อทิสมานกาย ๗๗
กิ่งโศก
แม่นางอ้อยวิลาวัลย์เทพอัปสรเอ่ยกับพี่นางตนเอง พลางหันไปสบตากับชายหนุ่มซึ่งอมยิ้ม
พี่ว่าให้พี่เขาทำงานในหน้าที่เสร็จเรียบร้อยดีกว่าแล้วจะให้เขานำทางไปท่องเที่ยวยัง
ดินแดนนรกภูมิสักครั้งหนึ่งนะ ด้วยตอนนี้เราทั้งสองก็สามารถที่จะลงไปได้ด้วยไม่ต้อง
คำนึงถึงกาลเวลาดังน้องชบา ซึ่งยังคงร่างของสาวผกาอยู่นะน้อง อีกอย่างหนึ่งพี่โชติ
ยังอาศัยร่างของมนุษย์อยู่คงจะไม่สามารถพาไปได้ครบหรอกจ้า นอกจากเป็นบางครั้ง
บางคราวเท่านั้น
จริงจ้าพี่นาง แม่นางชบาหรือก็สภาพเหมือนกับน้องนี่แหละแต่เพียงอาศัยร่างของ
สาวผกาอยู่ แม้จะได้ฌานสมาบัติขั้นสูงก็ตามแต่ก็ยังต้องถูกพลังงานดึงดูดไว้กับร่าง
นี้ ด้วยวิชาอาคมตลอดจนฌานสมาธิของพี่โชติกำกับไว้จึงต้องรอไปจนกว่าจะครบอายุ
หรืออีกนัยหนึ่ง????.........แล้วนางก็หัวร่อให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนตามเขาปราถนานะจ๊ะพี่
ใช่แล้วล่ะน้อง ไว้ให้เราทั้งสี่พร้อมๆกันเมื่อไหร่นั่นแหละถึงจะได้ไปในสิ่งที่พวกเรา
ปรารถนาได้จ้า หรือว่าไงพี่โชติ
ชายหนุ่มได้รับฟังก็ยิ้มๆ แล้วพลันเอ่ยแก่แม่นางเทพอัปสรทั้งสองว่า
เรื่องนี้เราต้องช่วยกันทำให้สาวชบาได้บรรลุแห่งกาลเวลาให้มากๆเสียก่อนนะอันดินแดน
นี้มันมีอายุกาลมากๆเสียด้วยซิ ไว้หากเรื่องทางด้านนี้เรียบร้อยครบถ้วนสมบูรณ์ตามลิขิต
ของฟ้าดินซึ่งกำหนดวางไว้แล้วนั่นแหละ พวกเราทั้งหมดก็อาศัยฌานนี้ผ่านไปอย่างอิสระเสรี
สมความประสงค์นั่นแหละที่จะไปท่องเที่ยวที่ใดๆในสามภพนี้ได้ตามใจเราปรารถนาจ้า
ถ้าอย่างนั้นพวกน้องๆจะไม่ทำให้พี่เสียเวลางานของพี่แล้วจ๊ะ ให้พี่ดำเนินงานส่วนเรื่อง
สาวชบานั้น ท่านพี่วางใจได้น้องทั้งสองจะคอยกำกับให้นางรู้ถึงกาลเวลาให้หมด แม้ว่า
พลังงานแห่งจิตนึกสิ่งใดร่างก็ไปได้ตามปราถนาก็จริงอยู่แต่หากไม่ยึดติดหลงใหลในสิ่งนั้น
ก็ไม่เป็นปัญหา อุปมาดั่งจิตมนุษย์หากตัวอยู่ที่นี้แต่เคยไปพบสิ่งใดมาเพียงแค่นึกก็จิตไปถึง
แล้วใช่ไหมจ๊ะพี่
ที่น้องกล่าวมานี้ถูกต้องแล้วล่ะจ๊ะ จิตคนเราล้วนประกอบด้วยพลังงานที่มากด้วยฤทธานุภาพ
ยิ่งนัก หากจิตเราพรักพร้อมสมัครสมานกันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกับวัตถุใดๆก็สามารถบังคับได้
จ้า ด้วยเหตุที่จิตเรานั้นไม่คงที่มักจะกระสับกระส่ายไปๆมาๆตลอดเวลา แต่หากเราสามารถบังคับ
จิตนั้นให้อยู่นิ่งได้ก็จะเกิดพลานุภาพมากมายมหาศาลจะใช้ทำสิ่งใดๆก็ได้จ้าน้องพี่
ยังเหลือเวลาที่แสงสีสินชัยเพิ่มและเริ่มจะต้องทำงานอีก สองหรือสามวันนะ น้องเองก็อยากจะ
รู้เรื่องเกี่ยวกับนรกภูมิ พี่ช่วยเล่าให้ฟังเพียงคร่าวๆก่อนได้ไหมจ๊ะพี่????....
แม่นางทั้งสองเอ่ยแก่ชายหนุ่ม ซึ่งหล่อนทราบว่าชายหนุ่มนี้ได้เคยไปยังดินแดนนี้มาแล้วด้วย
ไปพบท่านท้าวพระยายมราชจ้าวแห่งดินแดนนี้มา คงจะทราบเรื่องราวได้ดี ด้วยความอยากรู้ว่าอัน
ดินแดนแห่งนี้นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ด้วยตนเองก็ยังไม่ทราบเรื่องราวเช่นนี้มาก่อนเพียงแค่รู้เท่านั้น
ส่วนเจ้าแสงสี สินชัย พ่วง และเริ่ม ซึ่งไม่เคยเอ่ยปากใดๆนั้น ก็ขะยั้นขยออีกทางหนึ่งด้วย
จริงซินาย พวกเราก็อยากจะรู้ในดินแดนนี้จะมีความสุขหรือทุกข์อย่างไรบ้างเพราะพวกเรา
ต่างก็เป็นวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่และถูกบังคับให้ทำงานในสิ่งไม่ดีงามมามากมายนัก ดีที่ได้มาอยู่
กับนายที่เพียบร้อมด้วยคุณธรรมจึงเปลี่ยนนิสัยจิตใจพวกข้าเสียหมด ได้รู้จักผลดีผลชั่วไว้
จึงได้เกิดความกลัวเหลือเกินที่หากต้องเข้าไปสู่ยังดินแดนนี้บ้างเหมือนกันครับนาย
ชายหนุ่มก็หันไปมองหน้าพลางหัวร่อเบาๆ ที่เห็นนัยน์ตาทั้งสี่สับสนไปๆมาๆอยู่อดเวทนา
เสียไม่ได้และ เมื่อได้ยินทั้งแม่นางทั้งสองและลูกน้องตนเองเอ่ยเช่นนี้
พลันชายหนุ่มก็หลับตาลงชั่วอึดใจเดียวเขาก็พลันเอ่ยขึ้นว่า
ใช่แล้วพวกมันกำลังคิดวางแผนการจะขนย้ายของเพื่อจัดส่งไปยังกรุงเทพฯ
ในเวลาอีกสองหรือสามวันนี้ยังมีเวลาเหลือเฟือนัก เอาล่ะแม่นางและพวกเจ้าทั้งหลาย
ตอนนี้เอาแค่รู้แค่เพียงคร่าวๆก่อนก็แล้วกันนะหากพวกเจ้าสามารถฝึกสมาธิ
ได้สำเร็จแล้ว งานทุกอย่างลงตัวกันแล้วก็จะนำพวกเราไปยังดินแดนนี้อีกเพื่อชมดินแดนนี้
อันดินแดนนรกภูมินี้หาได้มีความสุขใดๆทั้งสิ้นอย่างที่เจ้าทั้งสี่คิดก็หาไม่
ล้วนแต่ทุกขเวทนา ยกเว้นก็เพียงแต่ท่านท้าวพระยายมราชและพวกอินทกะ
ซึ่งเป็นบุตรจำนวนหนึ่งพันของท่านท้าวพระยายมราชตลอดจนผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ
ผลกรรมดีและชั่วเท่านั้น
ที่มีวิมานส่วนตัวอยู่ของตนเองพร้อมบริวารหญิงชายซึ่งเป็นเทวดาซึ่งอยู่แต่ในวิมานเท่านั้น
แต่พวกอินทกะนั้นต่างก็มีดินแดนที่ต้องรับภาระปกครองควบคุมดูแลและก็มีบริเวรเช่นเดียวกัน
การปกครองนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นดินแดนต่างๆไปของแต่ละขุมใหญ่ทั้งสี่ด้านทั้งสิ้น
ซึ่งขุมนรกที่ใหญ่ๆนั้นมีทั้งหมดแปดขุมใหญ่แต่ละขุมนั้นโทษหนักเบาไม่เหมือนกัน
ยังแยกออกเป็นอีกหลายๆดินแดนกัน เหล่าพวกอินทกะก็ต่างมีนายนิรบาลที่ทำหน้าที่
คอยชำระลงโทษควบคุมเหล่าสัตว์นรกทั้งสิ้นตามแต่ผลแห่งกรรมนั้นๆเป็นบริวารของตน
อันการเป็นมนุษย์ภูมินี้ก็ยังมีนรกอยู่เหมือนกัน ดังองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรา
ได้ทรงตรัสให้แก่บรรดาภิกขุทั้งหลายฟังไว้ด้วยล่ะแม่น้องนางและเจ้าทั้งหลาย พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า
ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการนี้
เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือบุคคลที่มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
และเป็นมิจฉาทิฎฐิ ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก
ธรรมดาของชีวิตมี เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ชีวิตหลังความตายเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เตรียมตัว เตรียมใจ ไม่ได้สั่งสมบุญไว้
แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของผู้มีบุญ ที่ได้สั่งสมไว้อย่างดีแล้ว
เพราะการตายเป็นเพียงการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิใหม่เท่านั้นเอง
ผู้เป็นบัณฑิตเห็นว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เลวร้ายอย่างที่คนส่วนใหญ่มักจะทุกข์อกทุกข์ใจ
เมื่อมีญาติอันเป็นที่รักจากไป การปฎิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย
ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกภายใน เป็นการเพิ่มเติมความมั่นใจในการเดินทางไปสู่สัมปรายภพ
เพราะพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันอบอุ่นและปลอดภัยที่จะนำไปสู่สุคติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทิฎฐิสูตร ว่า
" จตูหิ ภิกฺขเว ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต
เอวํ นิรเย กตเมหิ จตูหิ กายทุจฺจริเตน วจีทุจฺจริเตน
มโนทุจฺจริเตน มิจฺฉาทิฎฐิยา อิเมหิ โข ภิกฺขเว จตูหิ
ธมฺเมหิ สมนฺนาคโต ยถาภตํ นิกฺขิตฺโต เอวํ นิรเย
ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔ประการนี้
เหมือนถูกนำมาโยนลงในนรก ธรรม ๔ ประการ คือ บุคคลผู้มีกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
และเป็นมิจฉาทิฎฐิ ผู้ที่ประพฤติธรรม ๔ ประการนี้เหมือนถูกโยนลงในนรก
นรกเป็นอบายภูมิที่รองรับผู้มีบาป ในตัวมาก เป็นดินแดนสำหรับคนบาป
เมื่อละโลกไปแล้วจะต้องไปทนทุกข์ทรมานเสวยวิบากกรรมที่ตัวเองทำไว้
นรกที่อยู่ลึกที่สุด คือ อเวจีมหานรก ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ มหาตาปนรก ตาปนนรก
มหาโรรุวนรก โรรุวนรก สังฆาฎนรก กาฬสุตตนรก สัญชีวนรก แต่ละขุมนี่ใหญ่มาก
เป็นภพๆ หนึ่งที่กักขังสัตว์นรกไว้เหมือนเป็นเมืองนรก แต่เขาเรียกว่า ขุมนรก
แล้วยังมีนรกขุมย่อยๆ อีกมากมาย ขุมเล็กเรียกว่า อุสสทนรก จะอยู่ล้อมรอบขุมใหญ่ๆ
ทั้ง ๘ ล้อมรอบขุมละ ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมแล้วก็เป็น ๑๒๘ ขุม
ขุมเล็กเป็นบริวารของขุมใหญ่ เหมือนดาวล้อมเดือน จะมีดาวดวงเล็กๆ
เป็นบริวารของดาวดวงใหญ่อย่างนั้นแหละ
นรก ขุมย่อยๆ ที่เรียกว่ายมโลกนั้น เป็นที่รองรับผู้ทำบาปในระดับบาปไม่มากพอ
ที่จะไปตกในอุสสทนรกหรือมหานรกทั้ง ๘ ขุม ยมโลกนรกนี้จะล้อมรอบมหานรกทั้ง ๘
เอาไว้อีกชั้นหนึ่ง อยู่ห่างออกไปทั้ง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ทิศละ ๑๐ ขุม รวมแล้ว
เป็น ๓๒๐ ขุม เมื่อรวมมหานรก ๘ ขุม อุสสทนรก ๑๒๘ ขุม และยมโลกนรก
อีก ๓๒๐ ขุม ก็เป็น ๔๕๖ ขุม
นรก ๔๕๖ ขุมนี้ เรียกว่า นิรยภูมิ เป็นหนึ่งในอบายภูมิ ทั้ง ๔ เป็นกามภพชั้นต่ำ
คือภูมิที่ปราศจากความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีแต่ไฟลุกท่วมตัว การตกไปในอบายภูมิ
จึงเป็นดินแดนที่หาความเจริญไม่ได้ ถ้าหากเราประมาทพลาดพลั้ง
แล้วพลัดไปเกิดในนิรยภูมิ ก็ต้องรับกรรมและทนทุกข์ทรมานอยู่เป็นเวลานาน
ตามแต่กรรมที่ทำเอาไว้ ท่านถึงกล่าวว่า อปาเยสฺ หิ กมฺมเมว ปมาณํ อกุศลกรรมที่ทำเอาไว้
เป็นเครื่องวัดอายุของสัตว์ในอบายภูมิ
ลักษณะการถูกทรมานของนรกแต่ละขุม ก็มีลักษณะแตกต่างกันไป
ตามแต่กรรมชั่วที่เคยทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์
ซึ่งนายนิรบาลเหล่านี้ก็มีกรรมเหมือนกันแต่ด้วยการสร้างกรรมดีและกรรมชั่ว
นั้นแทบจะเสมอภาคกัน แต่ก่อนดับจิตนั้นคิดถึงกลัวแต่พวกยมฑูตนั่นเอง จิตจึงน้อมนำไปสู่
ดินแดนแต่ละแห่งไม่เหมือนกันแล้วแต่ผลของกรรมเป็นตัวชี้เหตุในการที่จะนำไปสู่ภูมินั้นๆ
จึงได้มาผุดในดินแดนต่างๆนี้บังเกิดเป็นนายนิรบาลไปทำความดีลบล้างชั่วคละเคล้ากันไป
จึงไม่มีเวลาพักผ่อนต้องทำงานตลอดเวลาเป็นการชดใช้หนี้กรรมชั่วของตนเอง
อีกทางหนึ่งด้วย แต่อาศัยอำนาจของผลบุญนี้เองที่ไม่ต้องถูกลงโทษ
แต่ก็เหมือนถูกลงโทษเยี่ยงสัตว์นรกทั่วๆไป เป็นบริวารของพวกอินทกะ
บุตรของท่านท้าวพระยายมราช
จนกว่าจะชดใช้หนี้กรรมหมดถึงจะได้ไปบังเกิดใหม่อีกในดินแดนมนุษย์ภูมิ
เพื่อสร้างกรรมดีด้วยอุปนิสัยที่ผ่านเรื่องนี้ทำให้จิตใจอันแข็งกร้าวอ่อนไหวลง
พวกนี้จึงไม่เกิดการสร้างกรรมชั่วอีกต่อไป หากทางสร้างผลบุญกุศล
เพื่อหวังในแนวทางสุขคติภพต่อไป
ส่วนพวกยมฑูตนั้นต่างกับพวกนายนิรบาล เพราะเป็นคนของท่านท้าวพระยายมราชที่
ปกครองดินแดนนรกภูมินี้ มีหน้าที่คอยไปนำดวงวิญญาณทั้งหลายมาสู่ยังสถานที่นี้ หาก
วิญญาณใดที่ประกอบด้วยผลบุญกุศลมากๆก็จะมีเสลี่ยงคอยมารับนั่งเสลี่ยงไปโดยพวก
ยมฑูตจะอัญเชิญให้นั่งเสลี่ยงแบกไปยังสถานที่ท้องพระโรงอันกว้างใหญ่จึงเป็นที่สังเกตุ
ของบรรดาสัตว์นรกทั้งปวง ด้วยรับบัญชามาจากท่านท้าวพระยายมราชด้วยกุศลกรรมนั้น
จึงได้รับการปรนนิบัติเป็นอย่างดี บนเสลี่ยงก็ประกอบดั่งปุยนุ่นอ่อนนุ่มพลิ้วไหวสม่ำเสมอ
ส่วนพวกที่สร้างกรรมหนักบ้างน้อยบ้างแต่น้อยกว่ากรรมดีนั้นก็จะถูกมัดพันธนาการ
ด้วยเชือกลากจูงมาเข้าสู่นรกภูมิ อันเป็นดินแดนที่มืดสลัว มีหมอกควันพิษกระจายไปทั่ว
ไม่มีกลางวันและกลางคืนอากาศเหม็นอับทึบ เมื่อมาถึงทางเข้าดินแดนแห่งนี้ต้อง
เข้าสู่ประตูเหล็กกว้างยาวใหญ่ พวกนี้จะถูกลากอย่างไม่ปราณีปราศัย
ขัดขืนก็จะถูกทุบตีด้วยกระบองเหล็กอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส ถูกกระชากลากไป
เชือกที่มัดมือหรือก็จะรัดข้อมือยิ่งดิ้นมากเชือกก็จะรัดมากจนเลือดไหลซึมไปทั่ว
เป็นที่ทรมานก่อนจะมาถูกพิจารณาโทษของตนเองตามผลกรรมของตนที่ได้สร้างไว้
อันเป็นมีผู้ตรวจสอบบัญชีทั้งสองของท่านท้าวพระยมราชนั้นชื่อสุวรรณและสุวาน
ในการทำหน้าที่เปิดบัญชีชำระโทษนั้นๆของแต่ละดวงวิญญาณนั้น
พวกยมฑูตนั้นเป็นบริวารของผู้ตรวจสอบบัญชีอีกทีหนึ่งที่คอยรับบัญชา
มีหน้าที่คอยไปรับดวงวิญญาณที่ถึงกาลแห่งเวลาอายุขัยที่ถูกกำหนดจากเบื้องบนมา
ผู้ตรวจสอบบัญชีกำกับดูแลผลกรรมของมวลมนุษย์โลกไว้ฝ่ายกรรมดีก็จะจารึกในแผ่น
ทองคำ ส่วนผู้ประกอบกรรมชั่วก็จะจารึกไว้ในแผ่นหนังสุนักข์ กรรมดีและกรรมชั่วนั้นก็
จะผุดขึ้นมาโดยอาศัยจิตส่งผลให้เจตสิก และใจก็รายงานให้สัญญาไว้ เมื่อถึงสัญญาแล้ว
ผลแห่งการกระทบที่ถูกสังขารปรุงแต่งแล้วนอกจากจะส่งให้แก่วิญญาณแล้วยังส่งผลไป
ยังบัญชีในที่นี้อีกชั้นหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้จะผุดขึ้นเองตามแต่ผลกรรมนั้นๆ
ครั้นผู้ตรวจสอบบัญชีที่สัญญาส่งให้สังขารแล้วมาผุดขึ้น เมื่อวิญญาณนั้นถูกนำมายัง
สถานที่นี้ บัญชีก็จะเปิดขึ้นเองตามรูปนามนั้นๆแต่ละบุคคลที่หมดอายุขัย ถ้าหากวิญญาณ
ใดยังไม่ถึงอายุขัย บัญชีนั้นก็จะไม่เปิดให้พิจารณาโทษแก่ดวงวิญญาณนั้นๆ
ครั้นผู้ตรวจสอบพบถึงการกระทำความดีหรือชั่วต่างๆนั้นต่างก็จึงค่อยรายงานให้
ท่านท้าวพระยายมราชพิจารณาโทษเหล่าที่จะมารับผลกรรมนั้นๆต่อไป
แล้วชายหนุ่มก็หยุดเล่า พลางหันไปถามเจ้าแสงสีสินชัยพ่วงและเริ่มว่า
ก็ด้วยเหตุดังนี้จึงสามารถรู้ถึงการกระทำไม่คนตั้งเป็นหลายๆล้านคนทั้งโลกนี้
สามารถทราบได้จากการผุดขึ้นของกรรมดีกรรมชั่วโดยแยกแต่ละบัญชีไปทั้งหมดนี้
ล้วนแล้วจะถูกบันทึกไว้ในบัญชี่เล่มเล็กนี้ได้หมดสิ้นไม่ขาดตกบกพร่อง
ในกรรมของแต่ละดวงวิญญาณ ไม่ว่าผู้นั้นจะนับถือ ศาสนาใดๆก็ตาม
ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนกันหมดทั้งสิ้น ไม่แยกชั้นวรรณะใดๆ ยากดีมีจนสูงต่ำก็มีผลกรรมเหมือนกัน
เขาจะถือผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่วเป็นที่ตั้งในการพิจารณาโทษวิญญาณเหล่านั้น
แล้วหันไปหัวร่อกับแม่นางทั้งสองว่า น้องหญิงพอจะทราบไหมว่าเป็นเพราะเหตุใดหรือ???...
นั่นซิพี่ น้องเองไม่ทราบว่าอันจำนวนคนมากมายในโลกนี้ การสร้างกรรมดี หรือกรรมชั่ว
นั้นทางนรกภูมิจะทราบได้อย่างใดกันเล่า จะผิดพลาดได้หรืออย่างใดกัน เคยได้ยินได้ฟังมาว่า
บางครั้งมีการนำตัวผิดไปก็มีด้วยสาเหตุใดหรือพี่ช่วยอธิบายให้น้องฟังหน่อยซิ
เรื่องการนำตัวผิดไปสืบเนื่องจากนามธรรมที่กำหนดไว้แล้วยังมีอุปนิสัยคล้ายๆกันตลอด
จนผลบุญกรรมที่ท่านยมฑูต นำมาผิดตัวนั้นเป็นปัจจัยเหตุจ๊ะ แต่มีก็เป็นส่วนน้อยแต่ก็ได้กลับ
คืนมาทุกๆครั้งๆไป สืบเนื่องจากสร้างกรรมคล้ายๆคลึงกันบันทึกไว้จึงคล้ายๆกันมากแต่วัน
เวลาอายุขัยนั้นต่างกัน ด้วยกาลเวลาแห่งนรกภูมิกับมนุษย์ภูมินั้นห่างกันแต่ถูกบันทึกไว้ในนรกภูมิ
ใกล้เคียงกันจ้า จึงเป็นเหตุเกิดขึ้นดังนี้ แต่ท่านสุวรรณสุวานท่านก็ทราบว่าดวงวิญญาณนั้นยังไม่
ถึงวาระอายุขัยก็ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้ว คือบัญชีกรรมดีและกรรมชั่วจะไม่เปิดออกมาเอง ย่อม
หมายถึงว่าดวงวิญญาณนั้นยังไม่ถึงวาระแห่งอายุขัยนั่นเอง จึงต้องรีบให้นำดวงวิญญาณคืนกลับ
ไปยังร่างหากทันยมฑูตก็มีความผิดน้อย หากร่างนั้นถูกทำลายไปแล้วยมฑูตก็ต้องรับกรรมหนัก
ท่านยมฑูตที่นำมาผิดก็ต้องถูกลงโทษตามกฏแห่งนรกภูมิด้วย
ขณะที่ชายหนุ่มจะเล่าเหตุการณ์ต่อนั้น ก็ปรากฏร่างของหญิงสาวชบาถือแก้วใส่น้ำเย็นมาส่ง
มอบให้แก่ชายหนุ่ม ครั้นชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ส่งยิ้มให้แล้วก็รับมาดื่มกินทันที พลางเอ่ยว่า
น้องชบาคงจะได้ยินสิ่งต่างๆที่พี่เล่าให้แก่พี่นางของเธอและพวกพี่ทั้งหลายแล้วซินะ???...
จ๊ะพี่ ไม่ใช่แต่น้องซึ่งฟังอยู่หน้าห้องคนเดียวเท่านั้น พ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัยก็นั่งฟังอยู่
ด้วยล่ะจ๊ะ
หญิงสาวเอ่ยให้ชายหนุ่มฟังทันที
ถ้าเป็นอย่างนั้น น้องช่วยไปเชิญพ่อแม่และเจ้าชัยให้เข้ามาฟังไม่ต้องแอบฟังก็ได้นะ
ชายหนุ่มยังกล่าวต่อไม่จบ ร่างพ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัยก็เดินเข้ามาในห้องทันที
ครั้นร่างพ่อเชียรแม่เข็มเข้ามาแล้ว แม่นางอัปสรทั้งสองพร้อมด้วยเจ้าแสงสีสินชัยพ่วงและเริ่ม
ต่างกระพากันยกมือขึ้นไหว้ประมุขแห่งบ้านนี้ทันที ทำเอาพ่อเชียรแม่เข็มและเจ้าชัย
ถึงกับตลึงไปในความสวยสดงดงามของแม่นางอัปสรทั้งสองที่มีรัศมีแพรวพราวส่องไสว
ออกมาจากเรือนร่าง นางอัปสรทั้งสอง
ภายในห้องก็ล้วนแล้วแต่กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วด้วยดอกไม้ที่พ่อเชียร
และแม่เข็มเจ้าชัยไม่ได้เคยดมดอมมาก่อนเลยในชีวิต
ถึงกับตัวสั่นรีบก้มลงกราบแม่นางทั้งสองทันที ด้วยทั้งสามรู้แล้วว่า
นี่คือเทพอัปสรหาใช่เป็นมนุษย์เยี่ยงพวกตนไม่ ยากนักที่จะได้แลเห็นนอกจากที่นี้เท่านั้น
แม่นางอัปสรทั้งสองก็พลันกล่าวว่า
พ่อเชียรแม่เข็มเจ้าชัยไม่ต้องทำเช่นนี้อีก จะเป็นบาปกรรมแก่ข้าทั้งสองเสียเปล่าๆ เชิญนั่ง
ตามสบายเลย นี่พี่โชติกำลังเล่าสาเหตุของนรกภูมิอยู่ด้วยได้เล่าถึงสรวงสวรรค์ที่พวกข้าอยู่
แล้วจ้า
เสียงอันเย็นหวานช่างชื่นฉ่ำไพเราะเสนาะโสตถ์ยิ่งนัก พ่อเชียรแม่เข็มต่างนึกในใจว่า
นับว่าเป็นบุญตาบุญใจนักที่ได้แลเป็นแม่เทพอัปสรสวรรค์เช่นนี้ ส่วนเจ้าชัยถึงกับปากอ้า
ตาค้างไปเลยเมื่อเห็นสรีระร่างของแม่นางอัปสรทั้งสองทั้งงดงามสวยยิ่งกว่าหญิงใดๆเลย
ในถิ่นที่เขาอาศัย เทียบกันแทบไม่ได้เลย ก็พลันนึกถึงพี่ชายว่าช่างมีบุญวาสนายิ่งนัก...........
* กิ่งโศก * ผู้นำมาลงจ้า