"เขาตายไปตั้งนานแล้ว ที่เห็นยังหายใจอยู่นี่ คือสังขารของเขา แต่...วิญญาณข้างในไม่ใช่ เขาไม่มีความเป็นจรัสศรีคนเดิมเหลืออยู่เลย" ป้านวลศรี อนันตกูล วัยใกล้ 70 ปี กล่าวถึง ป้าจรัสศรี พี่สาวที่มีอายุมากกว่าเธอ 2 ปี แต่ทุกวันนี้กลับกลายเป็นหญิงชราที่ไม่เหลือความทรงจำใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น ความสุข ความทุกข์ ความยินดี หรือความโศกเศร้า... เป็นเวลากว่า 12 ปีแล้วที่ ป้าจรัสศรี จำตัวเองไม่ได้ จำน้องสาวไม่ได้ จำใครในโลกนี้ไม่ได้เลย แถมควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ใช้อวัยวะไม่เป็น กินข้าวเองไม่ได้ ต้องป้อนและบอกให้เคี้ยว แยกแยะการเคี้ยวกับกลืนไม่ได้ เดินเองก็ไม่ได้ ต้องบอกให้ก้าวและเดิน ซึ่งความผิดปกติทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากโรคอัลไซเมอร์ โรคร้ายที่ไม่ใช่แค่การลืมสิ่งของหรือความจำบางอย่าง หากแต่ลืมทุกสิ่งอย่างในการใช้ชีวิต เปรียบเสมือนมียางลบอยู่ในสมอง ที่คอยลบความทรงจำออกทีละเล็กทีละน้อย ป้านวลศรี เล่าว่า เธอกับพี่สาวเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ จากบ้านเกิดในจังหวัดราชบุรี ก่อนจะเข้ามาเรียนหนังสือและอยู่ด้วยกันในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ชั้นมัธยม โดย ป้านวลศรี เรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วน ป้าจรัสศรี จบคณะกสิกรรมและสัตวบาล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สาขาปฐพีวิทยา ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท แม้ว่าจะเติบโตมาด้วยกัน แต่นิสัยของทั้งคู่ก็แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ป้านวลศรี บอกว่า พี่สาวของเธอเป็นคนสวยและเก่งในทุก ๆ เรื่องมาตั้งแต่เด็ก ๆ อีกทั้งยังเป็นคนใส่ใจในความเป็นไปของคนรอบตัว ไม่ละเลยความทุกข์ของคนรอบข้าง มีเมตตา ชอบช่วยเหลือผู้คน รวมถึงเพื่อนร่วมโลกที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างสุนัขจรจัด ในขณะที่ตัวเองเป็นคนสำรวยชนิดไม่เคยเดินตลาดซื้อกับข้าว ไม่หยิบจับเนื้อสัตว์ดิบ ไม่เข้าใกล้อะไรที่สกปรก ชอบสันโดษ มีโลกส่วนตัวสูง และไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้คน "จรัสเขาเป็นคนสวยและเก่ง เก่งทุกเรื่อง เก่งผิดปกติ เรียนเก่ง ทำงานเก่ง ขับรถเก่ง แถมยังซ่อมเป็นด้วย กับข้าวทั้งคาวทั้งหวานไม่มีใครเทียบเขา เขาเก่งมาก ทำอะไรต้องทำให้ได้ดี เขาทำเค้กเก่งมาก ไม่ใช่สักแต่ว่า just a cake อย่างนี้นะ ทำแบบอร่อยมาก" ป้านวลศรี กล่าว แต่แล้ววันหนึ่งความผิดปกติก็ส่งสัญญาณบางอย่างกับพี่สาว ก่อนเกษียณอายุราชการเพียง 2 ปี ป้าจรัสศรี เริ่มลืมของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ขับรถชนโน่นนี่ โดยตอบไม่ได้ว่า ชนอะไรมา ไปจนกระทั่งถึงการลืมของมีค่า ลืมทางกลับบ้าน ลืมการขับรถซึ่งเป็นเรื่องอัตโนมัติ ลืมบ้านของตัวเอง และเมื่อย่างเข้าปีที่ 5 เธอก็เริ่มลืมภาษา เขียนไม่ได้ ออกเสียงไม่ถูก และไม่เหลือความทรงจำอื่นใดอีกเลย "ตอนเป็นใหม่ ๆ ป้าก็รับไม่ได้นะ ตบหน้าหันเลย เพราะเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทนไม่ไหว แรก ๆ ตีบ่อย แต่สุดท้ายแล้ว มันก็ทำให้เราจิตตก เสียใจ รู้สึกเหมือนสติจะแตก บางทีนอนคิดว่าหลับไปแล้วพรุ่งนี้ไม่ตื่นก็ดีนะ จนกระทั่งพี่สาวอีกคนมาให้สติว่า เขาเสียน้องไปคนหนึ่งแล้ว อย่าให้เสียอีกคน จากนั้นเราจึงฮึดสู้ ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมแพ้ เพราะชีวิตเขา เราเป็นผู้กำหนด" จากนั้นเป็นต้นมา เวลาทั้งหมดที่มีไว้ใช้สำหรับตัวเองของป้านวลศรี ก็ถูกโอนถ่ายไปเป็นของร่างที่มีแต่ลมหายใจไร้ความทรงจำของพี่สาวจนหมดสิ้น จากที่เคยสนใจแต่เรื่องของตัวเอง มาวันนี้ ป้านวลศรี จะคิดถึงสังขารของพี่ก่อนสังขารตัวเอง เธอได้ละทิ้งความเป็นตัวเองแทบทุกอย่างเพื่อดูแลพี่สาว ละทิ้งความฝันความตั้งใจที่จะเปิดร้านเบเกอรี่เล็ก ๆ ในเขตบ้าน รวมทั้งหันมาใส่ใจที่จะแบ่งปันทั้งตัวตน แบ่งปันเงินทองเพื่อช่วยเหลือคนอื่น รวมถึงสัตว์ร่วมโลกแทนพี่สาวของเธอ "ตอนที่ความจำเขายังไม่ดับสนิท เขาร้องไห้ว่า ทำไมฉันถึงเป็นอย่างนี้ ป้าบอกเขาว่า เธอไม่ต้องกลัว ตราบใดที่ฉันมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ทิ้งเธอ จริง ๆ เราไม่ได้เป็นคนดีอะไรหรอก ไม่ได้ปล่อยวางอะไรได้ขนาดนั้น ไม่ได้ปรารถนาคำชื่นชม แต่เรามองเห็นความทุกข์ของเขา ทุกอย่างเขารอเราอย่างเดียว เราก็ต้องใส่ความเป็นมนุษย์ให้เขา เพราะเขามีชีวิตไม่มีชีวา เขามีแต่สังขาร เราก็อยากจะแบ่งเบา แม้ว่าเราจะสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิต แต่สิ่งที่ได้มันเหมือนเรารู้จักโลกมากขึ้น เห็นความมีคุณค่าของมนุษย์ อะไรที่เราช่วยเหลือใครได้ เราต้องทำ อย่างน้อยมันไม่เสียชาติเกิด" ป้านวลศรี กล่าว นอกจากน้องสาวแท้ ๆ ที่คอยดูแล ป้าจรัสศรี ยังมี คุณเปรม ทองใบ แพงมี ผู้ที่เคยเป็นคนรับใช้ของบ้านนี้มาตั้งแต่ ป้าจรัสศรี ยังไม่ป่วยไข้ และทุกวันนี้เธอยังคงคอยดูแลอยู่ไม่ห่างไปไหน ด้วยเพราะความรักความผูกพันที่ ป้าจรัสศรี เคยมอบให้ประหนึ่งญาติคนหนึ่งในบ้าน ทำให้เธอรู้สึกเหมือนคอยดูแลแม่ที่ป่วย และให้คำมั่นสัญญาว่ายังคงดูแล ป้าจรัสศรี ต่อไปจนถึงที่สุด ขณะที่ ป้านวลศรี ก็ยังคงยืนยันว่า จะไม่พาพี่สาวไปทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์ผู้ป่วยแน่นอน แม้จะรู้ดีว่า พัฒนาการของโรคอัลไซเมอร์ จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ ป้านวลศรี ก็เชื่อว่า คงอีกนานกว่าจะถึงวันนั้น หรืออาจจะเป็นวันที่ป้าละสังขารก่อนพี่สาวของตัวเองก็เป็นได้ และนี่คืออีกหนึ่งเรื่องราวความรักของ 2 พี่น้อง ที่คนหนึ่งมียางลบ คอยลบความทรงจำ อีกคนมีความทรงจำอันงดงามอยู่ในจิตใจ มีความรักที่เกิดจากการเผชิญทุกข์และเรียนรู้ที่จะมองเห็นสุขให้ง่ายขึ้น แม้ความทรงจำของผู้เป็นพี่จะไม่เหลือแล้ว แต่ตราบใดที่น้องสาวคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็สัญญาว่าจะดูแลพี่คนนี้ให้ดีที่สุด ซึ่งเรื่องราวของ หญิงชราสองพี่น้องนี้ นอกจากจะเป็นเครื่องเตือนสติเรื่องความไม่เที่ยงของสังขารแล้ว ยังย้ำเตือนในเรื่องของความดี เพราะในวันที่ ป้าจรัสศรี ไม่เหลืออะไรเลย แต่จะเห็นได้ว่า คุณงามความดีที่เคยทำไว้นั้น กำลังปกป้องเธออยู่จนทุกวันนี้ แหล่งที่มา sanook.com
7 มีนาคม 2554 16:49 น. - comment id 122848
อ่า...เศร้าแต่ก็ซาบซึ้งอ่ะพี่พิม
7 มีนาคม 2554 19:24 น. - comment id 122852
มาเศร้าด้วยคน
7 มีนาคม 2554 20:27 น. - comment id 122858
ในความเศร้ายังเห็นแสงที่สวยงามอยู่เลยค่ะแสงแห่งความดีค่ะชอบจังเลย
8 มีนาคม 2554 16:08 น. - comment id 122872
ขอบคุณ........ น้ำตาลหวานที่นำเรื่องดีๆมาเล่าสู่กันฟัง......... ทำให้พลังชีวิตคุโชนขึ้น........ ชีวิตนี้ยังมีสิ่งดีงาม อีกมากมาย...... บอกว่า.......ชอบมากค่ะ
8 มีนาคม 2554 16:39 น. - comment id 122874
คิดถึงแม่กับน้องสาวของแม่เลยค่ะ
8 มีนาคม 2554 20:48 น. - comment id 122879
อ่านแล้วเศร้า บอกไม่ถูกค่ะคุณพิม น้องสาวแม่ก็เพิ่งจากไปไม่นานนี่เองค่ะ
9 มีนาคม 2554 10:34 น. - comment id 122884
นี่แหละที่เขาว่า พ่อแม่พี่น้องเหมือนแขนขา ซึ้งจริงๆคับ สุขอย่าได้สร่าง
9 มีนาคม 2554 18:45 น. - comment id 122892
ขอลอกคำตอบของเม้นท์ที่1 กับ 2 นะคะพี่พิม
9 มีนาคม 2554 21:13 น. - comment id 122895
ด้วยความรักและผูกพันธ์ครับ
9 มีนาคม 2554 21:28 น. - comment id 122896
ความเห็นเหมือนท่านข้างบนคร๊าบบบบบ อ่ะแอ้ม ขอลอกการบ้านน้องวามั่งดีกว่าน้อ
9 มีนาคม 2554 23:42 น. - comment id 122898
10 ฮ่วย พี่รัตน์ รักฅนดีอ่ะลอกอย่างเดียวไม่พอนะ ทำเนียนแอบแฮ๊บไข่บ้านพีพิมอีก จาฟ้องคุงคู