อทิสมานกาย ๕ น้าจ๋าน้าๆๆๆ.....ตื่นเถอะเดี๋ยวหลวงพ่อก็จะกลับจากบินบาตรแล้ว นี่สายแล้วจ๊ะน้า.... ฉับพลันเขาก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่น ทั้งๆที่ยังงัวเงียด้วยนอนดึกมากไป เขามองลอดกระโจมที่กางไว้ ซึ่งเป็นจีวรเก่าๆ แต่บางมองเห็นสิ่งภายนอกได้อย่างชัดเจน เขาเพ่งสายตาออกไปนอกกระโจม แลเห็น ร่างเด็กผมจุก กับ ร่างของหญิงสาว เขาจำไม่ผิดว่าชื่อ อ้อย นั่งอยู่เคียงข้างกระโจม เขารีบลุกขึ้น ผลุนผันนั่งทันที ทั้งๆที่อยากจะนอนอีกสักพักหนึ่ง ด้วยศีรษะปวดหนึบๆ แต่นี่เป็นวัด หากเป็นบ้านเขาคงจะต้องนอนต่ออีกจนกว่าจะหายง่วง ด้วยเมื่อคืนคุยกับหญิงสาว จนเกือบจะสว่าง พึ่งจะมานอนหลับไม่เท่าใดนัก หลวงพ่อออกไปบินบาตรเมื่อไหร่เขาไม่รู้ หากเป็นปกติธรรมดา เขาต้องติดตามหลวงพ่อไปช่วยถือบิ่นโตและย่ามคอยเดินตามหลังท่านเสมอ เขาหันไปถามเจ้าจุกว่า อ้าวๆ???...แล้วจุกและพวกล่ะปกติไปพักที่ไหนล่ะ???..... เจ้าจุกตอบว่า.....ผมก็พักในกุฎีหลวงพ่อแหละ ส่วนแม่อ้อยเขานั่งเฝ้าน้าจนสว่างแหละ เจ้าจุกรายงาน อ้าวๆๆ???... แล้วสว่างแล้วไม่กลัวแสงสว่างพระอาทิตย์หรือ???... ไม่หรอกจ๊ะน้า....พวกหนูนั้นหลวงพ่อสอนวิชาอาคมให้เลยสามารถแสดงตนได้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ส่วนใหญ่กลางวันหนูกับพวกจะนอนพักผ่อนจ๊ะ เจ้าจุกตอบ ส่วนแม่อ้อยเขาเป็นอย่างไรไม่รู้ ฉันบอกให้ไปพักผ่อนได้เขาไม่ยอม ว่าจะคอยนั่งเฝ้าน้าอยู่ทั้งคืน เขาบอกว่า เป็นห่วงน้าจ๊ะ?????....จุกก็สงสัยเขาเหมือนกันว่าทำไมต้องมานั่งคอยเฝ้าน้าอยู่.... เจ้าจุกตอบ หรือว่า อิอิๆๆๆ....มันจะรักน้าเข้าแล้วซินะ ปกติมันไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนี่นา....พอเป็นสาวหน่อยก็คิดจะมีความรัก แล้วมันจะรักน้าและทำอะไรได้หรือ จุกเองก็สงสัยมันเหมือนกันนะน้า???... เจ้าจุกตอบพร้อมหัวร่อลั่น หญิงสาวนาม อ้อย ......หันไปค้อนเจ้าจุกเสียวงใหญ่แต่มิได้กล่าวอะไรเพียงก้มหน้ามองพื้นเท่านั้นเอง ชายหนุ่มหันหน้าไปมองร่างของหญิงสาวที่ออกจะสวยงามนัก พลางกลางว่า... ขอบใจแม่อ้อยมากนะที่คอยเฝ้าดูแลฉันทั้งคืนเลย นี่ก็สายแล้วไม่ง่วงหรือ???.... ชายหนุ่มถาม แม่อ้อยหันหน้ามามองเขาท่าทางออกจะเอียงอาย กล่าวขึ้นว่า.... อ้อยไม่ง่วงหรอกจ้า....ใจเป็นห่วงแต่น้านี่แหละถึงจะไปนอนก็คงนอนไม่หลับ ไม่รู้ซินะทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนนั้น ฉันก็ไม่เคยเป็นและมักจะแอบหนีไปนอนก่อนใคร แต่พอเจอน้านี่แหละทำให้จิตใจอ้อยปั่นป่วนไป หมดเลยล่ะจ๊ะน้า????.... หล่อนกล่าวแล้วชะงักคำพูด ทำให้ชายหนุ่มชักสงสัยมากขึ้น อ้าวเป็นอย่างนั้นไป????... ชายหนุ่มอุทานเบาๆ อย่างนั้น.....น้าก็ทำให้หนูสับสนนะซิ ขอโทษด้วยนะอ้อย... ชายหนุ่มกล่าว เพื่อน้าอ้อยทนได้จ้า เพียงกลัวว่าน้าจะลืมอ้อยเสียล่ะ????.... หล่อนกล่าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มนั่งคิดหรือว่า????....ชายหนุ่มซึ่งตอนนี้ออกจากกระโจมแล้ว เขาหันไปมองทั้งสอง สำหรับอ้อยนั้น เขาไม่อยากจะคิดเกินเลยไปกว่านั้น พร้อมกล่าวว่า อ้อยไปพักผ่อนได้แล้วจ้า ฉันไม่ลืมอ้อยหรอก ยิ่งอ้อยมีน้ำใจแก่ฉันแบบนี้นะ เอาล่ะเดี๋ยวฉันไปทำธุระก่อน แล้วจะคอยรับหลวงพ่อท่าน จะได้ช่วยเหลือท่านถือของจ้า ชายหนุ่มกล่าวขึ้น จ๊ะๆน้า งั้นอ้อยไปพักผ่อนก่อนนะ เดินเหินก็ควรระวังหน่อยนะถนนไม่ค่อยจะดีด้วยอ้อยเป็นห่วงจ้า อ้อๆๆแล้วน้าจะมาอีกไหมล่ะ???.... เด็กสาวที่เป็นสาวแล้วกล่าวถามขึ้น มาซิจ๊ะอ้อย ต้องมาเยี่ยมหลวงพ่อก่อน เรื่องเมื่อคืนนี้ทำให้น้าคิดว่าจะขอร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อไว้ป้องกันตัว เองบ้างจ้า ชายหนุ่มกล่าวลอยๆ.... แล้วน้าจะกลับกรุงเทพฯอีกเมื่อไหร่ล่ะ หนูตามน้าไปได้ไหม น้าจะรังเกียจหนูไหมจ๊ะน้า????.... หญิงสาวถามขึ้น คงอีกนานเหมือนกันแหละ ขอเขามาเดือนหนึ่งแต่ว่า หากจะขอร่ำเรียนวิชากับหลวงพ่อและพ่อแม่บ้างยังไม่รู้เลยว่า จะต้องใช้เวลานานเท่าใด หากยังไม่ได้ผลก็คิดว่าจะโทรฯไปลางานเขาต่อไม่รู้ว่าจะได้หรือเปล่า ชายหนุ่มกล่าว พลันเขานึกขึ้นได้ อ้าวแล้วอ้อยจะไปกับน้าได้อย่างไรล่ะในเมื่อต่างภพกันนะ หลวงพ่อจะอนุญาตหรือ???... ได้ซิจ๊ะน้า เพียงน้าขอกับหลวงพ่อท่านว่าจะขอหนูไปอยู่ด้วย ท่านคงไม่ว่าอะไรหรอกด้วยน้าเป็นลูกของ พ่อเชียรแม่เข็มซึ่งหลวงพ่อรักและเกรงใจ ด้วยต่างก็มาต่อวิชาความรู้กันเสมอๆ เมื่อท่านอนุญาตแล้วน้าก็จะรู้เองแหละจ๊ะ หญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ แต่น้าอย่าลืมอ้อยถือเป็นสัญญานะน้า อืมมม????.... แล้วน้าจะลองพูดกับหลวงพ่อดูนะ แต่อย่าพึ่งหวังอะไรมากนักล่ะ ชายหนุ่มตอบ เขาแลเห็นใบหน้าหญิงสาวนามอ้อยรู้สึกสดชื่น แสดงอาการดีอกดีใจมาก แล้วหล่อนก็กล่าวว่า...... น้าอย่าลืมสัญญานะว่าจะขอหนูกับหลวงพ่อ หนูจะได้ไปเที่ยวกรุงเทพสักที ไม่เคยไปและจะคอยช่วยเหลือ น้าดูแลบ้านน้าให้จ้า....และช่วยเรื่องอื่นๆอีกจ๊ะ แล้วหล่อนก็หยุดชะงักไม่กล่าวต่อ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งสงสัย แต่ไม่ได้กล่าวอะไรอีก คงแกล้งทำเป็นค้นหาของในเป้เพื่อจะให้ทั้งสองรู้ว่าเขาต้องไปทำกิจธุระของเขา อีอ้อยมึงชักจะมากไปแล้วนะโว้ย????..... เสียงเจ้าจุกร้องบอก น่าๆๆๆพี่จุกก็ ก็อ้อยอยากจะไปเที่ยวกับน้านี่นา แล้วพี่จุกไปคิดไปหรือไม่ล่ะ???.... หญิงสาวย้อนถามบ้าง เออๆๆกูก็อยากไปเหมือนกัน แต่ห่วงหลวงพ่อและวัดว๊ะ เจ้าจุกหันไปกล่าวกับหญิงสาวนาม อ้อย ชายหนุ่มสังเกตว่าเด็กสาวอ้อยที่เป็นหญิงสาวนั้นทำไมเรียกเจ้าจุกว่าพี่ ก็เกิดความสงสัย เพียงแต่ไม่อยากถาม ด้วยเวลาเริ่มจะได้เวลากลับของหลวงพ่อแล้ว จึงกล่าวตัดบทว่า ไม่ต้องเถียงกันหรอก ไปพักผ่อนกันได้ทั้งสองแหละ เดี๋ยวน้าจะไปคอยช่วยถือของให้หลวงพ่อนะ จ๊ะน้า เจ้าจุกตอบ ส่วนหญิงสาวอ้อยก็หันมาทวงคำพูดจากเขาอีก น้าอย่าลืมนะน้าที่พูดกันไว้ สัญญาต้องเป็นสัญญานะแล้วร่างทั้งสองก็ค่อยๆจางหายไป......ชายหนุ่มก็สงสัยเหมือนกันเขาไปสัญญาอะไรกับหล่อน ในเมื่อเขาไม่ได้กล่าวคำมั่นสัญญาสักหน่อย หล่อนเอออวยเองทั้งสิ้น แต่ช่างเถอะในเมื่อหล่อนมีน้ำใจต่อเขาเช่นนี้ เมื่อทั้งร่างสองหายไปแล้ว เขามานั่งนึกย้อนหลังว่าหลวงพ่อคงจะทราบจึงไม่ได้ปลุกเขา ปล่อยให้เขานอนอย่างสบาย พอเขารีบจัดการกับผ้าจีวรออกมาพับเก็บพร้อมกับหมอนผ้าห่ม นำไปเก็บ ไว้ให้เป็นที่เป็นทาง เพื่อรอมอบให้แก่หลวงพ่อต่อไป แล้วรีบไปค้นสัมภาระในกระเป๋านำแปรงสีฟันและยาสีฟันผ้าขนหนู เดินไปยังตุ่มน้ำที่เรียงรายข้างๆหอฉันท์ข้าว หลวงพ่อจัดไว้หลายๆตุ่มไม่ห่างไกลนัก ตักน้ำขึ้นชำระใบหน้าและลูบตัวเท่านั้น หากอาบน้ำก็คงจะไม่ทันหลวงพ่อ แน่เขาคิด แต่เมื่อเก็บของๆเขาเรียบร้อย อดที่จะมองไปยังห้องหลวงพ่อนึกถึงเด็กทั้งสอง แปลกๆเขาคิด ครั้นจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปนั่งคอยหลวงพ่อและพระอื่นๆ ซึ่งมีประมาณไม่เกินห้ารูป รวมหลวงพ่อเป็นหกรูปเท่านั้น เพื่อหวังจะช่วยเหลือท่าน ที่ชานบันไดหน้ากุฎี นั่งพิงพนักที่จัดขึ้นไว้ เขาหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบคอยเวลากลับมาของท่าน นั่งคิดต่างๆนาๆในเรื่องของเมื่อคืนนี้ ตอนนี้ความหวาดกลัวหายไป หมดแล้วและยังคิดถึงหญิงสาวแสนสวยแต่งกายชุดโบราณ ซ้ำยังมีหญิงสาวนามอ้อยอีก ทั้งคู่สวยต่างรูปแบบกัน บุหรี่ยังไม่ทันหมดมวน เขาก็แลเห็นหลวงพ่อถือบาตรเดินนำหน้าภิกษุเดินเรียงเป็นแถวเดินตามกันมาตามถนน ที่ค่อนข้างเรียบพ้นพุ่มไม้ มุ่งมาทางกุฎีหลวงพ่อ ที่จริงกุฎีหลวงพ่อไม่ใหญ่โตนัก และยังมีกุฎีอีกหลายหลังซึ่งล้วน ทำด้วยไม้ธรรมดาหลังคามุงหญ้าคาที่ทำด้วยต้นหญ้าซ้อนทับกันหลายๆชั้น ด้วยหาต้นจากไม่มีในบริเวณแถวนี้ วัดหรือก็อยู่บนเนินเขา มองต่ำลงไปเห็นต้นไม้นานาชนิด บ้างก็เป็นแปลงที่ชาวบ้านเพาะปลูกเลี้ยงชีพ แยกเป็นขั้นๆไป โอ้วว.....ช่างเป็นบรรยากาศที่สวยงามถึงแม้ว่าจะทุรกันดารสักหน่อย ไฟฟ้าไม่มีใช้ ต่างใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าด ทั้งสิ้น บ้านแต่ละหลังปลูกห่างๆกันมาก แต่เขาอยู่ในที่สูงจึงมองเห็นสภาพดังกล่าวได้อย่างชัดเจน อากาศตอนเช้าช่างบริสุทธิ์สดชื่นนัก ทำให้เขาคิดยามนั่งคอยหลวงพ่อว่า เหตุใดอายุของชาวบ้านและพระถึง ได้มีอายุยืนยาวนัก ก็ด้วยอากาศนั้นปราศจากมวลสารพิษนั่นเอง และทานอาหารที่ปลูกขึ้นแทบทั้งสิ้น เขารีบขว้างบุหรี่ทิ้งพร้อมทั้งลงบันได วิ่งไปรับท่านช่วยรับบาตรหลวงพ่อและช่วยภิกษุถือย่าม กลับมาบนกุฎีทันที ก่อนขึ้นบันไดจะมีโอ่งน้ำไว้คอยล้างเท้า พระทุกๆองค์ก็ต้องทำเช่นนั้นเหมือนกัน อาศัยที่เคยเป็นเด็กวัดคลุกคลีมาก่อนถึงแม้ว่าจะไม่ได้นอนที่วัดก็ตามที แต่รู้หน้าที่ว่าจะทำอย่างไรบ้าง ในระหว่างการนำภาชนะมาจัดแยกอาหารออกใสถ้วยแล้วนำใส่ถาด พระที่วัดนี้ท่านฉันท์เอกา หมาย ถึงว่าฉันท์มื้อเดียวเท่านั้น พอได้เวลาฉันท์อาหาร หลวงพ่อและพระอีกห้ารูป ต่างก็ทยอยมายังกุฎีหลวงพ่อก้าวขึ้นบันไดมา แล้วก็พากันนั่งเรียงรายเป็นแถว บนหอฉันท์ที่หลวงพ่อยกสูงไว้ต่างหากเป็นทางยาว หน้าบริเวณหน้า ห้องของหลวงพ่อซึ่งเป็นลานกว้างพอสมควร หอฉันท์นั้นสร้างติดกับผนังกุฎีตรงข้ามกับห้องของ หลวงพ่อซึ่งเป็นซี่ๆห่างกันประมาณสองสามนิ้วตลอดผนัง ใช้ระบายอากาศถ่ายเทสำหรับการฉันท์ ครั้นมาพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว พระทั้งหมดพากันก้มลงกราบพระพุทธรูปที่วางด้านขวามือหลวงพ่อ พร้อมๆกันสามครั้งแล้วก็นั่งเรียงลำดับตามความอาวุโส โดยมิได้กล่าวคุยกันเลยยังที่เคยนั่งตามเดิม ดังนั้นเขานำถาดใส่อาหารไปมอบให้พระรูปสุดท้ายก่อน เมื่อท่านตักอาหารข้าว ส่วนใหญ่เป็น ข้าวเหนียวทั้งสิ้น ใส่ลงไปในบาตรแล้วนำพวกอาหารแกงหวานคาวใส่รวมกันในบาตร แล้วยกมือไหว้ พระอาวุโสกว่า พระอาวุโสกว่าก็ยกมือขึ้นรับไหว้รับแล้วนำถาดอาหารมาเลือกใส่ลงในบาตรตามใจชอบ ทำแบบเดียวกับองค์แรก จนถึงหลวงพ่อที่นั่งอยู่หัวแถว เขาก็คอยไปรับถาดอาหารจากหลวงพ่อมาวางข้างๆตัว พลางยกมือขึ้นพนมไหว้ รอการฉันท์ของพระให้ เสร็จก่อน จึงจะถึงเวลากินอาหารของเขา ที่ด้านข้างบาตรแต่ละองค์เขานำโถน้ำพร้อมแก้วและโถเพื่อ ใช้สำหรับคายสิ่งของวางเคียงคู่กันไว้ บรรดาพระทั้งหมดก็นั่งหลับตาภาวนาไปมิได้ทานอาหารทันที ลืมตาขึ้นแล้วพิจารณาของในบาตรสักครู่ หนึ่งจึงลงมือฉันท์อาหารในบาตร หากหมดแล้วจะมาขอเพิ่มอีกไม่ได้เป็นอันขาดต้องกะให้พอเพียงแก่ความ อิ่มของท่านเท่านั้น ครั้นท่านฉันท์จนเรียบร้อยก็พนมมือกล่าวแผ่เมตตาสรรพสัตว์ทั้งปวงทันที ก็เป็นอันเสร็จพิธีในการฉันท์อาหารมื้อเดียว ในระหว่างการฉันท์อาหารจะไม่มีพระรูปใดคุยกันเป็นอันขาด บางรูปมีธุระจะกลับกุฎีก็หันมาก็กราบพระพุทธรูปแล้วก็ค่อยๆถอยหลังออกมา แล้วยืนกลับกุฎีท่านทันที คงเหลือแต่เพียงหลวงพ่อเท่านั้น ท่านได้กล่าวว่า เอ็งเก่งนะไอ้โชติ จากกันไปหลายๆปีจนโตเป็นหนุ่มก็ยังไม่ลืมหน้าที่เด็กวัดอยู่เลย...... ครับหลวงพ่อ ผมจะลืมข้าวก้นบาตรได้อย่างไรล่ะ ผมก็เติบโตมาจากบ้านและจากวัดนี่แหละครับหลวงพ่อ เรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ก็จากหลวงพ่อที่สอนผมมาทั้งนั้นแหละครับ หลวงพ่อท่านหัวร่อ ฮึๆๆๆ แล้วก็กล่าวกับเขาว่า เอ็งกินอาหารได้แล้วเดี๋ยวก็คงจะกลับไปหาโยมเชียรกับโยมเข็ม รีบๆกินข้าวซะ ครับหลวงพ่อ ชายหนุ่มกล่าว แล้วรีบทานอาหาร เมื่ออิ่มแล้วก็นำถาดถ้วยแกง พร้อมบาตรพระทั้งหมด ไปล้างทำความสะอาดนำมาเช็ดถูกให้แห้ง นำไปเก็บไว้ในตู้ใส่ของ ส่วนบาตรนั้นพร้อมฝาบาตร ได้นำไปผึ่งตากแดดยังโต๊ะที่ทำเป็นซี่ๆคอยวันรุ่งขึ้นต่อไป เมื่อเขาจัดการหน้าที่เรียบร้อยแล้ว หลวงพ่อตอนนี้ท่านได้เข้าไปในกุฎีเรียบร้อยแล้ว เขาก้าวเข้าไปหาท่านภาย ในกุฎี พร้อมกราบลาเพื่อจะกลับไปบ้าน ทันใดหลวงพ่อเสมือนกับรู้ใจเขาท่านกล่าวว่า.... ข้าไม่เคยสอนใคร รับใครเป็นศิษย์กูเลย แต่เฉพาะมึงกูจะสอนให้นะ อ้อเรื่องที่มึงรับปากกับ ผีนางอ้อยนั้นไม่เป็น ปัญหาหรอก แต่มึงต้องคอยระวังมันไว้นะกูชักสงสัยมันเหมือนกันว๊ะ...... ชายหนุ่มตลึง????.... หลวงพ่อรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมาขอร่ำเรียนวิชาเพื่อป้องกันตัว กับท่าน และจะทำตามสัญญา ที่เคยกล่าวบอกไว้กับหญิงสาวนาม อ้อย เมื่อหลวงพ่อทองเห็นดังนั้นก็หัวร่อเบาๆ เรื่องของมึงกูรู้หมดแล้วล่ะ แต่ก็ดีไปอย่างจะได้ช่วยเหลือมึงอีกแรงหนึ่ง หลวงพ่อกล่าว พร้อมหัวร่อ ฮึๆๆๆ.... คราวนี้เล่นเอาชายหนุ่มงงเป็นไก่ตาแตกไปเลย....พลางหันไปกราบหลวงพ่อ พลางกล่าวว่า แล้วแต่หลวงพ่อจะเมตตาครับ หลวงพ่อตอบว่า ทำไมจะให้มึงไม่ได้ก็กูเลี้ยงมึงมาตั้งแต่ยังเด็กๆอยู่นี่นา เห็นว่ามึงมันห้าวนักไม่กลัวคน กูเลย ไม่กล้าสอนวิชาอาคมให้แก่มึง กลัวมึงจะถือดีเกินตัวไป แต่นี่มึงเป็นผู้ใหญ่แล้วมีความคิดอ่านแล้วเรียนหนังสือ ก็สูง มีงานมีการทำ ย่อมคิดได้ว่าอะไรดีไม่ดี วิชากูมันใช้ดีไปก็ดี ใช้ไม่ดีก็จะเข้าตัวมึง กูไม่อยากให้มึงตั้งตัวเป็น เป็นอาจารย์อวดเก่ง แต่นี่มันจำเป็นด้วยดวงมึง กล่าวแล้วก็ชะงักมิกล่าวต่อไปอีก..... เสียงหลวงพ่อกล่าวกำชับไว้อีกว่า หากมึงเรียนกับกูแล้ว กูห้ามมึงอย่าได้ไปแสดงตัวว่ามีวิชาอาคมและตั้งตัวเป็น อาจงอาจารย์เหมือนคนอื่นนะ เพียงเอาไว้ใช้ป้องกันตัวมึงเท่านั้นพอ หรือก็ช่วยเหลือคนอื่นเขาตลอดจนช่วยเหลือ สร้างผลบุญทางพุทธศาสนาไว้นะโว้ย อีกอย่างหนึ่งเรื่องผู้หญิงมึงต้องระวังให้หนักๆไว้ ทำใจมึงให้เป็นหิน มีสติสัมปชัญญะไตร่ตรองหาเหตุผลเสมอ อย่าลุแก่อำนาจโทสะเป็นอันขาด มึงจำคำกูไว้ด้วย หลวงพ่อกล่าว.... ครับหลวงพ่อ ผมจะจำคำหลวงพ่อไว้ไม่ให้ผิดพลาดได้หรอกครับ เออ!!!!!....ข้อนี้กูเชื่อมึง ด้วยมึงมีนิสัยโตขึ้นเหมือนโยมเชียร โยมเข็ม ไม่แสดงตัวใจเย็นนอกจากจำเป็น และนี่ก็จะไปร่ำเรียนกับพ่อมึงและแม่มึงอีกด้วยนะซิ เออ!!!!ดีพ่อแม่มึงกับกูวิชาอาคมแม้จะแตกต่างกันแต่กิน กันไม่ลง ตั้งแต่กูธุดงค์ไปหลายๆจังหวัดต่างบ้านต่างเมืองร่ำเรียนวิชามา ก็ยังไม่เคยเห็นใครจะทัดเทียมพ่อแม่ ของมึงได้สักรายเลยว๊ะ แต่โยมเชียรและโยมเข็มกลับไม่แสดงตัวเอง หากตายไปคงจะสูญหมดเสียดายว๊ะ หาก มึงได้รับการถ่ายทอดไว้ เพื่อช่วยเหลือศาสนาก็จะดีไม่น้อย หลวงพ่อกล่าวขึ้น ครับหลวงพ่อ ผมเพียงคิดจะเอาไว้ใช้ป้องกันตัวเท่านั้น ส่วนเรื่องผู้หญิงผมคงจะไม่เด็ดขาดหรอกครับ ผมเห็น ปัญหามีมาก ชายหนุ่มกล่าวกับหลวงพ่อ แต่ดวงของมึงมันแปลกประหลาดว๊ะ ไม่เหมือนกับคนอื่นๆกูมองเห็นกาลข้างหน้าแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ เป็นอย่างไรหรือครับหลวงพ่อ???.... ชายหนุ่มถาม กูบอกไม่ได้หรอกว๊ะ!!!!!..... เดี๋ยวกูจะผิดศีลในข้ออวดอุตริมนุษยธรรมไปเสีย หลวงพ่อเอ่ยขึ้น แต่ช่างเถอะด้วยชะตามึงมันมาแบบนี้เองนี่หว่า หากมีอะไรมึงมาหากูก็แล้วกันนะ หลวงพ่อสั่งไว้ ครับๆหลวงพ่อ หากเป็นดังที่หลวงพ่อกล่าวผมจะมาหาหลวงพ่อครับ เอ๊ะๆ!!!!!....กูจะอยู่ทันไหมหนอ หลวงพ่ออุทานออกมาเบาๆ คงไม่เป็นไรหรอกครับหลวงพ่อ ผมเองทำใจได้แล้วครับ อายุก็มาปานนี้แล้วผู้หญิงผมไม่เคยสนใจนอกจาก ทำงานอย่างเดียว แต่มันจะมาหามึงเอง ไม่ใช่มึงไปหามันหรอกว๊ะและอีกอย่างหนึ่ง กล่าวยังไม่จบหลวงพ่อก็หยุดไปเฉยๆ มึงไม่ต้องถามอะไรกูอีกแล้ว นี่ก็สายรีบไปพบพ่อแม่มึงเถอะ เขารู้แล้วว่ามึงเป็นอย่างไรกำลังคอยอยู่ว๊ะ งั้นผมกราบลาหลวงพ่อก็แล้วกันนะครับจะได้รีบไป........ เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวกูไปหยิบของมาให้มึงก่อน แต่ว่ามึงต้องระวังกำชับมันด้วยนะ กล่าวจบหลวงพ่อก็หันไปทาง หิ้งพระ เขามองดูเห็นเต็มไปด้วยของพะรุงพะรัง ระเกะระกะ หลวงพ่อค้นหาสักครู่ก็หยิบเอาออกมา แล้วยกขึ้นระหว่างหน้าอกหลับตาภาวนาอะไรก็ไม่รู้ ชายหนุ่มนั่งมองจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร พลางยื่นให้เขาและยังบอกมนต์กำกับการใช้บังคับให้ด้วย และให้ชายหนุ่มท่องให้ฟังหลายๆเที่ยวจนแน่ใจแล้ว ซึ่งชายหนุ่มจำได้อย่างแม่นยำด้วยคาถาที่หลวงพ่อบอกไม่ยาวมากนัก ท่านกล่าวว่า เออ!!!!....หัวมึงไวจำได้ดี อย่างนี้ซิถึงสอบชิงทุนไปเรียนในกรุงได้ พลางหลวงพ่อหัวร่อลั่น... ใช่แล้วเขาเพียงทบทวนสองสามเที่ยวก็จำได้ขึ้นใจ เขามองของที่หลวงพ่อนำมาให้เป็นรูปไม้แกะเป็นรูป ผู้หญิงแต่งกายสวยงามนัก มันช่างคล้ายๆใครหนอ ตอนนั้นเขานึกไม่ออกจริงๆ เออๆๆๆ....มึงนำใส่กระเป๋ากางเกงก็ได้เวลาไปไหนๆ ก็นำไปด้วยก็แล้วกันบอกเขาด้วย เวลากินอาหารอะไร ก็บอกเขาว่ากินได้ไม่ต้องเรียกไม่ต้องบอก หากหิวก็เลือกกินอาหารได้หรือกินก่อนก็ได้นะ จำหลวงพ่อไว้ ครับหลวงพ่อ แล้วชายหนุ่มก็ก้มลงกราบท่าน เออๆๆมึงไปได้แล้วไปพบพ่อแม่มึง ตอนเย็นมึงมาหากูด้วยนะ กูจะถ่ายทอดให้มึงให้หมด คงใช้เวลาไม่นานหรอก แต่เอาไว้ช่วยศาสนาเรานะหากเขาต้องการ อย่าเสือกไปเสนอตัวเองล่ะ.... อาศัยปัญญามึงไม่ช้าหรอกเรียนของกูหมด ครับหลวงพ่อ ผมจะมานมัสการหลวงพ่อทุกๆเย็นแหละครับ ชายหนุ่มกล่าวพร้อมก้มลงกราบหลวงพ่อ เออๆๆๆ....โชคดีมีชัยนะ จำเริญๆสุขเถิด พ้นเคราะห์พ้นโศกนะ มาๆๆๆมึงมาใกล้ๆกูหน่อย ชายหนุ่มคลานไปหาหลวงพ่อทองทันที ท่านก็จับหัวของเขาแล้วเอาอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าปลายแหลมคมเขียนอะไร บนหัวเขาแล้วเป่าลงบนหัว แปลกจริงๆ ร่างกายเขาเย็นยะเยือกเหมือนใครเอาน้ำแข็งผสมน้ำมาราดหัวเขา ขนเขา ลุกชันไปหมด เขาจำได้ว่าสามครั้งแล้วตบหัวสามครั้ง แล้วท่านก็บอกว่าไปได้แล้ว ชายหนุ่มหันมากราบหลวงพ่อทองอีกครั้ง แล้วยกสัมภาระกระเป๋าสะพานบนไหล่ทั้งสอง ข้างปล่อยสิ่งของไว้ข้างหลัง หันหน้ามาทางกุฎี พลางพึมพร่ำเบาๆ อ้อยเอ๋ย....น้าทำตามสัญญาแล้วนะ มามะมาไปอยู่ด้วยกันนะ หูเขาแว่วได้ยินเสียงหัวร่ออย่างดีอกดีใจแว่วเข้ามา เจ้าจุกและพวกเอ๋ย....น้าขอบใจพวกเจ้าทั้งหลายนะ น้าไปก่อนนะแล้วจะมาเยี่ยม เสมือนมันจะรับรู้ด้วยเกิดลมพัดมาต้องกายเขาเป็นระยะ แต่ไม่ใช่ลมโชยแน่นอน เขาคิดเนื่องจากมองไปที่ยอดไม้ ไม่เห็นใบไม้ไหวเลย เขาเชื่อแล้วว่าผีมีจริงด้วยประสบการณ์เมื่อคืนนี้หากไม่ได้พวกเจ้าจุก กับหญิงสาวชุดแต่งกาย โบราณมาช่วย พลันนึกสังหรณ์ใจเมื่อเดินออกจากประตูวัดไปแล้วย้อนกลับไปยังต้นตะเคียนที่เขาเจอหญิงสาว ลมพัดโชยเบาๆ เขาเดินไปเอามือลูบที่ต้นตะเคียนเบาๆ ความรู้สึกว่าได้กลิ่นหอมเหมือนกับที่เคยเจอเมื่อคืนนี้หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เขาบอกกล่าวคนเดียวเบาๆว่า ขอบใจแม่นางมากนะที่คอยช่วยเป็นเพื่อนหากแม่นางอาศัยที่นี้ก็จงรับทราบด้วย แต่จะมาเยี่ยมเสมอๆ หากแม่นางอาศัยวิมานบนต้นไม้นี้ก็จงขอให้แสดงให้เห็นด้วยเถิด พอสิ้นเสียงกล่าวของเขา ทันใดนั้นเอง กิ่งไม้ตะเคียนขนาดเท่าข้อมือเขาหักหล่นลงมาต่อหน้าเขา เล่นเอาเขาตกใจเขาหันไปมองดูบน ยอดต้นไม้ แล้วก้มลงมองที่พื้นเห็นเป็นกิ่งไม้แห้งขนาดย่อมๆยาวกว่าฝ่ามือเขาได้ แปลกเขาคิดมันน่าจะหักมาทั้งกิ่งนี่นา แต่นี่เหมือนกับเป็นท่อนไม้ที่ถูกตัดไว้เรียบร้อยแล้ว เขาหยิบท่อนไม้ ขึ้นมาพิจารณาพลางดมกลิ่นดู ความรู้สึกว่ามีกลิ่นหอมจางๆหรือแม่นางตะเคียนจะมอบให้แก่เขากระมัง ดังนั้นเขาจึงปลดเป้กระเป๋าออกมาเอาท่อนไม้นั้นใส่ลงไปแล้วสะพายเหมือนเดิม พลางกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วเขาก็นึกอย่างไรไม่รู้ หันไปจูบเบาๆที่ต้นตะเคียนซึ่งมีกลิ่นหอม ความรู้สึกว่าชื่นใจยิ่งนักจริงๆ เสียงร้องอุทานผ่านสายลมมาเป็นเสียงแผ่วเบาๆ........ อุ๊ย!!!!!????.......แล้วเสียงนั้นก็จางหายไป นอกจากเสียงสายลมที่พัดใบไม้ต้นนั้นไหวๆไปมาเท่านั้น พลางกล่าวขอบคุณเบาๆ แล้วเดินย้อนกลับผ่านวัดไปทางหลังวัดเดินลัดเลาะไปตามต้นไม้ใหญ่บ้างเล็กบ้างไป ตามทางที่ขรุขระ บ้างต้องเดินขึ้นเนินเขา ลัดเลาะไปตามไหล่เขา ถนนวกวนไปๆมาๆตลอดระยะทางที่เขาเดิน แสงอาทิตย์สาดส่องแดดร้อนอบอ้าว จนเขาเหงื่อไหลย้อยท่วมตัวไปหมด แต่ยังดีที่มีสายลมและอากาศที่ ค่อนข้างจะเย็นๆ เขาเดินไปอย่างสบายอารมณ์ด้วยเป็นธรรมชาติอันแท้จริงอากาศสดชื่นยิ่งนัก ได้ยินเสียงนก ร้องคล้ายๆช่วยเป็นเพื่อนเขา ในระหว่างที่เขาเดินนั้น ปราศจากผู้คนเลย รอบๆด้านมองเห็นภูเขาซ้อนสูงบ้างต่ำบ้าง บ้านเขาไม่ห่างจากภูเขาเท่าไหร่นัก ใกล้ๆกับลำธารที่ไหลลงมาจากเขา เมื่อสมัยเด็กๆเขามักจะชอบมาเล่นน้ำเสมอๆ เขาเดินหลีกบ้านที่ปลูกแต่ห่างกันมากกับบ้านเขา อาศัยที่เป็นถิ่นกำเนิดเขาจึงเดินตามทางแยกซึ่งมีทางแยก มากมาย เขาแม้จะจากไปหลายๆปีจนเป็นหนุ่มก็ยังจำได้อยู่ เมื่อหลบหน้าผาเหลี่ยมเขา ก็มองเห็นบ้านเขาอยู่ไปอีก ไม่ไกลนักสำหรับเขา แต่หากเป็นชาวกรุงก็คงจะต้องร้องลั่นเชียวล่ะ นั่นมันหมายถึงว่าต้องเดินเป็นกิโลๆ ทันใดนั้นเสียงรถยนต์ดังบีบแตรขอทาง เนื่องจากเขาเดินอยู่กลางทางเดินเพื่อหลบเลี่ยงหลุมบ่อต่างๆ เสียงรถ เขาหันไปมองด้วยความแปลกใจ เป็นรถเก๋งราคาค่อนข้างสูงด้วยเขาทำงานในกรุงเทพจึงรู้วิ่งฝุ่นตลบโคลงเคลงไปๆมาๆ เขายกมือขึ้นปิดจมูกกันฝุ่นสีแดงที่ฟุ้งกระจายไปทั่ว พลางหลบเข้าข้างทางด้วยถนนนั้นเล็ก ใช้สำหรับรถเล็ก เท่านั้น พอจะสวนกันได้ แต่ฝ่ายหนึ่งต้องชะลอเลี่ยงเข้าข้างทางก่อน คันอื่นถึงจะผ่านพ้นไปได้ เขามองเข้าไปภายในรถเห็นมีคนหลายๆคน ส่วนใหญ่จะเป็นหญิงเสียมากกว่าชาย พวกนั้นต่างร้องเสียงหวีดว้าย โอนเอนไปๆมาๆด้วยถนนหนทางไม่ดีนั่นเอง ต่างพากันหัวสั่นหัวคลอนไปหมด......... * แก้วประเสริฐ. *
7 พฤศจิกายน 2553 18:03 น. - comment id 119891
เขียนหลังเที่ยงคืนไม่กลัวเหรอคะ คุณครูแก้ว แต่หมายิ่งหอนจินตนาการ ยิ่งบรรเจิดค่ะ
7 พฤศจิกายน 2553 18:23 น. - comment id 119892
กำลังสนุกมากค่ะครู ศิษย์ขออ่านตอนกลางวันนะคะ กลัวหมาหอนตอนกลางคืนค่ะ
7 พฤศจิกายน 2553 18:32 น. - comment id 119893
คุณ ช่ออักษราลี ไม่หรอกจ้าศิษย์รัก สมัียก่อนครูเคย เจอมาเหมือนกัน แต่เฉยๆคิดว่าเป็นคนธรรมดา เท่านั้น มารู้ก็ภายหลังด้วยเขาบอกให้ฟัง การเขียนนิยายแบบนี้บรรยากาศที่ดี ต้องเลยเที่ยงคืนไปแล้วสงบเงียบไม่มีคน ด้วยในเมืองตอนค่ำคนยังพลุ่งพล่าน การเขียนก็จะไม่อำนวยให้ิจ๊ะ ครูอยู่ใน กรุงเทพก็จริงแต่เป็นชานเมืองพอสอง สามทุ่มก็เงียบแล้วล่ะ แต่ครูจะเขียน หลังเที่ยงคืนไปแล้ว เขานอนกันหมด นี่แหละดี ตั้งแต่ตอนแรกแล้วหมาที่เลี้ยง ไว้และหมาบ้านอื่นมันหอนกัน ตอนแรก นึกว่าฤดูติดส้ัตว์ แต่ไม่ใช่ พอลงมือเขียน ทีไรเป็นแบบนี้ทุกที สงสัยเหมือนกันแต่ มีคนนำของที่เขาเลี้ยงไว้ไม่ได้มาให้ ครูเช่น กุมารทอง รักยม กุมารี และอีก หลายๆอย่างที่ทำด้วยกระดูกผีผงผีน้ำมัน จีปะถะ เขาบอกว่าแรง ครูบอกว่าไหนๆ ขอทดลองหน่อยว่าจะแรงจริงหรือไม่ มันบอกว่าจริงๆนะแรง ครูเป็นคนชอบ ทดลอง และลองของอยู่แล้ว ก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไหนๆขอทดลองดูหน่อย เขา รีบเอามาให้ บางตนเล็กบางตนสูงเกือบ ฟุต ครึ่งฟุตก็มีจ๊ะ ครูเอามาเลี้ยงไว้ไม่เห็นเจออะไรมี แต่คนอื่นเขาเจอแต่ไม่ใช่คนในบ้านนะ เมื่อคราวไปเที่ยวจังหวัดเลย ให้หลาน ชายมาเฝ้าบ้านคนเดียว มันโทรฯมาเร่งๆ ว่าให้รีบกลัีบ กลับมาถามว่าทำไมเร่งนัก หลานมันบอกว่าไปซื้อของกินข้างนอกบ้าน พอกลับมาเห็นคนเต็มบ้านไปหมด มัน ต้องคว้าหาไม้เข้ามา แต่ไม่มีอะไร แต่ เวลานอนมันนอนที่ตั้งตอนแรกบอกว่า ให้ไปนอนในห้องครู มันไม่เอาบอกว่า ไม่รู้ใครยืนทะมืนหน้าห้อง มันเลยนอน ที่ตั่งหน้าหิ้งพระจ๊ะ เอาเท่านี้ก่อนนะเดี๋ยว คนอื่นจะหาว่าโม้ ทั้งๆที่ครูไม่มีวิชาอาคม มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ เท่านั้นจ้า รักศิืษย์เรามากเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
7 พฤศจิกายน 2553 18:35 น. - comment id 119894
คุณ อนงค์นาง ศิษย์รักเรา อยู่เมืองนอกอเมริกากลัว ผีด้วยหรือ ผีฝรั่งไม่น่ากลัวนะที่ครูคิดไว้แบบ นี้ ไม่เหมือนผีไทยที่เขาปลุกด้วยวิชาอาคม จะแรงมากกว่ามาก ยิ่งแถวบ้านศิษย์เรา ลงไปแถวบุรีรัมย์ ศรีษะเกษ สุรินทร์ ดงพวก เล่นของทั้งนั้น ยิ่งน่ากลัวกว่ามากนะ อ่านตอนกลางคืนซิได้อารมณ์ดีจ๊ะ รักศิษย์เราเสมอๆ แก้วประเสริฐ.
8 พฤศจิกายน 2553 21:07 น. - comment id 119909
มาติดตามต่อครับครู.. .เหตุการณ์เริ่มขยายกว้างขึ้น ที่น่าชมคือครูจำ ..การฉันท์ของพระได้ แบบมื้อเดียว..
8 พฤศจิกายน 2553 22:15 น. - comment id 119910
ท่างัดบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบนี่ เหมือนคุณแก้วด้วยหรือเปล่า น่าติดตามๆๆแต่ขอช่วงยังไม่ดึกนักนะคะ อิอิ
9 พฤศจิกายน 2553 13:10 น. - comment id 119914
คุณ กิ่งโศก ศิษย์รัก ครูเคยบอกในที่นี้แล้วว่า การ เขียนเรื่องประสบการณ์ผ่านมาที่เห็นไม่ เท่าไหร่ หรอก แต่หากจะเขียนเป็นนิยาย หรือเรื่องสั้นๆ นั้นอันมิใช่เรื่องที่เราพบเห็น จะยากกว่ามากนัก ต้องดำเนินเรื่องให้มอง เห็นภาพชัีด และเช่นเดียวกันก็เอาจิตวิญญาณ เราใส่เข้าไปในตัวหนังสือด้วย หากทำได้ เรื่องก็จะดำเนินไปได้เองแหละ ส่วนเรื่องพระฉันท์มื้อเดียวนั้นครูเอง ก็พึ่งเห็นครั้งเดียวในชีวิต เห็นจดจำเป็น ภาพที่น่าทึ่งน่าศรัทธามาก ไม่เหมือน ในกรุงเทพหรือทั่วๆไป ส่วนใหญ่จะเป็น พวกที่เรียกว่า พระป่า เสียเป็นส่วนมากจ้า รักศิษย์เราเสมอ แก้วประเสริฐ.
9 พฤศจิกายน 2553 13:24 น. - comment id 119916
คุณ แจ้นเอง แสดงว่าคุณกับผมเคยพบปะกันมาแล้ว ถึงได้รู้อากัปกิริยาผมหรือก็เฝ้ามองผมอยู่ แน่ๆเลย ผมต้องขอโทษด้วยที่บอกตรงๆ ว่าที่ไปงานนั้นแทบจะไม่รู้จักใครเลยก็ว่าได้ และไม่ได้ทักทายใครๆ ส่วนใหญ่มักจะนำ กล้องถ่ายรูปหนีไปคนเดียวเป็นส่วนมาก ไม่ค่อยได้วิสาสะสนทนากับใครๆหรอก บางครั้งเจ้าอิมเสียอีกต้องไปตักอาหารมา ให้ผมทาน ส่วนผมไม่อยากไปแย่งใคร หรือรบกวนใคร เวลาหิวก็มองเหมือนกัน คอยว่าเมื่อไหร่หนอคนจะน้อยลงจะได้ ไปขอเขาทานบ้างเท่านั้น บางครั้งก็ไป ดื่มน้ำรองท้องไว้ก่อน เป็นเช่นนี้ประจำ เคยมีครั้งหนึ่งไปนั่งที่ศาลาข้างๆน้ำ ตกฟังเขาคุยกัน เคลิ้มหลับไปเมื่อไหร่ ไม่รู้ ตื่นมาอ้าวหายไปหมดแล้ว ก็เลย เดินกลับมาดีนะ ยายอิมไม่ทิ้งผมไปเสีย โอ้ยมิฉะนั้นแย่เลย หาทางกลับไม่ถูกล่ะ ด้วยคนไม่มี น้ำตกก็ไม่สวยอะไรหรอก คนจึงมาเที่ยวน้อย อย่างดีก็จะขออาศัย เขาไปยังที่พอจะมีรถเช่ารถไปต่อรถ โดยสารกลับบ้านซะเลย ผมต้องขอโทษคุณแจ้นด้วยที่ไม่ได้ ทักทายก็ด้วยเหตุดังกล่าวนี่แหละครับ อ่านเรื่องนี้ผมคิดว่าจะให้มีหลายรูป แบบในเรื่องเดียวกันครับ ติดตามดูก็แล้ว กันสลับกันบ้าง รับรองว่าต้องเข้มข้นขึ้น เรื่อยๆตามนิสัยการเขียนของผมครับ การจบลงคิดว่าคงอีกนาน ยามใดผมจับ งานเขียนมักจะไม่จบง่ายๆ เว้นแต่ว่าไม่ ค่อยจะมีอารมณ์กระทันหันเลยสรุปเอา ดื้อๆหรือมีธุระเพราะเขียนกลางวัน แต่ นี่มาเขียนหลังเที่ยงคืนไปแล้วนั่งคนเดียว ไม่มีใครมารบกวน นอกจากพวกเด็กๆมา เคาะประตูเล่นเท่านั้นแหละครับ หลาย ครั้งอยู่ดีๆก็มาเคาะประตูหน้าบ้าน ซึ่งติด กับเครื่องคอมฯที่ผมใช้พิมพ์งานครับ เท่านี้ก่อนนะครับ ขอโทษด้วยครับ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
9 พฤศจิกายน 2553 18:27 น. - comment id 119926
คุณแก้วคะ แจ้นเองไม่เคยไปงานไหนหรือพบปะกับใครเลยค่ะ ยกเว้นน้องแบม แก้วประภัสสร แต่ที่ทายถูกเพราะคนเขียนมักจะใช้บุคคลิกที่หาง่ายที่สุดคือตัวเอง และนำเอาอารมณ์ตัวเองเป็นคาแรคเตอร์ อันนี้แจ้นอาจจะหมายตัวเองซะมากกว่าอย่าถือสาเลยค่ะ เรื่องกำลังจะเข้มข้น จะตามต่อนะคะ
9 พฤศจิกายน 2553 21:14 น. - comment id 119929
คุณ แจ้นเอง เก่งจังเลยเหมือนผมไม่ค่อยชอบไป ไหนๆหรอกครับ ถูกต้องที่สุึดครับ ผมจะมักเอาตัวผมเองเป็นคาเรคเตอร์และ อารมณ์จินตนาการที่มีเท่านั้นเองครับ จึงขอปรบมือให้ ที่เดาใจผมออกมากที่สุด อีกประการหนึ่งผมนิสัยไม่ค่อยจะไป ก้าวก่ายใคร ยกเว้นบางครั้งสำหรับคนที่ผม ชอบเท่านั้นครับ การแต่งนี้ผมก็เหมือนดั่ง คุณกล่าวไว้แหละครับ ขอบคุณ รักเสมอ แก้วประเสริฐ.
25 ธันวาคม 2553 14:18 น. - comment id 120767
พี่ชายถ่ายทอดงานงดงามนี้ด้วยใจ เชื่อว่าอีกด้านหนึ่งของภพภูมิจะสัมผัส ได้เช่นกัน
11 มกราคม 2554 13:53 น. - comment id 121253
......กำลังจะตามไปอทิสมานกาย6