* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 2 * * *
หิ่งห้อยน้อยใจ
วันนี้วันจันทร์ ที่ 18 มกราคม 2554
เมื่อคืนต้องตื่นทั้งคืน เพราะพี่สาวเรียกให้ช่วยพาแกลุกนั่ง แล้วก็ต้องคอยนวดขา นวดแขนให้แก
เมื่อวันอาทิตย์เช้า เป็นวันแรกที่หนูหิ่ง ฯ นวดให้ พี่สาวจะบอกว่านวดแรง ๆ เหมย (น้อง) หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเปลี่ยนวิธีนวด
จากสองแขนขนานกัน หนูหิ่ง ฯ ก็เปลี่ยนเป็น 2 แขนกำรอบแล้วก็บีบเข้าหากัน อาจจะเป็นเพราะเท้าแกใหญ่ และบวม
มือหนูหิ่ง ฯ ก็เลยกำได้ไม่รอบ จึงต้องใช้วิธีนี้แทน พี่ซิงก็เลยแซวว่า หัดนวดให้เป็นนะ ถ้านวดไม่เป็นจะถูกไล่กลับบ้าน ^__^
จริง ๆ แล้ววันนี้หนูหิ่ง ฯ คิดว่าจะกลับไปนอนกลางวันที่บ้าน เพราะว่ากลางวันมักจะมีญาติ ๆ คนอื่นมาเยี่ยม จะนอนไม่ได้
แต่พยาบาลบอกว่า วันนี้จะมีหมอมาเยี่ยมดูอาการ 3 ท่านด้วยกัน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่กลับ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย.....
เช้าวันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็เลยมีหมอนวดประจำตัวถึง 2 คน มีหนูหิ่ง ฯ กับพี่ชายคนเล็ก พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบให้พี่คนนี้นวดมาก
เพราะเขานวดกันมาก่อนหน้าที่หนูหิ่ง ฯ จะกลับเชียงใหม่ พี่โหย่งรักพี่สาวคนนี้มาก ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล ก็จะมาหาทุกวัน
แล้วก็อยู่จนค่ำหรือดึกค่อยกลับบ้าน หนูหิ่ง ฯ ถามว่าช่วงนี้ไม่ทำอะไรหรอ พี่โหย่งบอกว่าไม่ทำ ช่วงนี้เกาะเมียกิน นั่น ! เป็นงั้นไป
จริง ๆ แล้วช่วงนี้แกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรมากกว่า เพราะปรกติแกจะไปเหมาผักตามสวน หรือไม่ก็รับจ้างบรรทุกผัก
แล้วก็ทำสวนเองด้วย แต่ช่วงนี้พี่โหย่งไม่ทำอะไรเลย มาเฝ้าพี่สาวทุกวัน พี่โหย่งมือใหญ่ด้วยเขาก็เลยนวดได้น้ำหนักพอดี ๆ แบบรู้ใจกัน
เวลาประมาณ 9.00 น. หมอเจ้าของไข้ยังไม่มา แต่เป็นหมอที่ช่วยดูเกี่ยวกับโรคตับ หมอจะถามพี่สาวว่าเจ็บตรงไหน เจ็บยังไง
พี่สาวจะบอกต่อว่า " โหย่ง บอกหมอทีว่าพี่เจ็บตรงไหน " บอกด้วยเสียงค่อย ๆ หมอก็มองหน้างง ๆ พี่โหย่งก็เลยชี้แถว ๆ กระดูกสันหลังด้านซ้าย
แล้วบอกคุณหมอว่า " แกเคยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามว่าเจ็บตรงไหนให้ชี้บอกหมอ " หนูหิ่ง ฯ คิดว่าเป็นเพราะแกเอื้อมมือไปชี้ไม่ได้
แกก็เลยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามให้บอกแทนที หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่าพี่สาวบ่น ๆ เจ็บช่วงท้อง แล้วก็หูอื้อ
คุณหมอก็เลยกดดูที่ท้องแล้วก็ถามว่า เจ็บยังไง เจ็บหน่วง ๆ หรือเจ็บปวด ๆ อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ แกก็บอกว่าไม่เข้าใจ
เวลาที่คุณหมอคุยกับพี่สาว จะคุยเสียงดัง เพราะคิดว่าแกไม่ได้ยิน แต่หนูหิ่ง ฯ คิดว่ายิ่งคุณหมอเสียงดัง มันจะไปสะท้อนในหูของแก
หนูหิ่ง ฯ ก็จะคอยบอกที่ริมหูของพี่สาวอีกที แล้วก็ถามใหม่ พยายามหาคำถามที่คิดว่าแกจะเข้าใจ เพราะบางทีคุณหมอถามแกจะงง ๆ
เช่น หูอื้อยังไง ลมออกหูหรือเปล่า แกก็ไม่เข้าใจ คงคิดว่าหูอื้อก็คือหูอื้อ ทำไมต้องถามว่าอื้อยังไง หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องบอกแกว่า หูอื้อแบบลมออกหูหรือเปล่า
คล้าย ๆ เวลานั่งเครื่องนาน ๆ เราต้องเอามือมาปิดจมูกแล้วหายใจออกแรง ๆ ลมก็จะสะท้อนออกหู แล้วเราก็จะรู้สึกดีขึ้น แกก็เลยพยักหน้า
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่า น่าจะเป็นเพราะพี่สาวไม่ได้กินอะไร กินแต่น้ำถั่วเหลือง+รังนก ก็เลยหูอื้อ เพราะหนูหิ่ง ฯ ก็เคยเป็น
คุณหมอก็เลยเรียกพี่ชายไปปรึกษาข้างนอก หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอยู่กับพี่สาว 2 คน ส่วนพี่ซิงกลับไปทำธุระที่ออฟฟิท แล้วไปเอาของที่บ้าน
พี่สาวบอกว่าช่วยพาตะแคงหน่อย หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปอยู่อีกด้านที่แกจะตะแคงไป แล้วก็เอื้อมมาโอบฝั่งตรงข้าม ดึงเข้าหาตัว ก็ช่วยให้แกตะแคงได้ครั่งเดียว
ส่วนตรงเอวไปถึงเท้าไม่ได้ตะแคง เพราะถ้าเทียบกันแล้วตัวแกใหญ่กว่าหนูหิ่ง ฯ มาก ก็เลยได้แค่นี้ หนูหิ่ง ฯ ก็โอบกอดแกไว้ ถ้าปล่อยแกจะพลิกคืน
เวลาพลิกตัวแรง ๆ จะเจ็บ บางทีพลิกค่อย ๆ ก็ยังเจ็บอยู่ดี ต้องคอยสังเกตสีหน้าตลอดเวลา ก็จะพอรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง
สักพักพี่สาวก็บอกว่า นอนเหมย นอน หนูหิ่ง ฯ ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้เอนนอนลงไป สักพักแกก็บอกว่าเหมยพลิกตัว พลิกตัว หนูหิ่ง ฯ ก็ไปอยู่อีกด้าน
เอื้อมมือไปโอบช่วงไหล่ แล้วก็ดึงแกเข้ามากอดไว้ในท่าตะแคงครึ่งเดียว แล้วพี่สาวก็บอกว่าปวดจังเลยเหมย....ปวดจัง หนูหิ่ง ฯ ไม่รู้จะทำยังไง
ก็ได้แต่ลูบหลังให้แก แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา ไม่ได้ตั้งใจจะร้อง ไม่อยากร้องเลย เพราะกลัวแกเห็น กลัวคนอื่นเข้ามาเห็น
น้ำตายังไม่หยุดไหล.... สักพักแกก็บอกว่านอนเหมย.... นอน หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าเจ้หลับตานะ หลับตาไว้นะ แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ปล่อยแกนอน
แอบนั่งยอง ๆ แล้วก้มหน้าเช็ดน้ำตาใต้เตียงแกจะได้ไม่เห็น แล้วพี่ชายหนูหิ่ง ฯ ก็เข้ามา แกเห็นหนูหิ่ง ฯ ร้องไห้ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าพี่สาวบ่นเจ็บ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ทาแป้งเด็กกลบร่องรอยการร้องให้ พี่ชายบอกว่าหมอจะให้ไปอัลดร้าซาวด์เวลาบ่าย 2 เพื่อจะดูว่าตับเป็นยังไงบ้าง
สักพักพี่เขยหนูหิ่ง ฯ อยู่ อ.จอมทอง ก็มาถึง หนูหิ่ง ฯ สวัสดีแล้วยิ้มให้ แต่พี่เขยไม่ยิ้มเลย ดูผอมไปด้วย หลานฟางทำโซชิฝากมาให้กิน พร้อมกับน้ำเก็กฮวยแก้วใหญ่ ๆ
วันนี้ครบ 7 วันของการทำพิธีอะไรสักอย่าง ที่หนูหิ่ง ฯ บอกว่าให้ใส่เสื้อดำ แล้วก็ให้คนที่มีนักษัตรดวงเป็นศัตรูกันในแต่ละวันมาผูกข้อมือเรียกขวัญให้น่ะค่ะ
ก็จะมีมะพร้าวแก่ 2 ลูก เสื้อสีชมพู 2 ตัว ด้ายสีแดง 1 ถุง และกาละมัง จะทำการถอดเสื้อดำ แล้วใส่เสื้อใหม่ตอนบ่ายโมง
พี่สาวบอกไม่ให้ใช้กาละมังของโรงบาล เพราะไม่สะอาด หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกแกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะไปซื้อให้ใหม่
สักพักหมอเจ้าของไข้ก็มาตรวจ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินจากโรงบาลไปเซ็นทรัล ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง เดินไปดูที่ท็อป มีใบเล็ก ๆ สีดำ
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องไปดูฝั่งเซ็นทรัลที่ชั้น 3 ก็ได้ใบสีครีมมา 1 ใบ จริง ๆ แล้วอยากได้สีชมพู หรือขาว แต่ไม่มีค่ะ หนูหิ่ง ฯ ได้ส่วนลด 10 % ด้วย เพราะไม่ใส่ถุง
พนักงานขายบอกว่าช่วงนี้ที่ห้างมีโครงการลดภาวะโลกร้อน โดยไม่ใส่ถุง เพราะกาละมังใบใหญ่ ต้องใช้ถุงใหญ่ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าดีจังค่ะ หนูถือไปได้โรงบาลอยู่ตรงนี้เอง
ได้ส่วนลดตั้ง 10 % แถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีก ได้กำไรหลายต่อนะเนี่ย ^__^ หนูหิ่ง ฯ เดินกลับถึงโรงบาลบ่ายโมงพอดี แม่หนูหิ่ง ฯ ก็มาถึงแล้ว
พี่เขยก็ให้แม่เป็นคนทำ โดยการถือลูกมะพร้าว 1 ลูก นำไปวนรอบศรีษะพี่สาว วนไปทางซ้าย 2 รอบพร้อมทั้งอธิฐานว่าให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
แล้วก็ส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำมะพร้าวใส่ในกาละมัง ส่วนแม่ก็นำมะพร้าวอีกลูกหนึ่งวนรอบศรีษะพี่สาวไปทางขวาอธิฐานเหมือนเดิม
แล้วส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำออกมาใส่ในกาละมัง แล้วก็ให้แม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของหนูหิ่ง ฯ ซับน้ำมะพร้าวแล้วก็เช็ดจากหน้าผากไปด้านหลัง 2 ครั้ง
พร้อมทั้งอธิฐานให้หายจากการเจ็บป่วย เช็ดจากด้านหลังมาทางหน้าผาก 2 ครั้ง อธิฐานเหมือนเดิม แล้วก็ใส่ผ้าไว้ในกาละมัง
พี่เขยตักน้ำมะพร้าวให้พี่สาวบ้วนปากทิ้ง 2 ครั้ง ให้แกอธิฐานว่าขอให้หายจากการเจ็บป่วยทั้งภายในและภายนอก
เสร็จแล้วก็ถอดเสื้อดำออกไปใส่ไว้ในน้ำมะพร้าว นำกรรไกรตัดด้ายดำที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง ใส่รวมกันไว้ในน้ำมะพร้าว
แล้วก็ให้แม่นำด้ายแดงมาผูกเรียกขวัญที่คอและข้อมือทั้ง 2 ข้าง วันนี้เป็นวันที่นักษัตรปีวอก กับปีเสือไม่ถูกกัน พี่เขยหนูหิ่ง ฯ เกิดปีวอก
วอกออกหากินตอนกลางวันก็เลยผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางวัน ส่วนพี่ซิงเกิดปีเสือ ต้องผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางคืน
สำหรับสิ่งของที่อยู่ในน้ำมะพร้าวก็ช่วยกันซับน้ำมะพร้าวในกาละมังจนหมด พี่เขยเทใส่ถุง แล้วบอกว่าจะนำไปใส่ไว้ในโลงกระดาษสีดำ
แล้วให้น้าที่เป็นหนาน (คนเคยบวชเรียนค่ะ) ไปทำพิธีสวดเป็นเวลา 7 วัน โชคดีที่ช่วงนี้หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ มีพระสงฆ์จากหลาย ๆ ที่ไปเข้ากรรมฐาน
วันนี้วันที่ 17 ตอนเย็นจะเป็นวันแรกของพิธีกรรม รวมทั้งหมด 9 วัน มีจำนวนพระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มากว่า 80 รูปแล้วค่ะ
ปีนี้เยอะกว่าทุก ๆ ปี คาดว่าน่าจะมากันเกินกว่า 100 รูปในตอนเย็น
ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ เป็นเจ้าภาพน้ำดื่ม - กาแฟ และผ้าห่มทุกปี ส่วนเจ้าภาพเรื่องอาหารก็ช่วย ๆ กันหลายหมู่บ้านค่ะ แม่บ้านนุ่งขาว ไปช่วยกันทำอาหาร
ตอนเย็นหลาย ๆ คนก็นุ่งขาวไปปฏิบัติธรรมและนอนที่รวมกันที่ศาลา ช่วงนี้อากาศเย็นมาก มากันเยอะแบบนี้ไม่รู้ว่าผ้าห่มจะพอหรือเปล่านะ
ปีที่ผ่านมาหลานหนูหิ่ง ฯ ถักหมวกสีจีวรพระไปถวาย ปีนี้ไม่ได้ทำเพราะหลานมีลูกเล็ก ๆ ชื่อน้องหวา หวา อายุจะ 5 เดือนวันที่ 20 นี้และพี่สาวก็ป่วยด้วยค่ะ
หลังจากน้าหนานนำโลงสีดำไปให้พระสงฆ์สวดทำพิธีครบ 7 วันแล้ว ก็ให้เผาค่ะ แล้วพี่เขยหนูหิ่ง ฯ กับแม่ก็กลับขึ้นไปบ้านที่บนดอยแม่โถ
พอพี่เขยออกไปสักพักพี่ซิงก็กลับมา แล้วก็เห็นผ้าดำที่หมวกยังไม่ได้ตัดไป ก็เลยโทร.ถามพี่เขยว่าจะให้ขับรถไปส่งให้ไหม ? หรือว่าจะให้ทำยังไง
พี่เขยบอกว่าให้ไปใส่ไว้ในเมรุก็ได้ แล้วอธิฐานขอให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วย หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาสาไปใส่ให้ที่เมรุประตูหายยา
พอพี่สาวไปอัลดร้าซาวด์ มีพี่โหย่งไปเป็นเพื่อนแล้ว หนหิ่ง ฯ ก็เลยที่เมรุ ไปถึงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ปรากฎว่าเตาเผาเขาปิดไว้ด้วยเหล็กแผ่น
หนูหิ่ง ฯ เห็นมีรอยอ้าอยู่นิดนึง ก็เลยงัดแล้วหยอดผ้าดำลงไป พร้อมทั้งอธิฐานว่าให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วยด้วยเถิด
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็แวะกลับไปที่บ้านอยู่ตรงข้ามกับสวนราชพฤกษ์ หนูหิ่ง ฯ ลืมนาฬิกาข้อมือ กับสร้อยลูกปัดสีเขียวที่พระอาจารย์ที่วัดท่าตอนให้มาในวันเกิด
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เอาขนมโมจิกับถ้วยฟูที่ซื้อมาจากสุพรรณไปแขวนไว้ที่กุญแจหน้าบ้านเพื่อน เพราะเพื่อนไปทำงาน แล้วก็กลับไปที่โรงพยาบาล
ช่วงนี้หนูหิ่ง ฯ คงอยู่โรงบาลทุกวันจนกว่าพี่สาวจะออกจากโรงบาลค่ะ หนูหิ่ง ฯ ไปต่างจังหวัดบ่อย ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างอยู่ในรถอยู่แล้ว
ก็เลยไม่มีอะไรมาก ต้องการอะไรก็ไปหยิบที่รถ รถเป็นบ้าน บ้านเป็นรถเจ้าค่ะ
สักพักผู้ช่วยพยาบาลก็เข็นเตียงพี่สาวกลับมาที่ห้อง (ไปทั้งเตียงค่ะ ไม่ได้ไปเตียงเล็ก เพราะเวลาเคลื่อนย้ายต้องระวังกระดูกค่ะ)
เวลาประมาณ 6 โมงเย็น พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะไภ้ก็มา สักพักเพื่อนบ้านที่แม่โถก็มา หลานสาวที่แต่งงานไปอยู่ป๋างอุ๋งก็มาพร้อมกับน้ำพริกปลาทู ^__^
คราวนี้มีคนเยี่ยมสิบกว่าคนเต็มห้อง ต้องแบ่งกันนั่งโซฟาบ้าง พื้นบ้างตามถนัด
คราวนี้พี่สาวเลยได้หมอนวดรอบเตียง นวดพร้อมกันที่ละ 4 คน แขน 2 ข้าง ขา 2 ข้าง
เวลาประมาณ 2 ทุ่มทุกคนก็กลับ เหลือพี่ซิงกับหนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า 2 คน
เมื่อคืนหนูหิ่ง ฯ ปล่อยให้พี่ซิงหลับ เพราะแกเฝ้ามาตั้งแต่พี่สาวเข้าโรงบาล หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่ได้นอน กลางวันก็ไม่ได้นอนเลย
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกพี่ซิงว่าขอนอนก่อนนะ แล้วค่อยเปลี่ยนกัน ประมาณ 3 ทุ่มหนูหิ่ง ฯ ก็หลับไม่รู้เรื่อง พี่ซิงหลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เวลาประมาณ 23.30 น. เพราะได้ยินเสียงเรียกเหมย เหมยเอ้ย เบา ๆ แลไปเห็นพี่ซิงหลับ หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลุกไปหา
แกบอกว่าอยากลุก หนูหิ่ง ฯ ก็เลยประคองลุกขึ้นนั่ง ลำบากนิดหน่อยเพราะแกตัวโตกว่า แล้วข้อมือซ้ายของหนูหิ่ง ฯ ก็อักเสบนิดหน่อย
อาศัยยาพ่นจากโรงบาลพญาไท 2 ที่เหลือจากครั้งกล้ามเนื้อหลังอักเสบ ทำให้ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่ อีก 2 วันคงหายค่ะ
นั่งหลับตาสักพักแกก็ทำหน้านิ่วบอกว่าเจ็บจังเลย หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลูบหลังให้ ประมาณ 40 นาที หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่านอนไหม แกพยักหน้า
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยปล่อยให้แกนอน เอาหมอนข้าง 2 ใบประคองไว้ข้าง ๆ ห่มผ้าที่ขา แล้วก็เอาผ้าพันคอคลุมคอไว้ แกชอบอากาศเย็น จึงเปิดแอร์เย็นมาก
กลัวว่าถ้าคอเย็นแล้วแกจะไอค่ะ เพราะหนูหิ่ง ฯ เป็นคนขึ้หนาว ถ้าคอเจอความเย็น หรือพัดลมเป่าที่หน้า เช้ามาก็จะไอ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็มานั่งพิมพ์บันทึกนี้ล่ะค่ะ พอมาดูหน้าโน้ตบุ๊คก็เจอข้อความของเพื่อนว่าได้รับขนมแล้ว ประทังความหิวได้ ^__^
แล้วซันจีสเพื่อนจากอินเดียก็ข้อความมาที่เฟทบุ๊คว่าจะเมลล์รูปแม่ - พี่สาว - น้องสาวมาให้ได้ที่ไหน หนูหิ่ง ฯ ก็เลย SMS กลับไป คงเข้าไปที่มือถือแล้วค่ะ
ประมาณปลายเดือนซันจีสบอกว่าจะกลับอินเดีย หนูหิ่ง ฯ ว่าจะหาซื้อตุ้มหูเงินที่เชียงใหม่ฝากไปให้ค่ะ ก็เลยขอให้แกส่งรูปมาให้ จะได้รู้ว่าควรซื้อแบบไหน ^__^
คืนนี้หนูหิ่ง ฯ คงนั่งหน้าคอม ฯ เฝ้าแกทั้งคืน เพราะตาสว่างแล้ว ไม่รู้สึกง่วงเลย
คืนนี้แกเรียกหาเหมย ซึ่งก็คือหนูหิ่ง ฯ ในขณะที่คืนก่อน ๆ แกจะเรียกหาแต่พี่ซิง
ปรกติหนูหิ่ง ฯ จะนอนไวอยู่แล้ว แกเรียกเบา ๆ ก็จะได้ยิน บางทีเสียงแกขยับตัว หรือลูบท้อง ก็ยังได้ยิน แล้วก็ลุกไปดู
แกไม่ชอบห่มผ้า เพราะบ่นว่าร้อน หนูหิ่ง ฯ ก็จะบอกว่าห่มนิดนะ เพราะกลัวว่าจะเป็นปอดบวมอีก คราวก่อนหมอบอกว่าเป็นปอดบวม (น้ำท่วมปอด)
นั่นเป็นเพราะพี่ไม่ชอบห่มผ้า ก็ต้องค่อย ๆ บอกเหตุผลให้ฟัง แกก็จะพยักหน้า แล้วก็ค่อยห่มให้แกค่ะ ไม่งั้นแกก็จะดึงออกเหมือนเด็ก ๆ ^__^
คืนนี้ร้องให้นิดเดียว พยายามที่จะไม่ร้องแล้วนะ แต่บางทีน้ำตาก็ไหลออกมาเอง ไม่เป็นไรไม่มีใครเห็น *__~