อทิสมานกาย ๖ รถเก๋งที่กำลังขับมาด้วยความเร็วไปข้างหน้าก็หยุด ลงแต่ไม่ได้ดับเครื่อง คนขับรถก้าวลงมาจากรถมองไปยัง ร่างของชายหนุ่ม แต่ระยะทางค่อนข้างไกล ซึ่งชายหนุ่มเอามือปิดปากและจมูกไว้ยืนอยู่ริมข้างทางเพื่อรอให้ฝุ่น จางลงเสียก่อน ร่างชายกำยำแต่มีรอยสักบนท่อนแขนทั้งสองข้างเพ่งมองสักพัก ก็ก้าวขึ้นบนรถขับรถออกไป แต่มันหันไปถามเพื่อนที่เป็นชายนั่งข้างเคียงมันคู่กับหญิงอีกคนหนึ่ง ส่วนอีกคนนั่งอยู่ข้างหลังเบียดเสียดกับ หญิงสาวที่แต่งตัวออกจะเปรี้ยวทันสมัยสามคน เฮ้ย!!!!...ไอ้สน...นั่นมันไอ้โชติหรือเปล่าว๊ะ แต่เอ๊ะก็มันอยู่กรุงเทพฯนี่นาแต่ใบหน้ามันช่างคุ้นกูนัก กูก็ไม่รู้ว๊ะ....เพราะมัวเบียดกับแม่สร้อยนี่แหละ ฝุ่นมันแยะมองผ่านกระจกไปเห็นไม่ชัด.... คนถามที่ขับรถหันหลังไปถาม ชายอีกคนว่า ไอ้เบี้ยวละ!!!....มึงมองคนข้างทางหรือเปล่าว๊ะ กูก็ไม่ได้สนใจถึงมองไม่เห็นหรอกว๊ะด้วยแม่ตัวดีทั้งสามมันเบี่ยดกูแทบขี้แตกอยู่แล้ว ช่างหัวมันเถอะว๊ะ ไอ้สนตอบแทน อาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่กูสงสัยว๊ะเพราะว่ามันแต่งตัวเหมือนกับคนในกรุงเทพฯ ไม่เหมือนพวกเรานี่หว่า... คนขับรถกล่าว ไอ้ห่า!!!.......หากเป็นไอ้โชติก็ดีซิว๊ะ กูจะได้ลงไปประทืบมันหน่อย แก้แค้นมันกูยังจำได้เมื่อสมัย เด็กๆมันกระทืบกูเสียบานตะทัย เมื่อมีงานที่วัดโคกอีแร้ง มันถือว่าเป็นศิษย์วัด กูกับพวกมึงแค่ไปตบแม่ค้าขายของ และเตะพังร้านมันเท่านั้นเอง มันกับพวกเด็กวัดเล่นงานกูและมึงเสียอาน มึงจำไม่ได้หรือ?????....... กูลืมไปแล้วว๊ะไอ้แม้น เราก็โตๆกันแล้วคงไม่เหมือนเก่ากระมัง.... แต่กูไม่ลืมว๊ะ คนขับรถชื่อแม้นกล่าวอย่างไม่ยอมลืมความหลัง หน๋อยแน่เห็นเป็นคนต่างบางกันทำเป็นอวดใหญ่อวดโตนัก พอทางบ้านวัดเรามีงานกูเที่ยวตามหามันนึกว่ามัน จะมากลับไม่มา ได้ข่าวว่ามันไปที่จังหวัดเรียนต่อแล้วก็เข้ากรุงเทพฯไปเลย ไอ้ห่านี่ก็หลายสิบปีแล้วนา ....อย่าคิดมากเลยว๊ะไอ้แม้น หนุ่มชื่อสนกล่าวลอยๆ....... ไม่ให้กูคิดได้ยังไง มันไม่ให้เกียรติกูซึ่งเป็นลูกกำนันนี่หว่า มึงก็เหมือนกันเป็นลูกผู้ใหญ่บ้านหน๋อยทำเป็นลืม ไอ้แม้นตอบด้วยแสดงอาการฉุนเฉียว ขับรถกระชากครืดๆๆๆ จนรถข้างหนึ่งตกหลุมน้ำแตกกระจาย รถเซไปๆมาๆ คราวนี้ไอ้สนเงียบไม่ต่อเถียงกลับไอ้แม้น หันไปตอบหญิงสาวที่ชื่อสร้อยที่นั่งเบียดมันอยู่ซึ่งถามมัน ใครหรือพี่???......โชตินะ ไอ้สนตอบหญิงสาวที่แต่งตัวสุดเปรี้ยวว่า เรื่องสมัยตอนเด็กๆนะสร้อย ไม่มีอะไรหรอกชกต่อยกันเท่านั้นเอง มันดูแลวัดให้หลวงพ่อทองเขา เพียงแต่ แล้วมันก็หยุดชะงักไม่กล่าวต่อ โอ้ยยยๆๆๆๆ.....เบารถหน่อยพี่แม้น???...จะอ๊วกอยู่แล้วล่ะ....เรื่องมันนานมาแล้วนี่นา ช่างเถอะ แล้วเมื่อไหร่จะถึงบ้าน บางกระดี่สักทีล่ะ ถนนแย่แบบนี้เล่นเอาไส้คลอนหมดแล้วน๊ะ เสียงหญิงทั้งหลายต่างร้องเซ็งแซ่ไปตามๆกัน เดี๋ยวก็ผ่านบ้านไอ้โชติไปอีกสองสามเนินเขาก็ถึงแล้วล่ะ อดทนหน่อยนะ ไอ้สนตอบ มึงหนอมึงไอ้สน อีสร้อยก็เหมือนกันไม่เห็นเข้าข้างกูเลย ไอ้แม้นกำลังขับรถกล่าวขึ้น เถอะน่าๆ...พี่แม้นเรื่องมันนมนานมาแล้วนา หญิงสาวชื่อสร้อยเอ่ยขึ้น เอาล่ะช่างก็ช่าง....ขออย่าได้เจอกันอีกก็แล้วกัน กูเพียงสงสัยเท่านั้นเองแหละว๊ะอีสร้อย แล้วรถก็ชะลอบ้างวิ่งเร็วๆบ้าง แต่ค่อนข้างเร็วด้วยมันไม่กลังรถจะพังด้วยถือว่าหากพังก็ซื้อใหม่อีก สักครู่รถก็หายลับตาไปซึ่งเป็นทางโค้งถูกเนินเขาบัง เพียงได้ยินแต่เสียงแล้วก็เงียบหายไป บรรยากาศกลับคืนมาสู่ความเงียบสงบเหมือนเดิม เสียงนกร้องระงมเหมือนเดิม นี่ก็ล่วงเวลาบ่ายเข้าไปแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยลงต่ำมาก หากช้าอาจจะพบกับความมืดอีก ดังนั้นเขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ชายหนุ่มก็รีบเดินหลังจากฝุ่นได้จางลงมากแล้ว เขาเดินขึ้นเนินและลงไปตามทางทั้งสองข้างเต็มไปด้วย ต้นไม้ต่างๆ บ้างก็ออกดอกเล็กๆสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง สักพักใหญ่เขาก็เลี้ยวถนนเล็กๆเป็นซอยที่แยก ออกจากถนนประมาณไม่ไกลนัก ก็แลเห็นบ้านสองชั้น คือบ้านของเขาเอง แต่พ่อและแม่หายไปไหนหมด ก็ไม่รู้ บริเวณบ้านถูกกั้นด้วยแนวไม้ไผ่ขัดแตะ เขาคิดว่าพ่อแม่คงจะออกไปทำไร่ซึ่งอยู่เบื้องล่างไหล่เขาอัน ใช้สำหรับเพาะปลูก และเลี้ยงปลา ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นคอกสำหรับเลี้ยงหมูเป็นเล้าใหญ่ เสียงหมูซึ่งมีหลาย ตัวร้องลั่น กลิ่นสาปของหมูล่องลอยมากระทบจมูกเขาแม้จะเหม็นแต่เขาก็ทนได้เนื่องจากแม้จะเหินห่างมาเสียหลายๆปีก็ตาม แต่ความเคยชินด้วยเคยเลี้ยงมันมาตอนเขายังเด็กๆอยู่ หั่นต้นกล้วยผสมปลายข้าวรำให้แก่มันเสมอจึงชาชิน เสียงหมาเห่ากรรโชกประมาณสองสามตัว เขาเรียกชื่อมัน หมาทั้งสามตัวล้วนแต่ตัวผู้สูงใหญ่ทั้งนั้นหยุด เห่าทันที พร้อมกระดิกหางแล้ววิ่งมาหาเขา บ้างกระโจนใส่เขามันคงจำเขาได้แม้ว่าเขาจะไม่ได้มาเสียหลายสิบปี แต่สัญชาติฌานของหมามันคงจำกลิ่นเจ้าของได้ มันแสดงความดีอกดีใจกันใหญ่ บ้างวิ่งไป แล้ววิ่งกลับมาสลับกัน เขาเอามือตบหัวมันเบาๆทั้งสามตัว ตอนนี้มันร้องหงิงๆๆเสมือนหนึ่งจะทักทายเขาว่าทำไมหายไปเสียนาน เขาไล่มันให้ออกไป แล้วเดินย่างเท้าไปยังบันไดเพื่อจะขึ้นบ้าน บ้านนั้นปลูกเป็นสองชั้นก็ตาม ส่วนชั้นล่างนั้น นอกจากห้องเก็บของแล้วก็มีห้องน้ำ นอกนั้นเป็นที่กว้างตามขื่อแขวนไว้ด้วย จอบ เสียบ พลั่ว และไม้ยาวๆทำเป็น ตะขอบ้างหรือตะกร้อบ้าง ใต้ถุนบ้านมีแค่สำหรับนั่งเล่นทำด้วยไม้ไผ่กว้างใหญ่ ครั้นถึงบันไดเขาก็ล้างเท้าจากน้ำในตุ่ม พอจะก้าวขึ้นบนบ้านก็ได้ยินเสียงร้องทักห้ามเขาขึ้นทันที???...... จะมาหาใครจ๊ะ????...... เสียงนั้นเป็นหญิงสาวหน้าตาค่อนข้างสวย ยืนอยู่ที่เรือนชานบนชั้นบน มือเท้าสะเอวทั้ง สองข้างถามเขา ส่วนข้างๆหญิงสาวเป็นเด็กค่อนข้างโตแต่ไว้แกละทั้งสองข้าง ผมแกละผูกมัดทั้งสองข้างปล่อย ห้อยยาวออกมาข้างหน้าอก ตอนแรกเขาคิดว่าไม่มีใครอยู่บ้านและคิดไม่ถึงว่าจะเห็นหญิงสาวและเด็กผมแกละ จึงไม่ได้สังเกตว่ามีใครอยู่คิดว่าคงจะไม่มีใคร ครั้นได้ยินเสียงถามเช่นนั้นเขาก็ตกใจ และแปลกใจระคนกัน เนื่องจากเขาเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อแม่ เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงร้องถามไปว่า อ้าวๆๆๆ!!!!!.....แล้วเธอทั้งสองเป็นใครกันล่ะ?????...... อ้อ????.....ฉันหรือเป็นลูกพ่อเชียรแม่เข็มจ้า เสียงหล่อนตอบช่างเยือกเย็นอะไรเช่นนี้ น้ำเสียงออกจะยาน เขายิ่งแปลกใจว่าพ่อแม่ไปเอาหญิงสาวและเด็กชายมาเลี้ยงเมื่อไหร่ ไม่เคยเห็นจดหมายไปบอกเลยนี่นา จึงแกล้งถาม ว่า อ้าวในเมื่อเธอเป็นลูกพ่อเชียรแม่เข็ม ฉันได้ยินว่าเขามีลูกชายคนเดียวนี่นา!!!!!!... ลูกชายพ่อเชียรแม่เข็มเขาไปอยู่กรุงเทพฯจ้า ท่านเลยเอาฉันทั้งสองมาเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านดูแลช่วยเหลือจ้า ในเมื่อเธอเป็นลูกของพ่อเชียรแม่เข็มแล้ว รู้จักหน้าค่าตาลูกชายเขาหรือเปล่าล่ะ.... ชายหนุ่มถาม ฉันเองก็ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร???..... อย่าก้าวขึ้นมานะเดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่เตือนเสียก่อน หญิงสาวตอบ ที่จริงชายหนุ่มระหว่างคุยนั้น ก็กำลังก้าวขึ้นบันไดมาทีละขั้นๆ... พ่อเชียรแม่เข็มไม่อยู่ สงสัยจะมาขโมยของล่ะซิ บอกก่อนนะว่าอย่าคิดเช่นนั้นเด็ดขาด มิฉะนั้นเจอดีแน่ๆ..... หญิงสาวกล่าวพลางใบหน้าทะมึงบึ้งตึงขึ้นทันที ส่วนเจ้าแกละก็ แสดงอาการเสมือนจะเข้าต่อสู้ด้วย แล้วหากฉันเป็นลูกพ่อเชียรแม่เข็มล่ะจะขึ้นได้ไหมล่ะ?.... เขาถาม หากไม่คิดประสงค์ร้าย ก็ต้องรอให้พ่อเชียรแม่เข็มยืนยันก่อน ฉันถึงจะเชื่อนะ....... อีกสักครู่ก็จะกลับมาแล้วล่ะ ถ้าอย่างนั้นต้องรอให้พ่อเชียรแม่เข็มกลับมาก่อน หากจะรอไปรอที่ใต้ถุนบนแค่นั่นคอยพ่อแม่กลับมา หากเป็นลูกจริงๆก็ขึ้นมาได้ หญิงสาวตอบ อ้อๆๆ.....แล้วยิ่งพาผู้หญิงมาด้วยคงจะไม่ใช่กระมัง สวยเสียด้วยซี ฉันได้ยินพ่อเชียรคุยกับแม่ว่าลูกเขายังไม่มี เมียนี่นา แต่นี่พาหญิงสวยมาด้วยคงจะไม่ใช่กระมัง???..... หญิงสาวและเจ้าแกละพลางเอ่ยพร้อมๆกัน ฉันมาคนเดียวนี่จ๊ะ ไม่ได้นำใครมาด้วยเลยสักคน???...... อย่ามาโกหกฉันและเจ้าแกละเลย เห็นยืนข้างเคียงใกล้ๆกันคงเป็นเมียกระมัง แหม๋ทำเป็นโสดไปได้น๊ะ???..... หญิงสาวที่ยืนบนชานเรือนเอ่ยขึ้น ไม่เชื่อแกถามเจ้าแกละมันดูก็ได้ พลางหันไปทางเจ้าแกละกล่าวว่า.... เอ็งบอกมันหน่อยซิว่าจริงหรือเปล่า.... เจ้าแกละเอ่ยขึ้นว่า จริงๆนะฉันก็เห็นเป็นหญิงสาวพึ่งโตสวยเสียด้วยซิ อย่าปฏิเสธไปเลย มันกล่าวขึ้น..... เขานึกขึ้นมาได้ทันทีว่าเขาได้นำหญิงสาวอ้อยมาด้วย ตอนที่หลวงพ่อมอบให้แก่เขา แต่เขามองไม่เห็นหล่อน แต่ใยหญิงสาวคนนี้และเด็กผมแกละจึงมองเห็นหรือว่า?????......เขาไม่กล้าคิดแต่ก็เป็นไงเป็นกันหรือเป็นพวกเดียว กันจึงมองเห็นกันได้ เขามีนิสัยไม่ชอบขัดใจ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงหล่อนอีก จึงตอบว่า ในเมื่อเธอต้องการเช่นนั้น ฉันจะลงไปคอยพ่อกับแม่ก็แล้วกันนะ แล้วหันหลังกลับไปนั่งพักที่แค่ไม้ไผ่ พลางปลดสัมภาระออกมาวางข้างๆ ส่วนเจ้าหมาสามตัวมันก็รีบมาคลอเคลียเขา เขามองขึ้นไปยังที่บันไดเห็นร่าง ของหญิงสาวและเจ้าแกละนั่งลงมากลางบันไดคอยจ้องมองดูเขาตลอดเวลา เสมือนคอยนั่งจับผิดเขาว่าจะทำอะไรบ้าง เวลาผ่านไปไม่นานนักเขาก็แลเห็นพ่อแม่ เดินผ่านรั้วเข้ามา พ่อเดินนำหน้าแบกจอบไว้บนบ่า ส่วนแม่กระเดียดกระด้ง พอพ่อแลเห็นเขาเท่านั้นก็รีบวิ่งเข้ามาหาเขาทันที พร้อมร้องเสียงดังทั้งพ่อและแม่ โชติหรือลูกมานานแล้วหรืออ้าวทำไมไม่ขึ้นไปบนบ้านล่ะ ขึ้นไปได้อย่างไรล่ะพ่อ ก็แม่สาวและเจ้าแกละเขาบอกว่าเป็นลูกพ่อแม่ ไม่ยอมให้ฉันขึ้นบนบ้าน โน่นนั่งเฝ้าอยู่กลาง บันได อ้าวๆๆๆ!!!!!!????....หายไปไหนเสียล่ะ จริงๆนะพ่อ พ่อเชียรหัวร่อฮึๆๆๆแต่ไม่กล่าวว่าอะไรพลาง สวมกอดเขาทันที ส่วนแม่เข็มวิ่งเข้ามาสวมกอดพร้อมหอมแก้มซ้ายขวาเขาใหญ่ พ่อเชียรหลังจากสวมกอดเขาแล้ว หันไปทางแม่เข็ม พลางกล่าวว่าลูกชบากับเจ้าแกละเล่นงานเอาแล้วล่ะ มาๆๆๆไปคุยกันบนบ้านเถอะ ลูกของแม่เข็มนะเขาเลี้ยงไว้เองแหละให้ช่วยดูแลบ้านให้เวลาไม่อยู่ คงจะไม่รู้จัก เอ็งหรอกว๊ะ เลยไม่ยอมให้ขึ้นบ้าน กล่าวจบพลางเอ่ยขึ้นกับเขาว่า.... เออ!!!!!!????...... เอ็งโตกำยำขึ้นมากนะอยู่กรุงเทพสบายไหม? เป็นอย่างไรล่ะหายไปไม่กลับมานอกจาก จดหมายมาหาพ่อกับแม่เท่านั้น ต่างคนต่างสอบถามเขากันใหญ่ต่างๆนานา จนเขาไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี แล้วทำไมไม่บอกน้องเขาล่ะว่าเป็นลูกของพ่อ... ผมบอกเขาแล้วล่ะพ่อ แต่หญิงสาวเขาไม่ยอมให้ขึ้นบ้านจ๊ะ โน่นยังนั่งเฝ้าฉันพร้อมกับเด็กผมแกละด้วย เขาหันอีกทีเพื่อยืนยันคำพูดเขาที่บอกพ่อกับแม่ไว้ ก็ต้องแปลกใจ เขาไม่เห็นร่างของหญิงสาวและเด็กผมแกละเลย แม่เข็มหัวร่อลั่น อ้อๆๆๆเป็นอย่างนี้เอง เป็นลูกของแม่ทั้งคู่แหละจ้า เขาคงเห็นเอ็งเอาหญิงสาวมาด้วยนึกว่าไม่ใช่ลูกแม่ คิดว่าเป็นคนอื่นไปซิ ด้วยเขารู้ว่าพ่อแม่มีลูกชายคนเดียว พ่อเชียรก็หัวร่องอหาย ผู้หญิงที่เอ็งเอามาด้วยคงจะเป็นเหตุเมื่อคืนนี้กระมัง???..... พ่อรู้เรื่องหรือว่าฉันโดนอะไร???... รู้ซิลูกว่าแกเจออะไรบ้าง แต่พ่อเชื่อหลวงพ่อท่าน อีกอย่างหนึ่งมีนางไม้คอยดูแลให้ด้วย นี่เขาก็มาด้วยนะดีนะ ที่เขาไม่แสดงตน มิฉะนั้นเจ้าแกละกับเจ้าชบาคงกระเจิงหมด ใครหรือพ่อ???.... ชายหนุ่มถาม อ้าวๆๆๆ...ก็แม่นางไม้นะซิเขามาด้วยกับเอ็งนะ เดี๋ยวพ่อจะให้แม่เขาแกะรูปให้ แม่เขาเก่งทางเรื่องแกะสลักอยู่ แล้วล่ะ แล้วพ่อแม่จะทำพิธีให้จะได้ไม่ต้องไปไหนคอยรักษาลูกเองแหละ พ่อเชียรตอบคำถามลูก อย่าพึ่งพูดมากเลย เอ็งหิวข้าวหรือยังล่ะ พ่อแม่รู้ว่าเอ็งจะมาวันนี้ จึงได้รีบออกจากไร่มาก่อน มิฉะนั้นก็มืดๆ นั่นแหละถึงได้กลับ นี่ก็บ่ายมากแล้วเอ็งคงจะหิวแล้วล่ะ แม่เขาเตรียมอาหารไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะ... จ๊ะพ่อฉันก็รู้สึกว่าชักจะหิวเหมือนกัน ดีเราจะได้กินร่วมกัน ไม่ได้กินร่วมกันมานานแล้วล่ะ ชายหนุ่มตอบ แต่ข้ากับแม่นั้นกินมาแล้ว แต่ไม่เป็นไรจะกินเป็นเพื่อนเอ็งก็แล้วกันนะลูก ชายผู้เป็นพ่อกล่าว มาๆๆขึ้นบ้านก่อน ห้องลูกแม่จัดการให้เรียบร้อยแล้วล่ะ กินกันไปคุยกันไปก็แล้วกัน แม่เข็มหันมาเตือน ชายหนุ่มก็ก้มลงกราบที่เท้าพ่อและแม่ก่อนจะยกของสัมภาระของเขาเดินตามหลังขึ้นบันได แต่ก็อดเหลียวซ้าย แลขวาเสียไม่ได้ เหมือนแม่เข็มเหมือนจะรู้ จึงกล่าวว่า...... ไม่ต้องมองหาหรอกน้องเขาทั้งสองรู้แล้วว่าเอ็งเป็นลูกพ่อแม่เขาก็กลับไปที่ของเขาแล้วล่ะ ว่าแต่เด็กของเอ็ง ช่างสวยทั้งคู่เลยนะ กล่าวจบแม่เข็มก็หัวร่อลั่น ฮ่าๆๆๆๆๆ....... ข้าบอกแกแล้วไม่ผิดว่า ดวงของมันไม่เหมือนคนธรรมดานะ ช่างเถอะฟ้ากำหนดมาอย่างนี้ไม่ต้องไปฝืน หรอก สำคัญว่าเราจะหาวิธีอย่างไรกับหลวงพ่อเท่านั้นเอง พ่อเชียรหันไปบอกแม่เข็ม อือๆๆๆๆข้าก็พอจะรู้เหมือนกันพี่เชียรว่ามันต้องเป็นแบบนี้นะ ไหนๆลูกเรามันถูกกำหนดไว้ก็ต้องปล่อยไป แต่เราต้องสอนวิชาอาคมให้แก่มันให้หมดนะ ด้วยข้ารู้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเจอคนรังแกมันอีกแยะและไม่ใช่ธรรมดา ด้วย.... นั่นซิแม่เข็ม อย่างไรก็ต่างช่วยกันก็แล้วกันนะลูกของเราคนเดียวเป็นอะไรไป แกกับฉันคงเสียใจมากๆนะ เด็กมันบอกว่าเย็นๆหลวงพ่อก็จะมอบวิชาให้มันเหมือนกันนี่นาพ่อเชียรกล่าวกับเมีย นับว่ามันมีทั้งบุญทั้งบาปนะ เฮ่อๆๆ... เวรกรรมจริงๆลูกคนนี้ แม่เข็มอุทานออกมา แต่ข้าเชื่อมั่นเหมือนแกนั่นแหละด้วยนั่งสมาธิเห็นอนาคตมันเป็นไปตามชาติเบื้องหลังของมันเอง พ่อเชียรกล่าวลอยๆ ชายหนุ่มนั่งฟังงุนงงเขาไม่รู้ว่าทั้งพ่อและแม่พูดเกี่ยวกับเขาเรื่องอะไร จึงคอยรับฟังเท่านั้น ก็นั่นนะซิเราถึงต้องมอบวิชาอาคมที่รู้ให้แก่มันให้มากๆ ไม่รู้ว่ามันจะรับได้แค่ไหนก็ไม่รู้???..... แม่เข็มรู้ไหม???.... แล้วหยุดพูด พลางหันไปมองชายหนุ่มเห็นเดินเข้าไปในห้องนอนสมัยเขายังเด็กๆ คงเหลือเพียงสองคนตายายเท่านั้น อะไรหรือพี่เชียร???... พ่อเชียรยกมือป้องปากไปใกล้ๆริมหูแม่เข็มแล้วกระซิบเล่าเรื่องต่างๆให้แม่เข็มฟัง พอแม่เข็มรู้ก็ทำน่าปุเลี่ยนๆ เฮ้อๆๆๆ ลูกหนอลูก แม่เข็มได้แค่อุทานเท่านั้น ??????............ แล้วรีบไปเปิดตู้อาหารยกสำรับกับข้าว พร้อมยกหม้อข้าวมา ส่วนพ่อเชียรก็เตรียมปูเสื่อไว้กลางบ้านคอยอยู่ แล้วไปช่วยยก จานช้อนและ ถ้วยมาให้เสร็จสรรพ เพื่อคอยลูกออกมา ครั้นชายหนุ่มออกมาก็เห็นพ่อแม่จัดสำรับกับข้าวรอคอยเขาเรียบร้อยแล้ว ส่วนเขาบอกว่าขอตัวไปอาบน้ำก่อน ด้วยยังไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อวานนี้จ๊ะ เขานุ่งผ้าขาวม้าเดินลงบันไดด้านหลังไปยังห้องน้ำซึ่งอยู่ข้างล่าง เสียงรดน้ำซู่ๆๆๆ เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ เขาก็เดินขึ้นบันไดมา ทาแป้งเสียขาวฉ่อง ยังนุ่งผ้าขาวม้าเหมือนเดิมอยู่ แล้วมานั่งข้างๆพ่อแม่ที่ตั้งวงสำรับข้าว เห็นแม่ตักข้าวใส่จานไว้เจ็ดจาน ก็แปลกใจถามขึ้นว่า.......... อ้าวๆๆๆ???....เราแค่สามคนทำไมถึงตักถึงเจ็ดจานล่ะ? แม่เข็มตอบว่า ก็ให้น้องสองคนและแขกที่มากับลูกอีกสองคนด้วย เพื่อเป็นการต้อนรับเจ้าและเขาด้วยนะ จะได้รู้จักกันไว้ด้วย แม่เข็มกล่าว พร้อมเอ่ยปากเชิญให้กินอาหารได้แล้ว ต่อไปเอ็งก็จะรู้เองแหละ มามะมาๆ มากินด้วยกันเน้อ กินพร้อมๆกันนี่แหละจะได้รู้จักกันไว้คอยช่วยเหลือกันนะ ชายหนุ่มงง... เมื่อเห็นแม่เขากล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็รู้ว่าอะไรคืออะไร จึงบอกให้พ่อแม่กินก่อนแล้วเขาจะค่อยกิน หลังจากนั้นทั้งหมดก็นั่งกินกันไปคุยกันไป ถามถึงสารทุกข์สุขดิบกัน แต่แปลกจริงๆทำไมพ่อแม่เขาไม่ถามว่า เขาทำงานอะไร กลับนิ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาเองก็แปลกใจ พอจะเอ่ยปากบอกพ่อแม่ว่าเขาทำงานหน้าที่อะไร พ่อแม่เขาก็ยกมือห้าม พลางเอ่ยกับเขาว่า...... เอ็งไม่ต้องบอกพ่อแม่หรอก พ่อแม่รู้หมดแล้วว่าเอ็งทำงานอะไรไม่ต้องพูดหรอก คราวนี้ชายหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตกทันที เอๆๆๆ.????.... แกรู้ได้อย่างไรว่าเขาทำงานอะไรกัน เพียงแค่นึกฉงนเท่านั้น แต่ก็ไม่เอ่ยขึ้นอีก ก้มหน้าก้มตากินข้าวไป กล่าวกับพ่อแม่ว่า เย็นนี้หลวงพ่อท่านให้ไปหาจ๊ะ เออๆๆดีแล้วพยายามศึกษาให้หมดนะ เลขยันต์คาถาอาคมยากนะลูกต้องใช้ความพยายามหน่อย พ่อกล่าวขึ้น ครับ แต่ไม่รู้ว่าจะได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้ ผมเพียงแค่ไว้เอาป้องกันตัวจากพวกผีเท่านั้น เอ็งเชื่อพ่อเถอะเชื่อพ่อลูก พ่อรู้ว่าหลวงพ่อท่านเป็นคนอย่างไร ยิ่งเอ็งเป็นลูกพ่อกับแม่แล้วมีหรือจะเก็บไว้ คงถ่ายถอดให้หมดแหละ ถึงเกินเวลาที่เอ็งขออนุญาตไว้ก็ไม่เป็นไร ทางโน้นไม่ว่าอะไรเอ็งหรอกเอ็งเชื่อพ่อซิ เอ็งอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ทางโน้นเขาต้องการเช่นนั้น ไม่เป็นปัญหาหรอกแล้วเอ็งดูไปก็แล้วกัน ผู้พ่อกล่าวขึ้น แนะแน๊ะ!!!!!!????....... พ่อพูดเป็นนัยๆหรือว่าแกจะรู้จริงๆว่าเขาทำงานเกี่ยวกับอะไร ชายหนุ่มคิด แต่ก็ดีไปอย่างนะ ส่วนเรื่องการลาเขาไม่เป็นห่วงอย่างแกว่าจริงๆเสียด้วย พลางได้ยินพ่อแม่พูดอีก กินข้าวเสร็จ เอ็งเอาท่อนตะเคียนมาให้แม่นะ แม่จะได้รีบทำๆให้เสร็จ จ๊ะแม่.....เขายิ่งงงไปใหญ่อะไรแม่เราก็รู้เรื่องขอนไม้ด้วยหรือนี่ ทำให้นึกถึงคำหลวงพ่อทองกล่าวกับเขาว่า พ่อแม่เขาเก่งทั้งคู่ไม่เป็นรองท่าน เมื่อได้ยินทั้งพ่อแม่กล่าวก็ยิ่งเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน อาชีพเขาก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้างก็จะดี บางทีอาจจะช่วยเขาได้ไม่มากก็น้อย เขาคิด ระหว่างพ่อแม่ต่างคุยกัน ถามไถ่กันและกัน จวบตะวันตกดิน อากาศเริ่มหนาวเย็นด้วยบ้านเขาติดใกล้เขา ความเย็น ย่อมมีมาก เขาเดินไปหยิบตะเกียงที่พ่อแขวนไว้ลงมา แล้วตรวจสอบเติมน้ำมัน แล้วก็จุดไฟที่ไส้แล้วเอาโป๊ะครอบ จำนวนสองตะเกียงเท่านั้นพอ ด้วยบ้านเขามิได้ใหญ่โตมากนัก แค่นี้ก็สว่างจ้าไปทั่วบริเวณแล้ว แสงสว่างจ้าลบความมืดหายไป เนื่องจากเป็นถิ่นทุรกันดารทั้งพ่อแม่เขาจึงสั่งน้ำมันก๊าดมาไว้หลายๆปี๊บ พร้อมทั้งเทียนไข ทั้งสีขาวและสีเหลือง ส่วนธูปนั้นมีเยอะแยะ จะมีคนมาส่งของให้เป็นประจำทุกๆเดือน ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องพระเขาเดินไปสำรวจเห็นมี แต่โต๊ะหมู่บูชามีพระพุทธรูปองค์เดียว อีกโต๊ะหมู่บูชาหนึ่งซึ่งต่ำกว่าพระพุทธรูปมีรูปปั้นฤๅษีตนหนึ่ง พร้อมทั้งดอกไม้อาหารหวานคาวแก้วใส่น้ำ และรูปแกะสลักด้วยไม้เป็นรูปหญิงสาวสวย กับ เด็กผมแกละส่วนสูง เขากะประมาณเกือบฟุตเห็นจะได้ ซึ่งวางต่ำกว่าพระฤๅษี โต๊ะหมู่นี้วางห่างไปจากโต๊ะหมู่พระบูชาไปอีกด้านหนึ่ง ส่วนโต๊ะพระพุทธมีแค่แจกันดอกไม้และแก้วใส่น้ำเท่านั้นเองซึ่งแยกกันคนละโต๊ะหมู่ เขาเพ่งไปยังโต๊ะหมู่ฤๅษีชั้นต่ำลงมามีรูปแกะสลักให้นึกถึงตอนที่เขามาใหม่ๆ คงจะเป็นสองตนนี้แหละเขาแน่ใจ หรือนี่แหละคือหญิงสาวกับเจ้าแกละนี่เองที่ไม่ยอมให้เขาขึ้นบ้าน ข้างๆรูปแกะสลักมีพานวางรูปปั้นควาย ไว้ถึงห้าตัว เป็นทองคำหนึ่งตัว เงิน ทองแดง หวาย และเทียน โรยด้วยดอกไม้ต่างๆกัน เขาเพ่งจ้องแต่รูปแกะ หญิงสาวและรูปแกะไม้เจ้าแกละ เขาจำได้ด้วยมีใบหน้าคล้ายๆกัน ยืนยิ้มใบหน้าสวยงาม ส่วนเจ้าแกละก็ยืนยิ้ม แต่ก็แปลกที่กลางวันยังแปลงกายได้หรือว่าจะเหมือนเจ้าจุกกับแม่อ้อยนะ ความคิดเขาให้นึก ถึงรูปปั้นของหญิงสาวชื่ออ้อย ครั้งแรกคิดจะนำมาไว้รวมกันแต่แล้วก็พลันเปลี่ยนใจไป เก็บไว้ในห้องเขาดีกว่า เขาคิดวางรูปแกะสลักเหมือนกันไว้ข้างๆหมอนที่เขาใช้นอน ครั้นเมื่อเดินเข้าห้องเขาก็ต้องแปลกใจด้วย มุ้งที่เขายังไม่ได้กางไว้บัดนี้ได้ถูกกางไว้ภายในมุ้งจัดวางสิ่งของอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเสียแล้ว หรือว่าแม่นางไม้หรือแม่อ้อยจะจัดการให้เขาก่อนค่ำๆ เขานึกฉงนในใจมาก............. * แก้วประเสริฐ. *
9 พฤศจิกายน 2553 18:24 น. - comment id 119925
เข้ามาอ่านเป็นคนแรกก่อนค่ะครู กำลังสนุกค่ะ
9 พฤศจิกายน 2553 21:26 น. - comment id 119930
พระเอก คงจะเก่งเหมือนเรื่องที่แล้วอะครับครู
10 พฤศจิกายน 2553 13:02 น. - comment id 119939
คุณ อนงค์ฺนาง การเขียนร้อยแก้วนี้ เป็นการฝึกสมอง ที่ดีมากสนุกสนานด้วยจ๊ะ ด้วยแนวคิดจะ หลากหลายไปตามใจเรา ส่วนร้อยกรอง เป็นอีกแบบหนึ่งซึ่งครูเองชักจะย้ำรอยเดิม เสียแล้วล่ะ รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
10 พฤศจิกายน 2553 13:08 น. - comment id 119940
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รัก เป็นธรรมดาถ้าไม่เก่งก็ไม่ใช่ พระเอกซิ มีบ้างไหมที่พระเอกอาศัยนางเอก แต่ครูพยายามจะฉีกแนวทางออกไป สลับ ไปเรื่อยๆ หากเป็นกึ่งประหวัดศาสตร์ก็จำ เป็นต้องเก่ง เรื่องสุดท้ายพระเอกไม่เก่ง อะไรเลยมี่แต่ความเศร้า ในลุ่มลึกอีสราวดี ก็จำเป็นต้องเก่ง แต่ส่วนใหญ่ลูกน้องจะเก่ง พระเอกแค่วางแผนเท่านั้นแต่ก็ยังต้อง มีที่ปรึกษาวางแผนอีกทอดหนึ่งนะ เรื่องทัศยุราชันย์นั้น แม้จะมีอาวุธที่ร้ายกาจ แต่สุดท้ายนางเอกก็ยังเก่งกว่าพระเอก เสียด้วย ส่วนเรื่องนี้ดูเอาเองก็แล้วกันครูมัก จะชอบไม่ให้เหมือนใครๆเขา จะมีบ้าง ก็เพี่ยงเฉียดๆเท่านั้นจ้า นี่รีบแต่งด้วย อยู่บ้านเหงาๆ สองคนตายายเท่านั้นเอง แหละจ้า รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
10 พฤศจิกายน 2553 20:34 น. - comment id 119942
แม่อ้อยมาเอาอกเอาใจเดี๋ยวแม่นางไม้ได้งอนมั่งแระ อิอิ แจ้นเดาเรื่องราวเหมือนดูละครที่ยังไม่จบ ตามนิสัยคนชอบเดาใจ ค่ะ
10 พฤศจิกายน 2553 20:41 น. - comment id 119943
คุณ แจ้นเอง พูดถึงดูละครนั้นเมียผมชอบมากๆ เสียด้วย ผมนั่งเป็นเพื่อนไม่รู้ทำอย่างไรก็ ดูพอดูไม่เท่าไหร่ ผมก็เอาออกแล้วบอกว่า เดี๋ยวเถอะต้องเป็นแบบนี้ แล้วก็จริงเสียด้วย เขาบอกว่า ไปเถอะไปทำอะไรก็ไปเขาดูไม่ รู้เรื่อง จะไม่สนุก ผมเลยต้องรีบเผ่นออก จากห้อง มาเล่นคอมฯครับ นิสัยคุณเหมือนผมชอบเดาไปเรื่อยๆ การเดาทำให้เราคาดคะเณได้ดี และจริงๆ นะมันเป็นประโยชน์แก่เราด้วยนา เชื่อ ผมไม่ล่ะ การหัดเดาทำให้เรารู้กว้างขวาง มากครับ นี่เอาใจนะถึงได้เขียน ยิ่งเขียน ก็ยิ่งมันส์ในอารมณ์ สนุกๆไปด้วยฝึกสมอง ให้เราด้วยอย่างดีเสียด้วยซี นี่ก็เขียนต่อ ให้อีกแล้วจ้า จะได้ไม่ต้องชะงักไงล่ะ รักเสมอจ้า แก้วประเสริฐ.
26 ธันวาคม 2553 18:05 น. - comment id 120778
เห็นภาพชนบทในอดีตชัดเจนเลยค่ะ
12 มกราคม 2554 10:53 น. - comment id 121268
ได้ทราบถึงการจัดลำดับความน่าจะเป็น แบบขั้นตอนของการตั้งที่บูชา คุณชายของแสงดาวสอนไว้ในทุกๆที่เลย... เคารพคุณครูครับผม