ศิษย์ก้นกุฏิ......
คีตากะ
พระผู้เป็นเจ้ามักจัดการให้ผมมาพบกับบุคคลที่คาดไม่ถึงเสมอ แม้ยามปกติผมจะเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ก็ไม่วายต้องเผชิญกับบุคคลที่แปลกพิสดารหลายต่อหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางคนก็มาเป็นเพื่อน บางคนก็มาเป็นญาติ บางคนก็มาเป็นครู บางคนก็มาเป็นคนรัก...ฯลฯ เวลา ณ ขณะนั้นอาจไม่กี่นาที กี่ชั่วโมง กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ตามแต่โอกาสจะพาไป ล้วนเป็นการจัดการของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ เหตุก็เพื่อให้ดวงจิตเกิดการเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่จำเป็นต่อการรู้แจ้ง การรู้จักตัวตนที่แท้จริง หรือรู้จักพระเจ้าภายใน ถ้าหากเราปราศจากตัวตนแล้ว การพบพานบุคคลเหล่านี้ก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ที่เรียกว่าเป็นอสังขตธรรม ธรรมอันปราศจากการปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย ปปัญจธรรม คือ ธรรมอันก่อให้เกิดความเนิ่นช้า เสียเวลาต่อการรู้แจ้งนั้น ประกอบด้วย ตัณหา มานะ ทิฐิ หรือก็คือตัวกู ของกู นั่นเอง ที่คอยปิดกั้นตัวเรา ทำให้มองไม่เห็นธรรมชาติที่แท้จริง นักบวชก็คิดว่า“ฉันเป็นนักบวช” ฆารวาสก็คิดว่า“ฉันเป็นปุถุชน” เมื่อการระบุรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ภาระกิจมากมายล้วนก่อเกิดขึ้นตามมา พระก็ต้องศึกษาธรรม นำมาเทศนาสั่งสอนประชาชน ปุถุชน ก็ต้องศึกษาเล่าเรียน เพียรทำอาชีพการงาน ก่อร่างสร้างครอบครัว ทั้งที่หน้าที่สำคัญที่สุดเพียงหนึ่งเดียวคือ การจดจำให้ได้ว่าเราเป็นพุทธะ เราเป็นพระเจ้า มีข้อโต้แย้งถกเถียงกันมากในเรื่องคำจำกัดความ แม้พุทธศาสนาจะมุ่งเน้นอนัตตา หรือสุญตา แต่คำว่าพระเจ้ามักจะถูกระบุให้เป็นอัตตา ซึ่งไม่เป็นความจริง ที่ถูกแล้วควรหมายถึงทั้งอัตตาและอนัตตา กล่าวคือเป็นคำเดียวกันกับอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ย่อมเป็นแหล่งก่อกำเนิดสรรพสิ่งทั้งที่เป็นอัตตา อนัตตา สุญตา ครอบคลุมถึง “ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ และทุกสิ่งที่ไม่ได้ดำรงอยู่” ก็ถ้ามันเป็นสิ่งที่ใหญ่ยิ่งอย่างแท้จริง จะมีอะไรที่ไม่อยู่ในมันหล่ะ ท่านพุทธทาสเป็นผู้แตกฉานในธรรมมากที่สุดท่านหนึ่ง ท่านล้วนเข้าใจโลกียธรรมและโลกุตตรธรรม พยายามที่จะนำธรรมะมาสั่งสอนให้แก่ผู้สนใจศึกษาตามแต่จะเข้าใจได้ นับเป็นการปฏิวัติวงการพระพุทธศาสนาของประเทศเลยที่เดียว อันเป็นการทำให้ความทุกข์มากมายเบาบางลงไปอีกด้วย
หลวงพี่บุญสมก็เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่เคยเดินตามคำสอนของท่านพุทธทาสมายาวนาน หลวงพี่เป็นชาวอยุธยา บวชเรียนมานานหลายสิบปี จบนักธรรมเอก มีความแตกฉานในหลักธรรมมากมาย ญาติโยมให้ความเคารพนับถือ และเคยดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้าอาวาส วัดของหลวงพี่ตั้งอยู่เกาะกลางแม่น้ำป่าสัก อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงไม่อาจรอดพ้นอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมาปีนี้ด้วย น้ำท่วมวัดของหลวงพี่สูงมากกว่า ๑ เมตร หน้าวัดของหลวงพี่มีรูปปั้นของหลวงปู่ทวดขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศประดิษฐานอยู่ บางส่วนจมอยู่ในน้ำ ผมยังจำได้ที่ครั้งหนึ่งเคยติดตามหลวงพี่ไปเที่ยวที่วัด เรานั่งรถตู้สายกรุงเทพ-อยุธยา ไปลงตลาดในอำเภอเมือง ก่อนจะโดยสารเรือข้ามฟากไปยังวัดที่อยู่เกาะกลางแม่น้ำป่าสัก เมื่อถึงฝั่ง เราต้องเดินด้วยเท้าต่อไปอีกซักระยะหนึ่ง สิ่งแรกที่พบคือเมรเผาศพตั้งตระหง่านต้อนรับผู้มาเยือน ถัดไปขวามือเป็นโบสถ์ขนาดใหญ่ยกพื้นสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งเมตร ถัดไปซ้ายมือเป็นศาลาการเปรียญสำหรับญาติโยมมาทำบุญและทำกิจของสงฆ์ ส่วนขวามือเป็นกุฎิที่อยู่ของคณะสงฆ์โดยจัดอย่างเป็นสัดเป็นส่วน ห้องของหลวงพี่แทบจะว่างเปล่า ยังดีที่มีทีวีแก้คลายเหงาอยู่เครื่องหนึ่ง ผมจึงไม่ค่อยเหงามากนักเวลามาอาศัยฝากตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพี่ระยะหนึ่ง ต่างกันตรงที่ลูกศิษย์วัดจะต้องช่วยพระถือปิ่นโตเดินตามหลังพระเวลาบิณฑบาตตอนเช้าตรู่ แต่ผมเป็นคนนอนตื่นสาย ตื่นขึ้นมาไม่เคยทันหลวงพี่ออกบิณฑบาตซักวัน อีกอย่างหลวงพี่ก็คงมีลูกศิษย์วัดทำหน้าที่นี้ประจำอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ผมเสนอหน้า ผมก็เลยหลับสบายอย่างมีความสุข ผมไม่เคยกินข้าวก้นบาตพระมาก่อน ครั้งนั้นแหละจึงได้ลิ้มลองเป็นครั้งแรกในชีวิต นับเป็นประสบการณ์ที่วิเศษสุด อาหารเจที่ชาวบ้านใส่บาตให้หลวงพี่มานั้น อร่อยเป็นที่สุด หลวงพี่เป็นพระภิกษุรูปเดียวของวัดแห่งนี้ที่ฉันอาหารเจบริสุทธิ์เท่านั้น ญาติโยมย่านนั้นต่างรู้กันดี เวลาใส่บาตจึงไม่เคยมีใครใส่อาหารประเภทเนื้อสัตว์มาเลย หลวงพี่บุญสมนับเป็นแบบอย่างของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบดำเนินรอยตามพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแท้จริง
ความที่เป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ได้รับการประทับจิตจากท่านอาจารย์เหมือนกัน ผมกับหลวงพี่จึงสนิมสนมกันมากเป็นพิเศษ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเรามักจะพูดคุยกันผ่านทางโทรศัพท์อยู่เสมอๆ บางเวลาก็บ่อย บางเวลาก็ห่างเหินไปนานๆครั้งและเคยมีพบปะกันบ้างเป็นครั้งคราว ล่าสุดหลวงพี่ก็โทรศัพท์มารายงานข่าวสภาพน้ำท่วมบริเวณวัดของแกที่อยุธยา หลวงพี่บอกว่าน้ำเพิ่งจะลด ขณะน้ำท่วมสามารถโดยสารเรือจากท่าเรือในเขตอำเภอเมืองมาถึงหน้าห้องกุฏิของหลวงพี่ได้เลย ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย เราก็พากันหัวเราะ หลวงพี่บอกว่าการอยู่ในสภาพยากลำบากทำให้มีสติเจริญในธรรม เกิดจิตบำเพ็ญได้ง่าย ต่างกับอยู่อย่างสะดวกสบายก็มักหลงลืมสัจธรรมไปเช่นกัน การบำเพ็ญจึงไม่ก้าวหน้า ชักช้าอยู่กับเรื่องราวไร้สาระมากมาย แต่ความถือทิฐิที่ชอบสอนพระของผมก็ตอบไปแบบไม่ทันได้คิดว่า “อาจารย์จะอยากให้เราอยู่ด้วยความยากลำบากหรือ? ผมรักที่จะอยู่อย่างสงบสุข มีความสุขกับชีวิตมากกว่า ความทุกข์ทั้งหลายเป็นตัวเราแส่หาเรื่องเอาเองทั้งนั้นแหละ” ผมพูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่อย่างยากลำบากมาก่อน แต่รู้ว่าความทุกข์แม้จะปลุกจิตบำเพ็ญก็จริง แต่ความทุกข์ทำให้ยากแก่การสงบจิตสงบใจเข้าสู่ภายในได้ ความเครียดวิตกกังวลมากส่งผลเสียต่อปัญญาอย่างมาก ต่างกับความผ่อนคลายสบายๆ ปัญญาย่อมแจ่มชัด สมาธิจะมาโดยธรรมชาติหากเรามีจิตใจที่เป็นปกติสุข การติดต่อกับพระเจ้าภายในก็ง่ายกว่ากันมาก เมื่อเราสามารถติดต่อกับพระเจ้าภายในได้แล้ว ปัญหาทุกอย่างจะได้รับการคลี่คลายโดยอัตโนมัติ ปาฏิหาริย์ทั้งหลายจะบังเกิดขึ้น หรืออย่างน้อยตัวเราก็รู้ว่าควรจะจัดการกับมันอย่างไรดี การอยู่ในภาวะอย่างนี้มีความสุขมากเพราะเราจะรู้สึกเป็นอิสระไม่ต้องแบกภาระอะไรเลยในโลกนี้ ทุกอย่างพระเจ้าล้วนเป็นผู้จัดการ “จงวางใจในพระเจ้า” ยิ่งเราดิ้นรนไปกับโลกภายนอกมากเท่าไร เราก็มีความทุกข์กับมันมากเท่านั้น เราวิพากษ์วิจารย์คนอื่นจนเหนื่อยล้า และไม่เกิดประโยชน์อันใด เราเอาเวลานั้นมาดิ้นรนเพื่อการแสวงหาพระเจ้าภายในจะประเสริฐกว่า คุ้มค่ามากกว่าสำหรับเวลาชีวิตอันน้อยนิดของเรา แม้เวลาที่ผมล้มป่วยอาการหนักสาหัสอยู่นั้น ผมก็จะไม่ขอพระเจ้าให้หายจากการเจ็บป่วย เพราะมันทำให้ผมเข้าใจคนที่กำลังเจ็บป่วยมากขึ้นว่าเขารู้สึกอย่างไร ด้วยความสงบระงับผมล้มป่วยด้วยความสงบสุขและพร้อมที่จะตายอย่างมีสติ......
หลวงพี่เคยเล่าว่า เพื่อนคนหนึ่งของหลวงพี่สามารถระลึกชาติได้ ชายคนนี้นับถือหลวงพี่มาก กำลังศึกษาธรรมะอยู่กับหลวงพี่ในปัจจุบัน หลวงพี่เคยให้เขาดูอดีตชาติให้ ในช่วงหนึ่งที่หลวงพี่ไม่ค่อยสบายใจในฐานะความเป็นนักบวชของตัวเองนัก หลวงพี่เกิดคำถามว่า ”เวรกรรมอะไรหนอทำให้ต้องเกิดมาบวชตลอดชีวิต?” ชายคนนั้นได้ดูอดีตชาติให้หลวงพี่แล้วบอกว่า ชาติที่ผ่านมาหลวงพี่เคยเกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในสมัยพระนเรศรวร หลวงพี่เกิดเป็นนางหน้าห้องของพระองค์ ในเวลาต่อมาได้บวชเป็นแม่ชีเพื่อปฏิบัติธรรม และก่อนจะตายเคยตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ว่า “ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติก็ขอออกบวชทุกภพทุกชาติไป” ทำให้ชาติปัจจุบันหลวงพี่จึงไม่อาจหนีคำอธิษฐานนี้ได้พ้น ทั้งที่หลวงพี่เคยลาสิกขาบทสึกออกไป แต่ในที่สุดก็มีเหตุให้ต้องกลับมาบวชใหม่ นั่นเป็นครั้งหนึ่งครั้งเดียวในชีวิตของหลวงพี่ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับสิ่งที่อาจารย์เคยสอนพวกเราว่าอย่าตั้งอธิฐานปณิธานอะไรผูกมัดตัวเอง นั่นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก เพราะปณิธานในอดีตทำให้ปัจจุบันมีพระโพธิสัตว์หลายองค์ที่บรรลุมรรคผลแล้วแต่ไม่สามารถสำเร็จเป็นอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ล้วนถูกผูกมัดด้วยปณิธานของตัวเอง เช่น พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ขณะบำเพ็ญท่านสามารถมองเห็นสัตว์นรกได้รับความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จึงบังเกิดเมตตาจิต ท่านจึงตั้งสัตย์ปณิธานว่า “หากนรกไม่ว่าง จะไม่ไปนิพพาน” ด้วยเหตุนี้ปัจจุบันท่านยังคงอยู่ในนรกเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ เพราะอย่างไรเสียนรกไม่เคยว่างเว้น ท่านสำเร็จระดับพระโพธิสัตว์ พระอมิตาภพุทธเจ้าก่อนจะสำเร็จเป็นพุทธะก็ตั้ง ๔๘ ปณิธานช่วยสรรพสัตว์ ทำให้ท่านยังคงอยู่แดนปัจฉิมทุกๆ ชาติและสำเร็จระดับชั้นพุทธะเท่านั้น พวกท่านทั้งสองไม่สามารถเป็น “อนุตตรสัมมาสัมโพธิ” กวนอิมโพธิสัตว์ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ”สรรพสัตว์ร้องขออะไร ก็จะให้สิ่งนั้น” แม้ว่าสรรพสัตว์จะขอแต่งงาน ขอบุตรธิดา ขอเรื่องราวไร้สาระมากมาย ท่านก็จะต้องให้ถ้าสรรพสัตว์นั้นขอด้วยความจริงใจและสามารถสื่อถึงท่านได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยุ่งยากมากในการตั้งสัตย์ปฏิญาณใดใด ซึ่งล้วนแล้วแต่ผูกมัดตัวเองแทบทั้งสิ้น
อาจด้วยเพราะการได้เคยเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายพระองค์ ทำให้ชาตินี้หลวงพี่ได้พบกับอาจารย์ที่เป็นพุทธะที่มีชีวิต โอกาสอันหายากยิ่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายล้านชาติเท่านั้น เสมือนนิทานเรื่องหนึ่งที่มีเต่าทะเลตัวหนึ่งในรอบหนึ่งร้อยปีมันจะว่ายน้ำมาจากทิศเหนือจรดทิศใต้ของฝั่งคาบสมุทร และขณะเดียวกันก็มีไม้กระดานแผ่นหนึ่งมีรูอยู่ตรงกลางขนาดเท่ากับหัวเต่าพอดิบพอดี ไม้กระดานแผ่นนี้ครั้งหนึ่งในรอบร้อยปีเช่นกัน มันจะลอยน้ำจากฝั่งทะเลทิศตะวันตกไปจรดฝั่งทะเลทิศตะวันออก โอกาสที่เต่าตัวนั้นกับไม้กระดานแผ่นนั้นจะมาบรรจบพบกันพอดิบพอดีในรอบหนึ่งร้อยปีซึ่งก็ไม่รู้ว่าวันไหน ยิ่งกว่านั้นหัวของเต่าจะไปโผล่ตรงเข้ากับรู้กลางแผ่นไม้นั้นพอดิบพอดีอีกด้วย นั่นย่อมเป็นโอกาสอันหายากยิ่งจริงๆ เป็นการเปรียบเปรยคนๆหนึ่งจะได้พบกับพุทธะและปฏิบัติธรรมอันยิ่งใหญ่ อันเป็นเหตุให้สามารถหลุดพ้นได้เพียงในชาติเดียว กว่าที่หลวงพี่จะหลุดพ้นจากอดีตเก่าๆ มาได้ ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควรทีเดียว ปัจจุบันหลวงพี่ไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์ภายนอกอีก จะเป็นพระหรือฆารวาสก็ไม่มีความแตกต่างกัน ขอเพียงรู้จักด้วยจิตด้วยใจของตัวเองอย่างแท้จริงว่าตัวเองเป็นใคร และไม่ไถลออกไปจากหนทางแห่งการบำเพ็ญอันถูกต้องชัดเจนตราบจนชีวิตจะหาไม่ก็เพียงพอ.......
สมาคมนานาชาติอนุตราจารย์ชิงไห่
ศูนย์กรุงเทพ
537/191-192 ซอยสาธุประดิษฐ์ 37 ถนนสาธุประดิษฐ์
แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กทม. 10120
โทรศัพท์ 02-682-0015 โทรสาร 02-682-0014
รถเมล์ที่ผ่านหน้าซอย สาย 35, 62, สองแถวแดง สาย 1279 (วัดดอกไม้)