, หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความเร่าร้อนของอาทิตย์ยามบ่าย ก็ได้เวลาของความร่มรื่นยามเย็น ความร้อนจากเปลวแดดเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ สายลมเริ่มพัดพลิ้วมา ยอดไม้ยอดหญ้าต่างเอนไหวไปตามทิศทางแรงลม ไอ้เอกกับไอ้เอี้ยงสองพี่น้องในวัยแตกพานกำลังนั่งเหลาคันหนังสติ๊ก เพื่อว่าจะได้ใช้หายิงนกไปผัดเผ็ดแกล้มเหล้าในบางโอกาสที่สองพี่น้องนึกเปรี้ยวปากขึ้นมา "เออ...ค่อยยังชั่วหน่อยโว้ย มีลมซะบ้าง โลกเดี๋ยวนี้มันเป็นยังไง แต่ละวันร้อนตับแทบแตกอยู่แล้ว" อยู่ๆ ไอ้เอกก็โพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบจากการตั้งใจเกลาคันหนังสติ๊กของสองพี่น้อง "นั่นสิ...ร้อนยังกับโลกมันจะแตก" ไอ้เอี้ยงสำทับขึ้นตามความเป็นจริงที่มันพบเจอว่าหนักขึ้นไปอยู่ทุกวัน แล้วมันก็ก้มลงเป่าไปที่คันหนังสติ๊กหนึ่งครั้งเพื่อไล่ฝุ่น จากนั้นก็ก้มหน้าเกลาคันหนังสติ๊กต่อไป ผ่านไปชั่วครู่หลังจากที่ไอ้เอกกับไอ้เอี้ยงสองพี่น้องเขย่าโลกประกอบหนังสติ๊กได้เสร็จเป็นที่เรียบร้อยคนละคัน สองพี่น้องก็เริ่มออกหาเหยื่อในทันที พวกมันเดินย่องเลาะไปตามชายทุ่ง พุ่มไม้ไผ่เพราะบางทีพวกมันอาจเจอเข้ากับกระรอกตัวอ้วนๆ สักตัว ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่ารสชาดกระรอกผัดเผ็ดแกล้มเหล้านั้นช่างเป็นรสชาดที่ฟ้าประทานชัดๆ "เฮ้อ...อะไรกันวะ วันนี้ไม่มีอะไรให้กูกินแกล้มเหล้าเลยรึไง" ไอ้เอกเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เดินย่องอยู่เกือบชั่วโมง ด้วยความหงุดหงิด เมื่อคิดถึงกับแกล้มที่วาดไว้แต่กลับไม่ได้มาง่ายๆ อย่างใจนึก "กูว่าไม่ได้แดกแล้วล่ะ วันเนี้ย เซ็งฉิบ....ไอ้พวกกระรอกนี่มันก็รู้มากกันเสียจริง หายไปไหนกันหมด" ไอ้เอี้ยงกล่าวขึ้นด้วยความเซ็งอารมณ์เช่นเดียวกับผู้เป็นพี่ชาย พลางเดินย่องตามหลังไปต้อยๆ "ไอ้เอกเว้ย...กูคิดอะไรออกแล้ว" ไอ้เอี้ยงกล่าวร้องเรียกผู้เป็นพี่ชาย "หา...อย่าบอกนะว่ามึงมีไม้เด็ดอะไรอีก" ไอ้เอกหันขวับมาทางผู้เป็นน้องชาย ด้วยความมั่นใจว่า มันต้องมีแผนอะไรดีๆ อีกอย่างแน่นอน "กูว่าเราอย่าแดกเหล้าเลยวันนี้...." ไอ้เอี้ยงกล่าว "อ่าว...แล้วจะแดกห่าอะไรว่ะ? ไอ้เอกสงสัย "ก็บัวลอยไง บัวลอยกะทิหอมๆ อ่ะ กูไม่ได้กินนานแล้ว มึงไม่อยากกินหรือวะ?" ไอ้เอี้ยงเปรยทำนองเชลส์ชวนชิม "เออ...เข้าท่าเหมือนกันว่ะ... นึกแล้วอยากกินเหมือนกัน" ได้ผล ไอ้เอกเริ่มคล้อยตามอย่างว่าง่าย "ไหนมะพร้าววะ ไม่มีมะพร้าวจะเอากะทิที่ไหน" ไอ้เอกถามผู้เป็นน้องชาย "ก็นั่นไง..." ไอ้เอี้ยงชี้ด้วยสายตาไปยังต้นมะพร้าวสูงซึ่งตอนนี้มันกำลังห้าวได้ที่และยังดกเต็มต้น "แล้วถ้าเจ้าของเค้ามาล่ะวะ จะทำยังไง กูไม่รู้จักเจ้าของสวนนี้เสียด้วย" ไอ้เอกเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะช่วงนี้มะพร้าวก็ราคาแพงลิบ ถ้าเจ้าของสวนเขาหวงคงจบไม่สวยแน่นอน "มึงอย่ากังวลไอ้เอก กูรู้จักเจ้าของสวนนี้ เดี๋ยวกูจะดูต้นทางให้เอง รอฟังสัญญาณก็แล้วกัน" ไอ้เอี้ยงผู้เป็นน้องชายรับรองความปลอดภัย พลางให้สัญญาณปฏิบัติการณ์ในทันที เมื่อไอ้เอกปีนขึ้นไปได้สักพักก็เงียบไป เป็นไปได้ว่ามันกำลังรอสัญญาณจากไอ้เอี้ยงผู้เป็นน้องชายมันอยู่ พลางสัญญาณก็ดังขึ้น "ไอ้เอกเว้ย...ทุ่มมา ทุ่มมา!" ไอ้เอกได้ฟังก็เข้าใจในทันทีว่าให้ทุ่มมะพร้าวลงไปได้แล้ว มันจึงถีบลงไปๆหลายลูก "พอแล้วล่ะ...." เป็นสัญญาณบอกว่าให้หยุด แต่เอ.....ไอ้เอกไม่คุ้นในน้ำเสียงเลยสักนิด และเมื่อมองลงมากลับไม่ใช่ไอ้เอี้ยงผู้เป็นน้องชายกลับเป็นลุงพุงพลุ้ยคนหนึ่งยืนอยู่โคนต้น "ลุงเป็นใครอ่ะ...แล้วไอ้เอี้ยงล่ะ" ไอ้เอกตะโกนถามลุงคนนั้น "ไอ้เอี้ยงกูไม่รู้ รู้แต่ว่ากูเป็นเจ้าของสวนนี้" ไอ้เอกได้ฟังเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่างานเข้าเสียแล้ว และเมื่อมันเพ่งมองโดยถี่ถ้วนมันก็เห็นปืนลูกซองยาวถูกกระชับไว้อย่างเหนียวแน่นในมือลุงคนนั้น ทำให้มันหมดเรี่ยวแรงจนแทบร่วงตกลงมาจากต้นมะพร้าวเฮงซวยต้นนั้น "เอ่อ...คือผมเห็นว่าลุงอยู่คนเดียวไม่มีใครช่วยปีนมะพร้าวให้ ผมสงสารเลยจะมาช่วยลุงปีนให้น่ะครับ" ไอ้เอกกล่าวแบบใจดีสู้เสือหลังจากที่มันค่อยๆ ไต่ลงมาจากต้นมะพร้าว "อืม...ขอบใจเว้ยไอ้หนุ่ม" ลุงกล่าวพร้อมรอยยิ้มอยู่มุมปาก ไอ้เอกเหลียวเห็นรอยยิ้มปกคลุมด้วยหนวดอันหนาเต่ออยู่มุมปากยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง "งั้นผมไปล่ะครับลุง..." ไอ้เอกรีบจ้ำอ้าวออกไปทันทีโดยไม่เหลียวหลัง "เฮ้ย...เดี๋ยวก่อนไอ้หนุ่ม" โอ้...จอร์จ ไอ้เอกรำพึงในใจ ถ้ากูหันไปแล้วเจอกระบอกลูกซองกำลังเล็งมาที่กลางกระหม่อมกูคงฉี่แตกตรงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย "ครับ...ลุง" ไอ้เอกกล่าวพลางค่อยๆหันหลังกลับอย่างช้าๆ แต่แล้วผิดคาด "เอามะพร้าวไปกินด้วยสิวะ" ลุงกล่าวพร้อมอุ้มมะพร้าวมาให้ไอ้เอกสองลูก หลังจากมาถึงบ้านไอ้เอกแทบหมดเรี่ยวหมดแรง ปานว่ามะพร้าวที่อุ้มมาด้วยหนักลูกละยี่สิบกิโล "ไอเอี้ยงโว้ย...มึงอยูไหนวะ?" ไอ้เอกแหกปากเรียกหาน้องชายทันทีที่ภาวะหัวใจเป็นปกติ "ไอ้เหี้ยเอี้ยง...ไหนว่ามึงรู้จักเจ้าของสวน ไหนว่ามึงจะบอกกูถ้าเจ้าของสวนมา หา...ไอ้เวรตะลัย มึงรู้มั้ยกูเกือบเอาชีวิตไปทิ้งเพราะแผนบัดซบๆ ของมึง" ไอ้เอกยังคงใส่ต่อเป็นชุด ด้วยอารมณ์อันเดือดเหมือนบัวลอยไข่หวาน "ก็กูบอกมึงแล้ว ทำไมมึงไม่เสือกลงมาวะ" ไอ้เอี้ยงอธิบายด้วยความสัจจริง "บอกตอนไหนไอ้ห่า...เห็นบอกแต่ให้กู ทุ่มมา ทุ่มมา" เป็นความสัจจริงเช่นกันที่ไอ้เอกได้ยินเช่นนั้นเพียงอย่างเดียว "ก็นั่นแหละ กูบอกให้มึงรู้ว่าเจ้าของสวนมา" ไอ้เอี้ยงกล่าว "หา..." ไอ้เอกเพิ่งเข้าใจ "เออ...เจ้าของสวนแกชื่อ ทุ่ม" ไอ้เอี้ยงกล่าว พร้อมกับที่ไอ้เอกหงายหลังผึงไปอีกรอบ
9 มีนาคม 2554 18:41 น. - comment id 122891
มาอ่านแล้วจ้า
10 มีนาคม 2554 09:44 น. - comment id 122902
คุณ...ฉางน้อย แน่ะ มาปรบมือแบบนี้ แสดงว่าอ่านจบ หรือเปล่า ทำไมมันติดกันเป็นพืดแบบนี้ก็ไม่รู้ อ่านเองยังตาลายเลยยี่หวา ขอบคุณจ้า
10 มีนาคม 2554 12:33 น. - comment id 122904
ตอนแรกลุ้นแทบตายกลัวสัตว์โลกผู้น่ารักจะไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในท้องสองหนุ่ม ค่อยหายใจทั่วท้องหน่อย พอมาพาร์ทหลังเรื่องปีนต้นมะพร้าวแอบขำนะ สองหนุ่มนี่ท่าทางจะชอบกินของยากๆ ขนาดเปลี่ยนใจไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วก็ยังมิวายเล่นของสูงอีก...ฮา
11 มีนาคม 2554 14:47 น. - comment id 122916
คุณ...ดอกไม้ ใบหญ้า เขามีแต่แอบเหงา นี่แอบขำนะตัวเอง...หึหึหึ
11 มีนาคม 2554 15:13 น. - comment id 122917
อ่านลุ้นๆ กลัวจะทุ่มลูกมะพร้าวมาโดนศรีษะ นายทุ่ม อิ รออ่านเรื่องต่อไปจ้า จัดมาๆๆ
11 มีนาคม 2554 15:29 น. - comment id 122918
คุณ...แก้วประภัสสร คุณแบมครับ ผมมานั่งตรองดู น่าจะตั้งชื่อเรื่องสั้นนี้ว่า "ทุ่มมา ทุ่มมา...!" นะครับ อิอิ
10 มีนาคม 2554 21:40 น. - comment id 122921
อิ อิ อิ อิ
10 มีนาคม 2554 18:40 น. - comment id 122937
คุณ...โคลอน ฮากันเบาๆ แก้ร้อนครับคุณฝน ...อันที่จริงผมกำลังนั่งสำนึกผิดอยู่ตอนนี้ ด้วยกลัวว่าจะทำให้คนเพิ่งฟื้นป่วย เกิดอาการตัวเองหมุนรอบโลก หรือโลกหมุนรอบตัวเองขึ้นมาอีกเพราะตาลาย แต่...หากมันจะทำให้คุณขำขัน หรือหัวเราะออกมาได้บ้าง นั่นจะทำให้ผมและสองหนุ่มในเรื่องสั้นนี้ปีติเป็นที่ยิ่งครับ