อทิสมานกาย ๔๗ น้...า...ๆๆจ๋..า...น้า...จ๊ะ เล่นซ่อนหากัน..หรือจ๊ะ หนูเล่น..ด้วยคนซิจ๊ะ เสียงนั้นดังพร้อมกับสะกิดร่างพวกเลื่อยไม้และพวกขับรถที่แอบซ่อน ตัวอยู่ใต้โคนไม้ใหญ่ หลังก้อนหินบ้างแอบมองยังลานที่ใช้ในการเลื่อย ไม้แปรรูป กับพวกคุ้มครองพวกมันอยู่ ครั้นแลเห็นพวกที่ถือปืนบางคนวิ่งหนีเข้าเต๊นท์ไป บ้างที่ใจแข็งก็ยัง แอบอยู่หลังโคนต้นไม้และก้อนหินใหญ่ ด้วยอยู่ระยะไกลๆกับเต๊นท์ที่ หลบซ่อนได้ ครั้นจะวิ่งหนีไปก็ขาสั่นแทบจะก้าวขาไม่ออกเลยด้วย ความกลัวต่อเสียง บรรดาพวกมันต่างแลเห็นกันทุกๆคน ต้นไม้อะไรมันโอนเอนไปๆมาๆสูงขึ้นเรื่อยๆซ้ำรู้สึกว่ามันจะเดิน เข้ามาหาพวกมันทำให้พวกมันตัวสั่นมือไม้สั่นไปหมด จึงก้าวขาไม่ออกนอกจากทำตาเหลือกไปๆมาๆ ดวงตาเบิกโพลง แม้แต่ปืนที่ถือยังสั่นระริกอยู่ บ้างปากอ้าตาค้างกัน เมื่อต่างคนต่างเห็น บรรดาต้นไม้นั้นกำลังก้าวเดินมาหามัน พวกมันหลับตาปี๋กัน ตัวสั่นยังกับลูกนกตกน้ำมิปาน ภายในเต๊นท์ที่พวกกำนันเริ่ม กำนันหวนและกำนันใช้ กำลังปรึกษาหารือกันเรื่องงานอยู่ ก็ต่างตกอกตกใจต่างคว้าปืนพกที่เหน็บเอวออกมา หันหน้าไปทางเข้าเต้นท์ทันที ครั้นเหลือบแลเห็นลูกน้องมัน ต่างคว้าผ้าห่มมาคลุมโปงตัวสั่น ไปตามกันก็ชักสงสัย กำนันเริ่มจึงเดินไปหาพลางดึงผ้าห่มออก ส่งเสียงดังถามพวกมันทันที “ เฮ้ยๆๆๆ!!!!.....กูให้พวกมึงเฝ้าระวังทำไมเสือกวิ่งหนี จ้าละหวั่นแถมมาก็เอาผ้าคลุมโปงกันหมด ไอ้ห่าๆๆเสือกพ่อมึง เข้ามาจะทำอย่างไรกันล่ะโว้ย??...” “ นายมันๆไม่ใช่คนมันเป็นพวกผ..ี..ๆ...ครับนาย ” พวกมันตอบ ทั้งๆตัวสั่นอยู่ พลางแย่งผ้าห่มเพื่อจะคลุมโปงต่อไป “ คนนั้นผมไม่กลัวอะไรหรอกครับ บอกตรงๆว่าผมกลัวผี มากกว่าคนครับนาย” มันตอบพลางดึงผ้าห่มมาคลุมโปง ต่อไป เล่นเอากำนันเริ่ม กำนันหวนและกำนันใช้ ต่างหน้าตาเหลิ่กหลั่กมองตากันไปๆมาๆ ครั้นได้ยินเสียงตอบจากพวกมันก็แปลกใจ ต่างรู้ว่าลูกน้อง พวกมันเป็นคนอย่างไร การใช้งานแต่ละครั้งคนหลายๆคนมัน ยังเข้าไปจัดการได้โดยไม่หวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น ด้วยความต้องการจะรู้ความจริง จึงชวนกันเดินออกจากเต๊นท์ไปพิสูจน์ ครั้นทั้งสามเดินตรงไปยังลานที่เครื่องจักร ต่างก็ชะงักกันเมื่อแลเห็นเงาๆ วูบๆวาบๆ แต่ที่มันเห็นร่างอันสูงชะลู๊ด เเดินแกว่งแขนไปมา ตอนแรก ก็ยังคิดว่าเป็นต้นไม้ พอเพ่งๆมองทั้งสามก็รู้ว่าอะรคืออะไร ต่างวิ่งหนี กันเข้าเต๊นท์ไปทันที ทีนี้มันรู้แล้วว่าที่ลูกน้องมันกลัวคืออะไรกัน ทั้งสาม พากันสวมกอดกันอย่างกับคู่รักกันปานจะกลืนกินมิปาน ทั้งสามร่างสั่นไป ปากคางสั่น จนฟันกระทบกันดังออกมาได้ยินชัดเจน ด้านผู้กองจำลองพลางหันไปทางเจ้าสินชัยว่า “ จะลงมือกันได้แล้วยังล่ะสินชัย” ผู้กองถาม “ ผมคิดรอคอยสักพักก็จะดีครับผู้กอง ตอนนี้ผมกำลังเล่นจิตวิทยากับพวกมัน โดยอาศัยพวกของเจ้าป่าเจ้าเขา หลอกหลอนพวกมันก่อนจะได้เข้าจับกุม ได้ง่ายๆครับ แต่ทว่าผู้กองและพวกตำรวจจะกลัวหรือไม่ครับ หากกลัวให้ไปบอกพวกเราว่า “ที่เห็นนั้นเป็นพวกเราทั้งสิ้นไม่รบกวนอะไรหรอก ผมคิดว่าพวกเจ้าป่า เจ้าเขาคงจะรู้ พวกเราคงจะไม่เห็นอะไรๆหรอก เดี๋ยวผมจะส่งกระแสจิตไป บอกมันก็ดีเหมือนกัน” เจ้าสินชัยตอบผู้กอง “ งั้นตามใจสินชัยก็แล้วกัน หากพร้อมเมื่อไหร่บอกผมด้วยจะสั่งให้พวก ตำรวจเข้าทำการจับกุมเสียเลย” ผู้กองจำลองเอ่ยขึ้น “ แล้วผมจะแจ้งให้ทราบหากถึงเวลาครับ” เจ้าสินชัยเอ่ยขึ้น พลางหันไปสั่งให้ตำรวจทั้งหลายรู้ แต่จริงๆแล้วพวกตำรวจนั้นไม่เห็นอะไร สักอย่าง เพียงเห็นพวกนั้นพากันแตกตื่นต๊กใจอะไร ก็แปลกใจกันตามๆกัน “ผมถามเจ้าพวกของเจ้าป่าเจ้าเขาแล้วครับ ว่ากำบังร่างไว้ไม่ให้ตำรวจ ได้เห็นอะไรๆหรอกครับ ผู้กองไว้ใจได้ ” เจ้าสินชัยรายงานให้ผุ้กองทราบ เห็นผู้กองพยักหน้ารับ ด้วยผู้กองเองก็ไม่เห็นอะไรผิดสังเกตุ ครั้นเหลือบมองบรรดาต้นไม้ก็เห็นเป็นปกติ จะไหวเอนมีบ้างก็ด้วยสายลม ซึ่งพัดค่อนข้างแรงเท่านั้น คงเป็นลมจากแม่น้ำและย้อนกระทบเย็นจากภูเขา ผู้กองคิดด้วยความแปลกใจที่เห็นเหล่าร้ายต่างหนีกันกระเจิงจะมีบ้างที่ยังหลบ ซ่อนอยุ่ คิดว่าคงจะเป็นพวกทางลำเลียงสิ่งของมา ที่ไม่กล้าเข้าไปในเต๊นท์ ทางด้านพวกด้านเลื่อยไม้และพวกขับรถ กำลังแลดูพวกมันวิ่งหนี เมื่อมีมือ มาสะกิดมันตลอดเวลา กลัวตำรวจก็กลัวจึงหันหลังกลับไปพลางตวาดว่า “ไอ้ห่าเอ๊ย!!!!!....มาสะกิดหาพ่อแม่มึงเหร่อ??..” แล้วตามันก็เหลือกโพลนเมื่อมันสิ่งที่มาสะกิดมัน เป็นเด็ก มือนิดเดียวตัว ผอมแห้งแต่หัวมันใหญ่โตดังกับกะพ้อมใส่ข้าว ดวงตาใหญ่เท่าไข่ห่าน “เหว๋อๆๆ...เฮ้ย...ผี...โว้ย????.....” แล้วลุกขึ้นหลับตาวิ่งหนีไปทันที หัวมัน ชนกับต้นไม้ บ้างหินบ้าง พวกมันทุกๆคนเจอกันหมด เป็นร่างเด็กชายบ้าง เด็กหญิง บ้าง แต่รูปร่างมันแตกต่างกันไป บางคนเจอโครงกระดูกร่างเด็ก บ้างเจอร่างเด็กหญิง รูปร่างแต่งกายสวยแต่ใบหน้ามันแก่เละเฟะ ตาถลนออกจากเบ้า ห้อยกระรุ่งกระริ่ง แต่ปากมันไถ่ถามชวนพวกมันมาเล่นซ่อนหากัน บ้างเจอท่อนบนเป็นคนท่อนกลางเป็นซี่โครงท่อนร่างก็เป็นคนแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ตามสถานที่ต่างที่ใช้หลบซ่อนตำรวจ ที่แน่ๆพวกมันต่างลุกขึ้นกระโจนวิ่งหนี ปากร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวต่อ สิ่งที่เห็น ส่วนร่างกายของพวกมันต่างวิ่งหนีกัน โดนชนกับต้นไม้ก้อนหิน หัวแตก แขนขาถลอกปอกเปลือกกันทั้งสองฝ่ายเลือดไหลอาบโชกไปตามๆกัน ฉับพลันเสียงดัง ฉับๆๆ...มือพวกมันถูกกระชากไขว่หลัง เสียงดังนั้นคือ กุญแจมือตอนนี้มันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรกันแล้ว มันเห็นพวกตำรวจเป็นพวกผี ไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก สติแตกกระเจิงกันไปทั่วทุกๆตัวคน ได้แต่แหกปาก ร้องลั่น บ้างโวยวายเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณลานและป่า จนตำรวจสงสัยนัก มันก็ยอมทุกๆอย่างพยายามจะวิ่งหนีไปให้พ้น แต่ร่างมันติดกับต้นไม้พยายาม ดึงเพื่อวิ่งหนี ต้นไม้นั้นล้วน แต่เป็นไม้เนื้อแข็งเล็กๆขนาดต้นแขนพวกมันแต่ ด้านหลังมือมันถูกโอบต้นไม้แต่ถูกสวมใส่กุญแจมือทั้งสิ้น พวกมันพยายาม ดิ้นรน แต่ปากมันก็ยังร้องแรกแหกกระเฌอตลอดเวลาตามันหลับปี๋ พวกมันถูกจับกุมกันหมดทั้งสิ้นแต่ปากมันยังร้องอยู่ตลอดเวลา พร่ำๆเพ้อๆว่า “ช่วยด้วยโว้ยใครก็ได้ช่วยกูที ผีมันหลอกกูว๊ะ กูถูกผีมันจับติดกับต้นไม้ ไปไม่ได้โว้ย ช่วยกูด้วยๆ ” เสียงร้องของมันดังลั่นก้องไปทั่ว ได้ยินเข้าไปในเต๊นท์และ พวกที่ฝั่งโน้นลำเลียงไม้มาซึ่งมันต่างพากันตกใจจน พวกที่ตั้งสติได้คือพวกลำเลียงไม้มา พากันมองเหลิ่กหลั่กพวกมันต่างพากัน เหลียวกับหน้าหลัง ครั้นความกลัวมากจนลบความกลัวกลายเป็นคนขาดสติ เมื่อพวกมันแลเห็นคนพากันเดินออกจากแนวป่า พวกมันจึงยกปืนขึ้นลั่นไก ส่งกระสุนออกจากลำกล้องไปอย่างไม่ยับยั้ง ลืมตาบ้างหลับตาบ้าง ยิงในสิ่งที่มันเห็นกำลังเดินเข้ามาหาพวกมัน ไม่คำนึงว่าเป็นสิ่งอะไรบ้าง เสียงกระสุนรัวดังลั่นสนั่นหวั่นไหว ปั้งๆๆๆพรืดๆๆๆสลับสับเปลี่ยนไปๆมาๆ เล่นเอาพวกในเต๊นท์ต่างตระหนกตกใจ ลืมความกลัวไปชั่วขณะต่างคว้าปืนออกมา ครั้นแลเห็นบริเวณ แนวป่าล้อมรอบเครื่องจักรที่ตอนนี้เสียงหายไปแล้ว ด้วยน้ำมันหมด ขาดการเติมน้ำมัน ดีที่แสงไฟเจ้าพายุไม่ได้อาศัยเครื่องปั่นไฟฟ้า ไฟใช้ร่วมกับเครื่องปั่นไฟรวมกับบรรดาเครื่องจักรเลื่อยไม้ใช้เฉพาะเครื่องจักรเท่านั้น มิฉะนั้นบริเวณนั้นคงมืดสนิทไปทั่ว พวกในเต๊นท์พวกกำนันทั้งหลายลืมความกลัว กลับไปกลัวพวกตำรวจมากกว่า พากันออกนอกเต๊นท์ช่วยกันระดมยิงร่างตามแนวป่า แต่พวกมันก็ตาเหลือกค้างด้วยเห็นว่ากระสุนนั้นถูกเป้าหมายอย่างจังปืนมันเป็นปืน เอ็ม๑๖ ที่สามารถยิงในระยะนี้ได้อย่างแม่นยำ แต่พวกนั้นยังคงเดินเข้ามาหามันอีกอย่าง ไม่สะทกสะท้าน ร่างเหล่านั้นเดินเข้ามาหามันเห็นเพียงแต่ถือโล่ห์ ดาบ หอก อาวุธอื่นๆ และมีดปลายแหลมหาได้มีปืนใดๆไม่ หรือว่า....มันคิดไปยิงไปจนกระทั่งความกลัวจน มันเลิกคิดเสียแล้ว พลางเล็งเป้าหมายปล่อยกระสุนไปอีกชุดหนึ่ง เสียงดังพรืดๆๆๆ ปลอกกระสุนกระเด็นทั่วไปบริเวณ ทางด้านที่เดินเข้ามาเพียงเห็นเซผงะถอยหลังเท่านั้น แล้วก็เดินเข้ามาใหม่ ตามันเหลือกค้างโพลนยามที่ลูกปืนหมด รีบบรรจุกระสุนมื่อสั่นๆ ส่วนทางกำนันเริ่ม กำนันหวนและกำนันใช้ ความกลัวหายไปหมดสิ้น ต่างพากันกล่าวปรึกษากันขึ้นว่า “ เฮ้ยไอ้ใช้ไอ้หวน เห็นว่าจะรับมือไม่ไหวเสียแล้วว๊ะ หากพวกเราถูกจับจะเป็นเรื่อง ใหญ่นา ด้วยเราเป็นกำนันด้วยจะเดือดร้อนในครอบครัวกันยกใหญ่” กำนันเริ่มเอ่ยขึ้น “เออๆๆข้าก็เห็นด้วยว๊ะ???... เอาอย่างนี้ดีกว่าเรายิงไปพลางหาทางหลบหนี ให้รอดแล้วกันว๊ะ???....” กำนันใช้กล่าวขึ้น “ เออจริงๆอย่างไอ้เริ่มพูดเหมือนกัน หากถูกจับได้ยุ่งกันใหญ่เชียวนะโว้ย อย่างนี้ดีกว่าพวกเราต่างแยกย้ายกันหลบหนีไป หากใครถูกจับได้ก็อย่าซัดทอดกันก็แล้วกัน” กำนันหวนเอ่ยขึ้นบ้าง “ เออๆดีๆๆว๊ะ ตัวใครตัวมันก็แล้วกัน อย่าซัดทอดกันเชียวนะโว้ย คนรอดก็หาทางช่วยกันต่อไปอย่าลืมกันเสียล่ะ???..... ” พวกกำนันต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน สิ่งที่พวกมันกลัวที่สุดในตอนนี้คือตำรวจ ด้วยมันเป็นกำนันหากถูกจับได้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับครอบครัวมัน ด้วยความคิดถึงครอบครัวทำให้มันลืมตัวกลัวตาย พลางคว้าปืนทีซ่อนไว้ออกมา ออกไปยิงต่อสู้พลางพยายามหาทางหลบหนีไป ทันใดนั้นเองเสียงปืนของตำรวจหลากหลาย ก็ดังออกมาจากหลังแนวหุ่นที่เดิน ออกไปก่อนนั้น ทั้งๆที่ตำรวจเองก็แปลกใจยิ่งนัก แต่คิดว่าคงจะเป็นอำนาจของ พระเครื่องที่พวกตำรวจต่างทราบกันทั่วและพวกเขาก็ยังห้อยคล้องคออยู่ ยิ่งเพิ่มกำลัง ใจขึ้นมาอีกมากมาย ความกลัวอาวุธปืนจางหายไปสิ้น ในเมื่อแลเห็นพวกข้างหน้า ซึ่งไม่รู้นี่คือหุ่นเสกของชายหนุ่มหัวหน้าพวกมันนั่นเอง แม้ถูกยิงจนเซถลา บ้างหงายหลังลงไปก็ลุกขึ้นถือแค่มีดดาบโล่ห์หอกเท่านั้นยัง เดินหน้าเข้าหาพวกผู้ร้ายอย่างไม่เกรงกลัว กระสุนปืนจากตำรวจดังพรืดๆๆคล้ายเสียง ปืนกลสายพานคล้องเล็กๆ ก็แลเห็นร่างของพวกผู้ร้ายเหล่านั้นต่างล้มหงายดิ้นพราดๆ ไปตามกัน เสียงร้องระงมดังไปทั่วทั้งในเต๊นท์และนอกเต๊นท์ ส่วนพวกลำเลียงจาก ฝั่งโน้นต่างล้มตายกันสิ้นทั้งหัวหน้ามัน บ้างตายใต้ก้อนหินและโคนไม้ บ้างวิ่งไปตาย ยังท่าเรือมีมีสพานเชื่อมต่อไปที่เรือ ส่วนพวกในเรือนั้นก็ถูกระเบิดน้อยหน่าระเบิดฉีก ร่างและเรือกระจายลอยขึ้นท้องฟ้าลอยไปทั่ว เศษไม้เรือปลิวว่อน ลูกระเบิดที่ขว้างใส่คงไปถูกถังน้ำมันทำให้เกิดการระเบิดลุกไหม้ เพิ่มขึ้นอีก เผาเรือจมหายลงไปในแม่น้ำ พร้อมร่างของพวกมันบางคน กำนันหวนกำนันเริ่มและกำนันใช้ต่างแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศละทาง หวังเพื่อให้เอาตัวรอด แต่ก็ไม่วายถูกกระสุนปืนเข้าที่เบื้องหลังบ้าง โคนขาบ้าง แขนขาบ้าง ต่างโขยกเขยกคลานกันหนีไปตามๆกัน ส่วนลูกน้องของพวกมัน บางคน ต่างโยนปืนทิ้งแล้วยกมือขึ้น รอรับการจับกุมด้วยตัวกำนันทั้งสามหลบหนีไปแล้ว ยิ่งแลเห็นพวกมันต่างตายกันเกลื่อน ฝ่ายตำรวจที่อยู่ในที่มืดต่างๆกัน พวกมันยิงสุ่ม แต่ไม่ได้ผล ทางตำรวจจึงแคล้วคลาดไปกันถ้วนหน้า ด้วยชัยภูมิได้เปรียบมากนัก ครั้นเสียงปืนสงบลงฝ่ายด้านหุ่นทั้งหลายต่างก็พากันเดินตรวจค้นสิ่งต่างๆภายใน แล้วนำเอาปืนอาวุธต่างๆมากองไว้ยังข้างๆเครื่องจักร เหตุที่สินชัยกล่าวกับลูกน้องว่า จะเดินนำหน้านั้นแต่ถูกผู้กองขอร้องไว้ให้อยู่เคียงข้างเขา ดังนั้นเขาจึงให้หัวหน้าฝึกของเขาพลางกล่าวว่า “หัวหน้าเริ่ม ข้าจะทำตามคำพูดไม่ได้แล้วล่ะ ด้วยเอ็งก็คงได้ยินผู้กองกล่าวแล้วนี่นา ฉะนั้น เอ็งจงคุมกำลังออกไปปะทะพวกมันก่อน แต่เชื่อข้าเถอะลูกปืนทำอะไรพวกเรา ไม่ได้หรอก” เจ้าสินชัยกล่าว “ครับหัวหน้า เรื่องแค่นี้ไม่เท่าไหร่หรอกครับ เดี๋ยวผมจะนำหน้าเองแทนหัวหน้าก็ แล้วกัน ” เจ้าเริ่มตอบเสร็จพลางเดินออกไปสั่งให้ลูกน้องมันออกเดินทางมันเองนำหน้า พลางส่งสัญญาณแจ้งแก่บรรดาหุ่นทั้งหลายให้ออกปฏิบัติหน้าที่ได้แล้ว โดยมันเดิน นำบรรดาหุ่นที่กระจายตามแนวชายป่าทั้งหมดเมื่อได้รับสัญญาณทางจิตแล้ว บางตัวนั้น ก็หันไปบอกตำรวจที่คอยอยู่ พลางกล่าวว่า “การจับกุมนี้หรือใช้ปืนเป็นหน้าที่ ของพวกท่าน ส่วนที่จับกุมได้ให้พวกท่านจัดการเก็บไว้ที่นี่ก็แล้วกันพวกเราไปกันแล้วล่ะ” ว่าแล้วมันทั้งหมดก็เดินเรียงหน้ากระดานออกจากชายป่าทันที มิฟังคำใดๆจากพวกตำรวจ แต่ยังมีบางตัวหันมากล่าวกับตำรวจว่า “ เมื่อทางโน้นเรียบร้อยแล้วค่อยปล่อยพวกมัน นำตัวไปได้ตอนนี้ให้มันอยู่กับต้นไม้ไว้ก่อน ซึ่งจะมีคนช่วยคอยเฝ้าเอง” “อ้าวๆๆๆแล้วใครจะมาเฝ้าพวกที่ถูกจับกุมไว้ให้ล่ะ เดี๋ยวพวกเราก็ต้องออกไปยิงกับพวกมัน อยู่แล้วนี่นา” “ เถอะน่าปล่อยมันไว้อย่างนี้แหละ รับรองมันไม่กล้าหาวิธีหรือมีคนมาช่วยมันหรอก” หุ่น ตัวหนึ่งตอบขึ้น พลางหันไปซุบซิบกับพวกผีทั้งหลาย ให้ช่วยคอยเฝ้าด้วยแทนตำรวจด้วย พวกผีทั้งหลายก็ล้วนรับคำพวกหุ่นตัวนั้น แล้วรีบเดินออกไป ปะทะกับพวกผู้ร้ายทันที เมื่อตำรวจเห็นหุ่นซึ่งนึกว่าเป็นคนพูดอะไรในอากาศคนเดียว ก็พากันงงไปทั่วหน้ากัน แต่แล้วก็ต้องหยุดคิด พากันยกพวกติดตามไป แล้วยิงใส่พวกผู้ร้ายนำไม้ทั้งหมดทันที..... * แก้วประเสริฐ. *
14 ธันวาคม 2553 15:19 น. - comment id 120548
โอ้โห น่าจะเป็นเรื่องยาว (ไม่ใช่เรื่องสั้น) เสียแล้วครับครู หุหุ..เดี๋ยวผมขอย้อนไปอ่านตอนที่ค้างไว้ก่อนนะครับ
14 ธันวาคม 2553 22:09 น. - comment id 120557
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รักหากจักตัดทอนให้่สั้นๆเข้า อรรถรสจะหายไปทันที หากเรานำมาผสม ผสานสิ่งน่ากลัวกลับไม่น่ากลัวผสมกับเวทย์ มนคาถาสอดแทรกธรรมะ เข้าไปด้วยแล้ว ก็จะยิ่งดำเนินเรื่องให้ได้สั้นหรือยาวอยู่ที่ ใจเราจะจินตนาการอย่างไร ส่วนมากครู เองบอกตรงว่าชอบเขียนแบบยาวๆเสมอ แม้แต่กลอนแปดก็ไม่เหมือนใครอื่น เขามักจะแค่สี่บาทหรือหกบาทเท่านั้น แต่เมื่อครูเล่นกลอนแปดก็ให้เกียรติ กลอนแปดด้วยจึงแต่งส่วนใหญ่แล้ว มักจะแปดบาทเสมอๆจ้า แม้แต่การเล่น อื่นๆของครูจะเอาตัวแปดเป็นแนวทาง ดังนั้นกลอนครูหรือเรื่องร้อยแก้วก็มักจะ ยาวๆเสมอ เพราะเหตุว่ายิ่งยาวเท่าไหร่ สมองเราจะพัฒนามากขึ้นเท่านั้น การเขียนร้อยแก้วแบบกึ่งนิยายนี้ข้อ สำคัญคือการ เอาอารมณ์และตัวเราเข้า ร่วมแสดงกับเขาด้วยและยังเป็นผู้กำกับ บทไป นี่แหละจะทำให้เราเพลิดเพลิน ต่อการเขียนร้อยแก้วมากๆ แต่ควรระวัง อย่าให้เรื่องนั้นขาดตอนกันให้นานนัก คนอ่านจะงง ด้วยเหตุว่าอยู่ๆก็หายไปแล้ว มาโผล่อีก คนอ่านจะเสียอารมณ์ไปจ้า รักศิษย์เรามากเสมอ แก้วประเสริฐ.