อทิสมานกาย ๔๕ ร่างคนทั้งสามในรูปกายทิพย์และวิญญาณที่จะกลายเป็นกายทิพย์นั้นก็เข้าสู่ ยังที่บริเวณป่าที่ต้องการในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น (อันนี้กาลเวลาและพลังงานของแต่ละชั้นแตกต่างกัน ชั้นนั้นแบ่งเป็น สาม ชั้น แตกต่างกันออกไปดังนี้....... คือสรวงสวรรค์หนึ่ง ชั้นมนุษย์หนึ่ง แล้วนรกภูมิหนึ่ง อันสัมภาเวสี คือวิญญาณที่ยังไม่ถึงอายุขัย สัตว์ต่างๆ และเปรต นั้นอยู่รวมกับชั้นของมนุษย์ เพียงแต่กาลเวลาแตกต่างกันไปย่อมไม่เหมือนๆกัน ชั้นสรวงสวรรค์ ก็กาลเวลาต่างๆกันตามแต่ละชั้น เช่นพรหมนั้นจะมีอายุยืนนานที่สุด รองมาเรื่อยๆจนต่ำสุดคือ พวกอทิสมานกาย หรือพวกรุกขเทวาทั้งหญิงชาย ติดกับแดนของมนุษย์กั้นไว้ด้วยพลังงานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ มิติ ” มนุษย์ก็มีอายุขัยแตกต่างเหมือนกัน บางคนอายุสั้น บางคนอายุยืนนาน ตามแต่ผลกรรมที่กระทำ อันดินแดนมนุษย์นี้มีขึ้นเพื่อเป็นการถ่ายเทบาป กรรมที่ทำมาก่อนแล้วหรือมาสร้างผลบุญกุศลกรรมให้มีเพิ่มมากๆขึ้นนั้นเอง ดังนั้นทั้งการสร้างบาปหรือชำระล้างบาป สร้างผลบุญกุศลของแต่ละบุคคคล ที่จะได้รับการเสวยผลแห่งการกรรมนั้นๆ แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หากจะตรัสรู้ก็ต้องลงมายังโลกมนุษย์นี้เท่านั้น การเป็นพระอรหันต์ที่ไม่ต้องมา เวียนว่ายตายเกิดอีกนั้น ต้องผ่านทั้งสมถะกรรมฐานและเข้าสู่วิปัสนากรรมฐาน ก่อน ด้วย สมาธิให้เกิดฌานใหญ่ดังนี้ ขนิษกสมาธิ อุปาจาระสมาธิ ปฐมฌาน ทุติฌาน ตติฌานเข้าสู่ เอกัตตคัตตะอันเป็นตัวเชื่อมทางเข้าสู่ โสดาบัน อนาคา อนาคามี โลกุตระ และพระอรหันต์ (ผมอาจจะจำผิดระหว่าอนาคา กับอนาคามี หรืออาจจะมีเพิ่มเติมกว่านี้ขออภัยด้วย) การเป็นพระอรหันต์นั้น แม้แต่บุคคลทั่วๆไปไม่ว่าชายหรือหญิงก็สำเร็จได้ แม้แต่สรวงสวรรค์ชั้นพรหมก็สำเร็จพระอรหันต์ได้ หากยึดมั่นคงไม่ลุ่มหลง หมั่นเจริญฌานสมาธิวิปัสสนาตัดกิเลสน้อยใหญ่หมดสิ้น ทั้งรากเง่าน้อยใหญ่ ของกิเลส ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก ตัณหา โลภะ โทสะ และโมหะ ขาดสิ้นไม่เกิด การปรุงแต่งอารมณ์ของจิตนั้นๆได้ ก็สามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ หากเป็นผู้ที่บวชเรียนไม่ว่าจะเป็น ภิกษุ แม่ชี หรือปะขาว แล้วนำธรรมที่รู้ มาเผยธรรมต่อชาวโลกแล้วไซร้ จะมีอายุได้ตามปราถนา แต่หากไม่อยู่ใน ข้อใดข้อหนึ่ง ครั้นบรรลุเป็นพระอรหันต์ก็จะต้องตายภายในเจ็ดวันสิบห้าวัน ทำไมด้วยเมื่อถึงขั้นนี้ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายในมนุษย์ เกลียดชังตัวเองที่อุปมา ดังหนอนที่กำลังกินอาจมเป็นต้น แล้วก็รีบเข้าสู่นิพานทันที โดยไม่สามารถจะนำธรรมนั้นไปสั่งสอนใครได้อีกด้วยเขาจะไม่เชื่อถือ ด้วยข้อนี้ จึงชิงหนีไปนิพานก่อน การจะเข้าสู่นิพานได้นั้นมีทางเดียวเท่านั้น คือทาง อุปาจาระสมาธิซึ่งองค์พระสัมมาสัมพระพุทธเจ้าก็เสด็จไปทางนี้ ดังนั้นแดนนี้จึงมีความสำคัญเป็นระหว่างกลางของความดีและความชั่วที่จะ มาเสวยผลบุญหรือผลแห่งกรรมนั้นๆตามแต่ละบุคคลไป จึงแลเห็นว่าจะเกิด มีพวกที่หน้าตารูปร่างสดสวย บ้างปานกลาง บ้างขี่เหร่ บ้างรวย บ้างพอมีพอกิน บ้างยากจนข่นแค้นแสนสาหัส หากจิตที่มาบังเกิดนั้นหากมาจากนรกภูมิสันดาน นิสัยยังไม่ยอมรับผลแห่งกรรมติดตามมาอีกด้วยก็จะหวนกลับไปเหมือนเดิมอีก จะเป็นพวกนักเลง มือปืน นิสัยรุนแรงชอบเอาแต่ใจตัวเป็นใหญ่ ไม่เกรงกลัวต่อ บาปกรรมใดๆ แม้แต่ผู้ให้กำเนิดก็ตามที แล้วก็หวนกลับไปสู่นรกภูมิอีกครั้งหนึ่ง ส่วนที่มาจากเบื้องบนก็จะมีนิสัยในทางธรรมชอบกระทำความดีเป็นที่ตั้ง ตั้งมั่น หมั่นทำบุญสุนทานแก่ผู้ยากไร้ บำรุงศาสนาเพื่อหวังกลับคืนไปยัง แดนเสวยสุขต่อไปจนหมดผลบุญจึงได้กลับมาสร้างบุญต่อไปใหม่ด้วยเหตุดังนี้ ส่วนนรกภูมิกาลเวลาย่อมแตกต่างกันไปตามขุมนรกชั้นนั้นๆตามผลกรรมชั่ว แบ่งเป็นชั้นเล็กน้อยใหญ่ไปตามลำดับ รวมเป็น แปดขุมใหญ่นรกภูมิ และบรรดาแต่ละขุมนั้นยังมีขุมบริวารของขุมใหญ่อีกร้อยแปดขุมที่ต่ำสุดนั้น จะมีอายุนานที่สุดดุจดังเช่นเดียวกับชั้นพรหม การไปสู่นรกภูมินั้น เกิดจากการเสวยผลกรรมชั่วที่กระทำมานั่นเอง ว่าผลกรรมนั้น จะส่งไปสู่ชั้นไหนๆ ตามแต่ผลกรรมที่ตนกระทำไว้เป็นสื่อนำวิญญาณนี้บังเกิด ชั้นทั้งสาม อันได้แก่ สรวงสวรรค์ มนุษย์และนรกภูมิ พวกเปรตหรือสัตว์นั้นจัดว่าเป็นจำพวกนรกภูมิทั้งสิ้น ยกเว้นสัมภเวสี ที่ยังไม่ถึงอายุขัยแต่มาตายเสียก่อนจึงจะไปรับผลกรรมของตนเองไม่ได้ จึงได้แต่วนเวียนเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆกัน จนกว่าวาระอายุขัยครบกำหนด แล้วจะมีคนมารับตัวไปเสวยผลแห่งกรรมของตนเอง แล้วก็จะดับไป อีกครั้ง จึงไปเสวยผลกรรมของตนเองเป็นต้น การเกิดดับนี้จะดับเกิดเป็น ช่วงๆไป จนถึงที่สุดแห่งผลกรรม หรือที่เขาเรียกกันว่า กฏแห่งกรรมเป็นต้น แต่การเกิดขึ้นเป็นมนุษย์นั้นหากสัญญายังไม่ดับไปหมด พร้อมกับธาตุสี่ที่รักษาร่างกายไว้ ครั้นมาเกิดใหม่สัญญาเก่าคือจำได้หมายรู้ ก็ยังติดตามมาอีก แค่เพียงแค่ระยะเวลาอันสั้นๆเท่านั้น สัญญานั้นก็จะ หายไปด้วยถูกสัญญาในร่างใหม่เข้าแทรกทำลายดับไปเอง) เมื่อร่างทั้งสามในสภาพของกายทิพย์วิญญาณมาถึง ชายหนุ่มก็กล่าว กับเจ้าแสงสีสินชัยว่า “พวกเราควรจะไปหาท่านเจ้าป่าเจ้าเขาก่อนด้วยท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ คอยดูแลควบคุมในบริเวณนั้นๆ ไปแสดงความคาราวะก่อนที่เราจะไป” ชายหนุ่มกล่าวทันที แล้วร่างทั้งสามก็ไปปรากกฏยังท่านเจ้าป่าและเจ้าเขาพร้อมทั้งน้อม กายลงแสดงความคาราวะนอบน้อม ครั้นเจ้าป่าเจ้าเขาแลเห็นชายหนุ่มก็ต่างตกใจที่เขามาแสดงความเคารพ ต่างรีบลงจากอาสนะวิมาน พลางทรุดร่างลงก้มพนมมือไหว้แก่ชายหนุ่ม ทันที ทำให้ชายหนุ่มและเจ้าแสงสีสินชัยต่างตกใจไปทันที ชายหนุ่มพลัน เอ่ยขึ้นแก่เจ้าป่าเจ้าเขาว่า...... “ เหตุไฉนใยท่านถึงทำเช่นนี้ไปใยเล่า สิ่งที่ข้าฯมานั้นหวังเพื่อที่ จะขออาศัยสถานที่ท่านตรวจสอบเหตุการณ์บางอย่างเท่านั้น เพื่อทำงานในร่างที่ยังดำเนินภาระกิจอยู่ตามหน้าที่ หาได้ทำให้ท่านต้องจะ กระทำถึงเพียงนี้เชียวหรือ???.... ” ครั้นเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองที่ชายหนุ่มไปพบ ต่างแจ้งกันว่า “. อันท่านนี้เป็นผู้มีบุญวาสนาสูงส่งนัก มาจากเทพเบื้องบนชั้นสูง ใยเล่าข้าน้อยจะกระทำตนเสมอไปได้เล่าขอรับ ท่านนี้มีความประสงค์สิ่งใด จึงได้ออกเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง ” กายทิพย์ชายหนุ่มจึงเข้าไปพยุงร่างให้มานั่งพลันกล่าวว่า . “ หากข้าฯนั้นจะมาจากที่ใดก็ตามดั่งเช่นท่านว่าไว้หรือไม่ ข้าฯเองหาทราบ ใดๆไม่ แต่ในฐานะท่านเป็นผู้ใหญ่ในบริเวณนี้และยังต้องพึ่งพาอาศัยท่าน ดังนั้น จึงสมควรอย่างยิ่งนักที่ผู้น้อยต้องเคารพผู้ใหญ่เป็นธรรมดา แต่จะหาได้มีโทษภัยใดๆแก่ท่านใดๆไม่ ” “ ข้าทั้งสองได้ยินคำของท่านกล่าวเช่นนี้แล้วให้รู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นด้วย เป็นกฏแห่งสวรรค์ที่วางไว้ ผู้น้อยพึงมีแต่นอบน้อมผู้ใหญ่ชั้นสูงกว่าขอรับ ” เจ้าป่าเจ้าเขาน้อมตอบ ชายหนุ่มในร่างกายทิพย์ได้ยินเช่นนี้ จึงกล่าวขึ้นว่า... “ถึงแม้ว่าหากเป็นดังคำพูดดั่งนี้ของท่านแล้ว ทำให้ข้าเองก็กระอักกระอ่วนใจ ยิ่งนักแต่ทว่าบัดนี้ ข้ามาบังเกิดในชั้นที่ต่ำกว่าท่านอยู่ เหตุนั้นจึงลบล้างกฏแห่งสวรรค์ได้มิใช่หรือ???.....” ชายหนุ่มกล่าวอีกครั้งหนึ่ง เจ้าป่าและเจ้าเขาพลางหันหน้ามองกันและกัน พลางกล่าวขึ้นอีกว่า “ ถึงแม้คำพูดของท่านนั้นก็จริงอยู่หรอก แต่หากไม่รู้จะเป็นเหตุใดหรือไม่ แต่ถ้าหากรู้แล้วจะมานอกกฏได้อย่างใด” “ ด้วยท่านมาสภาพของกายทิพย์นี้ยิ่งแสดงผลบุญกุศลอันชัดเจน รัศมีท่านเปล่งปลั่งดุจประกายไหมแก้วทองอันมีรัศมีพวยพุ่งหลากหลายสีนัก ย่อมแสดงถึงบุญญาธิการในการเจริญสมาธิขั้นสูงส่ง “ มิฉนั้นใยเล่าจะมาในรูปกายทิพย์ได้ หากมาดแม้นท่านมารูปลักษณ์ ของมนุษย์แล้วไซร้ ก็ย่อมหาทางเลี่ยงกฏสวรรค์ ได้ขอรับ ” เจ้าป่าเจ้าเขากล่าวพร้อมๆกัน “ เอาล่ะข้อนี้ข้าฯเองขอรับผิดชอบต่อเทวะเบื้องบนเอง หากจะมีการทำโทษท่าน หรือสาเหตุใดๆก็ตาม ให้ท่านอ้างคำกล่าวของข้าฯไว้ก็แล้วกัน” พลันกายทิพย์ชายหนู่มก็แหงนหน้ายกมือขึ้นพนมมือ พลางเอ่ยขึ้นทันทีว่า “ ข้าแต่เทวะเบื้องบนทุกๆชั้น บัดนี้ข้าฯน้อยต้องจำเป็นอาศัยกระทำสถานที่นี้ดังท่าน เองก็ทราบอยู่ด้วยฌานทิพย์แล้ว จงโปรดรับรู้ด้วยว่าเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองมิได้ฝ่าฝืนกฏ แห่งสวรรค์ใดๆ ถึงมาดแม้นมีขึ้นข้าฯขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว ” กล่าวแล้วชายหนุ่มก็ก้มตัวลงกราบทันที ฉับพลันก็บังเกิดเสียงคำรามก้องของท้องฟ้าในเบื้องบนทันทีแล้วเสียงก็เงียบหายไป ชายหนุ่มก็รับทราบทันทีว่า ทางเบื้องบนรับทราบคำอธิษฐานของเขาแล้ว ครั้นแลไปเหลือบมองเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองที่ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด ก็ทราบสาเหตุ ใดท่านทั้งสองจึงมีอาการเช่นนี้ พลางเอ่ยต่อเจ้าป่าเจ้าเขาขึ้นว่า..... “ บัดนี้เทวะเบื้องบนทราบสิ่งที่ข้าฯกระทำแล้ว และทรงให้อภัยต่อกฏเกณฑ์นี้แล้ว ข้าฯขอเชิญท่านทั้งสองจงช่วยนำทางแก่ข้าฯด้วยเถิด” พลันเจ้าป่าเจ้าเขาก็พากันก้มลงกราบกายทิพย์ชายหนุ่มทันที พล่างเอื่อนเอ่ยวาจาว่า “หากมิได้ท่านผู้มีบุญญาธิการกล่าวเช่นนี้ มาดแม้นข้าเองจะกล่าวเช่นไรก็หาได้พ้น ผิดไปได้ จึงต้องน้อมก้มคาราวะท่านก่อน ผิดนั้นจึงพึงจะชดใช้ได้ขอรับ ” “เอาละๆ....ในเมื่อสิ่งเหล่านี้ผ่านพ้นไปด้วยดีเช่นนี้ ขอท่านจงเล่าเหตุการณ์ให้ข้าฯฟัง และโปรดนำทางแก่ข้าฯด้วยเถิด ” ดังนั้นเจ้าป่าเจ้าเขาเมื่อลุกนั่งเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วจึง เล่าความทั้งหมดให้ชายหนุ่ม พร้อม ออกเดินทางไปยังสถานที่ทั้งสองทันที เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวทั้งหมดก็มาถึง ยังสถานที่ทั้งสองนั้นๆ ชายหนุ่มจึงกล่าวขึ้นว่า “ ข้าฯขอขอบใจท่านทั้งสองมาก ฉะนั้นหมดหน้าที่ท่านแล้วขอเชิญกลับไปพักผ่อนได้ เถอะนะ” ชายหนุ่มกล่าว แล้วพลันก็ชวนเจ้าแสงสีสินชัยตระเวณตรวจสอนสถานที่ต่างอย่างละเอียด เมื่อเรียบร้อยจนเป็นที่พึงพอใจแล้วจึงหันมา เพื่อจะกลับ ครั้นแลเห็นเจ้าป่าเจ้าเขายืนอยู่จึงเข้า ไปลาเจ้าป่าเจ้าเขาอีกครั้งหนึ่ง ครั้นเจ้าป่าเจ้าเขารับทราบพร้อมน้อมคาราวะชายหนุ่ม “ ข้าฯขอลาท่านทั้งสองก่อนด้วยพอใจในการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ฉับพลันเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งสองก็ย่อกายแสดงความเคารพตอบ พร้อมทั้งเอ่ยเอื้อนวาจาว่า “ หากความเคลื่อนไหวมีอีกประการใด พวกเราก็จะใช้ให้เด็กๆไปแจ้งแก่ท่านขอรับ” “ หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องขอรบกวนท่านทั้งสองด้วยแล้วล่ะ???.... ” กายทิพย์ชายหนุ่มตอบพลางกล่าวลา แล้วร่างของทั้งสามก็หายวับไปทันที...... เมื่อเจ้าป่าเจ้าเขาเห็นดังนั้น ต่างก็พากันแยกย้ายไปตรวจสอบยังสถานที่ บริเวณอาณาเขตของตน ให้บังเกิดความเรียบร้อยตามหน้าที่ต่อไป แล้วร่างทั้งสองก็ค่อยๆจางหายไปเช่นเดียวกัน ร่างทั้งสามพลันปรากฏขึ้นในห้องชายหนุ่มทันที แสงสีสินชัยเห็นร่างกายทิพย์ของนายเดิน ไปสวมทับยังร่างเดิมที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ สักพักชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น แล้วก้มลงกราบพระพุทธ พร้อม ลุกขึ้นเดินมาหาแสงสีสินชัยทันทีพลางเอ่ยขึ้นว่า “ ในเมื่อเราได้ไปดูสถานที่ต่างๆตลอดทางหนีทีไล่เรียบร้อยแล้ว ข้าจำเป็นต้องวานให้เจ้า เดินทางไปพบสารวัตรอีกครั้งหนึ่ง ” โดยไม่รอคำตอบของทั้งสอง เดินไปยังโต๊ะเล็กๆใช้ในการเขียนหนังสือ พลางร่างหนังสือ ขึ้นอีกแล้วนำมายื่นส่งให้แก่เจ้าแสงสีทันที ครั้นเจ้าแสงสีได้รับหนังสือแล้วร่างมันก็หายวับออกเดินทาง เมื่อมาถึงสารวัตรแล้วก็ยื่น หนังสือของนายมันส่งให้สารวัตรชัชวาลย์ แล้วถอยออกมายืนรอคำสั่งอยู่ สารวัตรชัชวาลย์เปิดอ่านหนังสือก็ให้เด็กไปเรียกผู้กองทั้งสองมาพบที่ห้องแล้วต่างก็ปรึกษา หารือกันในการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง สารวัตรพลางหันมาทางเจ้าแสงสีกล่าวขึ้นว่า “ เจ้าไปบอกนายด้วยว่า ทางนี้ได้เตรียมพร้อมไว้คอยกำหนดวันเวลามาถึง ก็จะให้แอบแฝงตัวแยกย้ายกันไปประจำตามหน้าที่ในหนังสือ ไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น ” เจ้าแสงสีเมื่อได้รับแจ้งเช่นนั้น ก็ยกมือไหว้อำลาสารวัตรแล้วรีบเดินทางกลับไป พอถึงหน้าห้อง ของสารวัตร เดินออกนอกห้องพร้อมปิดประตู้ไว้ เหลือบแล ไม่เห็นมีใครร่างมันก็หายไปเพื่อไปรายงานให้นายมันทราบ ในระหว่างที่ฝ่ายโรงพักกำลังเตรียมปฏิบัติงานอยู่นั้น ทางด้านโรงพักอื่นๆ ในเขตการควบคุมดูแลของโรงพักนี้ ตลอดจนโรงพักต่างๆ ก็พากันจัดเตรียมกำลังพลที่มาใหม่และไว้วางใจได้เตรียมพร้อมไว้ เพื่อรอคำสั่ง จากทางจังหวัดจะให้ลงมือเมื่อใด สถานที่วันเวลาใด ส่วนทางด้านพวกนายอำเภอต่างๆที่ย้ายมาดำรงตำแหน่งครบเรียบร้อยแล้ว และยังได้รับหนังสือกำชับจากเบื้องบนกำชับลงมาอีกว่าควรจะทำอย่างไร กับสถานะการณ์ในเขตพื้นที่ควบคุมดูแล แม้แต่ทางด้านป่าไม้ก็เช่นเดียวกัน ได้มีเจ้าหน้าที่จากกรมป่าไม้เดินทางจากกรุงเทพฯ มาร่วมทำงานด้วย ทำให้พวกป่าไม้เก่าๆพากันสงสัย ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ แต่ทางหัวหน้าป่าไม้ประจำจังหวัดมิได้เอ่ยแต่ประการใด แจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติงานตาม ปกติเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกำชับให้พยายามตรวจสอบป่าไม้ไว้ด้วยอย่าละเลยเด็ดขาด จึงเพียงแค่ซุบซิบกันเท่านั้นเองรวมทั้งพวกที่รับส่วยและไม่ได้รับส่วยด้วย พวกรับส่วบต่างหนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน แต่ก็ไม่ได้รายงานให้พวกทำไม้เถื่อนรู้ ด้วยเกรงกลัวความผิดจะมาถึงตน เว้นแต่พวกที่จะเชื่อฟังหรือไม่เท่านั้นเอง ภายในห้องชายหนุ่มเจ้าแสงสีและสินชัยได้รับการแจกแจง แบ่งหน้าที่กันทำงานกันแล้ว ส่วนเจ้าแสงสีก็จัดกำลังพลที่ได้รับ แล้วกล่าวว่า “ ข้าแต่งตั้งให้เจ้าพ่วง ซึ่งเป็นครูฝึกนำกำลังเขาปะทะก่อนตำรวจ ด้วย อาวุธปืนมันทำอะไรพวกเราไม่ได้อยู่แล้ว” เจ้าพ่วงก็คำนับ แล้วหันไปสั่ง พวกหุ่นฝ่ายพวกตัวว่าจะต้องทำกันอย่างไรบ้าง ????....” ทางเจ้าสินชัยก็เลือกหัวหน้าครูฝึกมาคนหนึ่งร่างกายกำยำล่ำสันมาก เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะแต่งเจ้าเริ่มให้เป็นหัวหน้ากลุ่มพวกเราทั้งหลาย ส่วนข้าจะเป็นคนนำหน้า เอง แล้วให้เข้าปะทะก่อนด้วยนะ” เจ้าเริ่มน้อมกายรับคำสั่งแล้วไปชี้แจงแก่พวกที่มันควบคุมอยู่ให้รับทราบถึงแผนการณ์ ครั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยก็หันไปลาชายหนุ่ม กล่าวลาทันที “ ข้าทั้งสองขอลานายไปทำหน้าที่จะได้วางจุดกำลังให้แก่เหล่าพวกเราทั้งหมด” ทั้งสองกล่าว เมื่อชายหนุ่มเห็นการทำหน้าที่ของเจ้าแสงสีสินชัย อดปลาบปลื้มยินดีเสียมิได้สมแล้ว ที่มันทั้งสองเป็นมือไม้ซ้ายขวาของเรา จึงเอ่ยขึ้นว่า “ ข้าขออวยพรให้เจ้าจงปลอดภัยและมีชัยในการกระทำครั้งนี้ทุกๆตนด้วยนะ” ทั้งสองกล่าวขอบคุณชายหนุ่มผู้เป็นทั้งนายและอาจารย์มัน หันหน้ามาพยักหน้ากัน แล้วเจ้าแสงสีและสินชัยก็ต่างพาหุ่นทั้งหมดแยกย้ายกันไป ประจำยังตำแหน่งที่ชายหนุ่มมอบแผนทีไว้ให้กระทำอยู่แล้ว ทั้งสองทางตลอดจน ทางแยกต่างๆอีกด้วย เมื่อไปถึงบริเวณที่จะใช้แฝงตัวหลบซ่อน ก็พบเจ้าป่าเจ้าเขารออยู่ก่อนแล้ว มันจึงพา พวกทั้งหมดให้ทำการคาราวะเจ้าป่าเจ้าเขาทันที ทั้งหมดก็ปฏิบัติตาม เจ้าป่าเจ้าเขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ บัดนี้ข้าได้นำบริวารมาเพิ่มเติมให้แก่เจ้าทั้งสองแล้ว ขอให้เจ้าสั่งการได้ทั้งหมด แล้วหันไปทางบรรดาผีทั้งหลายให้รับทราบ พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคนเหล่านี้นะ” พวกผีทั้งหลายต่างก็เข้ามารายงานตัวแก่เจ้าแสงสีสินชัยทันที แล้วทั้งสองก็เอ่ยขึ้นว่า “ ข้าทั้งสองขอกราบขอบพระคุณท่านเจ้าป่าท่านเจ้าเขาด้วยที่กรุณาแก่พวกข้ามากนัก จะได้เป็นผลบุญกุศลอย่างหนึ่งให้แก่ท่านและบรรดาผีทั้งหลายในการทำความดีนี้ครับ ” ท่านเจ้าป่าเจ้าเขาก็ยิ้มรับ แล้วอวยพรให้งานครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี แล้วร่างก็หายลับไป ดังนั้นทางเจ้าแสงสีและสินชัยปรึกษาหารือกัน จึงเกิดการวางแผนอีกครั้งหนึ่ง ให้บรรดาผีๆทั้งหลาย คอยเป็นหน่วยสอดแนมรายงานผลของพวกมัน พร้อมเข้าไปประจำยังรถที่จะใช้บรรทุกไม้ที่ถูกแปรรูปแล้ว ที่ออกเดินทางไปคันละหนึ่งตน เพื่อจะได้แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจว่ารถคันใดซุกซ่อนสิ่งของไว้ ครั้นถึงด่านของตำรวจก็ ให้ส่งสัญญาณแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะคอยสะกัดกั้นเพื่อจับกุมต่อไป ทั้งหมดเมื่อได้รับการชี้แจงจากเจ้าแสงสีและเจ้าสินชัยแล้ว ก็แจ้งแก่บรรดาหุ่นของตนและ พวกผีทั้งหลายว่า “ พวกตำรวจที่จะร่วมมือกับเรานั้นให้สังเกตุว่า เวลาลงมือทำการจะมีผ้าสีเขียวผูกที่ คอหรือข้อมือหรือต้นแขนไว้เป็นที่สังเกตุ ด้วยเขาจะมาในลักษณะของชาวบ้าน หรือพรานป่าเท่านั้นคอยช่วยเหลือดูแลแก่พวกเขาด้วยก็แล้วกัน ” แล้วทั้งหมดต่างก็แยกย้ายออกเป็นสองฝ่ายนำโดยเจ้าแสงสีจะทำหน้าที่ด้านฝ่ายขนส่งไม้ แปรรูป และทางเจ้าสินชัยเข้าโจมตีด้านไม้ที่กำลังเลื่อยจะถูกแปรรูป ทั้งเจ้าแสงสีและสินชัยต่างก็แบ่งกำลังไปประจำทางแยกต่างๆ กองละสิบตนรวมทั้งบรรดา ผีของเจ้าป่าเจ้าเขาอีกด้วย ทุกๆทางแยกให้บรรดาผีและหุ่นทราบไว้ว่าจะกระทำการอย่างใดบ้าง ส่วนการจะเข้าโจมตี วันเวลานั้นคอยสัญญาณจาก สารวัตรหรือผู้กองทั้งสองเท่านั้น ฉะนั้นให้แยกย้ายกันไปทำหน้าที่เพื่อ รอคอยเวลาในวันที่จะเข้าดำเนินการจับกุมต่อไป........ * แก้วประเสริฐ. *
11 ธันวาคม 2553 19:36 น. - comment id 120503
ให้ข้อคิดดีจังเลยค่ะ
11 ธันวาคม 2553 19:37 น. - comment id 120504
หมายถึงให้ความรู้นะคะ เขียนผิด
12 ธันวาคม 2553 01:15 น. - comment id 120512
คุณ ช่ออักษราลี ศิษย์รัก ก็อย่างที่คุยกันนั่นแหละ มัน เป็นทักษะของแต่ละบุึคคลที่จะสร้างจินตนา การ ของเราเอง เมื่อเราสามารถดำเนินเรื่องไป ได้สักสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว คราวนี้แหละสิ่ง ในจินตนาการเราจะออกมากเองเหมือน สายน้ำทีเดียว จะทำให้เรานึกคิดไปเป็นทอดๆ ไปเองแหละจ้า รักศิษย์มากเสมอ แก้วประเสริฐ.
12 ธันวาคม 2553 01:21 น. - comment id 120513
คุณ ช่ออักษราลี เรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอๆแหละ ครูเองยังผิดเสมอๆ โดยเฉพาะตัวสระนี้ิแหละ คือ สระอู พิืมพ์เป็นสระอุ ขึ้น เป็นจึ้นไป แต่ตอนทบทวนนั้นว่าดีแล้วนา พอส่งไปแล้ว เอาล่ะซิ เปิดอ่านทบทวนอีกที ตายๆเราผิด นี่หว่า ต้องไปแก้ในต้นฉบับและในนี้จ้า และยิ่งแก่ๆด้วยแล้ว มือไม้มันแข็งๆไป หมด ไม่เหมือนหนุ่มๆนั้นการพิมพ์ครูจัด ในแนวหน้าคนหนึ่งเหมือนกันนะ อิอิ ยกยอตัวเองแต่แก่เข้าใจไปก่อนมือเสีย แล้ว สมัยหนุ่มๆพอนึกปุ๊บมือมันทำงาน ปั๊บทันที แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เสียแล้ว มือไม้ มันไม่อ่อนพลิ้ว จะแข็งๆเสียมากด้วยซี สรุปว่าผิดก็รีบแก้ไขเมื่อเรารู้อย่างเช่น ศิษย์นี่แหละถือว่าดีมากๆเสียด้วย ต่อไป ทำให้เราเกิดความระมัดระวังยิ่งๆขึ้น ยิ่ง ยังสาวๆอยู่ง่ายแก่การอ่านและแก้ไขจ้า รักศิษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
12 ธันวาคม 2553 09:10 น. - comment id 120514
เพิ่งเข้ามาอ่านเพลินดีครับ มีเกร็ดความรู้ด้วยล่ะ ชอบ ๆ ครับ
12 ธันวาคม 2553 13:05 น. - comment id 120520
คุณ อรุโณทัย ขอบคุณมากที่แวะมาทางนี้ ผมเองตอน นี้เบื่องานด้านโน้น แต่ไม่ยอมให้สมองว่างๆ เลยหันมาเขียนทางนี้ ด้วยทางนี้เขียนไว้ หลายๆเรื่อง สั้นบ้างยางบ้าง ส่วนด้านยาวมัก จะเป็นพวกกึ่งนิยายหรือก็นิยายไปเสียเลยก็ มีครับ งานเขียนแบบนี้ต้องใช้สมองมากกว่างาน ด้านโน้นมาก แต่ก็ให้ความเพลิดเพลิน แก่เราต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ไม่ว่าร้อยแก้ว หรือร้อยกรองนั้นผมมักจะแทรกความรู้ ไว้ให้เสมอ บางครั้งก็ซ่อนไว้แบบกำกวม นอกเสียจากคนอ่านจะเป็นช่างสังเกตุ เท่านั้นถึงจะพบครับ หากสนุกมาอ่านได้ นี่ก็เกินกว่าครึ่งเรื่องไปแล้วครับ แต่ก็ บอกไม่ได้แล้วแต่อารมณ์คนบ้าๆเช่นผม นะครับ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ บางครั้ง เวลาจะจบก็สรุปเอาดื้อไปเสียอย่างงั้น แหละครับ ขอบคุณรักเสมอ แก้วประเสริฐ.
13 ธันวาคม 2553 21:08 น. - comment id 120540
มาอ่านต่อค่ะคุณแก้ว
13 ธันวาคม 2553 21:16 น. - comment id 120541
คุณ แจ้นเอง แหมๆหากขาดคุณแจ้นแม่ยกผมก็แย่ เชียวนา อย่างนี้รักกันตายเลยล่ะ อิอิ รักแจ้น มากเสมอ แก้วประเสริฐ.