อทิสมานกาย ๖๑ หลังจากที่ชายหนุ่มสนทนากับพ่อแม่อยู่นั้น จิตเขาก็สัมผัสกับจิตที่ส่งกระแสมาเรียก จึงหาทางหลีกเลี่ยงเพื่อจะไปพบกับ เจ้าแสงสีสินชัย ซึ่งคงจะรอคอยเขาอยู่ในห้อง ดังนั้นเมื่อผละจากพ่อแม่แล้ว เขาก็รีบเดินเข้าสู่ห้องทันที ก็พบว่า เจ้าแสงสีสินชัยนั่ง คอยเขาก่อนอยู่แล้ว พอมันเห็นหน้าเขา เจ้าแสงสีก็เอ่ยขึ้นทันที “นายครับ เด็กๆมันส่งข่าวมาให้ทราบแล้วว่า เสี่ยเม้งมันให้ลูกน้องมันขนย้ายสิ่งของ ไปเก็บไว้ยังภูเขา คนละทิศกันครับแต่ผมให้เด็กๆมันเฝ้าคอยดูแต่กำชับมันยังไม่ต้องลง มือแต่ประการใด จนกว่าจะมีคำสั่งจากนายมาอีกที” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “ดีแล้วล่ะแสงสีปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละด้วยยังไม่ถึงเวลาการจับกุม หากทำตอนนี้ เรื่องมันจะกระโตกกระตากไป คอยเวลาสักพักหนึ่งก่อน แล้วค่อยจะได้ลงมือพร้อมๆกัน ให้ได้ทั้งตัวบงการและคนอื่นๆในเวลาพร้อมๆกันด้วย แต่ทว่าข้าคิดว่ายามกลางคืนให้ พวกเด็กๆ ออกไปหลอกหลอนมันบ้างเป็นบางครั้งบางคราวก็ดีเหมือนกันนะ มันจะได้ เกิดความกลัวแล้วกลับไปรายงานหัวหน้ามัน ว่าสถานที่นำไปนี้เต็มไปด้วยพวกผีปีศาจ แล้วทางเจ้าล่ะ???....จะเห็นเป็นประการใดหรือ???....” “ก็ดีเหมือนกันแหละนายเรายังไม่ดำเนินการตอนนี้แต่เพียงให้มันถูกหลอกหลอนจน ประสาทมันรวนเรและ จะไม่กล้าเข้าไปรักษาของๆมันในยามค่ำคืน” เจ้าสินชัยออกความเห็น “อย่างน้องสินชัยเอ่ยนี้ก็ดีเหมือนกันแหละนาย ฉนั้นการลงมือในยามค่ำคืนก็จะหาคนมา ช่วยได้ยากครับนาย” แสงสีกล่าวขึ้น “ในเมื่อเราตกลงกันได้เช่นนี้ สินชัยและแสงสีก็ให้เด็กๆมันไปบอกพวกที่เฝ้าดูไว้ ก็แล้วกัน เรายังไม่ต้องลงมืออะไรทั้งสิ้น ส่วนเจ้าทั้งสองก็ฝึกสมาธิกันต่อไปทั้งพวกที่ อยู่กับเราด้วยนะ แล้วช่วยถ่ายทอดวิชาอาคมที่ข้ามอบไว้ให้มันด้วย” ชายหนุ่มสั่งทั้งสอง “ครับนาย หลังจากผมไปสั่งงานมาแล้วจะมานั่งทบทวนวิชาอาคมให้ชำนาญเสร็จแล้วก็ จะเจริญสมาธิต่อไป” ทั้งสองเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เจ้าทั้งสองนั้นผ่านจากอทิสมานกายไปแล้วนะ ดีใจกับเจ้าด้วย ทางนี้ทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้เจ้ารอดพ้นจากอบายภูมิได้ หากเจ้าทั้งสองไม่ได้เจริญทางด้านนี้ ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่จะต้องลงไปสู่อบายภูมิ แต่บัดนี้สิ่งที่เจ้าทำไปนั้นทำให้เป็นมหากุศลในทางอ้อมไว้ทำให้ เจ้ารอดพ้นไปได้ อีกทั้งเจ้ายังจะเข้าสู่ขั้นเทพเสียด้วย หากเมื่อถึงเวลาก็จะไปสู่แดนเทพต่อไป” “ครับนาย...ที่ข้าทั้งสองได้รับความรู้นี้ก็ด้วยพระคุณของนายทั้งสิ้น ที่ชี้หนทางสว่างให้ แก่พวกข้าจนมาถึงวันนี้” เสร็จคำพูดมันทั้งสองก็ก้มลงกราบชายหนุ่มทันที ชายหนุ่มก็พยุงตัวมันขึ้นพลางเอ่ยว่า “เห็นทีว่าเจ้าทั้งสองกับข้านั้นในภพใดภพหนึ่งเคยทำบุญร่วมกันมาถึงได้มีวันนี้แหละ ดังนั้นขอให้เจ้าสบายใจได้ แต่ทุกๆวันอย่างลืมเจริญสมาธิเป็นอันขาด ด้วยข้านั้นสามารถ ปล่อยวางเจ้าได้แล้ว นอกจากคอยดูแลหากเวลาได้เจ้าเดินผิดทางจะได้เพียงแค่คอยเตือนก่อน ที่จะล่วงล้ำผิดทางไป” ชายหนุ่มกล่าวแก่ทั้งสอง ซึ่งบัดนี้จากสภาพของหุ่นที่เขาสร้างขึ้นมานั้นได้ถูกอำนาจฌาน สมาธิเปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ชายหนุ่มเห็นรังษีแผ่ออกมาจากคนทั้งสองเป็นประกายแวว พรั่งพรูออกมายามที่มันเคลื่อนตัวของมัน เพียงแค่รังษีมันเท่านั้นก็สามารถสยบ บรรดาเหล่า ผีปีศาจทั้งหลายได้อยู่แล้ว จึงอมยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ต่อไปเจ้ามาถึงขั้นนี้แล้วอย่าได้ทำการเบียดเบียฬใครเขา สิ่งใดหลีกเลี่ยงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ได้ก็ควรจะหลีกเสีย ให้พิจารณาถึงมันว่าจะถึงฆาตที่จะอยู่ในร่างของมนุษย์ได้อีกต่อไปหรือไม่ ซึ่งตอนนี้เจ้าก็สามารถแยกแยะได้แล้วนะ ในค่ำคืนนี้ให้พวกเด็กๆของเจ้าทำการหลอกหลอน พวกที่เฝ้ารักษาของผิดกฏหมายได้แล้วล่ะ???....” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “ครับนายเดี๋ยวผมจะไปสั่งพวกเด็กๆให้รีบออกเดินทางไปได้แล้ว และให้มันกลับมารายงานทุก ขั้นตอนด้วยครับ” ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมๆกัน “เอาล่ะงานนี้ก็ไปได้อีกขั้นหนึ่งแล้ว แต่ข้าอยากให้เจ้าช่วยเหลือเขาในการทำบุญเป็นกุศลแก่ พวกเจ้าอีกทางหนึ่งคือ บุคคลนี้ถึงแม้อดีตชั่วเลวร้ายแต่กลับใจได้แล้วก็เห็นสมควรสนันสนุนเขา เช่นดั่งองค์คุลีมาลอดีตโจรร้ายที่ฆ่าคนมาจำนวนมากด้วยหลงเชื่ออาจารย์ที่บอกทางผิดๆแก่เขา จวบจนมาพบพระพุทธองค์จึงด้วยบุญบารมีเก่าถึงคราวจะพ้นกรรมได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ เขาคนนี้ก็เหมือนกัน ข้านั่งสมาธิดูเห็นว่าต่อไปในภาคหน้าเขาจะได้ครองวัดโคกอีแร้งแทน หลวงพ่อทองต่อไปอย่างแน่แท้ ฉนั้นตอนนี้เขากำลังประสบเคราะห์กรรมที่ย้อนกลับมาหา หากเราได้ช่วยเขาไว้จะได้ผลานิสงฆ์ไว้มากอีกทางหนึ่งด้วย ฉนั้นข้าจึงให้เจ้าทั้งสองไปช่วย เหลือเขาเพื่อจะได้ผลบุญอันนี้สืบสานเจ้าให้เจริญขึ้นมากกว่าเดิมนะ” ชายหนุ่มเอ่ยแก่ทั้งสอง “ครับนาย...ที่จะให้ข้าทั้งสองไปช่วยนั้นใครกันล่ะนาย???...” “อ้อๆๆ...กำนันหวนแห่งหมู่บ้านบางโคไงล่ะเจ้าคงจะจำได้นะ ตอนนี้เขาจัดการงานด้านที่เขา ตั้งใจไว้ก่อนจะไปออกบวชตลอดชีวิต เพื่อละในสิ่งไม่ดีงามต่างๆไว้ อีกสองสามวันนี้แหละ บรรดาเหล่าปีศาจที่หนีมาจากอาจารย์เจี๊ยะเปิง ซึ่งอาศัยเร่ร่อนส่วนใหญ่แอบพักตามชายคา ต้นไม้ในเนื้อที่ของกำนันนี่แหละ ครั้นมันรู้ว่ากำนันจะออกบวชตลอดชีวิตด้วยรับรู้จากพวก มารทั้งหลายโดยได้รับคำสั่งมา ก็จะหาทางกีดกันขัดขวางกลั่นแกล้งมิให้กำนันนั้นออกบวช ได้” ชายหนุ่มกล่าว “อ้อๆๆๆ...อีกอย่างหนึ่งข้าทราบว่า พวกผีปีศาจเหล่านี้มันครบวาระแล้วที่จะต้องไปชดใช้ กรรมของมัน ให้เจ้าทั้งสองเพียงแค่ขัดขวางมันเท่านั้นไม่ต้องไปทำอะไรมันหรอก ด้วยจะ มีคนของทางเบื้องล่างขึ้นมารับตัวมันทั้งหมดในไม่ช้านี้แล้วล่ะ” ชายหนุ่มกล่าวย้ำขึ้นอีก “ครับนาย...เมื่อพวกข้าจัดการเรื่องของนายเรียบร้อยแล้วก็จะรีบไปช่วยเหลือทางกำนันหวน ทันที และอาจจะไปถึงก่อนจะได้ตรวจสภาพต่างๆได้ โดยจะนำคนของเราไปประมาณสิบตน ได้ครับนาย” แสงสีสินชัยเอ่ยขึ้น “แล้วสั่งคนของเจ้าด้วยว่าไม่ต้องไปทำอันตรายมัน เพียงคอยปกปักเขาไว้เท่านั้น หากว่ามัน ยังกำเริบเสิบสานมากด้วยได้ใจ ก็แสดงให้มันเห็นเสียบ้างเท่านั้นนะ” “ครับนาย เดี๋ยวข้าจะรีบไปทำงานทางด้านนายเสียก่อนแล้วก็จะเลยไปทางบ้านกำนันหวน ทันทีครับ ด้วยพอจะทราบข่าวเรื่องพวกผีปีศาจนี้เหมือนกัน ด้วยก่อนมันก็เคยมาทางบ้านเรา แต่โดนพวกเด็กๆมันไล่ตะเพิดหนีไป ต่างได้รับความเจ็บปวดมาแล้วนาย” “ดีแล้วล่ะ วันนี้แค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะไปออกกำลังกายสักหน่อย นี่ก็จวนจะมืดเสียก่อน” “ครับนาย” แล้วร่างมันทั้งสองก็หายวับไปทันที ชายหนุ่มเมื่อเห็นเจ้าแสงสีสินชัยออกเดินทางไปแล้ว เขาก็ออกมาจากภายในห้อง แล เห็นสาวชบากำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเสียงดังเล็ดรอดออกมาจากในครัว ชายหนุ่มยิ้มเมื่อ นึกถึงที่เขาปลอบใจแม่ของเขา ด้วยเขารู้ว่าอนาคตต่อไปของเขาจะเป็นอย่างไรเสียแล้วก็อดที่ จะนึกทึ่งในความเห็นของแม่สาวเทพอัปสรเสียไม่ได้ ชายหนุ่มรู้แต่เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้เท่านั้น ในเมื่อฟ้าดินลิขิตเส้นทางเดินของเขาไว้ล่วงหน้าเสียแล้ว จึงไม่อยากจะฝ่าฝืนดวงชะตาและอีก อย่างมันไม่ร้ายแรงเท่าไหร่นัก แต่ก็เป็นผลดีแก่เขาด้วย จึงหัวร่อในใจ แล้วรีบเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ไปเพื่อออกกำลังกายที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันเสมอๆ ด้านกำนันหวน แม่เย็น ชวนและ บงกช เมื่อออกจากบ้านพ่อเชียรแม่เข็มไปได้ระยะหนึ่งแล้ว กำนันหวนที่นั่งมาในรถกะบะ มีเจ้าชวนขับอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ ข้าเองก็ไม่เคยคิดเลยและไม่สงสัยเลยว่า เหตุใดพ่อเชียรและแม่เข็มจึงได้รับการยกย่องจาก หลวงพ่อทองมากนัก ตอนแรกก็ไม่ค่อยจะเชื่อนัก ภายหลังได้มาสนทนานี่แหละถึงจะเข้าใจว่า เหตุใดหลวงพ่อทองท่านจึงยกย่องเสมอท่านนะแม่เย็น” “ฉันเองตอนแรกก็งงเหมือนกันนะพ่อกำนัน ยิ่งมาเห็นอัธยาสัยไมตรีเช่นนี้ พี่สังเกตุไหมว่า ตอนที่ฉันลงมาทำธุระเบานั้นนาน ฉันได้ลอบออกไปยืนมองบริเวณสถานที่ไว้ด้วยนา” “ข้าเองก็พอๆจะรู้เหมือนกันเกี่ยวกับครอบครัวนี้นะ แต่ตอนนั้นไม่สนใจเท่าใดนักด้วยงานมัน เร่งมาเสียด้วย รับเงินเขามาแล้ว แม่เย็นก็รู้นี่นาว่าข้าเป็นคนอย่างไรในเมื่อรับปากแล้วจะต้องทำ แต่ก็ดีไปอย่างหนึ่ง หากไม่เกิดกับตัวเองแล้วคงจะไม่คิดถึงเรื่องกุศลเลย” “เรื่องนี้ฉันเองก็ออกอดจะปลาบปลื้มใจไม่น้อยเลยล่ะพี่และก็แปลกใจไปเหมือนกันนะ หรือว่า พี่จะถึงคราวหมดเวรหมดกรรมทางเรื่องนี้แล้วล่ะ???...” “ข้าเองเรื่องจะลาออกนะไม่ห่วงเท่าไหร่หรอก แต่มาห่วงอีหนูมันนะซิ ข้าสังเกตุมองเห็น ว่าในหมู่บ้านเราและบริเวณแถบนี้ที่ข้าคุ้นเคยดี ไม่มีครอบครัวใดที่เหมาะสมไปกว่าครอบครัว ของพ่อเชียรแม่เข็มไปได้ แต่ทว่าเราเป็นฝ่ายหญิงนะจะเอื้อนจะเอ่ยหรือก็ดูกระไรอยู่นะไม่เย็น อีกอย่างหนึ่งข้ามองลูกชายคนโตเขาก็ให้ถูกอัธยาสัยแก่ข้ามากว่าเจ้าชัยเสียอีก แต่มาคิดๆดูบุญวาสนา ลูกเราคงจะไม่ถึงหรอก หากพ้นจากคนๆนี้ก็ให้เรามีทางเลือกอีกคือด้านเจ้าชัยนี่แหละถึงแม้ว่ามันจะ สู้พี่มันไม่ได้แต่ก็ไม่เลวไปเสียทุกอย่างนะ มันก็ขยันขันแข็งรู้จักรับผิดชอบของมันได้ดีไม่แพ้พี่ชาย ของมันเท่าไหร่นัก เมื่อข้าคิดตกลงแก่ใจเช่นนี้ก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก แม่เย็นช่วยแนะนำข้าบางซิ ลางทีความคิดของแม่เย็นอาจจะดีกว่าข้าตอนนี้ก็ได้นา” กำนันเอ่ย “เรื่องนี้มันต้องเป็นของฝ่ายหญิงเท่านั้น ไม่ใช่ว่าฉันจะดูถูกความคิดของพี่นะ ด้วยความละเอียด อ่อนของผุ้หญิงย่อมมีมากกว่าของผุ้ชาย ในเมื่อเราสนิทสนมกับเขาขนาดเรียกพี่เรียกน้องได้นั้นก็ เป็นหนทางให้แก่เราอยู่แล้วนะพี่ ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องนี้ฉันจะจัดการเองแหละ ทางที่ดีที่สุดคือ ทางฝ่ายหญิงเขานั่นแหละพี่ดีที่สุด ตกลงว่าใจพี่จะเลือกใครกันแน่ล่ะ???...” “ก็ข้าบอกแม่เย็นไปแล้วนี่นา ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ข้ายินดีต้อนรับเสมอแหละ ไม่เกี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น แล้วแม่เย็นเห็นเหมือนข้าไหมล่ะ???” “ใช่แล้วพี่เรื่องนี้ดีทั้งสองทาง หากได้ทางใดทางหนึ่งก็ถือว่าบุญของอีหนูมันแล้วล่ะ แต่ข้าสังเกตุ ยามแรกอีหนูมันสนใจเจ้าชัย แต่พอเจอพี่ชายมันเท่านั้นไหนเปลี่ยนไปกระทันหันนี่ซิทำให้งุนงง” “ถ้าเป็นแม่เย็นตอนสาวๆก็เถอะข้าคิดว่าก็เหมือนอีหนูมันหรอก ไม่คิดอะไรเพราะว่าพี่ชายของ เจ้าชัยนั้นทั้งหน้าที่การงานหรือก็เป็นน่าเป็นตาได้อีกทั้งวิชาอาคมหรือก็เป็นศิษย์หลวงพ่อทองอีก นับว่ามันประสบความสำเร็จทั้งสองด้านเลย แล้วหญิงใดล่ะจะไม่เปลี่ยนใจกันง่ายๆ ส่วนเจ้าชัย นั้นมันดีแต่เฉพาะด้านการงานเท่านั้นเอง” กำนันหวนกล่าวก็หัวร่อฮึๆๆ “อืมมม???...เรื่องนี้พี่แยกแยะมาถูกต้องถึงเป็นข้าก็เถอะนะพี่ อย่างไรก็ต้องลองสักตั้งและนะ” แม่เย็นเอ่ยยั่วผู้ผัว “ข้าหรือ ฮ่าๆๆๆ ก็ต้องยอมเขาแล้วล่ะ ด้วยข้าตอนนั้นมันจนมากๆเสียด้วย ที่ได้เป็นกำนันมามี หน้ามีตาก็ด้วยข้ามาทำงานด้านนี้มีเงินมีทองมากมาย แล้วไอ้คนในหมู่บ้านบางโคนั้น มันเห็นเงิน ได้เสียเมื่อไหร่ละแม่เย็น คงจะเหมือนกับข้าแหละไม่คิดว่าสิ่งที่ทำไปนั้นมันจะเข้าตัวเองดุจดั่งขึ้น บนหลังเสือ ครั้นจะลงหรือก็ช่างแสนยากเย็นอะไรเช่นนี้ ถึงป่านนี้ก็เถอะนะใจข้ายังหวั่นๆชอบกล อยู่ แต่มาปลงตกได้คือว่าหากข้าตายไปครอบครัวก็สบายไปแล้ว และตายก็ขอให้ตายในร่มผ้ากา สาวพัดนี่แหละ จึงไม่คิดอะไรมากหากว่าอีหนูมันได้เป็นฝั่งเป็นฝาแล้วก็หมดห่วง หันมามองด้าน แม่เย็นหรือก็ไม่เป็นปัญหาอยู่แบบสบายๆอยู่แล้วและอายุหรือก็ล่วงมาจนป่านนี้แล้วทำให้ข้าได้ หมดห่วงไปอีกเปลาะหนึ่ง เฮ่ออๆๆๆๆพูดเรื่องนี้ เจ้าประคุณสาธุหากข้ามีบุญในใต้ร่วมผ้ากาสาว พัดแล้วขอให้ความคิดนี้สำเร็จด้วยเถิด” กำนันหวนกล่าวจบก็ยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว “เรื่องครอบครัว ฉันก็หมดภาระเป็นห่วงแล้วหากอีหนูและเจ้าชวนมันสบายๆนะ นึกถึงเจ้าชวนเอง ก็ให้อดสงสารมันไม่ได้ถึงมันจะไม่ใช่ลูกแท้ๆเราก็เถอะ แต่เราก็เลี้ยงมันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยอีกมัน หรือก็รักเราเหมือนพ่อแม่ของมันเองที่ตายไปแล้ว อีกครอบครัวพ่อแม่มันหรือก็หนีไปในกรุงเทพฯ กันหมดที่ทางก็ขายเสียเกลี้ยงซ้ำยังเอาที่ของมันไปขายเอาเงินไปแบ่งกันเมื่อพ่อแม่มันตายไปแล้ว จึงรีบหนีไปกรุงเทพ มันจึงเสมือนไร้ญาติขาดมิตรไปเลยล่ะพี่” แม่เย็นเอ่ยถึงเจ้าชวน “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาหรอกแม่เอ๋ย ก่อนจะบวชอีกไม่นานข้าก็จะไปโอนที่ให้แบ่งกับอีหนูมันคนล่ะ ครึ่งที่อำเภอคราวไปลาออกจากกำนันนี่แหละ สบายใจได้แล้วแม่เย็น” “หากเป็นเช่นนี้ใจฉันก็สบายหลังจากอีหนูเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว ส่วนเจ้าชวนนั้นก็ไม่อยากจะเข้า ไปก้าวก่ายในเรื่องผู้หญิงหรอก ให้มันหาของมันเองแต่เรื่องนี้ฉันก็ไม่เป็นห่วงแล้วด้วยมันเมื่อได้ รับมรดกจากเรา ไหนเลยผู้หญิงจะไม่มองมันและรูปร่างหน้าตามันก็ไม่เป็นรองใครในหมู่บ้านเรา อีกด้วยนะพี่ ฉันเองว่าเมื่อทุกๆอย่างลงตัวกันแล้วก็จะไปขอหลวงพ่อออกบวชชีเหมือนกันล่ะ???” “หากแม่เย็นคิดได้อย่างนี้ทำให้ข้ายิ่งหมดห่วงไปอีกหนึ่งล่ะ อนุโมทนาบุญด้วยคนนะแม่เย็น” “ฉันเอาแน่พี่หากทุกๆอย่างสมบูรณ์ตามความคิดเห็นของพี่และฉันนะ ฉันก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง เกี่ยวกับครอบครัวของอีหนูและเจ้าชวนมัน วางมือเสียทีนะเพียงจะเอาเงินไปก้อนหนึ่งไปเพื่อกิน ในระหว่างบวชชีด้วยไม่มีรายได้อะไรเลยและได้ทำบุญสร้างวัดบ้างจ๊ะพี่” “เป็นความคิดที่ดีจ้าแม่เย็น ข้าก็จะเบิกเงินจากธนาคารมาเข้าบัญชีแม่เย็นไว้เวลาไปบวชจะได้มี เงินใช้จ่าย ส่วนข้านั้นไม่เอาอะไรทั้งสิ้นจะถ่ายเทออกเป็นสามส่วนให้เงินพวกมันไปลงทุนบ้าง ส่วนเหลือนั้นจะถ่ายเข้าธนาคาร ธกส. ให้แม่เย็นหมดเลย” แล้วทั้งสองก็ต้องหยุดการสนทนากัน ด้วยได้ยินเสียงเจ้าชวนหันมาถามว่า “พ่อๆๆ พ่อจะแวะบ้านกำนันมั่นหรือเปล่าล่ะพ่อ???” “คงจะไม่ล่ะลูกนี่ก็จะมืดแล้ว เลยไปเลยพ่อเองเมื่อมาทางนี้ก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกแล้ว” “จ๊ะพ่อ ข้าจะได้เร่งเครื่องให้มันเลยไปอย่างรวดเร็วนะ” “เออดีแล้วล่ะ ไอ้มั่นจะคิดอย่างไรช่างมันเถอะ” ครั้นพอรถกะบะซึ่งจะต้องแล่นผ่านบ้านกำนันมั่นก่อน เจ้าชวนก็เร่งเครื่องรถทันที เสียงรถดัง สนั่นด้วยบนถนนนั้นบ้างขรุขระ รถจึงกระแทกกับพื้นเกิดเสียงดัง แล้วรถก็หายลับตาไป เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากภายในบ้าน ซึ่งไอ้แม้นไอ้สนไอ้เบี้ยวตลอดจนสาวๆทั้งหลายกำลัง ได้เวลาจัดเตรียมอาหารมานั่งกินเหล้ากันเช่นเคย “ไอ้ห่า!!!!...ไอ้สนไอ้เบี้ยวมึงไปดูซิว่ารถใครว๊ะ ไอ้เหี้ยนี่ไม่รู้ว่าใครเป็นใครกันบ้าง???ยิงปืนไล่ มันเลยว๊ะ???...” ไอ้แม้นสั่งด้วยความโมโหเมื่อได้ยินเสียงรถดังสนั่นก้องเข้าไปในหูพวกมัน “ไอ้สนไม่ต้อง เดี๋ยวกูจัดการเอง” กล่าวเสร็จไอ้เบี้ยวก็ชักปืนออกจากเอว วิ่งเหยาะๆไปหน้าบ้าน เพื่อจะยิงมันสักเปรี๊ยงสองเปรี๊ยง แต่มันไม่เห็นตัวรถ เห็นแต่ฝุ่นเป็นทางยาวทิ้งเอาไว้ คลุ้งไปด้วยฝุ่น ทั้งสิ้น ด้วยความคะนองมือจึงยกปืนขึ้นบนท้องฟ้ายิงออกไปสามนัด ปั๊ง!!!..,ๆๆ ได้ผลชะงัด เสียงตะโกนออกมาจากบนบ้านทันที “ไอ้พวกห่าราก???... มึงยิงปืนทำไม ยิงหาพ่อหาแม่มึงหรือว่าจะยิงโคตรพ่อโคตรแม่มึง???...” คราวนี้เสียงจากพวกไอ้แม้นเงียบสงบทันที ไอ้เบี้ยววิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกว๊ะไอ้เบี้ยว พ่อกูก็แบบนี้แหละ มาม๊ะมา เอ๊านี้แก้วเหล้าของมึงโว้ย???...” “ค่อยยังชั่วหน่อยนี่ไอ้แม้นไม่เอ่ย???...มีหวังข้าโดนเต๊ะแน่ๆๆๆ” ไอ้เบี้ยวกล่าว แล้วทั้งหมดก็ต่างนั่งล้อมวงคุยกันสารพัดเรื่อง ล้วนแต่เรื่องความเก่งกล้าสามารถของพวกมัน ทั้งสิ้น จวบจนตะวันลับไปความมืดเข้ามาแทนที่........... * แก้วประเสริฐ. *