“...ทานวิปริต…”

กระต่ายใต้เงาจันทร์


...ทานวิปริต
	ขึ้นชื่อว่า  ทาน  ชาวพุทธโดยทั่วไปเข้าใจและรู้จักดี  เพราะ  ทาน  เป็นคำสอนซึ่งปรากฏอยู่โดยทั่วไปในพระพุทธศาสนา  การให้หรือการบริจาคซึ่งเรียกว่า  ทาน  นั้นเป็นของดี  เป็นบุญกุศลแก่ผู้ให้ เป็นความดีงามแก่ผู้ให้  ก่อให้เกิดความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ช่วยเหลือสงเคราะห์กันและกันในหมู่ชน  หรือในสังคม  และธรรมชาติของทานนั้น  ย่อมมีผลย้อนกลับไปสู่ผู้ให้  คือ  ทำให้ผู้ให้ย่อมได้รับการให้ตอบ  ทำให้ผู้ให้ได้บุญเป็นบุญบารมี  ผู้ให้ย่อมผูกมิตรภาพยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้อื่นได้  ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักนับถือของผู้รับ ผู้ให้ย่อมมีพรรคพวกบริวาร  และถ้าเขาเป็นนักให้ นักบริจาคทานอยู่เสมอ  ก็จะทำให้เกิดพลังอำนาจ (Power)  ขึ้นอย่างหนึ่งที่เรียกว่า  บารมีอำนาจ  หรือ  บริวารอำนาจ  หนุนให้นักให้ หรือนักบริจาคทานนั้นสูงส่งยิ่งขึ้น  หรือเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น   นี้เป็นธรรมชาติที่เป็นไปอย่างนั้นของธรรมะที่เรียกว่า ทาน
	...พระพุทธเจ้าท่านทรงทราบชัดถึงข้อนี้...  จึงทรงสอนให้รู้จักบริจาคทาน  และทรงสอนให้บริจาคทานด้วยเจตนาที่ดี เจตนาที่เป็นบุญกุศล  ตลอดถึงให้บริจาคทานแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน  ชาวพุทธจึงนิยมทำบุญบริจาคทานเป็นนิสัยประจำชาติไปแล้ว  สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่เอื้ออาทรต่อกัน  ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน  และมีน้ำใจต่อกันอย่างตรงไปตรงมาอย่างไม่ดัดจริตมีมายาสาไถย  ไม่บริจาคทานแบบอ่อยเหยื่อ หรือแบบเหยื่อเกี่ยวเบ็ดตกปลาเพื่อลงหม้อแกง
	แต่  ทาน  ยุคโลกาภิวัตน์  หรือ  อินเตอร์เนต  ธุรกิจการเมือง  หรือธุรกิจทุนนิยมปัจจุบันนี้  ทาน  คือการให้  กลายเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งของบุคคลบางกลุ่ม  บางประเภท  คือ ทำการบริจาคหรือให้  เพื่อเป็นบันไดขึ้นไปตักตวงผลประโยชน์อันมากกว่าที่ให้ไปนั้น  เป็นร้อยเป็นพันเท่า  เพราะคนประเภทนี้รู้ดีว่า  ทานคือการให้นั่นแหละ  มันจะมีผลย้อนกลับ  เป็นหนทางที่จะสร้างอำนาจขึ้นได้  จึงใช้ธรรมะคือทานนี้แหละไปแสวงหาผลประโยชน์ที่มากกว่า  อย่างนี้เรียกว่าการใช้ธรรมะในทางที่ผิด  ที่ท่านเรียกว่า สัทธรรมปฏิรูป  การประพฤติธรรมแบบนี้เป็นการประพฤติธรรมที่ไม่สุจริต  ทานของผู้ไม่สุจริตนี้ก็เป็นทานวิปริต  คือ  ทานที่คลาดเคลื่อนจากวัตถุประสงค์ที่แท้จริง
	คนประพฤติธรรมไม่สุจริตแบบนี้  มักจะมาในรูปของนักบุญ  ที่เรียกว่า  โจรในคราบบุญ  หรือถ้าพูดแบบสำนวนพระก็เรียกว่า  ซ่อนดาบไว้ในจีวร  คนประเภทนี้ดูยาก  เรียกว่า  รู้หน้าไม่รู้ใจ  เพราะเขาอยู่ในรูปแบบของการให้ความช่วยเหลือ  เหมือนคนเอาเหยื่อเกี่ยวเบ็ดให้ปลากิน  ปลามองไม่เห็นเบ็ด เห็นแต่เหยื่อ  ก็นึกว่ามนุษย์นี้ช่างมีเมตตากรุณาดีจริงหนอ  อุตส่าห์เอาอาหารมาให้  คิดแล้วก็ไปรับอาหารจากมนุษย์นั้น  เมื่องาบเหยื่อเข้าแล้วก็ติดเบ็ด  อนาคตก็คือ หม้อแกง
	คนประเภทชอบงาบเหยื่อนี้ก็มีอยู่มาก  เพราะไม่รู้ถึงความเป็นโจรของเขา  ซึ่งซ่อนอยู่ภายใน  จึงมองไม่เห็นทุกข์โทษภัยที่จะมาถึง  ยิ่งถ้าเป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง  เป็นนักปกครอง  นักบริหารด้วยแล้ว  ถ้าหลงไปงาบเหยื่อของนักบุญผู้ให้การช่วยเหลือประเภทนี้เข้า  บ้านเมือง  ประชาชนก็จะเกิดความทุกข์ยากลำบากเดือดไปทุกหย่อมหญ้า  เหมือนละครเรื่องของแผ่นดิน  ที่เราเคยดูกันมาครั้งหนึ่งนั่นแหละ  ย่อมเป็นอุทาหรณ์ในเรื่องนี้เป็นอย่างดี.
โดย   ศรีพลอย   เปรียญ...
				
comments powered by Disqus
  • ฤกษ์(ไม่ได้ล๊อกอิน)

    8 พฤศจิกายน 2553 11:03 น. - comment id 119898

    ทาน เป็นธรรมเบี้องต้นของพระพุทธเจ้า
    สอนให้คนรู้จักจาคะ ลดความโลภของตนเอง โดยจาคะให้กับผู้เดือดร้อน ผู้ด้อยกว่า เมื่อความโลภลดน้อยลง ก็จะได้เข้าถึงธรรมขั้นต่อ ๆ ไปของท่านโดยง่าย แต่ไม่ใช้ให้กับพระหรือนักบวช  เพราะท่านได้วางกฏดักไว้แล้วว่า ไม่ใช้รับเงินหรือของมีค่าใด ๆ ให้ยึดเอาอัตถบริขารไตรจีวรเท่านั้น
      แต่พระรุ่นต่อ ๆ มากลับมาแปลง เพื่อตัวเองซะ กลับโลภเสียเอง เก็บเงินหาเงินเลี้ยงครอบครัว มีบัญชีฝากธนาคารส่วนตัวจำนวนมากมายมหาศาล มีพระที่ไม่มีบัญชีส่วนตัว อย่าหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อปัญญษนันทภิกขุ สักกี่องค์
           นอกจากนี้ยังแปลงคำสอนให้คนงมงาย บริจาคทำบุญเยอะ ๆ ชาตินี้เอาไว้กินไว้รวยชาติหน้า สร้างนิทาน ตายไปอดอยากถ้าไม่ทำบุญไว้เยอะๆ  ที่แท้ก็ ให้โยมทำบุญเยอะ ๆชาตินี้เอาไว้รวยชาติหน้าแต่ชาตินี้อาตมาขอรวยก่อนแล้วกัน อิอิ
           บางองค์มีเงินเป็นพันล้าน หมื่นล้านอิอิสร้างอนาจักรใหญ่โตวิปริตไม๊ล่ะท่าน
  • กระต่ายใต้เงาจันทร์

    8 พฤศจิกายน 2553 23:48 น. - comment id 119911

    คนที่จิตวิปริต มักจะคิดแต่เรื่องวิปริต
    
    จงให้อภัยและเห็นใจผู้มีจิตใจที่มืดบอด

thaipoem ที่สุดกลอนดีๆ

thaipoem บ้านกลอนไทยที่ที่สร้างแรงบันดาลใจของทุกๆคน เป็นเพื่อนเมื่อยามเหงา คอยปลอบใจเมื่อยามร้องไห้ ที่ที่อยากให้ทุกๆคนรู้ว่าสิ่งดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน