อทิสมานกาย ๕๓ ภายในห้องของชายหนุ่ม ครั้นแสงสีสินชัยนำกำลังพลกลับมาแล้วก็ให้ ทั้งหมดกลับคืนสู่ร่างเดิมๆ พลางเดินตามเข้ามาใน้ห้อง แต่ไม่พบชายหนุ่มก็ให้สงสัยอยู่ จึงหันไปสั่งให้เจ้าเริ่มและเจ้าพ่วงนำ กำลังพลไปพักผ่อนได้ ครั้นหุ่นทั้งหลายแยกแถวกันแล้วก็ ไปสู่ยังพานที่หน้าโต๊ะหมู่บูชา ขึ้นไปพักผ่อนร่างกายบัดนี้พวกมันแปลกใจเนื่องจากภายในพานนั้น วางโรยไปด้วยกลีบดอกไม้หอมต่างๆ ส่งกลิ่นโชยหอมหวนนัก ทำให้พวกมันปลาบปลื้มใจที่การกลับมานั้นได้รับการต้อนรับแสนอบอุ่น จึงขึ้นไปนอนบนกลีบกุหลาบเหล่านั้น ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวล ทำให้พวกมันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง พวกมันต่างคิดว่ามาเป็นลูกน้องของนายคนนี้มัน ทุกอย่างก็ดีขึ้นผิดคาด ซ้ำยังได้เรียนวิชาความรู้ต่างๆจากนายตลอด ที่สำคัญคือการฝึกสมาธิ ซึ่งมันไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลย นอกจากเพียงแค่ได้รับฟังเท่านั้น เมื่อมาสัมผัสกับคำว่าสมาธิแล้ว ถึงได้รู้คุณค่าของอำนาจสมาธินั้น สร้างบุญกุศลอย่างยิ่งใหญ่นักนายมันยังบอกว่าการทำบุญ ทั้งหลายนั้นจะหาบุญใดเท่ากับการทำสมาธิไม่ได้อีกแล้ว เพียงทำจิต ให้บริสุทธิ์แค่ชั่วช้างกระดิกหูเท่านั้น ผลานิสงฆ์จากการทำสมาธินั้นใหญ่หลวงนัก เมื่อนึกขึ้นได้ต่างก็ยิ้มให้แก่กันและกัน ด้วยทุกๆคนล้วนเคยชิน กับคำสั่งของนายมันแล้วจึงพากันทำจิตใจให้ปลอดโปร่งแล้ว พากันเข้าสมาธิทันที หากออกจากสมาธิแล้วจะได้พักผ่อนต่อไป ด้วยมันรู้แล้วว่าอำนาจของฌานสมาธินอกจากทำให้จิต ปลอดโปร่งแจ่มใสแล้ว ยังได้เพิ่มพลังงานแก่ตัวมันอีกด้วย ล้วนแล้วแต่อำนาจของฌานสมาบัติที่มันฝึกฝนทั้งสิ้นที่ทำให้มัน รู้สึกตัวในตัวมันอุดมไปด้วยพละกำลังอันมหาศาลเพิ่มขึ้นเองอีก ส่วนเจ้าแสงสีและสินชัยนั้นต่างก็แลเห็น แม่นางอาจารย์อับสร ซึ่งกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการสอนหญิงสาวชบาอยู่ ถึงวิธีการเข้าสมาธิ และเห็นหญิงสาวกำลังนั่งสมาธิอยู่ แต่แม่นางทั้งสองก็กำลังชี้แจงว่า นี่คือฌานระดับใดก้าวหน้าไปถึงไหนกันแล้ว จนกระทั่งแม่นางทั้งสอง หันหน้ามายิ้มกันเมื่อทราบว่า บัดนี้หญิงสาวนี้ได้ย่างก้าวเข้าสู่ขั้นเอกัตตะอารมณ์ไปแล้ว ย่อมปราศจากได้รับยินรับฟังอะไรทั้งสิ้น นอกเสียจากจะเข้าสมาธิ ไปยังขั้นของหญิงสาวเท่านั้น แต่ก็ปล่อยให้หญิงสาวค้นคว้าเอง ในจุดที่จิตรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจะเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญามากมาย ด้วยฌานสมาธิขั้นนี้นั้นจะทำให้จิตอารมณ์ขาดการรับรู้เหตุการณ์ใดๆ ของอารมณ์ภายนอกทั้งหมดสิ้น ด้วยเป็นหนทางก้าวแรกที่จะเข้าสู่วิปัสสนาลุล่วงก้าวขึ้นสู่ระดับแรก ในขั้นสูงๆต่อไป ซึ่งต้องใช้ความพากเพียรอุสสาหะอีกหลายขั้นนัก แม่นางอัปสรทราบดังนั้นก็หันหน้ามาคุยกับเจ้าแสงสีสินชัยทันที ว่าเหตุการณ์นั้นคงจะเรียบร้อยแล้วกระมัง เจ้าแสงสีและสินชัย ซึ่งนั่งพับเพียบรอคอยอยู่แล้วนั้นก็รายงานสิ่งต่างๆให้แม่นางอาจารย์ มันทราบเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด ครั้นแม่นางอัปสรทราบก็พลางยิ้ม กล่าวว่า “ เจ้าเหนื่อยมามากแล้วให้พักผ่อนได้ สิ่งที่จะเสริมสร้างพลังงาน และเป็นการพักผ่อนที่ดีนั้นคือ การเข้าสมาธิไปอยู่ในภวังค์จิตพักผ่อน ด้วยดินแดนนี้มีแต่ความสงบ เปรียบประหนึ่งในดินแดนแห่งพระนิพานก็อาจจะว่าได้นะเจ้าเปรียบไป ก็จะคล้ายๆกับนิโรธสมาบัติได้เชียวล่ะ ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องกำหนดจิตไว้ ว่าจะอยู่นานสักเพียงใด ส่วนทางภวังค์จิตนั้นจะอยู่ได้เพียงระยะสั้นๆแต่ นิโรธสมาบัติอยู่ได้เป็นวันเดือนปีเชียวล่ะ แต่ก็ต้องอธิษฐานจิต เหมือนกัน แต่หากแตกต่างกันมากมายนักมิอาจจะอยู่ได้นานๆ ที่นั้นเมื่อออกจากภวังค์จิตแล้วอารมณ์และพลังงานจะเพิ่มขึ้นไปอีก ตอนนี้เจ้านั้นก้าวล่วงเข้าสู่ อนาคามีแล้วกำลังย่างล่วงสู่โลกุตระแล้วล่ะ แต่ฌานทั้งหมดนี้ตลอดจนถึงขั้นโลกุตระธรรมซึ่งมีสองอย่างคือ ทางแห่งโลกุตระธรรมและโลกุตระธรรมแห่งผลสำเร็จฌานนั้น ทั้งหมดนี้ยังอยู่ในโลกียะธรรมทั้งสิ้น จึงตกอยู่ในอวิชชาทั้งหมด แต่มาถึงขั้นนี้ก็ถือว่ามากแล้วสำหรับเจ้า ที่เจ้าทั้งสองจะได้รับคือ หนทางเข้าสู่ทางโลกุตระธรรมเบื้องต้น แต่เจ้ายังวนเวียนหาทางที่ จะก้าวลุล่วงไปในขั้นสูงต่อไป ฉะนั้นตอนนี้เจ้าจึงอยู่ แค่โลกุตระธรรมเท่านั้นเองนี่ก็ก้าวล่วงผ่านอนาคามีไปแล้ว ฉะนั้น ขอให้เจ้าจงพึงอย่าประมาทหากขาดจากการฝึกฝนแล้วจะต้องไปเริ่ม ต้นใหม่อีกนะ ควรพึงสังวรณ์ไว้ด้วยในร่างเจ้านี้ได้แค่นี้ก็ถือว่าสูงสุด ด้วยเจ้ายังไม่ได้เป็นคนหรือเทพแต่ได้มาแล้วกึ่งหนึ่งเข้าไปมาก จึงควรหมั่นฝึกฝนกรรมเก่าของเจ้าก็ทุเลามากแล้วเจ้าเวรนายกรรม ยอมรับในผลบุญกุศลของเจ้าที่แผ่ไปให้เขา ต่างปลาบปลื้มยินดีนัก ด้วยพวกเจ้าเวรนายกรรมทราบแล้วว่าไม่ใช่การกระทำของเจ้าทั้งสอง แต่เป็นการใช้อำนาจบังคับเจ้าที่ตกอยู่ในอำนาจของอวิชาทั้งสิ้น ดังนั้น มันถึงได้อภัยอโหสิกรรมแก่เจ้า แต่ก็ควรแผ่กุศลหลังจากออกจากสมาธิ ให้แก่เขาด้วย เพื่อเขาจะได้ไปสู่ภพใหม่ด้วยสภาพจิตใจปราศจากอาฆาต” เมื่อแสงสีและสินชัยทราบจากปากคำนายหญิงมันก็แสนจะดีอกดีใจ ทั้งสองต่างคิดว่ามันมาในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว มิฉะนั้นป่านนี้มันคงตก อยู่ในวงเวียนแห่งกรรมนั้นยากจะหาทางหลีกหลุดพ้นออกมาได้ นับได้ว่าผลแห่งกรรมเก่าคงจะมีบุญที่มันเคยสะสมไว้มาเกื้อหนุนมัน ให้หลุดพ้นออกมาพบคนที่ดีอย่างนายมันเช่นนี้ได้เล่า ต่างก็พากันก้มลงกราบแก่แม่นางอับสรทั้งสองที่เป็นทั้งนายและอาจารย์ ของมันต่อจากนายมันคือชายหนุ่ม ซึ่งมันมอบจิตวิญญาณให้แก่เขาไป ตั้งนานแล้วล่ะ หรืออาจจะเป็นบุญเคยร่วมสร้างกันมาก็อาจจะเป็นไปได้ พลางหันไปถามแม่นางอัปสรทั้งสองว่า “ข้าแต่นายหญิง บัดนี้เล่าอาจารย์คนแรกของพวกเราไปอยู่ที่ใดหรือ ด้วยเข้ามาไม่เห็นเลย” มันทั้งสองจึงเอ่ยปากถาม แม่นางอัปสรพลางเอื้อนเอ่ยว่า “ ตอนนี้นายเจ้าไปยังไร่และกำลังฝึกสอนแก่เจ้าชัยน้องชายเขาอยู่ ถึงวิธีการต่อสู้ด้วยกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อเป็นตัวแทนเขาทั้ง ตลอดจนถึงวิชาอาคมและเจริญสมาธิให้ โดยมีพ่อแม่และเขาช่วยกันฝึกสอน นับได้ว่าเจ้าชัยต่อไปเห็นจะเป็นตัวแทนนายเจ้าได้แล้วล่ะ ด้วยปัญญามัน นั้นฉลาดไหวพริบดีความจำเยี่ยม จึงจดจำได้อย่างรวดเร็วนัก แล้วเจ้าไม่พักผ่อนหรือ???.... ”แม่นางอัปสรรัตนาวดีกล่าวถาม “ยังครับนายหญิง ผมเองได้เจริญสมาธิยามว่างสู่ภวังค์จิตตามคำสอน ของนายไว้เสมอๆยามว่างๆครับ” ทั้งสองตอบ “ ดีแล้วล่ะการพักผ่อนที่ดีที่สุดของมวลวิญญาณและมนุษย์นี้ไม่มีที่ใด สู้ในสถานที่นี้ไปได้หรอก เจ้าไม่สังเกตุหรืออาจจะสังเกตุก็ได้ว่ายามใดที่ เจ้าออกจากภวังค์จิตแล้วจะรู้สึกชื่นบานพละกำลังเพิ่มขึ้นไม่เกิดอาการ เหนื่อยเมื่อยล้าใดๆเกิดแก่เจ้าหรือ” “ครับนายหญิง ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าจะถามหลายๆต่อหลายๆ ครั้งแล้วเป็นเพราะเหตุใด เมื่อมารับฟังคำอธิบายจากนายหญิงทั้งสองก็ ถึงได้รู้มูลสาเหตุครับนายหญิง ขอบพระคุณมากครับนาย” “นี่ก็บ่ายมากแล้วอีกไม่เท่าไหร่หลังจากสาวชบาออกจากสมาธิเรียบร้อย ก็ต้องไปจัดเตรียมทำอาหารเตรียมไว้อีกด้วย เห็นว่าเขาคงจะออกเดินทาง กลับกันแล้วล่ะ???.....” แม่นางอัปสรเอ่ยขึ้น แล้วพลางหันไปมองร่างของหญิงสาวชบา ทั้งสองต่างก็๋แปลกใจกัน ด้วยเห็นรังษีแผ่กระจายออกมาจากร่างของหญิงสาว จนทั้งสองอุทาน “เอ๊ะๆๆ???....แปลกจริงๆเราก็ทราบว่านางล่วงเข้าสู่งเอกัตตอารมณ์ เท่านั้นเองหรือว่านางจะก้าวล่วงเข้าสู่อนาคาไปแล้วจึงเกิดรังษีขึ้นฉะนี้” นางทั้งสองไม่รอช้าพลันหลับตาลงทั้งสองข้างทั้งคู่ แล้วก็ลืมตาขึ้น พลางหันหน้ามองตากันแล้วยิ้มแย้มกัน แม่นางรัตนาวดีเอื่อนเอ่ยว่า “งานนี้เห็นทีเราทั้งสองคงจะไม่ต้องเหนื่อยมากแล้วนะจ๊ะน้องรัก” “นั่นซิเสด็จพี่ น้องเองก็แปลกใจเหมือนกันหรือว่าชาติก่อนแม่นางนี้ คงจะสะสมบารมีด้านนี้มามากๆด้วยกระมังถึงไปได้รวดเร็วยิ่งนัก” แม่นางอ้อยวิลาวัลย์กล่าวตอบ “ แผนการณ์ที่เราสองวางไว้คงจะบรรลุได้อีกไม่ช้าไม่นานแล้วล่ะน้อง หรือน้องจะเป็นเป็นประการใดหรือไม่ล่ะ” แม่นางอ้อยวิลาวัลย์พลางปิดปากแล้วหัวร่อเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นว่า “น้องเองก็คิดเหมือนเสด็จพี่แหละจ้า เมื่อถึงตอนนั้นคงจะสนุกมากๆ นะเสด็จพี่ เราจะได้ไม่ต้องห่วงอะไรกันอีกแล้วล่ะ” “ตอนแรกพี่เองคิดว่าจะมีความยุ่งยากด้วยตัวน้องพี่เองแหละเมื่อได้รับ ฟังเช่นนี้ก็ยิ่งสบายใจ เอาเป็นอันตกลงกันไว้นะน้องรักพี่” “เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาหรอกจ้าเสด็จพี่ น้องเองเห็นท่าทีของหญิงสาวก็ รู้แล้วอะไรคืออะไรจ้า เห็นที่จะต้องแบ่งกาลเวลากันให้ลงตัวไว้ก็ แล้วกันนะเสด็จพี่” ว่าแล้วนางพลันส่งเสียงหัวร่อ คิคิ เบาๆ แม่นางรัตนาวดีพลางหันไปหยิก แก้มน้องสาวเล่นแล้วก็หัวร่อเช่นเดียวกัน ด้านเจ้าแสงสีสินชัยต่างก็แลเห็นอาจารย์หญิงมันคุยกัน มันได้ยินเสียง คุยทุกๆคำ แต่มันต่างมึนงงไปตามๆกัน ครั้นจะถามก็ไม่สมควรอยู่จึงได้ แต่คิดสงสัย เมื่อสบตากันจึงทราบเพียงว่ามันทั้งสองต่างก็สงสัยเช่นเดียวกัน เมื่อไม่มีอะรไรทำต่างก็ชวนกันเข้าสมาธิลุล่วงเข้าสู่ภวังค์จิตพักผ่อนต่อไป อากาศตอนนี้มืดเร็วขึ้นกว่าเดิมด้วยย่างเข้าสู่ฤดูกาลหนาวล่วงเข้ามาแล้ว แถบถิ่นที่อยู่ก็ล้วนแล้วอุดมไปด้วยพืชพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้งสองชวนกัน ออกไปเดินเล่นกันยังบริเวณลานบ้าน ความเยือกเย็นแผ่กระจายไปทั่ว ลมก็ค่อนข้างจะรุนแรงกว่าธรรมดาด้วย บริเวณดังกล่าวอยู่ในแหล่งหุบ ของขุนเขาที่เรียงรายล้อมรอบอยู่ แม้นว่าจะยังไม่ตกค่ำแต่อากาศก็ขมุกขมัว ได้ยินเสียงนกต่างๆร้องเรียกหากัน เพื่อจะเข้าสู่รวงรัง บนท้องฟ้าก็มีฝูงนก พากันบินจากไปเป็นหมู่ๆ บางพวกเดินทางกลับสู่รวงรังมัน บางพวกก็เริ่ม ทะยอยออกสับเปลี่ยนเวลาหากินกันตามวิสัยทัศน์ของธรรมชาติของพวกมัน นางอัปสรทั้งสองต่างเดินกรีดกรายชมนกชมไม้ ที่ใกล้กำลังจะหุบกลีบ ที่บาน ของมวลเหล่าไม้ต่างๆ ทั้งไม้มีดอกและไม่มีดอก ส่วนต้นกล้วยไม้ป่า ที่ต่างสร้างที่อยู่อาศัยตามบรรดาคาคบของต้นไม้ใหญ่อยู่นั้นเบ่งบานส่งกลิ่น โชยหอมตลบมากมาย ขจายฟุ้งไปทั่ว ยิ่งตอนสายลมพัดเอากลิ่นนั้นมาและก็ ยังไม่ยอมหุบกลีบ ด้วยธรรมชาติสร้างมาให้บานอยู่ตลอดไปจนกว่าจะถึง เวลาล่วงโรยไปตามวัฏฏะจักร หล่อนทั้งสองมองแล้วมาคิดว่าทุกๆสิ่งทุกๆ อย่างล้วนแล้วแต่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดาของโลกไม่ว่าแดนใดๆ นั้นก็ย่อมเกิดการหมุนเวียนผลัดกันไปตามวัฏฏะจักรทั้งสิ้น มีเกิดก็ย่อมมีแก่ มีแก่ก็ย่อมมีเจ็บและตาย ถึงแม้บนสรวงสวรรค์หรือนรกภูมิก็ตามทีย่อมเปลี่ยน ไปตามเวลาอันเหมาะสม แต่ก็ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงไปได้ เว้นมีดินแดนเดียว เท่านั้นที่เหนือกาลเวลาคือดินแดนแห่งนิพพานที่จะสว่างไส มีแต่ความสงบสุข ไม่รู้จักกลางคืนหรือกลางวันและไม่รู้จักการเกิด แก่ เจ็บและตาย คงสภาพไว้ ในดินแดนอันเยือกเย็นชื่นฉ่ำหอมหวนอบอวลนาๆกลิ่นหอมทั้งสิ้นอีกยัง ตลอดไปยังอบอวลอุดมด้วยกลิ่นหอมของเหล่าฌานวิปัสสนาทั้งหลายพึงมี ดินแดนแห่งความสงบสุขชั่วกาลนานโดยไม่รู้การเกิดดับอีกต่อไป * แก้วประเสริฐ. *
19 ธันวาคม 2553 21:50 น. - comment id 120619
ศาติสุขที่น่าเลื่อมใสค่ะ
19 ธันวาคม 2553 22:03 น. - comment id 120622
คุณ แจ้นเอง อิอิ...จะเอาอะไรกับคนบ้าๆบอๆเช่นผม จินตนาการก็เลยบ้าๆไปด้วยครับ อิอิ รักแจ้นมากเสมอ แก้วประเสริฐ.
22 ธันวาคม 2553 21:16 น. - comment id 120683
พลังแห่งรักและศรัทธาจงช่วยดลบันดาลให้พี่ชายหายป่วยไวๆ ด้วยเถิด
22 ธันวาคม 2553 22:00 น. - comment id 120687
คุณ ม่านแก้ว จ้าพลังงานที่ดำรงไว้ในมนุษย์มักจะเกิด จากโน้มเหนียวของโลกที่ทำให้ก่อเกิดความ รักและศรัทธาจ้า พี่คึดถึงน้อง จึงได้เขียน กลอนไว้ ทางโน้นว่า ม่านฟ้าแก้ว อิอิ อ่าน หรือยังก็ไม่รู้ซินะ รักน้องมากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.