พระพุทธบาทพลวง เขาคิชฌกูฏ

(น้ำตาลหวาน)

เมื่อวันศุกร์ที่ 18 กพ. 54 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปแสวงบุญมาค่ะ พระพุทธบาทพลวง ที่เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี เป็นการไปเอาบุญที่วัดนี้ครั้งที่สองเว้นไปสองปี มาปีนี้ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  เราเริ่มจากหาที่พักก่อนเพราะไม่ได้จองที่พักหรือเตรียมเต้นท์ไป  ก่อนเข้าวัดก็เมียงๆมองๆหาที่พักไปด้วย  สะดุดตาแห่งหนึ่งไม่ไกลจากวัดพลวงนัก  มองเห็นมีห้องพักไม่กี่ห้อง แต่มีเต้นท์กางอยู่ประมาณสิบเต้นท์เห็นจะได้    ก็ตกลงเลี้ยวกลับจากวัดมาหาที่พักให้มั่นใจก่อนว่าได้นอนแน่  ไม่ผิดหวังค่ะ  ถึงแม้ห้องจะเต็มแต่เต้นท์ยังไม่มีคนเช่า  เราเดินเลือกเต้นท์ที่คิดว่าสะดวก ใกล้ห้องน้ำ แล้วออกมาทานข้าวบริเวณที่พักนั่นแหละค่ะ  เจ้าของที่พักบอกว่า ประมาณสี่ห้าทุ่มเต้นท์จะเต็มเพราะคนลงจากเขาคิชฌกูฏกัน  เราก็อ้าว...เขาเดินขึ้นกลางคืนได้ใช่ไหมเนี่ย  เพิ่งจะรู้(ก็ไม่รู้จริงๆ)  จริงแล้วตั้งใจหาที่พักนอนหนึ่งคืน รุ่งเช้าตีห้าจะขึ้นไปค่ะ  เราจึงตกลงกันว่า ทานข้าวเสร็จก็ขึ้นไปนมัสการพระพุทธบาทกันเลย  พรุ่งนี้เช้าก็เดินทางกลับพิษณุโลก  
หลังทานข้าวเสร็จก็ขับรถไปวัดพลวงอีกครั้ง  หาที่จอดรถ ( 50 บาท) บริเวณที่ใกล้ที่สุด สะดวกที่สุด  จากนั้นก็ไปหาซื้อรองเท้าแตะสำหรับฉัน   เนื่องจากเกิดเอ๊กซิเด้นท์ทำเล็บแล้วบวมปวดมากไม่สามารถสวมรองเท้าผ้าใบที่เตรียมมาได้  (อยากสวยก่อนมาเที่ยวเจอซ้า..อิอิ) ได้รองเท้าแตะถูกใจแล้ว ไปจองตั๋วรถสองแถวขึ้นเขากัน ในราคาคนละ 50 บาท คนเยอะมากค่ะ  ความจริงวัดพลวงแห่งนี้จะมีสถานที่ให้ผู้ไปแสวงบุญได้นมัสการพระพุทธรูปหลายจุดด้วยกัน แต่ ด้วยเวลาที่เรามากันใกล้ค่ำจึงคิดตรงกันว่า ขึ้นเขาเลยค่ะ  ช่วงรถสองแถวลงจากเขามาแต่ละคันต้องแย่งกันกระโดดขึ้น  โห....อะไรจะขนาดนั้นน๊อ  เรายืนเมียงๆมองๆ สงวนท่าทีกันอยู่พักนึง  ไม่ได้การแระ ถ้าไม่แย่งก็ไม่ได้ขึ้นค่ะ  เพื่อนกระโดดขึ้นไปก่อนแล้วกันที่ให้พวกเรา  ในที่สุดก็สำเร็จ ได้ขึ้นรถสองแถวสมใจ  มีคนขึ้นมาเกินสองคนเป็นผู้หญิงอายุประมาณเกือบสี่สิบยืนอยู่บนรถ  คนขับรถบอกว่ายืนไม่ได้นะครับ  อันตรายมาก  แต่เขาก็ยืนยันว่ายืนไปได้  (สงสัยมาครั้งแรกยังไม่รู้ว่าการนั่งรถสองแถวขึ้นเขาคิชฌกูฏมันเสี่ยงชีวิตขนาดไหน)  คนในรถต่างพร้อมใจกันพูดบอกด้วยความหวังดีว่า (รวมทั้งฉันด้วย)  ยืนไปไม่ได้แน่ๆมันเสี่ยงมาก  เขาจึงยอมลงจากรถด้วยความโล่งอกของทุกคน มันเสี่ยงจริงๆกับการยืนไปค่ะ
รถสองแถวขับพาเราผ่านเขื่อนแล้วขึ้นเขาก่อนขึ้นอุทธยานจะมีป้อมตรวจรักษาการของเจ้าหน้าที่ มีป้ายบอกว่า เก็บขยะกลับบ้านให้มารับกล้าไม้ไปปลูกได้ฟรี  เป็นไอเดียที่ใช้ได้เลยนะค่ะ 
และแล้วรถสองแถวก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เหวี่ยงซ้าย เหวี่ยงขวา ขับเลนซ้าย ปาดไปเลนขวาอย่างเมามัน พวกเราเกาะราวรถกันแน่น  ช่วงรถสวนก็กลั้นหายใจขอให้สวนกันด้วยความปลอดภัย  สาธุ.... อิอิ เป็นแบบนั้นจริงๆ หายใจไม่ทั่วท้องเลยค่ะ  เป็นระยะทางประมาณ 4 กม. ช่วงที่เรานั่งรถมาก็มีคนเดินขึ้นเขาเป็นระยะ  ส่วนมากจะเป็นคนอายุไม่มากนัก ยังมีเรี่ยวแรงเดินขึ้นได้กันอยู่  สำหรับฉันกับเพื่อนๆ  ขอบายอ่ะ  สังขารไม่อำนวยจริงๆ  
รถไปจอดในระยะครึ่งทางประมาณ 4 กม.เพื่อต่อรถสองแถวขึ้นไปบนสูงสุดอีกคัน (ไม่รู้ว่าทำไมต้องต่ออ่ะ) อาจเพราะรถวิ่งขึ้นเขาสูงคดโค้งมากเกินไปไม่ดีต่อสภาพรถมั้งค่ะ (คิดบวกไว้ก่อน)  ปีก่อนที่ผ่านมา ถึงจุดนี้ฉันจะแวะเข้าไปไว้พระที่บริเวณต่อรถ แต่ปีนี้เห็นว่าใกล้ค่ำค่ะ ก็เลยจองตั๋วขึ้นเขาต่อทันที อีกคนละ 50 บาทค่ะ
ช่วงต่อรถนี้ไม่ต้องแย่งกันขึ้นรถค่ะ เป็นไปด้วยความสะดวกสบายขึ้น  จากนั้นก็นั่งรถเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ขับเลนซ้ายปาดไปเลนขวาเหมือนเดิม และสูงชันกว่าเดิม  หายใจไม่เคยทั่วท้องค่ะ ลุ้นตลอดทาง ถึงช่วงนี้นึกขึ้นได้ว่า ฉันเคยแนะนำเพื่อนคนนึงให้พาครอบครัวมาเพราะเห็นว่า ดีมากๆสำหรับคนต้องการทำบุญ แสวงบุญ ดีกับครอบครัวกับตัวเอง และเพื่อนก็ไปตามที่แนะนำค่ะ  พอกลับไปเจอกันในเอ็ม เพื่อนบอกว่า ทำไมไม่เตือนกันมั่งว่าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกันทั้งครอบครัว แล้วเขาก็หัวเราะค่ะ คงจะขำปนเคือง โถ.. ก็เราหวังดีอ่ะนะ  ด้วยเพื่อนเคยอยู่แต่เมืองหลวงค่ะ ไม่เคยเจอสถานการณ์อันหฤโหดแบบนี้  เจอซ้า...อิอิ
และแล้วก็ถึงวัดกระทิง สถานที่จอดรถเราลงจากรถแล้วไปซื้อดอกไม้ธูปเทียน อ้าว...ดอกดาวเรืองหมด มีแต่ดอกกุหลาบ  ถ้าใครมาเขาคิชฌกูฏจะเห็นว่า ทุกสถานที่บริเวณวัดพลวงจะมีดอกดาวเรืองขายเป็นถุงใหญ่ ธูปกำใหญ่ เทียนหลายเล่มเลยค่ะ  เพราะตลอดระยะทางเดินขึ้นเขาระยะทาง 1.20 กม.เพื่อไปนมัสการพระพุทธบาทพลวง จะมีพระพุทธรูป เทพ เทวดา ฤษี ให้เรานมัสการและโรยดอกดาวเรืองตลอดระยะทางเดินขึ้นไปค่ะ  ตามที่ฉันคิด น่าจะเป็นไอเดียการเดินขึ้นเขาโดยไม่ให้เหนื่อยมากกว่าเพราะได้พักไหว้พระตลอดระยะทางขึ้นไปค่ะ ฉันคิดอย่างนั้นนะ   เป็นทางเดินขึ้นค่อนข้างสูงและชันพอประมาณ มีบางช่วงที่เป็นบันได บางช่วงเป็นพื้นดินให้เดินลัดเลาะรวมทั้งมีเชือกขึงเป็นราวตามทางเดินให้เราได้จับให้มั่นคั้นให้ตาย เอ๊ย.. ไม่ใช่ ได้เดินขึ้นลงสะดวกปลอดภัยยิ่งขึ้นค่ะ มาคราวนี้แยกทางขึ้นและลงอย่างชัดเจนไม่ต้องรอสวนทางกันเหมือนครั้งก่อน
ตลอดทางเดินมีแต่ผู้คนมากมาย ต้องค่อยๆเดินขึ้นไปหยุดไป ไหว้พระไป เป็นบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยอิ่มบุญจริงๆ  มีทั้งผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กเล็กกำลังหัดเดิน และยังเดินไม่ได้ก็อุ้มกัน  เด็กบางคนคุณพ่ออุ้มอยู่ก็ดิ้นกระแด่วๆ จะลงเดินเอง  เป็นภาพที่เห็นแล้วต้องอมยิ้มไปด้วย  มีสองตายายใช้ไม้เท้า(จะมีไว้ให้ใช้ทั้งก่อนขึ้นเขาก่อนลงเขาให้ยืมค่ะ) ค่อยๆเดินขึ้นเขากัน  เป็นภาพที่ฉันแล้วยังคิดว่า  ท่านอายุมากขนาดนี้ยังมีจิตกุศลแรงกล้ามาเพื่อแสวงบุญโดยไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย  แล้วเรายังแข็งแรงทำไมจะไม่คิดมาบ้างละค่ะ  คิดแล้วก็ดีใจที่ได้มาค่ะ
ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวน้ำ ไม่มีอะไรทานนะค่ะ มีอาหารอย่างง่ายๆ ให้ได้ซื้อ มีน้ำขาย ตลอดทางค่ะ  มีของที่ระลึก มีล๊อตเตอรี่ ฯลฯ  รวมทั้งมีโรงทานสำหรับแจกน้ำขิงร้อนๆให้ดื่มฟรีด้วยค่ะ น่าจะครึ่งทางพอดี  ฉันแวะเข้าไปรับดื่มอย่างกระหาย   แล้วแวะไหว้พระ ไหว้ เทพ เทวดา พร้อมเดินขึ้นต่อ  มีสองจุดที่เป็นระฆังห้อยยาวเหยียดให้เราใช้เหรียญได้เคาะเพื่อเป็นศิริมงคล มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยค่ะ
มีบางช่วงให้เราได้ยืนชมวิวด้านล่างด้วยนะค่ะ สวยค่ะ ภูเขาและชันมากๆ พอขึ้นไปถึงพระพุทธบาท ก็เข้าไปไหว้ค่ะ  ผู้คนเนืองแน่นไปหมด ได้แต่ไหว้ด้วยธูป เทียน โยนดอกไม้ และแบงค์  เข้าไปในรอยพระพุทธบาท  เราโชคดีมากๆที่ไปวันมาฆบูชามีเสียงประกาศว่า จะมีพิธีเวียนเทียน  ให้นั่งกันให้เรียบร้อย   พวกเราหาที่นั่งเหมาะที่สุด (แบบเลือกไม่ได้คนแน่น) ถึงขนาดที่ว่านั่งงอขางอเท้ายังไงก็อยู่สภาพอย่างนั้น  ขยับตัวแต่ละครั้งยังต้องค่อยๆพลิกซ้ายขวา เพราะไปเบียดคนอยู่ข้างๆค่ะ  บางคนบอกว่ามานั่งจองสถานที่กันตั้งแต่สี่โมงเย็น  โอ...จิตกุศลแรงจริงๆ 
เสียงประกาศให้นั่งกันให้เรียบร้อย ประมาณครึ่งชั่วโมง กว่าจะเรียบร้อยกันได้ จากนั้นก็มีพระประมาณ 9 รูป เข้านั่งบริเวณพระพุทธบาท จากนั้นก็ทำพิธีสวดมนต์  ขอบอกว่า สวดมนต์ทำพิธีนานมากๆค่ะ น่าจะประมาณ  2 ชั่วโมง  เท่าที่จำได้ก็มีสวด อิติปิโส 9 จบ สวดขอพรอัญเชิญเทวดา ฯลฯ  อากาศหนาวมากๆ  จากที่เดินขึ้นเขามาร้อนระอุ เหงื่อย้อยเป็นทาง  พอนั่งนิ่งๆฟังพระสวด  มองเห็นหมอกขาวๆปลิวไสวเหมือนควันไฟอยู่เหนือศรีษะวูบๆเลยค่ะ ลมแรงมาก  พอดีฉันเตรียมเสื้อคลุมแบบมีฮู๊ดมาด้วย  ค่อยยังชั่วหน่อย คลุมศรีษะได้  ไม่งั้นกลับลงมาจากเขามีหวังเดี้ยงค่ะ  
ด้วยบริเวณพระพุทธบาทแคบมาก และ รอบๆเป็นเหวลึก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้คนที่เดินทางไปไม่รู้จะประมาณการสักเท่าไหร่ดี  ประมาณไม่ถูกค่ะ เยอะมาก  ไม่สามารถเดินเวียนเทียนได้  จึงมีแต่บทสวด ขอบอกว่า ขนลุกเลยค่ะ  ไม่เคยเจองานบุญอันศักดิ์สิทธิยิ่งใหญ่ขนาดนี้  อายุพระพุทธบาทนับตั้งแต่พบเจอด้วยนายพรานก็ประมาณ 157 ปีค่ะ  หลวงพ่อได้เล่าถึงประวัติให้ฟัง  ถ้าให้ฉันเล่าคงยาวอีกแน่ ติดไว้ก่อนนะค่ะ
พอเสร็จพิธีการ  ฉันเริ่มมองลู่ทางเดินออกจากสถานที่  หันไปทางไหนก็แน่นไปหมด บริเวณก็แคบ ฉันจึงมีความคิดสะกิดเพื่อนว่า  พระเดินออก เราก็เดินออกตามพระท่านไปเลยนะ  ไม่งั้นออกยากแน่ๆ  เร็วเท่าความคิดพอพระเดินออกฉันก็เดินนำเพื่อนออกมา  ขอบอกว่าก่อนเข้าไปบริเวณพระพุทธบาทต้องถอดรองเท้าไว้ด้านนอกค่ะ  แต่ไม่สามารถเข้าไปถึงรองเท้าได้ คนเบียดจะเข้า อีกทางเบียดจะออก  เพื่อนอาสาเข้าไปเอารองเท้าให้ และให้ฉันออกไปที่บันไดทางลง  โอ้...พระเจ้าจอร์ท  ไม่อยากจะเชื่อมองจากบันไดลงไปด้านล่าง ผู้คนแน่นจนไม่มีทางเดินลง และเดินขึ้นก็ไม่ได้เพราะด้านบนก็แน่นอยู่แล้ว  กว่าจะหลุดลงมาได้เล่นเอาเหงื่อหยดติ๋งๆเลยค่ะ รองเท้าก็ไม่ได้สวมเพราะเพื่อนยังมาไม่ถึง  พอลงมาได้รอเพื่อน  ปรากฏว่า เพื่อนหยิบรองเท้ามาให้ฉันผิดค่ะ เราซื้อรองเท้าคู่ 59 บาทขึ้นไป  แต่ได้รองเท้าลักษณะเดียวกัน แต่น่าจะราคาสูงกว่ากันมาแทนค่ะ  เพื่อนบอกว่า มีคู่เดียวไม่มีให้เลือกเลย จึงคิดว่าใช่   เราไม่สามารถกลับขึ้นไปหาและคืนเจ้าของได้จริงๆ  ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย และคิดว่า  รองเท้าฉันน่าจะมีคนหยิบไปก่อนแล้ว  เพราะเหลือคู่เดียวที่คล้ายกัน
ขาไปเหมือนไก่จะบินจริงๆค่ะ ขาลง ขาสั่นพั่บๆ สั่นจริงๆนะค่ะ  เหมือนจะล้มพับซะให้ได้ ต้องค่อยๆเดินทีละก้าวๆลงมา  นึกถึงผู้เฒ่าผู้แก่ที่เดินขึ้นไปขาลงจะเป็นอย่างไรกันนะ   ช่วงเดินลงยังมีคนเดินขึ้นมากมายเหมือนเดิม  ถามพ่อค้าแม่ขายเขาบอกว่า มีคนเดินขึ้นกันทั้งคืน  จิตศรัทธาแรงมากๆ ขอบอกสี่ทุ่มแล้วยังมีคุณพ่อคุณแม่พาเด็กๆอายุไม่เกินห้าขวบเดินขึ้นเขากันอยู่เลย ไม่รู้คิดอย่างไรกัน และมีหลายคนด้วยค่ะ สำหรับฉันสงสารเด็กค่ะ ควรจะได้นอนพักกันแล้ว
กลับลงมาถึงจุดขึ้นรถจองตั๋วอีก คนละ 50 บาท คราวนี้พวกเราเริ่มรู้แล้วว่าควรจะขึ้นรถอย่างไร  พอรถจอดก็รีบไปยืนตรงด้านข้างรถฝั่งตรงข้ามคนขับค่ะ  ได้นั่งรถด้านหน้าที่เป็นแค๊ป สบายหน่อยค่ะ พอถึงจุดเปลี่ยนต่อรถอีกคนละ 50 บาท ก็ทำเหมือนเดิม  ตลอดระยะทางที่นั่งรถ  ยังมีคนเดินขึ้นเขาเป็นระยะๆเหมือนเดิมค่ะ  (แล้วจะถึงพระพุทธบาทกี่โมงกี่ยามกันล่ะนี่) เด็กวัยรุ่นเป็นกลุ่มๆค่ะ
ถึงวัดพลวงประมาณสี่ทุ่มครึ่ง รวมเวลาที่ขึ้นไปประมาณ 5 ชม.ครึ่ง  แวะทานอาหารเป็นข้าวต้ม แล้วเดินทางกลับที่พัก เต้นท์ที่เราเช่ามีเพียง เสื่อผืน หมอนใบ ผ้าห่มบางๆ เท่านั้นค่ะ พื้นดินก็แข็งมาก ม่ายหวาย จะนอนยังไงกันละนี่  ฉันเลยคิดอุบายเล็กน้อย บอกว่าเป็นคนขี้หนาวของผ้าห่มหนาๆหนึ่งผืน พอได้มาก็ใช้ปูนอน  ค่อยยั่งชั่วหน่อย ไม่งั้นปวดกระดูกแน่ๆ อิอิ
กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืน  มีคนเข้ามาพักเต้นท์จนเต็มค่ะ  รุ่งเช้าตื่นนอนด้วยเสียงเด็กวิ่งเล่นกัน  จากนั้นก็อาบน้ำทานข้าว  เดินทางกลับพิษณุโลกกันเลย  ถึงพิษณุโลกตอนหนึ่งทุ่ม ด้วยความปลอดภัยและอิ่มบุญกันทั่วหน้า แต่ปวดน่องตอนนี้ก็ยังไม่หายค่ะ  
อ้อ..ลืมบอกไปค่ะ การไปนมัสการปิดทองพระพุทธบาทพลวงแห่งนี้สามารถขอพรได้หนึ่งข้อ และจะได้ผลจริงด้วยนะค่ะ ลองดูถ้าใครมีโอกาสได้ไปค่ะ  สำหรับฉันขอพรมาแล้ว (เก็บไว้ในใจไม่บอกใคร อิอิ) 
ขออภัยทริปนี้ไม่มีรูปเลยค่ะ เป็นช่วงกลางคืน กล้องไม่อำนวยค่ะ
ผู้หญิงอยากเล่า ทริปหน้าเจอกันใหม่นะค่ะ
				
comments powered by Disqus
  • เทียนหยด

    22 กุมภาพันธ์ 2554 16:05 น. - comment id 122529

    ต๊ะเอ๋  46.gif
    
    อ้อยเคยไปมาสองครั้งเห็นจะได้..ยังจำตอน
    
    นั่งรถขึ้นไปบนเขาได้ดีเชียวหล่ะ..เหมือนที่
    
    คุณพิมบอก ปาดซ้ายปาดขวา..ตอนแรกก็นั่ง
    
    เรียงแถวกันดีอยู่หรอก..สักพักก็แสดง
    
    ความรักกันม๊าก มาก..โน่นลงไปกองรวมกัน
    
    อยู่ด้านหน้า..แต่ก็สนุกค่ะ ได้รสชาดไปอีก
    
    แบบหนึ่ง...27.gif46.gif
    
    ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าที่เคล้าความระทึกค่ะ
    
    11.gif36.gif
  • ฉางน้อย

    24 กุมภาพันธ์ 2554 10:05 น. - comment id 122624

    พี่พิมๆ  เมื่อวานจะเม้นท์แระ 
    
    บังเอิญ คอมพ์เดี้ยงบ่อยคะช่วงนี้
    
    ต่อเอ็มก็ติดๆดับๆ 
    
    อ่ะ เข้าเรื่อง อิอิ .......
    
    อ่านเรื่องของพี่พิมแล้วอยากไปบ้างคะ
    
    แต่ไม่รุ้หนุ่มจันทบุรีจะไปบ้างป่าวหน๊อ อิอิ
    
    วาชอบนะพี่พิม  การท่องเที่ยวแบบนี้อ่ะ
    
    ชอบดี สนุกดี ท้าทาย อิอิ
    
    ........วาเคยไปภูกระด้ง เอ้ย ภูกระดึงค่ะ 
    
    ที่ จ.เลย ไปกะอาจารย์กะเพื่อนๆสมัยสาวๆ 55555
    
    ชอบมากๆ เหนื่อยๆ แต่ก็สนุกค่ะพี่พิม
    
    มีที่พักเป็นกระต๊อบเล็กๆ  เรียงเป็นแถวๆๆ ตอนึดๆมีกวางอ่ะพี่ มาเคาะขออาหาร อิอิ
    
    บางคนที่นอนเต็นท์กลางสนามอ่ะพี่พิม
    
    รุ่งเช้ามา กวางมาปลุก รื้อเต้นท์เฉ๊ยยย
    
    เอามาม่ามาแกะกิง 55555
    
    จริงๆแล้วบ้านพักที่แข็งแรงทนทานก็มีนะพี่พิม
    
    แต่ว่าพวกเราชอบที่จะนอนดูดาวกันอ่า
    
    กลางคืนเครื่องปั่นไฟหยุดทำงานนะ
    
    พวกเราก็เปิดไฟฉายนั่งล้อมวงคุยกัน
    
    สนุกนะ วาขอบมากการเดินทางแบบนี้
    
    .....หากมีโอกาสอยากไปอีก 
    
    ปล. อยากไปกะใครสักคนที่รู้จายยยย
    
    นั่งดูดาว โรแมนติก อิอิ ....... 46.gif65.gif65.gif
  • ฉางน้อย

    24 กุมภาพันธ์ 2554 10:14 น. - comment id 122625

      ขอคุยกะพี่อ้อยหน่อยนะคะพี่พิม
    
    นี่ๆแกรๆ เจ้อ้อยๆพี่บังยี อิอิ
    
    อ่านเรื่องที่เจ๊เล่า  นึกถึงสมัยวาเรียนที่กทม.อ่ะ
    
    ....วันนั้นนะวากะเพื่อนอีก 2 คน เหมือนๆลิงฝนกะพี่ลิงอ้อยแหละ
    
    ชื่อ ยุ กะ ชื่อ พี่กบ 
    
    พวกเราโบกรถเมล์มินิบัสสีเขียวๆอ่ะ
    
    พวกเราเรียกกันว่ารถเมล์หัวเขียว อิอิ
    
    รถพวกนี้วิ่งปรู๊ดปร๊าดดอยุ่แระใช่ป่ะ
    
    ทีนี้ พวกเราสามคนขึ้นได้นั่งเบาะหลังเลย
    
    เบาะหลังจะมีที่นั่ง 5 ที่ใช่ป่ะ 
    
    ซ้ายมือริมหน้าต่างมีคนนั่งแระ 
    
    ขวามือริมหน้าต่างมีคนนั่งแระ
    
    ทีนี้พวกเราสามตัวก็นั่งที่มีเหลือสามที่แหละ
    
    แล้วทืนี้ พี่กบ นั่งตรงกลางระหว่างไอ่ยุกะวาใช่ป่ะ
    
    รถเริ่มขับซ้ายย้ายขวา ปาดหน้าปาดหลัง
    
    วินาทีสำคัญมาถึงแระ  คนขับเร่งความเร็วอย่างแรง
    
    แล้วก็เหยียบเบรคอย่างแรงเช่นกัน
    
    555555 พี่กบของพวกเรานั่งคุยกันอยู่ดีๆ
    
    หันไปมองอีกที อ้าววววว พี่แกร ไปนั่งยิ้มแป้น
    
    ริมกะไดฝั่งหน้าคนขับ คิดดูรถแรงแค่ไหน
    
    5555 พวกเราขำก็ขำ โมโหก็โมโห 
    
    แต่อารมณ์ขำสีหน้าของพี่กบมากกว่า
    
    ไอ่ยุกะวา กะพี่กบ พยักหน้ากัน ประมาณว่าเอางเจ้กบ 5555
    
    พี่กบพยักหน้าตอบ ลงดิวุ้ย  จะอยู่ให้อายขายขี้หน้าทำไรค๊า ทั่นผู้อ่าน
    
    กระเป๋ารถเมล์เจือกถามอีกนะ 
    
    อ้าวๆ ยังไม่ถึงป้ายจะลงแระเหรอเจ้
    
    อิอิ เจ้กบ บอกว่า อ่อ พอดีว่าจะลงข้างหน้านี้พอดีคะ
    
    55555  ความฮาก็จบลงด้วยประการฉะนี้ แล...
    
      20.gif19.gif65.gif74.gif
  • กรต

    24 กุมภาพันธ์ 2554 13:43 น. - comment id 122651

    ต้องอ่านเป็นระลอก...เรยนะเนี่ย...อิอิ
    
    หวัดดีจร้า...อาคุงพิม...
    
    มาเที่ยวไกลจิงๆ...46.gif
    
    ไม่เคยไปอ่ะจร้า...เคยไปแต่เขาชะเมา...อยู่ใกล้ๆกัง(เค้าว่าๆ) รึป่าว...
    54.gif46.gif
    
    ท่าทางจะเหนื่อย...แต่น่าสนุกนิ...11.gif11.gif4.gif6.gif11.gif46.gif36.gif
  • (น้ำตาลหวาน)

    24 กุมภาพันธ์ 2554 16:30 น. - comment id 122652

    
    คุณอ้อย...เทียนหยด
    
    พิมว่ารถสองแถวและถนน เป็นเสน่ห์ของเขาคิชฌกูฏอย่างหนึ่งเลยนะค่ะ
    ในความคิดของพิม(คนเดียว)ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงค่ะ ชอบๆๆ อิอิ
    
    16.gif36.gif
  • (น้ำตาลหวาน)

    24 กุมภาพันธ์ 2554 16:35 น. - comment id 122653

    
    น้องวา...
    
    พี่ชอบบรรยากาศที่น้องวาเล่าจัง ...
     แต่ ภูกระดึงไม่ไหวแล้วค่ะ เดินขึ้นเขาไม่เก่งอ่ะ ปูนนี้แระ อิอิ
    
    เคยไปเที่ยวเกาะเสม็ดตั้งแต่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ค่ะ
    บรรยากาศใกล้เคียงกับที่น้องวาเล่า ชอบมากๆ
    
    ปล.คนรู้ใจน้องวามีแล้วนี่นา (คุงอ้อย กะ น้องฝน) เอ...เดาถูกป่าวน๊า.. อิอิ
    
    
    16.gif36.gif
  • (น้ำตาลหวาน)

    24 กุมภาพันธ์ 2554 16:35 น. - comment id 122654

    
    
    น้องวา   คุยกับคุงอ้อยแล้ว พี่พิมแอบอ่านด้วยได้ป่าวอ่ะ  46.gif
  • (น้ำตาลหวาน)

    24 กุมภาพันธ์ 2554 16:38 น. - comment id 122655

    
    คุณกรต.
    
    แหะๆ เรื่องยาวเน๊อะคุงกีฯ ไม่ใช่เรื่องสั้น อิอิ
    
    ถ้ามีโอกาสพิมก็อยากไปเที่ยวให้ทั่วประเทศไทยเลยค่ะ
    แต่ติดตรงที่ว่า บ่จี๊นี่แหละค่ะ ขอบคุณที่แวะมานะค่ะ 46.gif36.gif
  • ฉางน้อย

    25 กุมภาพันธ์ 2554 08:39 น. - comment id 122704

    ฝากบอกพี่กรต.ว่า........
    
    เขาชะเมา ม่ะรุ้จักอ่าพี่พิม
    
    รุ้จักแต่ เขาจะเมา  555555 
    
    ไปแล้นนนนนน  20.gif19.gif
  • ฉางน้อย

    25 กุมภาพันธ์ 2554 08:40 น. - comment id 122705

    10.......จะช้าอยุ่ไย พี่ทั่นทั้งหลาย อิอิ    19.gif20.gif46.gif
  • ลชร

    25 กุมภาพันธ์ 2554 16:30 น. - comment id 122726

    21.gif21.gif21.gif
    
    อ่านไปลุ้นไปนะพี่พิมฯ อิอิ31.gif
  • -

    28 กุมภาพันธ์ 2554 14:16 น. - comment id 122754

    ๏ ราตรีผ่องม่านฟ้า...........เหล่าบุปผามาสนอง
    ดาวแขดุจแนบครอง.........เปล่งหล้าฟ้าหาเดียวดาย
    หอมเจ้ามิต้องหมอง..........โปรยละอองล่องลอยหาย
    ลมส่งเย็นมิคลาย...............แนบสู่ห้วงซึ้งในทรวง๚ะ๛
    
    
    ๏ บุปผาเผยยั่วเย้า..............มัณฑนา อวลเฮย
    ราตรีหอมชวนหา..............อวลเนื้อ
    ชมพูใฝ่แดงมา....................ขาวก่อ  มวลแฮ
    แขเปล่งหนุนสู่เอื้อ.............มุ่งเคล้าผ่านหทัยฯ
    
    ๏ ซ้ายแลขวามุ่งคว้า...........นวลนาง ดอมแฮ
    พิศเพ่งยากจะวาง................กอบไว้
    มัณฑนามิเจือจาง................คมเกี่ยว สู่นา
    ดั่งมีดลงคลั่งไคล้................ฝากเนื้อใฝ่สงวนฯ
    
     ๏ บุณฑริกผันฝากเอื้อ....มุ่งชม แม่นา
    อวลบุษบันหอมรม...........ซ่านซึ้ง
    ชมนาดใฝ่ให้ดม................สืบต่อ หวังแฮ
    หอมสุดจากห้วงบึ้ง...........ใฝ่เคล้าสู่สนองฯ
    
     ๏รินอวลบ่มม่านฟ้า........ใคร่เชย ผกาแม่
    แขส่องดาราเคย................ซ่านไว้
    ใจจิตสุดยากเผย................คำกล่าว  จริงนา
    หวังจะใฝ่ลูบไล้................จูบเจ้าคลอเคียงฯ
    
     ๏ อกเอ๋ยยากป่วนแล้ว......เลือกหา จริงเอย
    หลายหลากกลิ่นนำมา.......สู่ไว้
    อวลอบยิ่งนำพา.............สานต่อ  ผกานา
    เพียงนั่งหวังเชยได้........ค่ำนี้ดั่งสรวง  ๚ะ๛          
    
             ก.ไข่ไก่

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน