มหานครอันเรืองโรจน์...
คีตากะ
ยามวิกาลดึกดื่นแห่งเหมันตฤดู ฉันเดินอยู่ในซอยเปลี่ยวระหว่างทางกลับบ้าน บรรยากาศของเมืองมหานครที่ขมุกขมัวมัวซัวทำให้หัวใจฉันรู้สึกสั่นสยิวเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นสั่นสะท้าน นครแห่งความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ นครแห่งอาชญากรรม นครอันแปลกหน้าที่ไม่เคยเป็นมิตรไม่ว่าเวลาใด ฉันรีบสาวเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนมาถึงกลางซอยอันมืดมิด รู้สึกถึงความเย็นเยียบตรงบริเวณไขสันหลัง เบื้องหน้าเป็นสะพานโค้งสูงสร้างจากปูนซีเมนต์ใช้สำหรับข้ามคลอง ตรงบริเวณเสาหัวสะพานทั้งสองข้างมีภูติผี ๒ ตนนั่งสถิตอยู่ รูปลักษณ์ของพวกมันน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก ถึงฉันจะรู้สึกหวาดกลัวต่อพวกมัน แต่สำหรับฉันแล้ว มนุษย์ที่มีชีวิตในเมืองนี้ยังน่าหวาดหวั่นกว่าพวกมันมากนัก พวกมันกำลังนั่งกระซิบกระซาบสนทนากัน ขณะเดินผ่าน ฉันแอบได้ยินพวกมันเจรจากันด้วยถ้อยคำดังนี้...
ผีตนแรก : ดูสิ สหาย! ดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองที่พวกเราร่วมกันสร้างมาด้วยสองมือเปล่าของเรา เมืองที่พวกเราต้องเอาชีวิตเข้าแลก หลั่งเลือดชโลมดิน จนแผ่นดินที่เราถือกำเนิดเกิดมาต้องฝังกลบหน้าของเราเองจึงจะได้มา ดูความเสื่อมทรามของมหานครอันยิ่งใหญ่นี้ ที่ในไม่ช้าจะเหลือเพียงเศษซากก้อนอิฐ เช่นเดียวกับสังขารของพวกเราที่หลงเหลือเพียงเศษธุลีดิน!
ผีตนที่สอง : สหายเอ๋ย! ท่านจะเดือดร้อนไปไยเล่า? ในเมื่อพวกเราต่างก็มีหน้าที่เพียงเฝ้าดู จะแก้ไขอะไรได้ล่ะ? มหานครอันสวยงามนี้ยังคงงดงาม แต่จิตใจของคนต่างหากที่เสื่อมทรามอัปลักษณ์ลง หาใช่มหานครที่เราสร้างไม่!
ผีตนแรก : ในขณะที่ผู้คนกำลังเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ท่ามกลางความหลับใหลอย่างขาดสติ พวกคนเขลาเหล่านี้ไม่รู้เลยว่าวันเวลาของตนกำลังใกล้หมดลงเต็มที กาลเวลากำลังชักนำพวกเขาเข้าสู่มหาพิบัติภัยครั้งใหญ่ในเวลาอันใกล้นี้ ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียจริง !
ผีตนที่สอง : วันเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงต่างหากล่ะ เพื่อนรัก! สังขารร่างกายของพวกเขาจะมีอะไรเล่า มันเป็นเพียงอาภรณ์ที่สวมใส่เท่านั้น จากร่างเด็ก กลายเป็นร่างหนุ่มสาว กลายเป็นร่างชรา และเปลี่ยนร่างใหม่เรื่อยไป ท่านก็ทราบแล้วว่าแท้จริงความตายไม่อาจทำอะไรกับมนุษย์พวกนี้ได้ ร่างกายย่อมผุพังเสื่อมสลายไปตามกาลเวลากลายเป็นกรวดดิน แต่จิตวิญญาณยังคงอยู่ยืนยง เหมือนกับพวกเรา ซึ่งเราก็ได้พิสูจน์แล้ว มิใช่หรือ?
ผีตนแรก : มันก็จริงอยู่! แต่บทเรียนเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรต่อคนเขลาเหล่านี้เลยเหรอ? คนเหล่านี้ก็เหมือนเราที่ผ่านประสบการณ์การเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เหตุใดยังคงเลือกหนทางแห่งความพินาศมากกว่าการสร้างสรรค์โลกนี้ให้น่าอยู่ต่อไป อย่างน้อยก็ทำเพื่อตนเองและลูกหลานรุ่นต่อๆไป? ประสบการณ์ในอดีตไม่ได้สอนอะไรแก่พวกเขาให้ฉลาดขึ้นเลยหรือ?
ผีตนที่สอง : มหาธรรมชาตินฤมิต สร้างสรรพชีวิตขึ้นมาได้ ไฉนจะกลืนกินเอากลับคืนไปมิได้เล่า? มหาธรรมชาติให้มนุษย์เป็นเจ้าปกครองเหล่าสัตว์และพืช พร้อมกับการสร้างสรรค์ตัวตนได้ตามความปรารถนา มนุษย์มีอำนาจในการเลือกหนทางของตนอย่างไม่สิ้นสุด และต้องรับผลแห่งการเลือกนั้น ธรรมชาติผู้ให้กำเนิดมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เป็นเพียงผู้เฝ้าดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น ให้อิสระแก่ทุกชีวิต และไม่พิพากษาตัดสินใคร สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมที่ตนเองก่อ พวกเขาสรรค์สร้างนรกและสวรรค์ขึ้นมาเอง รวมทั้งพิพากษาตัวเอง!
ผีตนแรก : แต่เหตุไฉนคนเขลาเหล่านี้จึงเลือกที่จะตั้งระเบิดเวลาเพื่อทำลายตัวเองและชีวิตอื่นด้วยเล่า? ศีลธรรมอันดีงามถูกลืมเลือนไปจากสังคม สัตว์และพืชถูกเข่นฆ่าเพื่อเสนอสนองตัณหามนุษย์ ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ประเสริฐเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย ไฉนกลับทำตัวเยี่ยงเดียรัจฉานเสียเอง ด้วยการทำตนเป็นนักล่าเข่นฆ่าพวกเดียวกันเองแล้วยังทำลายชีวิตสัตว์และพืชอื่นอีก? คนเขลาเหล่านี้มักสร้างขุมนรกขึ้นมาในโลกอยู่เสมอๆ ตลอดทุกยุคทุกสมัย เพียงเพื่อฝังกลบตัวเอง !
ผีตนที่สอง : สหายเอ๋ย! นี่เป็นผลจากการที่มนุษย์มุ่งเน้นพัฒนาวัตถุมากกว่าจิตวิญญาณ ผลจากการมองสัตว์และพืชต้อยต่ำกว่าพวกตน และไม่เคยให้เกียรติใคร ผลแห่งการลืมเลือนธรรมชาติผู้ให้กำเนิด พวกเขาจึงต้องรับผลแห่งการเลือกนั้นในไม่ช้านี้ ถ้าหากยังไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิม นั่นคือการไม่เคารพชีวิตพืชและสัตว์ อันเป็นการแสดงถึงการไม่เคารพตัวเอง เพราะสรรพสิ่งเป็นองค์เดียวกัน มาจากรากเหง้าเดียวกัน!
ผีตนแรก : มันจะมีประโยชน์อะไรเล่า เพื่อนเกลอ? ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คนเขลาเหล่านี้ก็ยังคงมีนิสัยป่าเถื่อนเหมือนเดิม ท่านดูสิ! ในท่ามกลางหมู่พวกเขามีปีศาจ เปรต สัตว์นรกเดินปะปนกันอยู่กลาดเกลื่อนล้นเมืองจนจำแนกแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร บางคนก็เพิ่งพ้นโทษทัณฑ์ขึ้นมาหมาดๆจากขุมนรก ในแววตายังคงแฝงความอาฆาตมาดร้ายด้วยเพลิงแค้นจนแดงฉาน จับจ้องคอยเล่นงานคู่อริและพวกเดียวกัน พร้อมที่จะก่อสงครามได้ทุกเมื่อ นี่คือเหล่าเจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่ครั้งภพชาติในอดีต รอคอยทวงถามหนี้กรรมจากพวกเขา จะเรียกมหานครที่เจริญรุ่งเรืองได้อย่างไรเล่า ในเมื่อทั้งเมืองเต็มไปด้วยสัตว์นรกอันร้ายกาจจากห้วงอเวจี?
ผีตนที่สอง : มนุษย์ สัตว์ พืช ต่างก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของกันและกัน กินกันไป กินกันมา ฆ่ากันไป ฆ่ากันมา จึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่เช่นนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ชดใช้หนี้กรรมที่ตัวเองก่อ ในขณะเดียวกันก็สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาจนพัวพันยุ่งเหยิงหาเบื้องปลายไม่ได้ แต่ยังดีที่มหาธรรมชาติยังมีเมตตาส่งเหล่าบรรดามหาอาจารย์และนักบุญทั้งหลายลงมาเพื่อปลุกมนุษย์ผู้โง่เขลาเหล่านี้ ในท่ามกลางทุรยุคอันเสื่อมทรามนี้ด้วยเช่นเดียวกัน!
ผีตนแรก : เพื่อนเอ๋ย! ท่านก็เห็นแล้วว่ามหาอาจารย์เหล่านี้มีสภาพเป็นเช่นใดตอนที่มีชีวิตอยู่ในอดีต พระกฤษณะ พระโมฮัมหมัด ต้องเสี่ยงตายร่วมรบกับคนเขลาเหล่านี้ในสงครามที่พวกท่านไม่ได้ก่อ เพื่อธำรงธรรมเอาไว้ มิเช่นนั้นคนชั่วก็จะครองเมือง คนเขลาเหลานี้ไม่เคยทำอะไรนอกจากการก่อสงคราม พระศากยมุณีพุทธเจ้า ถูกปาด้วยก้อนหิน ต้องเสวยหญ้ากับม้านานหลายเดือนแล้วยังถูกญาติตัวเองตามฆ่าราวีอีก ที่ร้ายกว่านั้น! พระเยซูถูกปลงพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างน่าสยดสยอง เพียงเพราะพวกท่านพูดถึงเรื่องความรักและสันติภาพ พวกท่านต่างมีชื่อเสียงภายหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว แต่ยามมีชีวิตอยู่ล้วนลำบากยากเข็ญ ถูกใส่ร้ายป้ายสีต่างๆ นานา พวกคนเขลาหรือจะเข้าใจ? บาปกรรมของมนุษย์หนักหนาแค่ไหนท่านต่างก็ทราบดี แล้วจะหวังอะไรได้อีกเล่า?
ผีตนที่สอง : มีข่าวดีก็คือว่าสรรพชีวิตทั้งคน สัตว์และพืช ในยุคปัจจุบันนี้ล้วนได้รับการปลดปล่อยทางจิตวิญญาณทั้งหมดภายหลังจากความตายด้วยพลังอำนาจแห่งมหาอาจารย์และนักบุญทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ในโลกเวลานี้ พวกเขาไม่ต้องไปทุคติรับทัณฑ์ทรมานในนรกอเวจี ล้วนไปสู่สุคติด้วยกันทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่คนที่บาปที่สุดในโลก! แต่ข่าวร้ายก็คือว่ามหาอาจารย์และเหล่านักบุญยังไม่สามารถยับยั้งวันมหาโลกาวินาศตอนสิ้นปี ๒๐๑๒ ได้ พวกท่านกำลังทำงานกันอย่างหนักต่อไปเพื่อหยุดยั้งระเบิดเวลาทำลายล้างชีวิตครั้งนี้ลงให้จงได้!
ผีตนแรก : บาปเคราะห์อันหนักหนาสาหัสของพวกคนเขลาเหล่านี้ ต่อให้พลังมหาอาจารย์ทั้งสิบทิศก็ยังยากยิ่งที่จะต้านทานเอาไว้ได้ แม้ท่านจะเคยทำสำเร็จมาแล้วหลายครายามที่โลกยืนปริ่มอยู่ริมปากขอบเหวลึกแห่งความหายนะก็ตาม แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ในที่สุดก็คงเหลือชีวิตรอดเพียงแค่หยิบมือเดียวเท่านั้น พวกตาบอดหูหนวกเหล่านี้จะรับรู้อะไร จะสนใจก็แต่เพียงเรื่องปากท้องของตัวเอง ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ผู้นำก็สนใจแต่เศรษฐกิจ การเมือง เรื่องไร้สาระทั้งสิ้น โลกยังจะมีความหวังอะไรอีกเหรอ?
ผีตนที่สอง : ภายใน ๒ ปีที่เหลือนี้ถ้าหากมนุษย์หยุดการเข่นฆ่าสัตว์และพืช โดยเฉพาะเว้นขาดจากการกินเนื้อสัตว์เสียก่อน โลกก็อาจยืดอายุต่อไปได้อีก แล้วจึงค่อยไปแก้ไขปัญหาอื่นก็ยังทันท่วงที เหล่ามหาอาจารย์จึงพยายามรณรงค์เรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ทำแม้กระทั่งร้องขอให้เหล่าทวยเทพเทวดาลงมาช่วยดลจิตดลใจมวลมนุษย์เพื่อให้กลับใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเสีย ถ้าหากพวกท่านสามารถกระทำได้สำเร็จ งานต่อไปของท่านก็คือการสร้างสันติภาพขึ้นในโลก พวกเราจะได้เห็นอหิงสาธรรมครองโลก ซึ่งแม้แต่บรรดาสัตว์ก็จะไม่กินกันเอง โลกจะกลายเป็นสวรรค์อย่างแน่นอน!
ผีตนแรก : มันจะเป็นไปได้หรือ? ในเมื่อมนุษย์ยังคงป่าเถื่อนเยี่ยงนี้! มองเห็นสัตว์อื่นเป็นอาหาร ทำร่างกายตัวเองเป็นหลุมฝังศพของสรรพสัตว์จนเหม็นกลิ่นสาบราวซากศพเดินได้ แม้แต่เทวดายังไม่กล้าเข้าใกล้ ทำลายพืชพันธุ์มากมายด้วยความเห็นแก่ได้ โดยไม่เคยรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดของพวกมัน มนุษย์อาจจำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมดจากการทำลายล้างที่จะถึงนี้ บทเรียนนี้อาจจำเป็นต่อมนุษย์ก็ได้ คงมีเพียงไฟนรกเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงนิสัยคนพวกนี้ได้ แต่อย่างไรเสียเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราที่ไม่ใช่มนุษย์ !
ผีตนที่สอง : ใช่แล้วสหาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นล้วนแล้วแต่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราทั้งสิ้น!
เมื่อพวกมันเจรจากันจนจบลง ความเงียบก็เข้าครอบคลุมบริเวณนี้อีกครั้ง พวกมันต่างก็พากันลุกเดินจากไป จากร่างภูตผีสองตนก็หลอมรวมเข้าเป็นร่างเดียวกัน ลับหายไปภายใต้แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวยามรัตติกาล ณ มหานครอมรฟ้าอันเรืองรุ่งที่ไม่เคยหลับใหล.....