* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน นับถอยหลัง 2 * * *

หิ่งห้อยน้อยใจ


วันนี้วันจันทร์ ที่ 18 มกราคม 2554
เมื่อคืนต้องตื่นทั้งคืน  เพราะพี่สาวเรียกให้ช่วยพาแกลุกนั่ง  แล้วก็ต้องคอยนวดขา นวดแขนให้แก
เมื่อวันอาทิตย์เช้า  เป็นวันแรกที่หนูหิ่ง ฯ นวดให้  พี่สาวจะบอกว่านวดแรง ๆ เหมย (น้อง) หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเปลี่ยนวิธีนวด
จากสองแขนขนานกัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เปลี่ยนเป็น 2 แขนกำรอบแล้วก็บีบเข้าหากัน  อาจจะเป็นเพราะเท้าแกใหญ่  และบวม
มือหนูหิ่ง ฯ ก็เลยกำได้ไม่รอบ  จึงต้องใช้วิธีนี้แทน  พี่ซิงก็เลยแซวว่า  หัดนวดให้เป็นนะ  ถ้านวดไม่เป็นจะถูกไล่กลับบ้าน  ^__^
จริง ๆ แล้ววันนี้หนูหิ่ง ฯ คิดว่าจะกลับไปนอนกลางวันที่บ้าน  เพราะว่ากลางวันมักจะมีญาติ ๆ คนอื่นมาเยี่ยม  จะนอนไม่ได้
แต่พยาบาลบอกว่า  วันนี้จะมีหมอมาเยี่ยมดูอาการ 3 ท่านด้วยกัน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่กลับ  แล้วก็ไม่ได้รู้สึกง่วงเลย.....
เช้าวันนี้พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ก็เลยมีหมอนวดประจำตัวถึง 2 คน  มีหนูหิ่ง ฯ กับพี่ชายคนเล็ก  พี่สาวหนูหิ่ง ฯ ชอบให้พี่คนนี้นวดมาก
เพราะเขานวดกันมาก่อนหน้าที่หนูหิ่ง ฯ จะกลับเชียงใหม่  พี่โหย่งรักพี่สาวคนนี้มาก  ตั้งแต่เข้าโรงพยาบาล  ก็จะมาหาทุกวัน
แล้วก็อยู่จนค่ำหรือดึกค่อยกลับบ้าน  หนูหิ่ง ฯ ถามว่าช่วงนี้ไม่ทำอะไรหรอ  พี่โหย่งบอกว่าไม่ทำ  ช่วงนี้เกาะเมียกิน  นั่น  ! เป็นงั้นไป
จริง ๆ แล้วช่วงนี้แกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรมากกว่า  เพราะปรกติแกจะไปเหมาผักตามสวน  หรือไม่ก็รับจ้างบรรทุกผัก
แล้วก็ทำสวนเองด้วย  แต่ช่วงนี้พี่โหย่งไม่ทำอะไรเลย  มาเฝ้าพี่สาวทุกวัน  พี่โหย่งมือใหญ่ด้วยเขาก็เลยนวดได้น้ำหนักพอดี ๆ แบบรู้ใจกัน
เวลาประมาณ 9.00 น.  หมอเจ้าของไข้ยังไม่มา  แต่เป็นหมอที่ช่วยดูเกี่ยวกับโรคตับ  หมอจะถามพี่สาวว่าเจ็บตรงไหน  เจ็บยังไง
พี่สาวจะบอกต่อว่า  " โหย่ง บอกหมอทีว่าพี่เจ็บตรงไหน "  บอกด้วยเสียงค่อย ๆ  หมอก็มองหน้างง ๆ พี่โหย่งก็เลยชี้แถว ๆ กระดูกสันหลังด้านซ้าย
แล้วบอกคุณหมอว่า  " แกเคยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามว่าเจ็บตรงไหนให้ชี้บอกหมอ "  หนูหิ่ง ฯ คิดว่าเป็นเพราะแกเอื้อมมือไปชี้ไม่ได้
แกก็เลยบอกไว้ว่าถ้าหมอถามให้บอกแทนที   หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่าพี่สาวบ่น ๆ เจ็บช่วงท้อง  แล้วก็หูอื้อ
คุณหมอก็เลยกดดูที่ท้องแล้วก็ถามว่า  เจ็บยังไง  เจ็บหน่วง ๆ หรือเจ็บปวด ๆ อะไรสักอย่างนี่ล่ะค่ะ  แกก็บอกว่าไม่เข้าใจ
เวลาที่คุณหมอคุยกับพี่สาว  จะคุยเสียงดัง  เพราะคิดว่าแกไม่ได้ยิน  แต่หนูหิ่ง ฯ คิดว่ายิ่งคุณหมอเสียงดัง  มันจะไปสะท้อนในหูของแก
หนูหิ่ง ฯ ก็จะคอยบอกที่ริมหูของพี่สาวอีกที  แล้วก็ถามใหม่  พยายามหาคำถามที่คิดว่าแกจะเข้าใจ  เพราะบางทีคุณหมอถามแกจะงง ๆ 
เช่น  หูอื้อยังไง ลมออกหูหรือเปล่า แกก็ไม่เข้าใจ  คงคิดว่าหูอื้อก็คือหูอื้อ  ทำไมต้องถามว่าอื้อยังไง  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องบอกแกว่า  หูอื้อแบบลมออกหูหรือเปล่า
คล้าย ๆ เวลานั่งเครื่องนาน ๆ เราต้องเอามือมาปิดจมูกแล้วหายใจออกแรง ๆ ลมก็จะสะท้อนออกหู  แล้วเราก็จะรู้สึกดีขึ้น  แกก็เลยพยักหน้า
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกคุณหมอว่า  น่าจะเป็นเพราะพี่สาวไม่ได้กินอะไร  กินแต่น้ำถั่วเหลือง+รังนก  ก็เลยหูอื้อ  เพราะหนูหิ่ง ฯ ก็เคยเป็น
คุณหมอก็เลยเรียกพี่ชายไปปรึกษาข้างนอก  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอยู่กับพี่สาว 2 คน  ส่วนพี่ซิงกลับไปทำธุระที่ออฟฟิท  แล้วไปเอาของที่บ้าน
พี่สาวบอกว่าช่วยพาตะแคงหน่อย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไปอยู่อีกด้านที่แกจะตะแคงไป  แล้วก็เอื้อมมาโอบฝั่งตรงข้าม  ดึงเข้าหาตัว  ก็ช่วยให้แกตะแคงได้ครั่งเดียว
ส่วนตรงเอวไปถึงเท้าไม่ได้ตะแคง  เพราะถ้าเทียบกันแล้วตัวแกใหญ่กว่าหนูหิ่ง ฯ มาก  ก็เลยได้แค่นี้  หนูหิ่ง ฯ ก็โอบกอดแกไว้  ถ้าปล่อยแกจะพลิกคืน
เวลาพลิกตัวแรง ๆ จะเจ็บ  บางทีพลิกค่อย ๆ ก็ยังเจ็บอยู่ดี  ต้องคอยสังเกตสีหน้าตลอดเวลา  ก็จะพอรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง
สักพักพี่สาวก็บอกว่า  นอนเหมย นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็ค่อย ๆ ปล่อยให้เอนนอนลงไป  สักพักแกก็บอกว่าเหมยพลิกตัว พลิกตัว  หนูหิ่ง ฯ ก็ไปอยู่อีกด้าน
เอื้อมมือไปโอบช่วงไหล่  แล้วก็ดึงแกเข้ามากอดไว้ในท่าตะแคงครึ่งเดียว  แล้วพี่สาวก็บอกว่าปวดจังเลยเหมย....ปวดจัง  หนูหิ่ง ฯ ไม่รู้จะทำยังไง
ก็ได้แต่ลูบหลังให้แก  แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา  ไม่ได้ตั้งใจจะร้อง  ไม่อยากร้องเลย  เพราะกลัวแกเห็น  กลัวคนอื่นเข้ามาเห็น
น้ำตายังไม่หยุดไหล....  สักพักแกก็บอกว่านอนเหมย.... นอน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าเจ้หลับตานะ  หลับตาไว้นะ  แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ปล่อยแกนอน
แอบนั่งยอง ๆ แล้วก้มหน้าเช็ดน้ำตาใต้เตียงแกจะได้ไม่เห็น  แล้วพี่ชายหนูหิ่ง ฯ ก็เข้ามา  แกเห็นหนูหิ่ง ฯ ร้องไห้  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าพี่สาวบ่นเจ็บ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ  ทาแป้งเด็กกลบร่องรอยการร้องให้  พี่ชายบอกว่าหมอจะให้ไปอัลดร้าซาวด์เวลาบ่าย 2 เพื่อจะดูว่าตับเป็นยังไงบ้าง
สักพักพี่เขยหนูหิ่ง ฯ อยู่ อ.จอมทอง ก็มาถึง  หนูหิ่ง ฯ สวัสดีแล้วยิ้มให้  แต่พี่เขยไม่ยิ้มเลย  ดูผอมไปด้วย  หลานฟางทำโซชิฝากมาให้กิน  พร้อมกับน้ำเก็กฮวยแก้วใหญ่ ๆ
วันนี้ครบ 7 วันของการทำพิธีอะไรสักอย่าง  ที่หนูหิ่ง ฯ บอกว่าให้ใส่เสื้อดำ  แล้วก็ให้คนที่มีนักษัตรดวงเป็นศัตรูกันในแต่ละวันมาผูกข้อมือเรียกขวัญให้น่ะค่ะ
ก็จะมีมะพร้าวแก่ 2 ลูก  เสื้อสีชมพู 2 ตัว  ด้ายสีแดง 1 ถุง  และกาละมัง จะทำการถอดเสื้อดำ  แล้วใส่เสื้อใหม่ตอนบ่ายโมง
พี่สาวบอกไม่ให้ใช้กาละมังของโรงบาล  เพราะไม่สะอาด  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกแกว่าไม่เป็นไร  เดี๋ยวจะไปซื้อให้ใหม่
สักพักหมอเจ้าของไข้ก็มาตรวจ  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยเดินจากโรงบาลไปเซ็นทรัล  ซึ่งอยู่หลังโรงบาลนี่เอง  เดินไปดูที่ท็อป  มีใบเล็ก ๆ สีดำ  
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยต้องไปดูฝั่งเซ็นทรัลที่ชั้น 3  ก็ได้ใบสีครีมมา 1 ใบ  จริง ๆ แล้วอยากได้สีชมพู  หรือขาว  แต่ไม่มีค่ะ  หนูหิ่ง ฯ ได้ส่วนลด 10 % ด้วย  เพราะไม่ใส่ถุง
พนักงานขายบอกว่าช่วงนี้ที่ห้างมีโครงการลดภาวะโลกร้อน  โดยไม่ใส่ถุง  เพราะกาละมังใบใหญ่  ต้องใช้ถุงใหญ่  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกว่าดีจังค่ะ  หนูถือไปได้โรงบาลอยู่ตรงนี้เอง
ได้ส่วนลดตั้ง 10 % แถมยังช่วยลดภาวะโลกร้อนอีก  ได้กำไรหลายต่อนะเนี่ย  ^__^  หนูหิ่ง ฯ เดินกลับถึงโรงบาลบ่ายโมงพอดี  แม่หนูหิ่ง ฯ ก็มาถึงแล้ว
พี่เขยก็ให้แม่เป็นคนทำ  โดยการถือลูกมะพร้าว 1 ลูก  นำไปวนรอบศรีษะพี่สาว  วนไปทางซ้าย 2 รอบพร้อมทั้งอธิฐานว่าให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายทั้งปวง
แล้วก็ส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำมะพร้าวใส่ในกาละมัง  ส่วนแม่ก็นำมะพร้าวอีกลูกหนึ่งวนรอบศรีษะพี่สาวไปทางขวาอธิฐานเหมือนเดิม
แล้วส่งให้พี่โหย่งผ่าเอาน้ำออกมาใส่ในกาละมัง  แล้วก็ให้แม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าสีขาวของหนูหิ่ง ฯ ซับน้ำมะพร้าวแล้วก็เช็ดจากหน้าผากไปด้านหลัง 2 ครั้ง
พร้อมทั้งอธิฐานให้หายจากการเจ็บป่วย  เช็ดจากด้านหลังมาทางหน้าผาก 2 ครั้ง  อธิฐานเหมือนเดิม  แล้วก็ใส่ผ้าไว้ในกาละมัง
พี่เขยตักน้ำมะพร้าวให้พี่สาวบ้วนปากทิ้ง 2 ครั้ง  ให้แกอธิฐานว่าขอให้หายจากการเจ็บป่วยทั้งภายในและภายนอก  
เสร็จแล้วก็ถอดเสื้อดำออกไปใส่ไว้ในน้ำมะพร้าว  นำกรรไกรตัดด้ายดำที่ข้อมือทั้ง 2 ข้าง  ใส่รวมกันไว้ในน้ำมะพร้าว  
แล้วก็ให้แม่นำด้ายแดงมาผูกเรียกขวัญที่คอและข้อมือทั้ง 2 ข้าง  วันนี้เป็นวันที่นักษัตรปีวอก  กับปีเสือไม่ถูกกัน  พี่เขยหนูหิ่ง ฯ เกิดปีวอก
วอกออกหากินตอนกลางวันก็เลยผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางวัน  ส่วนพี่ซิงเกิดปีเสือ  ต้องผูกด้ายแดงเรียกขวัญให้ในตอนกลางคืน  
สำหรับสิ่งของที่อยู่ในน้ำมะพร้าวก็ช่วยกันซับน้ำมะพร้าวในกาละมังจนหมด  พี่เขยเทใส่ถุง  แล้วบอกว่าจะนำไปใส่ไว้ในโลงกระดาษสีดำ
แล้วให้น้าที่เป็นหนาน  (คนเคยบวชเรียนค่ะ) ไปทำพิธีสวดเป็นเวลา 7 วัน  โชคดีที่ช่วงนี้หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ มีพระสงฆ์จากหลาย ๆ ที่ไปเข้ากรรมฐาน
วันนี้วันที่ 17 ตอนเย็นจะเป็นวันแรกของพิธีกรรม  รวมทั้งหมด 9 วัน  มีจำนวนพระสงฆ์จากที่ต่าง ๆ มากว่า 80 รูปแล้วค่ะ  
ปีนี้เยอะกว่าทุก ๆ ปี  คาดว่าน่าจะมากันเกินกว่า 100 รูปในตอนเย็น
ครอบครัวของหนูหิ่ง ฯ เป็นเจ้าภาพน้ำดื่ม - กาแฟ และผ้าห่มทุกปี  ส่วนเจ้าภาพเรื่องอาหารก็ช่วย ๆ กันหลายหมู่บ้านค่ะ  แม่บ้านนุ่งขาว  ไปช่วยกันทำอาหาร
ตอนเย็นหลาย ๆ คนก็นุ่งขาวไปปฏิบัติธรรมและนอนที่รวมกันที่ศาลา  ช่วงนี้อากาศเย็นมาก  มากันเยอะแบบนี้ไม่รู้ว่าผ้าห่มจะพอหรือเปล่านะ
ปีที่ผ่านมาหลานหนูหิ่ง ฯ ถักหมวกสีจีวรพระไปถวาย  ปีนี้ไม่ได้ทำเพราะหลานมีลูกเล็ก ๆ ชื่อน้องหวา หวา  อายุจะ 5 เดือนวันที่ 20 นี้และพี่สาวก็ป่วยด้วยค่ะ
หลังจากน้าหนานนำโลงสีดำไปให้พระสงฆ์สวดทำพิธีครบ 7 วันแล้ว  ก็ให้เผาค่ะ  แล้วพี่เขยหนูหิ่ง ฯ กับแม่ก็กลับขึ้นไปบ้านที่บนดอยแม่โถ
พอพี่เขยออกไปสักพักพี่ซิงก็กลับมา  แล้วก็เห็นผ้าดำที่หมวกยังไม่ได้ตัดไป  ก็เลยโทร.ถามพี่เขยว่าจะให้ขับรถไปส่งให้ไหม ?  หรือว่าจะให้ทำยังไง
พี่เขยบอกว่าให้ไปใส่ไว้ในเมรุก็ได้  แล้วอธิฐานขอให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยอาสาไปใส่ให้ที่เมรุประตูหายยา
พอพี่สาวไปอัลดร้าซาวด์  มีพี่โหย่งไปเป็นเพื่อนแล้ว  หนหิ่ง ฯ ก็เลยที่เมรุ  ไปถึงเวลาประมาณบ่าย 3 โมง  ปรากฎว่าเตาเผาเขาปิดไว้ด้วยเหล็กแผ่น
หนูหิ่ง ฯ เห็นมีรอยอ้าอยู่นิดนึง  ก็เลยงัดแล้วหยอดผ้าดำลงไป  พร้อมทั้งอธิฐานว่าให้พี่สาวหายจากการเจ็บป่วยด้วยเถิด
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็แวะกลับไปที่บ้านอยู่ตรงข้ามกับสวนราชพฤกษ์  หนูหิ่ง ฯ ลืมนาฬิกาข้อมือ  กับสร้อยลูกปัดสีเขียวที่พระอาจารย์ที่วัดท่าตอนให้มาในวันเกิด
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เอาขนมโมจิกับถ้วยฟูที่ซื้อมาจากสุพรรณไปแขวนไว้ที่กุญแจหน้าบ้านเพื่อน  เพราะเพื่อนไปทำงาน  แล้วก็กลับไปที่โรงพยาบาล
ช่วงนี้หนูหิ่ง ฯ คงอยู่โรงบาลทุกวันจนกว่าพี่สาวจะออกจากโรงบาลค่ะ  หนูหิ่ง ฯ ไปต่างจังหวัดบ่อย  ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างอยู่ในรถอยู่แล้ว
ก็เลยไม่มีอะไรมาก  ต้องการอะไรก็ไปหยิบที่รถ  รถเป็นบ้าน  บ้านเป็นรถเจ้าค่ะ
สักพักผู้ช่วยพยาบาลก็เข็นเตียงพี่สาวกลับมาที่ห้อง  (ไปทั้งเตียงค่ะ  ไม่ได้ไปเตียงเล็ก  เพราะเวลาเคลื่อนย้ายต้องระวังกระดูกค่ะ)
เวลาประมาณ 6 โมงเย็น  พี่ชายคนที่ 2 กับพี่สะไภ้ก็มา  สักพักเพื่อนบ้านที่แม่โถก็มา  หลานสาวที่แต่งงานไปอยู่ป๋างอุ๋งก็มาพร้อมกับน้ำพริกปลาทู ^__^
คราวนี้มีคนเยี่ยมสิบกว่าคนเต็มห้อง  ต้องแบ่งกันนั่งโซฟาบ้าง  พื้นบ้างตามถนัด
คราวนี้พี่สาวเลยได้หมอนวดรอบเตียง  นวดพร้อมกันที่ละ 4 คน  แขน 2 ข้าง  ขา 2 ข้าง
เวลาประมาณ 2 ทุ่มทุกคนก็กลับ  เหลือพี่ซิงกับหนูหิ่ง ฯ นอนเฝ้า 2 คน  
เมื่อคืนหนูหิ่ง ฯ ปล่อยให้พี่ซิงหลับ  เพราะแกเฝ้ามาตั้งแต่พี่สาวเข้าโรงบาล  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยไม่ได้นอน  กลางวันก็ไม่ได้นอนเลย
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยบอกพี่ซิงว่าขอนอนก่อนนะ   แล้วค่อยเปลี่ยนกัน  ประมาณ 3 ทุ่มหนูหิ่ง ฯ ก็หลับไม่รู้เรื่อง  พี่ซิงหลับเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เวลาประมาณ 23.30 น.  เพราะได้ยินเสียงเรียกเหมย เหมยเอ้ย เบา ๆ แลไปเห็นพี่ซิงหลับ  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลุกไปหา
แกบอกว่าอยากลุก  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยประคองลุกขึ้นนั่ง  ลำบากนิดหน่อยเพราะแกตัวโตกว่า  แล้วข้อมือซ้ายของหนูหิ่ง ฯ ก็อักเสบนิดหน่อย
อาศัยยาพ่นจากโรงบาลพญาไท 2 ที่เหลือจากครั้งกล้ามเนื้อหลังอักเสบ  ทำให้ไม่ค่อยปวดเท่าไหร่  อีก 2 วันคงหายค่ะ
นั่งหลับตาสักพักแกก็ทำหน้านิ่วบอกว่าเจ็บจังเลย  หนูหิ่ง ฯ ก็เลยลูบหลังให้  ประมาณ 40 นาที หนูหิ่ง ฯ ก็เลยถามว่านอนไหม  แกพยักหน้า
หนูหิ่ง ฯ ก็เลยปล่อยให้แกนอน  เอาหมอนข้าง 2 ใบประคองไว้ข้าง ๆ ห่มผ้าที่ขา  แล้วก็เอาผ้าพันคอคลุมคอไว้  แกชอบอากาศเย็น  จึงเปิดแอร์เย็นมาก
กลัวว่าถ้าคอเย็นแล้วแกจะไอค่ะ  เพราะหนูหิ่ง ฯ เป็นคนขึ้หนาว  ถ้าคอเจอความเย็น  หรือพัดลมเป่าที่หน้า  เช้ามาก็จะไอ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็มานั่งพิมพ์บันทึกนี้ล่ะค่ะ  พอมาดูหน้าโน้ตบุ๊คก็เจอข้อความของเพื่อนว่าได้รับขนมแล้ว  ประทังความหิวได้  ^__^
แล้วซันจีสเพื่อนจากอินเดียก็ข้อความมาที่เฟทบุ๊คว่าจะเมลล์รูปแม่ - พี่สาว - น้องสาวมาให้ได้ที่ไหน  หนูหิ่ง ฯ ก็เลย SMS กลับไป  คงเข้าไปที่มือถือแล้วค่ะ
ประมาณปลายเดือนซันจีสบอกว่าจะกลับอินเดีย  หนูหิ่ง ฯ ว่าจะหาซื้อตุ้มหูเงินที่เชียงใหม่ฝากไปให้ค่ะ  ก็เลยขอให้แกส่งรูปมาให้  จะได้รู้ว่าควรซื้อแบบไหน  ^__^
คืนนี้หนูหิ่ง ฯ คงนั่งหน้าคอม ฯ เฝ้าแกทั้งคืน  เพราะตาสว่างแล้ว  ไม่รู้สึกง่วงเลย 
คืนนี้แกเรียกหาเหมย  ซึ่งก็คือหนูหิ่ง ฯ ในขณะที่คืนก่อน ๆ แกจะเรียกหาแต่พี่ซิง  
ปรกติหนูหิ่ง ฯ จะนอนไวอยู่แล้ว  แกเรียกเบา ๆ ก็จะได้ยิน  บางทีเสียงแกขยับตัว  หรือลูบท้อง  ก็ยังได้ยิน  แล้วก็ลุกไปดู
แกไม่ชอบห่มผ้า  เพราะบ่นว่าร้อน  หนูหิ่ง ฯ ก็จะบอกว่าห่มนิดนะ  เพราะกลัวว่าจะเป็นปอดบวมอีก  คราวก่อนหมอบอกว่าเป็นปอดบวม (น้ำท่วมปอด)
นั่นเป็นเพราะพี่ไม่ชอบห่มผ้า  ก็ต้องค่อย ๆ บอกเหตุผลให้ฟัง  แกก็จะพยักหน้า  แล้วก็ค่อยห่มให้แกค่ะ  ไม่งั้นแกก็จะดึงออกเหมือนเด็ก ๆ ^__^
คืนนี้ร้องให้นิดเดียว  พยายามที่จะไม่ร้องแล้วนะ  แต่บางทีน้ำตาก็ไหลออกมาเอง  ไม่เป็นไรไม่มีใครเห็น  *__~
				
comments powered by Disqus

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน