อทิสมานกาย ๗ ถึงแม้ว่าจะยังเป็นแค่หัวค่ำอยู่ ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว อากาศค่อนข้างมืดครึ้มเพียงสลัวๆเท่านั้น เนื่องจากบ้านเขาอยู่รายล้อมรอบไปด้วยภูเขา แสงสว่างของพระอาทิตย์เมื่อลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว อากาศบริเวณ หุบเขานั้นจึงมืดกว่าปกติธรรมดา ท้องฟ้าจะยังมีแสงอาทิตย์อยู่ก็ตาม ดีนะที่เป็นแรมต้นๆ ยังมีแสงจันทร์ ส่องสว่างไสวอยู่ เขานึกถึงคำที่ให้สัญญาว่าจะไปหาหลวงพ่อทองได้ จึงได้รีบแต่งตัวแต่ไม่ลืมที่จะนำเอา ไม้แกะของอ้อยพกติดตัวไปด้วย พลางเดินไปหาพ่อแม่แล้วกล่าวขอตัวไปพบหลวงพ่อทอง ครั้นออกมาก็แลเห็น ทั้งสองกำลังนั่งสนทนากัน ส่วนแม่เข็มกำลังแกะสลักท่อนไม้อยู่ คุยพลางแม่แกะสลักไปพลางๆ เขาเข้า ไปหาบอกว่าจะต้องไปพบหลวงพ่อก่อน เดี๋ยวจะกลับมา ครั้นพ่อเชียรได้ฟังเช่นนั้นก็ว่าดีแล้วด้วยเอ็งรับปากหลวงพ่อไว้ควรจะรีบๆไป เอาจักรยานพ่อไปด้วยก็ แล้วกันจะได้เร็วขึ้น จอดพิงอยู่ข้างๆเสาใต้ถุนบ้านนะ ครับๆ.....ชายหนุ่มกล่าวตอบ อ้อๆๆๆ.... เอ็งคอยเดี๋ยวนะ...... พ่อเชียรกล่าวขึ้น พูดเสร็จพ่อเชียรก็เดินเข้าไปยังห้องพระหายไปสักพักหนึ่งก็เดินกลับมาพลางยื่นของสิ่งหนึ่งให้แก่เขา เขานำมามองเป็นควายธนูที่เห็นพ่อวางไว้บนพานที่โต๊ะหมู่พระฤๅษีนั่นเอง เป็นสีเงินหนึ่งตัว หวายหนึ่งตัว แล้วพ่อเขาก็กล่าวว่า เอ็งพกติดตัวไปด้วยถึงแม้ว่าเอ็งจะมีสิ่งคอยช่วยเหลืออยู่ก็ตาม แต่อย่าได้ไว้ใจ จำไว้อย่าประมาทเป็นอันขาด พร้อมทั้งบอกวิธีการใช้และการเรียกควายธนูแก่เขา พ่อได้ปลุกเสกแล้วไม่ต้องใช้คาถามากหรอก สิ่งที่พ่อกล่าวคาถานั้นแค่ประโยคสั้นๆเท่านั้น เขาจำได้ขึ้นใจ แต่พ่อยังถามว่าเอ็งจำได้ไหมลูก จำได้ครับพ่อ ไม่ยาวนักหรอก แล้วเขาก็ท่องให้พ่อฟัง อืมม???.... ความจำเอ็งดีมากคงจะเรียนรู้อย่างอื่นไม่นานหรอกนะ ชายผู้เป็นพ่อกล่าว ส่วนแม่เข็มกล่าวขึ้นบ้าง พร้อมล้วงหยิบผ้ายันต์สีแดงแต่ค่อนข้างจะเก่าๆมากๆ ในอกเสื้อของแก มาส่งให้ กล่าวว่า เอ็งพกติดตัวไปด้วยนะ ภัยต่างๆจะทำอันตรายไม่ได้หรอก แต่ว่าเพียงของพ่อเอ็งก็เหลือเฟือแล้วล่ะ?.. เอาติดตัวกันไว้เฉย หากผิดปกติก็หยิบมาแล้วฟาดใส่มันเท่านั้นพอ ผู้เป็นแม่กล่าวแก่ลูกชายคนเดียว ครับๆงั้นผมไปก่อนล่ะนะ พลางหยิบไฟฉายขึ้นมาเสียบระหว่างกางเกงที่คาดไว้ด้วยผ้าขาวม้า แถวๆเอวไว้ ผมไปก่อนนะครับ กล่าวพลางยกมือขึ้นไหว้พ่อแม่ เออๆๆๆ!!!....เออไม่ต้องห่วงหรอกแค่ เจ้าเงิน เจ้าหวายก็พอเพียงแล้วล่ะ???.... เวลาใช้เอ็งกำใส่ฝ่ามือแล้ว ภาวนาคาถาที่พ่อให้ไว้แล้วแบมือออก มันก็จะพุ่งออกจากฝ่ามือเอ็งไป ไม่ต้องกลัวหายหรอกแล้วมันจะกลับมา หาเองอีก เมื่อมันมาให้แบฝ่ามือไว้ร่างมันก็จะเหมือนเดิม พ่อสั่งเขาไว้อย่างห่วงใย ไปเถอะลูกเดี๋ยวจะมืดกว่านี้แม่เข็มเตือน เขาก้าวลงบันไดไปยังรถจักรยานค่อนข้างเก่าสักหน่อยแต่ยังใช้ งานได้ดี อ้อยๆๆๆ.....ไปกับน้าด้วยนะช่วยคุ้มครองด้วย เสียงหวานๆหัวร่อทางด้านหลังเขา เขาหันไปมองทางเบาะด้านหลังเขา เห็นร่างหญิงสาวสวยนั่งอยู่แล้ว ขอกอดเอวหน่อยนะน้า.... เดี๋ยวอ้อยจะหล่นเสียก่อนจ๊ะ!!!!!..... ตามสบายเถอะอ้อย จะทำอะไรเชิญเลย จริงหรือเปล่าล่ะน้า อิอิ ให้มันจริงดังคำพูดน้านะอ้อยจะจำไว้ พลางส่งเสียงหัวร่อสดใสดังขึ้น พอถึงตอนนี้เขานึกขึ้นได้ก็เลยชะงักคำพูด????...... และไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขารีบปั่นจักรยานออกไปชะลอเพื่อเปิดประตูรั้วแต่ เหมือนมีคนมาเปิดให้ก่อนแล้ว เขางงก็เขาเป็นคนไปปิดเองนี่นา แต่ตอนนี้มันเปิดออกกว้างพอจักรยานจะผ่านไปได้ เมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็รู้ว่าคงเป็นด้วยหญิงสาวคนนี้นี่เองแหละ ดังนั้นจึงไม่พูดอะไรรีบปั่นจักรยานเลี้ยวขวา มือผ่านไปตามทางที่ขรุขระ อาศัยแสงของพระจันทร์ส่องสว่างเห็นทางรำไรอยู่ จึงไม่ต้องใช้ไฟฉายด้วยความชำนาญ ทางและร่างกายของเขาที่กำยำบึกบึนไม่นานนัก เขาก็มองเห็นวัดอยู่ข้างหน้า พอผ่านประตูวัด ก็เห็นเจ้าจุกมายืนคอยรับอยู่แล้วพร้อมด้วยพวกเด็กๆ พลางหัวร่อกันลั่น เจี้ยวจ๊าวไปหมดเข้า มาทักทายเขา เจ้าจุกถามว่ามาหาหลวงพ่อหรือน้า หน๋อยแน๊ะอีอ้อยมึงหนอมึงกอดน้าเสียกลมเชียวล่ะ แหม๋ๆๆๆพอเป็นสาวหน่อยคิดจะมี ผ. สระ อัว. เสียแล้วล่ะซิ.....แล้วมันก็แลบลิ้นหลอกหญิงสาวนามอ้อยทันที โถๆๆๆ.....พี่จุกนี่ช่างปากมากจริงๆนะ หากเป็นได้ก็ดีซิอ้อยไม่รังเกียจหรอก???....กลัวไม่จริงนะพี่จุก... คราวนี้ชายหนุ่มหันมาถามเจ้าจุกทันที หลวงพ่อจำวัดหรือยังล่ะจุก????.... ยังหรอกน้า...... หลวงพ่อนั่งคอยอยู่ที่พนักพิงนั่นแหละจ้า.... เจ้าจุกตอบ งั้นน้าไปก่อนนะจุก ไปเล่นตามสบายเดี๋ยวจะดึกมากหลวงพ่อท่านจะได้พักผ่อน.....ชายหนุ่มกล่าว อ้อย ก็เหมือนกันไปเล่นกับพี่จุกและพวกซิ ไม่ต้องตามมาด้วยหรอก.....เวลากลับจะเรียกกลับด้วยกัน จ๊ะพี่..เฮ้ยๆ...จ๊ะน้า.... สาวอ้อยตอบ แล้วก็ลงจากรถจักรยานไปหาเจ้าจุกและพวกทันที ทั้งๆที่เขากำลังขี่รถอยู่ แต่บัดนี้เขาไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว รู้แล้วว่าอะไรคืออะไร เมื่อขี่รถไปถึงกุฎีหลวงพ่อเห็นท่านนั่งคอยอยู่ ก็รีบเอารถพิงไว้เสากุฎี แล้วล้างเท้าขึ้นบันไดไป กราบที่เท้าหลวงพ่อ สามครั้ง เออๆๆๆ....มาแล้วหรือ เป็นอย่างไรมีอะไรอีกหรือเปล่า แต่พ่อแม่มึงให้ของติดตัวมันไม่กล้าหรอกว๊ะ หลวงพ่อ กล่าวขึ้นลอยๆ ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับหลวงพ่อไม่เหมือนเมื่อคืนวานครับ เล่นงานผมเสียแทบตายเชียวล่ะ...ชายหนุ่มนึกสยอง ก็นั่นซิ มันเคยแพ้กันมาแล้ว มันกลัวก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมา ขืนออกมาเห็นทีจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เสียแล้วล่ะ กูเองก็ไม่อยากจะทำมันหรอก แต่เมื่อร้ายมากๆเข้าก็เห็นจะต้องให้อยู่ไม่ได้ต้องให้ไปอยู่ที่อื่นล่ะ???..... เออ!!!!!.....อีกไม่นานหรอกมันก็ต้องไปแล้วล่ะ ตอนนี้มันกำลังชักชวนพวกจะไปอยู่ด้วยกัน ทำไมหรือครับหลวงพ่อ????... ชายหนุ่มนั่งพนมมือคอยรับฟังอยู่ ก็เพราะไอ้ดำหมอผี ที่บ้านบางกระดี่ให้พวกมันมาชวนพวกมันนะซิ....เฮ้อๆๆเวรกรรมของมันนะแต่ว่าเถอะก่อน นั้นมันก็ทำตัวเหลวแหลกอยู่แล้วจึงถูกฆ่าตาย ส่วนไอ้เปรตสี่ตัวก็เหมือนกัน ดีเหมือนกันหมู่บ้านนี้จะได้สุขสบายขึ้น หลวงพ่อกล่าว ชายหนุ่มนึกได้ว่า หมู่บ้านบางกระดี่อยู่ห่างไปแค่สองสามเนินเขาก็จะถึง แต่เขาไม่เคยไปเที่ยวงานที่นั่น เลย เพราะมัวแต่ดูหนังสือเรียนเพื่อสอบและเขาไม่ใช่คนชอบเที่ยวอีกด้วย แม้นจะลือว่าสาวๆแถวๆนั้นสวยมากก็ตาม เพียงสงสัยว่าเหตุใดจึงมีหมอผี ทั้งๆที่ก่อนนั้นหมู่บ้านนี้ไม่เคยมีหมอผีหรืออาจารย์ใดๆเลยนี่นา ครั้นจะถามหลวงพ่อ ก็เกรงใจท่าน เพียงนึกในใจว่าสักวันเห็นจะต้องไปแน่ๆรอโอกาสให้แน่นอนเสียก่อน เขาคิดนึกในใจคงไม่นานหรอกจะได้เห็นดีกันแน่นอน งั้นมึงตามกูมาไปยังกุฎีก่อน กูจะสอนวิชาบางอย่างให้แล้วก็ให้หัดเขียนอักขระขอมไว้ด้วย ครับหลวงพ่อ ชายหนุ่มตอบสลัดความคิดนั้นออกไปทันที แล้วหลวงพ่อก็ลุกขึ้นเดินนำหน้าเขาเข้าไปในกุฎี ซึ่งเปิดไฟตะเกียงลานอยู่แล้ว แสงสว่างจ้าแรงมาก แรงกว่าตะเกียง โป๊ะของบ้านเขาเสียอีก หลวงพ่อหันไปหยิบหนังสือที่หัวนอนท่านที่กองไว้มากมาย คัดเลือกเอามาให้เขา สองสามเล่ม พลางเอ่ยขึ้นว่า เอ็งเอาไปท่องไว้แล้วมาท่องให้หลวงพ่อด้วยนะ ส่วนอีกเล่มหนึ่งเป็นวิธีเขียนอักขระขอม อีกเล่มหนึ่งเป็นการ การเขียนเลขยันต์ต่างๆ เอ็งหัดเขียนตัวหนังสือก่อนก็แล้วกัน แล้วหลวงพ่อก็ให้เขาเปิดหนังสือหน้าแรก ท่านก็ท่อง ให้เขาฟังตั้งแต่ตัวแรก คือ นะ โม พุทธ ธา ยะ แล้วถึงจะมาถึงตัว กะ ขะ คะ ฆะ งะ ฯลฯ พร้อมชี้ว่าตัวนี้เขียนอย่างไร หลวงพ่อให้เขาเขียน คำ นะโมพุทธายะก่อน ด้วยอักขระขอม โดยจับมือเขาเขียนตัว นะ บอกว่าตัวเขียนที่ตัว หัวก่อนถึงจะไปตัวหาง แล้วบอกว่า แต่ละตัวต้องเรียกสูตรไว้ด้วย เช่น ตัว นะ เอ็งจำไว้ นะ กะโรโหติสัมภะโว จง มาบังเกิดเป็นตัว นะ เป็นต้น ทุกๆตัวอักขระต้องใช้คำ กะโรโหติสัมภะโว ทุกตัวอักขระ แม้จะเป็นเป็นตัวอื่นก็ต้องว่าเหมือนกัน ส่วนเกร็ดย่อยนั้นแล้วแต่มึงจะใช้ เช่น เช่นมนต์เมตตานั้น มึงพอเขียนที่หัวตัวนะก็เริ่มว่า นะกะโรโหติสัมภะโว จงบังเกิดเป็นตัว นะ แล้วค่อยว่าเกร็ดย่อย นะ เมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเห็นเอ็นดู ฯลฯเป็นต้น เกร็ดย่อยจะแตกต่างกันไปถ้าทางเมตตาอย่างหนึ่ง ทางคงกระพันชาตรีก็อีกอย่างหนึ่ง ทางไล่ผีไล่คุณไสย์ก็อีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่เหมือนกันตามอักขระเลขยันต์ที่ใช้กำกับไว้ ซึ่งมีมากมายนัก อยู่ที่ว่ามึงจะจำได้แค่ไหนเท่านั้น ทุกๆตัวอักขระต้องตามด้วยเกร็ดย่อยแตกต่างกันไป สำหรับใช้เขียนยันต์ต่างๆ เอ็งไปหัดเขียนอักขระให้ชำนาญเสียก่อนไม่ต้องสูตรเรียกตัวหรอก แต่หากมึงเรียกได้ก็ดีจะได้ติดจำไว้จะได้ไม่พลาด หลังจากนั้นหลวงพ่อก็สอนวิชาอื่นๆที่ไม่ได้ใช้ตัวเลขยันต์อักขระให้ไปสวด ซึ่งมีหลายๆบท แล้วท่านก็เอนหลัง พิงหมอนที่ทำด้วยผ้าจีวรซ้อนๆกันเป็นหมอนฟังเขาท่องมนต์ที่สอน ไว้ หลังจากเขาท่องได้สองสามเที่ยวก็คล่อง หลวงพ่อถึงกับเอ่ยปากชมเชยเขาทันที เออๆๆๆๆ....มีความจำดีว๊ะ คนอื่นกูสอนให้ท่องแค่สองสามบทมันยังท่องไม่ได้ แต่นี่มึงตั้งหลายบทใช้ เวลาเดี๋ยวเดียวก็คล่องแล้ว หลวงพ่อชมเชยเขา อย่างนี้เองซิ???...มึงถึงได้ทุนไปเรียนกรุงเทพฯและสอบเข้าเรียนในสิ่งที่คนต้องการซ้ำได้ลำดับดีๆเสียด้วย ทั้งๆที่ไม่มีเส้นสายกับเขานะ บางคนเสียเงินเสียทองไปเยอะแยะก็ยังไม่ได้เลย แต่มึงไม่มีอะไรเลยมีแต่วิชาความรู้ ที่มึงร่ำเรียนมาเท่านั้น คนเก่งกว่าผมก็มีอีกแยะครับหลวงพ่อ ผมแค่ทดลองได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ได้ตั้งความหวังไว้มากๆ หรอกครับหลวงพ่อ ชายหนุ่มตอบ แต่กูว่ามึงถ่อมตัวมากกว่าว๊ะ อย่าปิดบังกูเลย กูรู้หรอกว่ามึงเป็นอย่างไร ด้วยใจมึงบอกกู.....หลวงพ่อหัวร่อลั่น ใจมันบอก????.....เขาสงสัยอะไรใจเขาจะไปบอกหลวงพ่อได้อย่างไร???.... ชายหนุ่มนึก มึงไม่ต้องสงสัยอะไรหรอกว๊ะ ด้วยกูจะสอนวิธีฝึกสมาธิ ความรู้จะขลังหรือไม่ขลังไม่ใช่ตัวอักขระหรอกนะ ต้องประกอบด้วยจิตสมาธิที่แกร่งกล้ามั่นคง จนเกิดพลังงานชนิดหนึ่งเขาเรียกอะไรว๊ะกูชักลืมๆ... หลวงพ่อนั่งนึก อ้อๆๆๆ....พลังงานไฟฟ้านะโว้ยมันมีทุกๆแห่ง หากจิตมีมีสมาธิจนเกิดพลังงานไฟฟ้าทุกๆอย่างมันก็ง่ายว๊ะ หลวงพ่อตอบ เดี๋ยวกูจะสอนมึงให้นั่งสมาธิ มึงท่องไปให้กูแน่ใจก่อนนะ กล่าวเสร็จหลวงพ่อก็หลับตาฟังเขา เขาจำเป็นต้องนั่งท่องเที่ยวแล้วเที่ยวเล่าจนได้เวลา หลวงพ่อก็ลืมตาพลางกวักมือเรียกเขา เออๆๆๆๆพอแล้วมึงได้แล้วไม่พลาดสักคำเดียว ตอนนี้กูจะฝึกให้มึงหัดนั่งสมาธิก่อนนะโว้ย.... แล้วหลวงพ่อก็ทำให้เขาดูเป็นตัวอย่าง โดยท่านไปที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาพระ ท่านกราบลงสามครั้งแล้วสวดมนต์ เสียงดังๆเพื่อให้เขาจำได้ แล้วหันมาถามเขาว่า มึงลืมหรือยังการไหว้พระที่กูเคยสอนมึงตั้งแต่เด็กๆนะ???.... หลวงพ่อถาม ไม่ลืมหรอกครับ ตั้งนะโมสามจบแล้ว สวดพุทธังสรณังคัจฉามิฯ ครบสามท่อนแล้วสวดอิติปิโส พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ แล้วสวดบทพาหุง ผมจำได้ไม่ลืมหรอกครับด้วยใช้ประจำก่อนจะนอน เออๆๆดีๆๆๆแล้ว แค่นี้ก็เอาตัวรอดได้แล้วล่ะว๊ะ แค่ไตรสรคมณ์บทเดียวก็เหลือกินแล้วล่ะ พุทธังสรณังคัจฉามิ บทเดียว แค่นี้ผีมันก็เข้าใกล้มึงไม่ได้แล้วล่ะ แปลว่าอะไรมึงรู้ไหม???... ขอเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งครับ ใช่หรือเปล่าครับ ชายหนุ่มถามกลัวผิด เออๆๆๆใช่แล้วล่ะว๊ะ!!!!!!...... หากมึงเดินทางไปไหนภาวนาบทนี้บทเดียว ความชั่วร้ายทั้งหลายมันก็ไม่กล้า เข้ามาใกล้มึงทำอะไรมึงไม่ได้หรอกว๊ะ หลวงพ่อกล่าวไปหัวร่อไป แต่มันใช้กับพวกมนต์ดำที่เขาแก่กล้ากว่าไม่ได้ ด้วยมนต์ดำหรือพวกไสยาศาสตร์นั้นมันตรงกันข้าม คือขาวเป็นดำ แต่อย่างไรมันก็สู้บทนี้ไม่ได้ หากมึง มีสมาธิแก่กล้าจิตใจมั่นคงไว้มีพลังงานจิตสูงๆ ที่กูให้มึงเรียนเลขมนต์อักขระคาถาไว้ก็เพื่อจะได้ไปช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์ช่วยเหลือพุทธศาสนาไว้ แก้ไขพวกมนต์ดำที่มันใช้พวกผีทั้งหลายกระทำคนดีๆให้เสียคนไป หลวงพ่อ กล่าวกับชายหนุ่ม เพื่อให้เขามีจิตใจมั่นคงเชื่อมั่นในพระพุทธคุณ พระธัมมะคุณ พระสังฆะคุณ ไม่หลงไปในทางอบายใฝ่ต่ำทาง ไสย์เวทย์มนตร์ดำเท่านั้น เมื่อเขาโดนของที่ปล่อยออกมาจะได้แก้ไขได้ หลวงพ่ออธิบายคร่าวๆให้เขาฟัง เอาล่ะมึงมานั่งและสวดมนต์บูชาพระก่อนแล้วนั่งทำแบบกู สังเกตดูลมหายใจเข้าออกว่า หายใจเข้าก็จงรู้ว่า หายใจเข้า หายใจออกจงรู้ว่าหายออก ลมหายใจแรงหรือเบาๆเราต้องรู้ให้หมด วางจิตใจมึงอย่าให้ฟุ้งซ่านคิดไป ที่อื่นๆทั้งสิ้นปล่อยวางเสีย เอาจิตใจมึงวางลงไว้ที่อาศัยของเขา ที่อาศัยของจิตใจคือ อยู่ที่ทรวงอกมึงระหว่าง กลางทรวงอกที่เรียกว่าลิ้นปี่นี่แหละ คือที่อาศัยของจิตใจเรา เวลามึงจะนอนหลับไปจิตใจทั้งหลายจะมารวมกัน ไว้ที่นี่นะ หากจิตมึงฟุ้งซ่านคิดมากหรือมีสิ่งเข้ามาในหัวมึงมากๆ มันก็จะออกไปเที่ยว เมื่อถึงเวลามันก็จะต้อง กลับมารวมกันที่นี่เหมือนเดิม ด้วยเป็นบ้านพักของมัน มึงจำกูไว้ หลวงพ่อกล่าว ครับหลวงพ่อผมจะจำคำหลวงพ่อไว้ ชายหนุ่มก้มลงกราบที่ได้รับการแนะนำสั่งสอน หากมึงรู้ที่อยู่ของจิตดีแล้ว จิตใจมึงก็จะแข็งแกร่งไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น จิตก็จะรวมตัวกันได้ง่ายขึ้นมึง เริ่มทำได้แล้ว กูจะคอยนั่งควบคุมมึงดู หลวงพ่อกล่าว ครั้นชายหนุ่มได้รับฟังเช่นนั้น ก็ไปนั่งกราบพระพุทธรูปแล้วสวดมนต์เสียงดังเพื่อให้หลวงพ่อได้ยินด้วย แล้วนั่งขัดสมาธิวางมือเลียนแบบหลวงพ่อหลับตา พิจารณาลมหายใจเข้าออกให้มาสิ้นสุดที่ระหว่างลิ้นปี่ไว้ไม่ ให้เลยไป เขาทำไปสักพักเขารู้สึกประหลาดใจ เอ๊ะๆๆๆ.....แปลกทำไมใจเขาไม่ฟุ้งซ่านส่งไปข้างนอกก่อน นั้นเขาก่อนจะนำจิตมาวางที่ลิ้นปี่ เขารู้แค่ปลายจมูกจิตใจเขากับคิดไปต่างๆนานา แต่พอเอาจิตมาวางไว้ที่ กลางทรวงอกลิ้นปี่ รู้สึกจิตใจห้าวหาญขึ้นและไม่หนีไปไหน เห็นจะจริงอย่างหลวงพ่อท่านกล่าวไว้ สักครู่หนึ่งจิตเขาก็สงบ รู้สึกเยือกเย็นสบายอกสบายใจยิ่งนัก เพลิดเพลินกับการนั่งสมาธิ จวบจนได้ยินเสียงหลวงพ่อกล่าวขึ้นว่า เอาล่ะๆ .......เอาเท่านี้ก่อนก็พอนี่ก็นานแล้ว เดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง มึงกลับบ้านได้แล้ว ครับหลวงพ่อเขาลุกขึ้นจากท่านั่งสมาธิ คลานไปกราบหลวงพ่อเพื่อจะอำลากลับ ถามหลวงพ่อว่าเวลานี้ ประมาณเท่าไหร่ครับหลวงพ่อ กูคิดว่าสามทุ่มกว่าๆได้กระมัง???....หลวงพ่อตอบ อะไรๆๆ....เขาว่าเรียนและนั่งสมาธิแค่แป๊บเดียวนี่นา ชายหนุ่มคิด กำลังเพลินๆอยู่เชียวนาไม่น่าจะนาน เท่านี้เลย ถ้าอย่างนั้นผมกราบลาหลวงพ่อเลยนะครับ เออๆๆๆ.....ไว้พรุ่งนี้มาใหม่นะโว้ยอย่าลืมเสียล่ะ กูก็แก่มากแล้ว หลวงพ่อตอบ ครับหลวงพ่อ ผมจะมาให้เร็วกว่านี้อีกครับกำลังสนุก หลวงพ่อคิดว่า ไอ้เด็กคนนี้หัวมันก็ไวสมาธิมันก็ดีหรือบุญเก่ามันสร้างสะสมไว้กระมัง เห็นมันเข้าสมาธิจนถึงขั้น อุปาจารสมาธิแล้ว ก้าวหน่อยก็จะถึงปฐมฌานแล้ว อืมม!!!!????.....เห็นทีกูรับศิษย์ไม่ผิดแน่ๆ หลวงพ่อรำพัน แล้วหันไปกล่าวว่า หากมึงเจออะไรก็แล้วแต่ที่มาร้ายมึงตั้งจิตไว้ที่อยู่ของจิตมึงนะ มึงจะได้ไม่ต้องกลัวว๊ะเวลาใช้ของก็ให้เกิดจาก ที่ตั้งจิตมึงพยายามทำให้เข้มแข็งไว้แล้วทำตามพ่อมึงบอกนะ อย่าลืมล่ะ หลวงพ่อสั่งไว้ ครับหลวงพ่อ กล่าวเสร็จพลางก้มลงกราบอีกครั้งแล้วก้าวลงบันไดไป เห็นร่างเจ้าจุกและเด็กๆทั้งหลายรวมทั้ง สาวอ้อยยืนรออยู่แล้ว เขาจึงกล่าวว่า ไปก่อนนะจุกๆและพวกเรา อ้อยล่ะจะไปหรือว่าจะอยู่ที่นี่ก่อน ชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาว ไปซิจ๊ะพี่..อุ๊ยจ๊ะน้า....มาด้วยกันก็ต้องไปด้วยกันซิ แล้วหันไปทางเจ้าจุกกล่าวว่า ข้าไปก่อนนะพี่จุกและน้องๆทั้งหลาย.....เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ ไปล่ะ...... * แก้วประเสริฐ. *
10 พฤศจิกายน 2553 23:43 น. - comment id 119945
สวัสดีค่ะครู ตามมาปูเสื่ออ่านก่อนค่ะ ศิษย์สวดมนต์ทุกวันจากหนังสือบทสวดมนต์ของหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวันค่ะครู สวดทั้งเล่ม มีคำบุชาพระรัตนตรัย ชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ) ชัยปริตร (มหากาฯ) อิติปิโส สวดเกินอายุหนึ่งจบ พระึคาถาชินบัญชร ยอดพระกัณฑ์ ไตรปิฎก ปัญญาบารมี 30ทัศ บทแผ่เมตตาแก่ตนเอง คำอธิษฐานอโหสิกรรม บทแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ บทแผ่ส่วนกุศล กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกวันอาทิตย์จะไปวัดใส่บาตร รับศีลรับพร ทำบุญกรวดน้ำ นั่งสมาิธิ ไม่ได้คิดจะไปรับประทานอาหารอย่างเดียวค่ะครู ได้ล้างถ้วยชามให้วัดด้วย เดี๋ยวนี้ศิษย์ไม่อยากลงกลอนทำอาหาร พราะมีคนมองว่าไปวัดเพื่อกินอาหาร รู้สึกเศร้าใจในความคิดของคนที่มีอคติค่ะครู ศิษย์อยากให้ผู้หญิงไทยหันมาทำอาหารกันมากกว่าการซื้อสำเร็จรูป ต่อไปนี้ศิษย์จะไม่โต้ตอบใครทั้งสิ้น จะทำตามที่ครูแนะนำสั่งสอน ชีวิตใครชีวิตมันนะคะครู ใครไม่เห็นด้วยกับวิถีชีวิตของเรา ก็เป็นเรื่องของเขา เราไม่เห็นด้วยกับเขา ก็เป็นเรื่องของเรา ไม่ก้าวก่ายกัน รออ่านตอนต่อไปค่ะ รู้สึกว่าสาวอ้อย กำลังหลงรักหนุ่มโชติอยู่นะคะ
11 พฤศจิกายน 2553 01:17 น. - comment id 119946
คุณ อนงค์นาง ดีแล้วจ๊ะศิืษย์รัก คนทำได้คนไม่ทำไม่ ได้่ อ.จรัล วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ท่านเป็นอ. สำนักวิปัสสนา มีคนนับถือกันมากและมี ผู้ไปปฏิบัติธรรมทั้งหญิงชายมากมาย โดยเฉพาะบทพาหุงมหากานั้นท่านจะแนะนำ ให้สวดเท่าอายุึ พาหุงคือการสวดถวายพรพระ มหากานั้น คือ มหาการิโกนาโถ หิตายะสัพ พะพานินัง ปุัเรตตะวา ปาระมีสัพพาปัตโต สัมโพธิมุตตะมังเอเตนะสัจจะวัชเชนะ โหตุเม(เมหมายถึงตัวเรา เตหมายถึง คนและสัตว์ทั่วๆไป)ชัยยะมังคะลังฯ แล้วต่อด้วยชยันโตฯลฯจนจบ เรียกว่า มหากา บทสวดที่ครูว่าสำคัญที่สุดคือ บทสวดยอดพระไตรปิฎกนั่นเองจ๊ะ แต่ ดีทั้งนั้น ในเรื่องที่เขียนนี้ครูบอกถึงวิธีการ ทำสมาธิไว้ให้ด้วยนะ หากอ่านไปแล้ว พิจารณาให้ดีๆ ใช่แล้วส่วนใหญ่หญิงสมัย นี้เขาเรียกแม่บ้านอาหารถุงกันจ๊ะ ทำ อาหารไม่เป็นกันหรอก ครูยังนึกชมเธอ เลยว่าเก่งที่สามารถทำอาหารทั้งขนมได้ ยากจะหาคนมาเทียบได้จ๊ะ ปากคนยิ่งกว่าปากกาเสียอีกอย่าไป สนใจเลย บางคนมีปากก็เหมือนมีตูด คือพูดแต่ละทีเหม็นไปหมด แต่กลับว่า ปากตัวหอม อิอิ ครูปากมากไปหรือเปล่า การเขียนร้อยแก้วนี้ครูเขียนเพื่อฝึก สมอง ด้วยใช้หลายๆอย่างมาประกอบ ส่วนกลอนนั้นมันอยู่ในสมองแล้ว ส่วน ร้อยแก้วที่เขียนยาวๆนี้ต้องใช้สิ่งประกอบ หลายๆด้านจ๊ะ ครูดำเนินเรื่องไปก็เพื่อ จะยั่วลองใจเขาเท่านั้นเองแหละ อาจจะ จริงหรืออาจจะไม่จริงก็ได้ให้เขาคิดกัน เอาเองจ้า รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
11 พฤศจิกายน 2553 01:35 น. - comment id 119947
คุณ อนงค์นาง อ้อครูลืมบอกไปหน่อยว่า ที่อาศัยจิต นั้นหากฝึกตอนแรก จิตมันจะต่อต้านจะรู้ สึกแน่นที่หน้าอกเรา ไม่ต้องห่วงทำไปไม่ เท่าไหร่ก็จะสงบ เมื่อจิตมันได้รับรู้แล้ว และได้เพิ่มพลังงานจิตให้แก่จิต จะหาย ไปเองแหละ ซ้ำยังได้ประโยชน์อีกมาก ด้วยจิตก็จะแข็งแกร่งห้าวหาญเอง หากไม่เชื่อไม่จำเป็นต้องนั่งสมาธิ แบบที่เขานิยม จะทำได้ทุกๆอิริยาบถเรา ทดลองเอาลมหายใจเรามาว่าลงที่ลิ้นปี่ ของเราตรงกลางทรวงอกเรา จะรู้สึกว่า จะไม่เกรงกลัวใดๆเลย ทดลองได้จ้า ส่วนบทแผ่เมตตาที่ครูไปค้นพบมานั้น เป็นคำสวดไม่ยาวนัก เป็นของเก่า ครูใช้ ประจำนอกจาก สัพเพสัตตาอเวราโหนตุฯลฯ แล้ว ก็ตบท้ายด้วย บทโบราณบทนี้คือ อิมังกะตัง บุญญะพะลังมัยหัง สัพเพ ภาคีกะวันตุเต (หรือ เม คือตัวของเรา) จะกี่เที่ยวก็ได้สวดไปนึกถึงคุณบิดามารดา หรือเทพเทวา ผู้มีคุณ เจ้ากรรมนายเวร วิญญาณมีรูปและไม่มีรูป สัตว์ทั้งหลาย แต่อย่าลืมสวดให้เทวดาคุ้มครองเราและ ตัวเราด้วยนะ จะกี่จบก็ได้ตามที่เรานึก ครูคล้ายๆว่าจะเป็นคำสวดแผ่เมตตาของ ท่านท้าวพระยมราช แต่ไม่แน่ใจนะ ด้วยได้มานานแสนนานแล้ว ด้วยพอจะ จำได้ว่าสวดมนต์แผ่เมตตาอื่นๆบางที ได้รับบ้างทีไม่ได้รับบ้าง แต่หากบทนี้จะได้ รับหมด นึกถึงใครสวดบทนี้ให้เขาก็แล้ว กันจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
11 พฤศจิกายน 2553 20:46 น. - comment id 119949
เริ่มสนุกแล้วครับ พระเอกกำลังศึกษาพระเวทย์
11 พฤศจิกายน 2553 20:54 น. - comment id 119950
ได้ประโยชน์มากเลยค่ะ อ่านเม้นท์ให้คุณอนงค์นางแล้วจะลองดูบ้าง ขอบคุณค่ะ
11 พฤศจิกายน 2553 21:39 น. - comment id 119953
คุณ กิ่งโศก ไม่สนุกเท่านั้นนะ ศิษย์รักเราควรจะหัดไว้บ้างได้ประโยชน์หลายอย่าง มากกว่าการ เขียนร้อยกรองเสียอีก ต้องหลากหลายจด จำจริงๆ ได้ทั้งการเขียนการทำงานด้วย ครูคิดว่ามากมายนัก การเขียนร้อยแก้วเป็นนิยายนั้นยากกว่า ร้อยกรองตั้งแยะ น้อยคนนักจะสร้าง จินตนาการให้เป็นเรื่องยาวๆได้ ต้องรอบ รู้สิ่งอื่นๆอีกมากมายนำมาประกอบตบแต่ง ให้เป็นเนื้อเรื่องสอดคล้องกันและกัน รักศิษย์รักเราเสมอ แก้วประเสริฐ.
11 พฤศจิกายน 2553 21:51 น. - comment id 119954
คุณ แจ้นเอง ผมทดลองมาหลายวิธีจากอาจารย์ต่างๆ มาก็มากพอสมควร จนมาพบวิธีนี้จึงรู้ว่าทำ ไมเหตุใดจิตเราจึงฟุ้งซ่านและชอบออก ไปนอกลู่นอกทางเสมอๆ ครั้นพบวิธีนี้ทำได้ก็สามารถบังคับจิตเรา ได้ง่ายด้วย อย่าพึ่งท้อถอยตอนแรกมันจะ ต่อต้านเรามาก เหมือนบ้านมัีนอยู่ๆมีเราไป อยู่ร่วมกับมันนั่นแหละ มันจะกีดกันเราทำ ฤทธิ์เดชต่างๆนานา เราอดทนเรียกว่า หน้าด้านไว้ จนมันยินยอมผลหรือครับ มากมายมหาศาลเชียวล่ะ อย่างน้อยนั้น ปัญญาไม่เสื่อม เพิ่มพูนปัญญาเราอีก ด้วยจิตมันจะรู้ก่อนใคร เมื่อเราอาศัยมัน อยู่ด้วยมันจะบอกเราเองแหละ จิตเจตสิก ต่างกันคือ จิตมันปากมากรู้อะไรบอกหมด เจตสิกมันไม่บอกมันจะจดไว้อย่างเดียว แล้วส่งไปที่ใจ ผมจะยกสิ่งหนึ่งทำไมท่านท้าวพระยา ยมราช ท้าวผู้จัดบันชีความดี บัญชีความ ชั่วของคน สามารถรู้ว่าคนนี้ดีหรือชั่วได้ ก็ด้วยจิตนี้เองแหละ จิตเจตสิกใจเป็น ส่วนหนึ่งของวิญญาณ เมื่อเปิดจิต จิตมัน จะบอกหมดไม่ว่าจะไปทำอะไร หรือเอา ง่ายๆคือการโกหกของเรา เราสามารถ โกหกคนอื่นได้ร้อยแปดพันเก้า แต่เราไม่ สามารถจะปิดโกหกเราได้เลยและจะลืมก็ ไม่ได้จริงไหมครับคุณแจ้น รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
11 พฤศจิกายน 2553 21:59 น. - comment id 119955
อืม...คุณแก้วพูดถูกหมดเลยค่ะ จะพยายามค่ะ ขอบคุณมากต่ะ
11 พฤศจิกายน 2553 22:31 น. - comment id 119956
คุณ แจ้งเอง ไม่เป็นไรหรอกครับ สิ่งใดผมรู้ผมก็บอก ผมเองไม่ชอบการโกหก หรือหลอกลวงใคร ผมฝึกมาสมัยเด็กๆแล้วครับ ผมไม่ใช่พวก พหูสูตร แต่ผมเป็นคนค่อนข้างจะละเอียด ละออหน่อย ด้วยเป็นคนชอบลอง ทดลอง สิ่งใดไม่รู้ก็อยากจะรู้เท่านั้นเองครับ หาได้ เก่งกาจใดๆไม่ แต่ผมจะตอบให้แก่คนที่พอ คิดว่าจะเข้ากันได้ครับ เอาล่ะครับมาพูดใน เรื่องการทำบุญกันดีกว่า เท่าที่ผมรู้นะ ครับว่า การทำบุญที่ได้รับผลบุญมากที่ สุดคือ การภาวนา การภาวนาเมื่อจิตเรา สงบกิเลสก็เข้ามาในใจเราไม่ได้ นี่คือ ผลบุญอันมหาศาล มากกว่าการไปทำบุญ ด้านอื่น การสร้างความดีบุญกุศลมีหลาย ทางให้เราเลือก แต่ในสิ่งผลบุญทั้งหมด คณาจารย์สรุปให้ฟังว่า สู้การภาวนาด้วย การทำสมาธิเพียงแค่ช้างกระดิกหู ผลา นิสงฆ์จะมากมายมหาศาล มากกว่าทำ ทานใดๆทั้งสิ้น แม้จะสวดมนต์สักเท่าไหร่ สร้างวิหาร โบสถ์ หรืออะไรก็ตาม บวชพระ ฯลฯ เป็นต้นสู้การภาวนาให้จิตสงบ ไม่ได้เลย การภาวนานั้นมีหลายอย่าง เช่นนั่งสมาธิภาวนา เดินภาวนา นั่งภาวนา ยืนภาวนาและ นอนภาวนา ล้วนแล้วแต่เกิดผลบุญผลา นิสงฆ์ทั้งสิ้น ซ้ำยังไม่ต้องเสียเงินเสีย ทองเสียอีก ง่ายมากแต่คนมักจะไม่ค่อย สนใจ เนื่องจากกิเลสจะกีดกั้นขวางไว้ ด้วยการทำบุญมากเท่าไหร่ ก็จะได้รับ การยกย่องมากเท่านั้น นี่เป็นต้น ส่วนใหญ่ มักจะทำบุญเอาหน้า แต่หากเราจะทำบุญทานอย่างถูกต้อง แท้จริง เราต้องพร้อมด้วยสามประการ หนึ่ง เราต้องพร้อมด้วย กาย สอง เราต้องพร้อมด้วย วาจา สาม เราต้องพร้อมด้วย ใจ(อันนี้หมายถึง จิืต เจตสิกรวมอยู่ด้วย) ผลบุญทานนั้นจะบังเกิดอย่างสมบูรณ์ ต้องมีศรัทธาที่เชื่อมั่น ก็ด้วยจิตที่ตั้งมั่น คือต้องรู้จักการภาวนาจึงจะทำให้จิตใจ เราตั้งมั่นได้ เอาเท่านี้นะครับ หวังว่าคง จะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับนักบุญ เช่นคุณแจ้นเองครับ ขอบคุณรักเสมอ แก้วประเสริฐ.
2 ธันวาคม 2553 21:31 น. - comment id 120348
คุณ กิ่งโศก การเขียนร้อยแก้วนั้นต้องวางแผนไว้ เสมอๆวางไว้ล่วงหน้า ว่าจะทำอย่างไรบ้าง เป็นต้น ฉะนั้นเป็นพวกผีสางก็ควรจะรู้เวท มนต์คาถาไว้ป้องกันตัว อย่างเช่นตอนแรก นั้นเขาไม่รู้อะไรเลยป้องกันตัวก็ไม่ได้นี่คือ ที่มาในการต้องศึกษาหาความรู้ด้านนี้ไว้จ๊ะ รักศิษย์เรามากเสมอ แก้วประเสริฐ.
26 ธันวาคม 2553 18:32 น. - comment id 120779
12 มกราคม 2554 13:22 น. - comment id 121270
แสงดาวเพิ่งเข้าใจ...ผู้ที่ใฝ่ศึกษา.... ในหลายด้าน..มีข้อมูลมากมายในการเขียน.. จริงแบบที่คุณครูบอกแสงดาวไว้.... ว่าคุณครูแทรก คติสอนไว้ต่างๆมากมาย.. ขอบคุณ..คุณชายของแสงดาวนะคะ