* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน ขอโทษค่ะ * * *
หิ่งห้อยน้อยใจ
* * * พี่เลี้ยง * * *
จริง ๆ แล้วจะบอกว่าหนูหิ่ง ฯ จำได้ก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะขณะนั้นยังเด็กเกินไป ส่วนใหญ่ก็ฟังคนอื่นเล่าอีกทีค่ะ
ที่หมู่บ้านของหนูหิ่ง ฯ มีสำนักงานการเกษตร ที่เกษตรจะปลูกกาแฟ สตอบอรี่ ปลูกท้อ มะม่วง ผลไม้หลายอย่าง และดอกกุหลาบ
แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ของเกษตรมาคอยส่งเสริมให้ชาวเขาหันมาปลูกกาแฟนแทนการทำไร่เลื่อนลอย
ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่เกษตรจะเป็นผู้ชายแล้วก็โสด เพราะคนที่มีครอบครัวคงไม่มีใครยอมห่างจากเมืองกรุงไปอยู่ป่าอยู่ดอยแสนไกลขนาดนั้น
ไฟฟ้า น้ำประปาก็ไม่มี ต้องไปตักที่บ่อน้ำประจำหมู่บ้านมาใว้ใช้งาน ต้องไปพบปะชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ที่พูดรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
สิ่งที่มีเพื่อการบรรเทิง ก็จะเป็นวิทยุ เทป กีตาร์ แล้วก็เมาท์ออแกน เพื่อคลายความเหงา และฆ่าเวลาไปด้วยในตัว
หลังจากที่หนูหิ่ง ฯ ลืมตาออกมาดูโลกได้ 3 เดือน พี่ ๆ ที่เกษตร ก็มีของเล่นใหม่ เป็นตุ๊กตาตัวกลม ๆ กินได้ อึได้ ร้องไห้ได้
ทุก ๆ เช้าพี่ ๆ ที่เกษตรเขาจะผลัดกันมาอุ้มหนูหิ่ง ฯ ไปเล่นที่สำนักงานเกษตร
ผลัดกันชงนมให้กินเมื่อหนูหิ่ง ฯ ร้องให้
เคี้ยวข้าวป้อนให้เมื่อหนูหิ่ง ฯ พอกินได้ ล้างอึ เช็ดฉี่ให้ แล้วก็อาบน้ำปะแป้งให้เสร็จสรรพ ตอนเย็นก็อุ้มกลับมาส่งให้แม่
แม่จึงบอกหนูหิ่ง ฯ เสมอว่า หนูหิ่ง ฯ เป็นลูกคนข้างบ้าน เพราะแม่ไม่ค่อยได้เลี้ยงเลย มีแต่คนเอาไปเลี้ยงให้
จนกระทั่งโต ก็ยังมีคนอื่นช่วยเลี้ยงอยู่ดี ^__^ คือจะไปโตตามบ้านเพื่อน ไปอาศัยข้าวเพื่อนกิน ไปอ้อนพ่อ - แม่ของเพื่อน
จนเพื่อนมันเขม่นก็หลายที ^__^
เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา หนูหิ่ง ฯ จึงขอให้แม่พาไปตามหาพี่ ๆ ที่เคยเลี้ยงหนูหิ่ง ฯ ตอน
เด็ก ๆ แม่ก็พาไปหา ปรากฎว่าเจออยู่คนเดียว
ส่วนคนอื่น ๆ แม่ไม่รู้ว่าเขาย้ายไปอยู่กันที่ไหน เพราะเวลาก็ผ่านไปสามสิบกว่าปีแล้ว บางคนเกษียณอายุราชการไปแล้ว
บางคนก็เสียชีวิตไปแล้ว คนที่เจอชื่อพี่ยงยุทธ ตอนนี้พี่เขาเกษียณแล้ว อาศัยอยู่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
หนูหิ่ง ฯ จำไม่ได้เลย แต่พี่เขาจำหนูหิ่ง ฯ ได้ แปลกใจจัง เห็นบอกว่าหนูหิ่ง ฯ หน้าไม่ค่อยเปลี่ยนเท่าไหร่ ^__^
หนูหิ่ง ฯ ซื้อกระเช้าไปกราบขอบคุณ แล้วก็ใส่ซองให้นิดหน่อย แล้วก็ดีใจมากที่หาพี่เขาเจอ
ถ้ามีโอกาสจะพยายามหาคนอื่น ๆ ที่เหลือ แต่แม่จะจำได้แต่ชื่อเล่นบ้าง ชื่อจริงบ้าง นามสกุลจำไม่ได้ ก็เลยหายากหน่อยค่ะ
ขอโทษนะคะพี่เลี้ยงจำเป็นทั้งหลาย
ปล. หากใครเคยทำงานอยู่เกษตรแม่โถ ต.บ่อสลี อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ แล้วเคยเลี้ยงเด็กหญิงตัวกลม ๆ ตาดำ ๆ
กรุณาติดต่อกลับมาด้วยนะคะ
* * * ครูเด็กเล็ก * * *
จริง ๆ แล้วที่หมู่บ้านหนูหิ่ง ฯ ไม่มีชั้นเด็กเล็ก ไม่มีอนุบาล มีก็ประถม 1 - ประถม 4 ถ้าจะต่อก็ต้องไปต่อหมู่บ้านอื่น
สถานที่ตั้งของโรงเรียนก็อยู่ห่างจากบ้านหนูหิ่ง ฯ ไปเกือบ 3 กิโลเมตร ทุก ๆ เช้าเด็ก ๆ ก็จะพากันเดินไปโรงเรียนพร้อมห่อข้าว
หนูหิ่ง ฯ เริ่มไปโรงเรียนตอนประมาณ 4 ขวบ เดินไม่ไหวก็พี่ชายแบกบ้าง อุ้มบ้าง พี่ชายชอบบ่นว่าหนูหิ่ง ฯ ขึ้เกียจเดิน
จะร้องโยเยให้แบก ก็จำต้องเปลี่ยนกันแบกใส่หลังเดินไปโรงเรียน ^__^ นิสัยดีตั้งแต่เด็ก ๆ เนาะ
ทางไปโรงเรียนจะผ่านโค้ง ๆ หนึ่ง แล้วตรงนั้นจะมีต้นไม้ใหญ่มาก เด็ก ๆ ก็จะถูกขู่ว่าให้ระวังผีนะ
ดังนั้นพอจะผ่านโค้งต้นไม้ใหญ่นี้ ก็จะปาดอุ้งเท้า แล้วเอามาป้ายที่ศรีษะ ผีจะได้ไม่เห็น ^__^ คนดอยเขามีวิธีหลอกผีด้วยนะคะ
บางทีก็จะแกล้งวิ่งทิ้งกัน ทำเสียงหลอกกันก็มี เด็ก ๆ ที่หมู่บ้านนี้ก็เลยมีนิสัยชิบแกล้ง *__~ นิสัยดีกันทั้งหมู่บ้านเลย
อาจารย์ที่สอนชื่ออาจารย์ธนูศักดิ์ โรงเรียนนี้มี 4 ชั้น นักเรียนมีน้อย ทั้งโรงเรียนมีครูสอนอยู่คนเดียว
ถึงตอนนี้หนูหิ่ง ฯ ก็นึกไม่ออกว่าครูสอนได้ยังไง ?
จำได้ว่าหนูหิ่ง ฯ ซนมาก โดดหน้าต่างเล่นก็มี ปีนต้นฝรั่งจนตกลงมาก็มี ครูดุก็ไม่
เคยกลัวสักกะที ก็มันไม่มีอะไรให้เล่นนินา.... เนาะ
บางครั้งหนูหิ่ง ฯ เป็นไข้ ไม่สบาย เลือดกำเดาไหล ก็ต้องไปโรงเรียน ต้องไป
นอนที่เก้าอี้เรียน จนพี่ ๆ เขาต้องยืนเรียน
เพราะว่าอยู่บ้านก็ไม่มีใครดูแล คนโตทุกคนต้องไปทำไร่ทำสวนเลี้ยงสัตว์ เด็ก ๆ
จึงถูกยัดเยียดให้พี่ ๆ ที่เรียนอยู่และครูเป็นผู้ดูแลแทน
* * * ครูประถม * * *
พอเรียนหนูหิ่ง ฯ เข้าเรียนชั้นประถมโรงเรียนก็ย้ายมาอยู่ใกล้บ้านหน่อยประมาณ 1 กม. ดีจัง ไม่ต้องเดินไกล
ครูก็เริ่มมีหลายคน ครูคนแรกชื่อครูสมศักดิ์ ครูเลาสือ ครูบุญยิ่ง ครูมยุรี ครูต้อย
เด็ก ๆ บนดอยก็มีกีฬาดอย ๆ ให้เล่น เช่น
เดินต่อขา : ก็จะตัดไม้ไผ่มา 2 ลำเล็ก ๆ พอเหมาะมือ ลำต้นแข็งแรงความยาวเท่าตัว หรือยาวกว่า เลาะกิ่งออก
เหลือไว้กิ่งตรงโคนกิ่งเดียวลำไผ่ด้านที่เลยกิ่ง ให้เหลือความยาวประมาณครึ่ง
ไม้บรรทัด แล้วก็ตัดกิ่งให้พอเท้าเหยียบ
วิธีเล่น : ก็ให้จับลำไผ่แน่น ๆ ทิ่มไผ่ด้านที่มีกิ่งลงดิน แล้วก็ใช้ความสามารถพิเศษขึ้นเหยียบ ทีละข้าง แล้วก็เดิน
ข้อสังเกตุ : ยิ่งทำสูงเท่าไหร่ เวลาเดินก็จะไกลเท่านั้น แต่การทรงตัวจะลำบากนิดหนึ่งค่ะ สนุกดีนะคะ
ควบกะลา : ก็จะนำกะลามะพร้าวด้านที่มีรูมา 2 กะลา แล้วก็ใช้เชือกยาวประมาณเมตรเศษ ๆ ผูกกะลาไว้ด้านละข้าง
วิธีเล่น : จับเชือกด้านกึ่งกลางของทั้ง 2 กะลา แล้วก็ขึ้นไปเหยียบกะลาโดยใช้นิ้วคีบไว้ คล้ายกับใส่รองเท้า แล้วก็เดิน
ข้อสังเกตุ : ต้องเลือกกะลาดี ๆ เวลาเดินระวังกะลาแตก และอาจเกิดเสียงดังหนวกหู และก็เจ็บนิ้วชี้ - โป้งได้
การเล่นทั้ง 2 อย่างนี้ปรกติจะเล่นหลาย ๆ คน แล้วก็แข่งกันเดินว่าไครจะเดินถึงปลายทางก่อนกัน โดยเท้าไม่ลงพื้น
จริง ๆ แล้วการละเล่นก็มีหลายอย่าง เช่น หมากเก็บ ไม้เก็บ ตี่จับ เตย หลบบอล โดดเชือก โดดสูง ฯลฯ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็ใช้วัสดุที่หาได้และทำเองง่าย ๆ ค่ะ
ถึงแม้โรงเรียนหนูหิ่ง ฯ จะเป็นโรงเรียนบนดอย นักเรียนไม่เยอะ ก็ยังคงมีหมอไปฉีดยาวัคซีนให้เด็ก ๆ
แต่หนูหิ่ง ฯ จะหนีตลอด เพราะกลัวเข็มฉีดยา วิธีการหลบ
1. ก็ไม่อยาก ปีนหน้าต่าง แล้วไปซ่อนในห้องน้ำแค่นี้ก็ไม่มีใครหาเจอแล้ว พอหมอไป ไอ้หนูหิ่ง ฯ ก็ออกมา
2. เข้าป่าไปเลย เพราะรอบโรงเรียนเป็นป่า ไปหลบในนั้น ก็ไม่มีใครหาเจออีกเหมือนกัน
3. หนีให้ไกลหน่อยก็ไปเก็บผักจิ้มน้ำพริกหรืองมหอยในนาล่างโรงเรียน เย็น ๆ ก็ทำเนียนกลับบ้าน
4. หรือไม่ก็ไปเก็บผลไม้ป่ากินฆ่าเวลา เย็น ๆ ก็ค่อยกลับบ้าน
ห
นูหิ่ง ฯ ใช้ทุกวิธี ก็เลยไม่ได้ฉีดวัคซีนเลย จนกระทั่งถึงการปลูกฝี ทีนี้ครู & หมอไปดักรออยู่หน้าบ้าน
ห้า ๆ ๆ พอตกเย็นหนูหิ่ง ฯ เดินกลับบ้านก็เลยถูกจับปลูกฝี ดังนั้นที่ไหล่ก็จะมีรอยแผลเป็นอยู่รอยเดียว
ในขณะที่คนอื่นมี 2 - 3 รอย ตอนเด็ก ๆ ภูมิใจมากที่หนีครูกะหมอได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าทำไม่ดีเลย *__~
ขอโทษค่ะครู ขอโทษค่ะหมอ
ด้วยความที่เด็กนักเรียนมีน้อย เวลาเล่นอะไรก็ต้องเล่นด้วยกัน เด็กผู้ชายจะชอบเล่นกว่าง เล่นโยนเหรียญที่ทำมาจากฝาน้ำอัดลม
เล่นดีดหนังยาง ยิงนก ตกปลา เด็กผู้หญิงอย่างหนูหิ่ง ฯ ก็เล่นกะเขาได้ทุกอย่าง
สนุกดี บางทีก็ถูกเด็กผู้ชายแกล้งเอา
ที่ทนไม่ได้ก็คือ เด็กผู้ชายชอบเปิดกระโปรง อยู่ ๆ ก็วิ่งมาเปิดกระโปรง แล้วก็วิ่งหนีไป หัวเราะไป
ยิ่งถ้าเห็นใส่กางเกงในสีอะไรจะเอามาแซวเป็นอาทิตย์ เด็กผู้หญิงก็เลยต้องขนขวายหากางเกงขาสั้นมาใส่
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หนูหิ่ง ฯ อารมย์ไม่ดี แล้วเพื่อนผู้ชายก็มาเปิดกระโปรง หนูหิ่ง ฯ ก็วิ่งไล่จนทัน
เสร็จแล้วก็ตูมเข้าให้ ปรากฎว่าเลือดกำเดาออก งื้อ ! ไม่ได้ตั้งใจให้เลือดตกยางออกนะ แต่มันโมโหนิ ก็เลยชกแรงไปหน่อย
ขอโทษนะเย๊ะนะ
แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็เข้าเมืองเชียงใหม่เพื่อเรียนมัธยมต้นที่วัฒโนทัยพายัพ ซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด
หนูหิ่ง ฯ เลือกเรียนสายพาณิชย์ เพราะคิดว่าจบมาแล้วหางานง่ายกว่า ถ้าเรียนสายวิทย์ต้องต่อ ป.ตรี ไม่มีตังค์
สมัยนั้นเขาจะให้เลือกเรียนสายวิทย์ หรือพาณิชตั้งแต่ตอน มอ 2 เพื่อที่จะเตรียมให้เด็กสามารถไปเรียนต่อได้ดีขึ้น
ซึ่งก็จริง เพราะหนูหิ่ง ฯ ได้เรียนพิมพ์ดีดและบัญชีตอน มอ 3 หลังจากจบแล้วหนูหิ่ง ฯ บินไปเรียนต่อ ปวช.ที่กทม.
ทำให้หนูหิ่ง ฯ ได้เปรียบคนอื่น เพราะพิมพ์ดีดก็เป็นแล้ว บัญชีก็เรียนมาบ้างแล้ว หนูหิ่ง ฯ จึงมีรายได้จากเพื่อน ๆ เยอะ
เพราะรับจ้างพิมพ์ดีด รับจ้างทำรายงาน รับจ้างทำบัญชี แฮ่.... นู๋จลลลลลล ต้องหาเงินเรียนวิธีนี้แหละ
ขอโทษนะเพื่อน ที่หนูหิ่ง ฯ หากินกับเพื่อนนะ
จบ ปวช.แล้วหนูหิ่ง ฯ ก็ได้งานทำแถวหนองแขม ทำอยู่ 8 ปี
เพี่อนสมัยเรียน มอต้น เหลืออยู่คนเดียว
ชื่อเพชร ตอนนี้อยู่เท็กซัส กำลังจะมีสามีเป็นของตัวเองเร็ว ๆ นี้ เฮ่อ ! อิจฉาชะมัด ^___^
เพื่อนสมัยเรียน ปวช. ก็เหลืออยู่คนเดียว ชื่อตุ่น ตอนนี้อยู่แถวทุ่งครุ
สาเหตุที่เพื่อนเลิกคบ ให้ไปดูที่ท้ายกระทู้นี้ค่ะ
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/story11493.html
* * * หนูหิ่ง ฯ ตอน คนขับรถกลับจม. เจียงใหม่ * * *