้าสิบแปดเหรียญทองหรอก” ชายหนุ่มอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออก “งั้นหกสิบเหรียญทองก็ได้ ถ้าหากเธอยังลังเล” ชายหนุ่มไม่พูดอะไรทั้งสิ้น รีบนำแหวนวงนั้นกลับมาคืนอาจารย์และเล่าให้ฟัง อาจารย์ฟังด้วยสีหน้ายิ้มละไม “เธอก็เหมือนแหวนวงนี้นั่นแหละ” “คุณค่าที่แท้จริงของเธอจะปรากฏก็แต่เฉพาะสายตาของผู้ที่เชี่ยวชาญและรู้ซึ้งเท่านั้น ทำไมเธอถึงต้องวิตกกังวลต่อคำตัดสินของคนอื่นๆผู้ซึ่งไม่เข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของเธอด้วยล่ะ” ........................................................... อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วนึกถึงตัวเอง นึกถึงเพื่อน นึกถึงใครต่อใคร หลายต่อหลายคน อยากอ่านต่อให้จบ และอยากให้ใครต่อใครได้อ่านกัน
24 มีนาคม 2554 21:42 น. - comment id 123083
ฉัน... จะฟังคุณ... และจะรอ...ฟังคุณ
24 มีนาคม 2554 21:46 น. - comment id 123084
คุณ.. ที่เห็นคุณค่าในตัวฉัน... แต่ฉันไม่เคยเห็นคุณค่าในตัวเอง... ขอบคุณคุณ...
25 มีนาคม 2554 09:41 น. - comment id 123087
อ่านจบแล้วก็อยากขอบคุณ เดี๋ยวจะไปหาซื้อมาอ่านนะ แต่ถ้าหาซื้อไม่ได้ขอยืมอ่านบ้างได้หรือเปล่า ขอบคุณค่ะ
25 มีนาคม 2554 11:31 น. - comment id 123090
ผม.. มาฟังเรื่องที่พี่เล่า ขอบคุณสำหรับนิทาน ดี ๆ นะครับ ผมขออนุญาตเอาไปเล่าให้เด็ก ๆ ของผมฟังนะพี่
25 มีนาคม 2554 17:19 น. - comment id 123096
26 มีนาคม 2554 11:18 น. - comment id 123107
เป็นเรื่องที่น่าอ่านจัง จะมาฟังเวลาคุณเล่านะ ดูแลตัวเองนะคะ
28 มีนาคม 2554 11:28 น. - comment id 123117
สวัสดีค่ะ มาบอกว่า ได้หนังสือแล้วจากร้านซีเอ็ดบิ๊กซีมหาชัยเย็นวันศุกร์นั่นหละ อ่านแล้วรู้สึกว่า ดีจัง ที่ได้อ่าน เป็นหนังสือที่มีคุณค่าเล่มหนึ่งทีเดียวค่ะ ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีๆนะคะ . . แต่มีเรื่องสงสัยว่า ทำไมหน้าปกถึงไม่เหมือนกันล่ะ
31 มีนาคม 2554 12:57 น. - comment id 123148
18 เมษายน 2554 10:08 น. - comment id 123512
ดีใจมากที่ได้อ่านบทความนี้ Smile