มิติรัก...ใต้เงาจันทรา ฉบับปรับปรุง ตอนที่2
ส.ธนาศิษฏ์
งานตัดจุกบ้านคุณท้าวนางเยาวลักษณ์จัดขึ้นอย่างเอิกเลิกไม่แพ้ลูกเจ้านายชั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่น้อยต่างก็มาร่วมงานนี้กันอย่างคับคั่ง และเห็นจะขาดเสียไม่ได้เลยคือคุณท้าวทองกีบม้าภรรยาของท่านเจ้าพระยาวิชาเยนต์ซึ่งเป็นสหายชาวต่างชาติของเจ้าคุณย่า
เป็นอย่างไรบ้างลูกโตเป็นสาวแล้วนะเจ้า อีกสองสามเดือนย่าจะส่งเจ้าไปอยู่กับแม่เจ้าในตำหนักหลวง เป็นข้ารองบาทพระเดชพระคุณสมเด็จฯท่าน หรือไม่ก็ไปอยู่ตำหนักหม่อมห้ามท่านข้างในจะได้เรียนรู้วิถี ขนบชาววัง
ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีเลย ฉันไม่อยากจะเติบโตเป็นสาวเลยจริง ๆ เพราะฉันจะไม่มีโอกาสได้มาวิ่งเล่นเป็นเด็ก ๆ แบบนี้อีกแล้วน่ะสิ น้ำผึ้งแก้วเอ่ยเบา ๆ กับแม่อิ่มพี่เลี้ยงของหล่อน ในขณะที่นั่งก้มมองผ้าผ่อนที่สวมใส่ด้วยความเบื่อหน่าย
เจ้าคุณย่ายืนคุยอยู่กับแขกเหลื่อที่มาในงาน น้ำผึ้งแก้วแอบมองทุกคนทางหน้าต่างห้องด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายตามประสาเด็ก
เมื่อถึงเวลาพระสวดน้ำผึ้งแก้วก็นั่งพับเพียบประนมมือรอการตัดจุก สีหน้าของเธอบ่งบอกถึงความทุกข์อันแสนสาหัสจนกระทั่ง
เดี๋ยวขอรับ
เจ้าคุณพ่อ!!!! น้ำผึ้งแก้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ดีใจมาก ลูกนึกว่าเจ้าคุณพ่อจะไม่มาเสียแล้ว
มาสิลูกพ่อต้องมาให้ทันเจ้าตัดจุกเรื่องสำคัญแบบนี้เป็นอะไรพ่อจะไม่มาเล่า
น้ำผึ้งแก้วกอดเจ้าคุณพ่อไว้แน่น เธอเหลือบไปเห็นคุณมาลีเมียรองของเจ้าคุณพ่อพร้อมด้วยเด็กผู้ชายหัวจุกสามคน และเด็กผู้หญิงผมแกละอีกหนึ่งคน รุ่นราวห่างจากเธอไม่มากนัก ราว ๆ สามถึงสี่ปี ลักษณะเด็กทั้งสี่คนนี้น่าจะเป็นลูกหัวปีท้ายปีเป็นแน่แท้ เมื่อเธอเห็นดังนั้นจึงละแขนออกจากเอวของท่านแล้วก็จ้องหน้าท่านด้วยความรู้สึกที่เจ็บใจ
เจ้าคุณแม่ของลูกไปอยู่เสียที่ไหนทำไมเจ้าคุณพ่อถึงทำเยี่ยงนี้
น้าเขาอยากจะมาดูลูกน่ะพ่อก็เลย
น้ำผึ้งแก้วไม่ยอมตอบอะไรทั้งนั้น หล่อนนั่งนิ่งจนพิธีตัดจุกเป็นอันว่าเสร็จสิ้น หล่อนเดินกลับไปยังห้องของหล่อนจากนั้นก็ไม่ยอมออกมาเลย หล่อนนอฟุบอยู่ที่เตียงแล้วก็ร้องไห้ ไม่มีใครตอบได้ว่าหล่อนเป็นอะไร ไม่ว่าเจ้าคุณพ่อของหล่อนจะถามบ่าวไพร่กี่คนก็ไม่มีใครรู้ว่าหล่อนทำไมถึงไม่ยอมออกมาจากห้อง เจ้าคุณพ่อรู้สึกผิดหวังมากที่ลูกสาวทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
รุ่งสาง น้ำผึ้งแก้วห่มผ้าแถบสีไพรนุ่งผ้าจีบสีกลักคลานเข่าเข้ามานั่งใกล้ ๆ คุณท้าวนางเยาวลักษณ์พร้อมกับช่วยจีบหมากจีบพลูอย่างละเอียดลออ คุณย่าของหล่อนหยิบหมากเจี๋ยนบาง ๆ ขึ้นมาดม
เจ้าคุณย่าเจ้าคะ หลานอยากจะไปอยู่ในวังกับเจ้าคุณแม่เสียวันนี้เลย คุณย่าวางหมากลง ชำเรืองมองหลานรักด้วยความแปลกใจ
ทำไมมารบย่าแต่เช้าล่ะลูกทุกทีเจ้าบอกเองไม่ใช่รึว่าไม่อยากไปอยู่ในวัง เจ้ากลัวว่าจะไม่มีเพื่อนไม่ใช่รึ
หลานโตแล้วนะเจ้าคะ ไม่ต้องมีเพื่อนก็ได้เพียงแต่หลานไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกแล้ว หลานอยากจะไปเป็นข้าหลวงของสมเด็จฯ ท่าน เจ้าคุณย่าจะให้หลานไปไหมเจ้าคะ
เอาก็เอา รีบไปเปลี่ยนผ้านุ่งแล้วตามย่ามา
เจ้าคุณย่านั่งกรองดอกไม้ใส่พานพร้อมธูปเทียนแพ เมื่อน้ำผึ้งแก้วแต่งตัวเสร็จ เจ้าคุณย่าก็นำสังวาลเส้นโตมาคล้อง จากนั้นก็ส่งพานให้หล่อนและเดินนำไปยังท่าน้ำเพื่อลงเรือเก๋งที่จอดเทียบท่าอยู่
เจ้าคิดดีแล้วรึ
เจ้าค่ะ
รู้จักโตสักทีถ้าไปถึงก็อย่าร้องโยเยกลับบ้านล่ะ น้ำผึ้งแก้วลงเรือไปพร้อมกับคุณย่า หล่อนรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็น
นี่เป็นครั้งแรกที่น้ำผึ้งแก้วจะได้เข้าวังไปถวายตัวเพื่อเป็นข้ารองพระบาทสมเด็จฯท่าน หล่อนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ชั่วข้ามคืนหลังจากที่หล่อนรู้สึกได้ว่าเหตุใดเจ้าคุณแม่ของหล่อนจึงไม่ยอมกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าคุณพ่ออีก
เจ้าคุณย่าพาหล่อนขึ้นจากเรือที่ท่าขุนนาง หล่อนเดินตามหลังเจ้าคุณย่าไปติด ๆ พร้อมทั้งแม่อิ่มพี่เลี้ยง นางม้วน และนางไลบ่าวรับใช้คอยติดตามเดินถือสัมภาระตามไปด้วย หล่อนเดินเลาะกำแพงวังตามเจ้าคุณย่าทางด้านหลังซึ่งเจ้าคุณย่าบอกว่านี่เป็นที่ประทับของเจ้าจอมหม่อมห้าม และเป็นที่อยู่ของนางในพร้อมทั้งชี้ให้มองตึกที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกล ๆ สักครู่หนึ่งก็เลี้ยวเข้าประตูชั้นนอก หล่อนยิ่งรู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น เพราะภายในบริเวณวังนั้นเต็มไปด้วยตึกใหญ่โตมโหฬาร และอาคารไม้แปลกตา ผู้คนเบียดเสียดเยียดยักกันตลอด เจ้าคุณย่าพาเดินเลาะกำแพงวังไปผ่านของที่วางขายมีมากมายเหลือเกิน หล่อนมองซ้ายมองขวาเห็นแต่ผู้คนเรียงรายจับจ่ายซื้อของกันให้จ้าละหวั่น ดูแออัดเสียด้วยซ้ำ มีทั้งฝรั่ง คนญวนและชาวอยุธยา พอมาถึงกำแพงสูงทึบอีกชั้นหนึ่ง จะมีประตูบานใหญ่เปิดกว้างอยู่ คนที่เดินเข้าออกประตูล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น หล่อนเดินข้ามธรณีประตูที่สองมาก็เห็นมีแต่ผู้หญิงร่างใหญ่ยืนเฝ้าประตูท่าทางขึงขัง หล่อนรู้สึกหวาดหวั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูก โขลนนั่งเรียงลำดับชั้นตามบรรดาศักดิ์ พวกเขาจ้องมองหล่อนด้วยสายตาอันน่ากลัว หล่อนรีบเดินตามติดเจ้าคุณย่าเพื่อที่จะได้หาคนปกป้อง เจ้าคุณย่าเจ้าขา ทำไมเราถึงต้องเข้าประตูหลังล่ะเจ้าคะ หล่อนเอ่ยถาม
ประตูนี้เป็นทางผ่านของนางในเท่านั้น เสียงของเจ้าคุณย่าแผ่วเบา
คุณแม่อยู่ใกล้ ๆ อีกฟากประตูเท่านั้นเอง...หล่อนนึก คุณย่าพาหล่อนเลาะเลี้ยวผ่านตำหนักน้อยใหญ่ ท่านชี้ให้ดูตำหนักแต่ละตำหนักที่มีทั้งโอ่โถงสวยงาม และตำหนักเล็ก ๆ อีกหลายหลัง ตำหนักแต่ละตำหนักล้วนแล้วแต่งกายไม่เหมือนกัน ตำหนักไหนเป็นชาวเหนือก็จะแต่งกายอย่างชาวเหนือ บางตำหนักเป็นชาวมอญ บางตำหนักเป็นหญิงงามที่มาจากชวา ตำหนักเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นตำหนักของเจ้าจอมหม่อมห้ามทั้งนั้น แต่ตำหนักที่เจ้าคุณย่าพามานี้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูกลับแต่งกายอย่างชาวกรุงศรีโดยแท้ กิริยามารยาทผิดกับคนข้างนอกราวฟ้าดิน
คุณย่าคลานเข่าเข้าไปด้านในตึกหลังเล็กซึ่งอยู่หน้าพระตำหนักใหญ่ซึ่งมองเห็นยอดพระมณฑปได้ชัดเจน แม่นิ่ม เจ้าคุณย่าเรียกผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังกรองมาลัยอยู่ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ผู้หญิงคนนั้นค่อย ๆ หันมาแล้วยิ้มละไมจากนั้นก็กราบเจ้าคุณย่าด้วยท่าทางที่อ่อนน้อม
ทายสิใครมาด้วย คุณย่าเอ่ยพร้อมทั้งแอบกวักมือเรียก ฉันจึงเดินออกจากข้างหลังของเจ้าคุณย่า คุณแม่ถึงกับยิ้มด้วยความดีใจ น้ำผึ้งแก้วจึงเดินเข้าไปกอดด้วยความคิดถึงหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานานเกือบ 2 ปี
เอาละอย่ามัวดีใจอยู่เลยข้าหลวงตัวน้อยกำลังจะเข้าเฝ้าถวายตัวไปน้ำผึ้งแก้วเอาพานนั่นถือตามมาและอย่าลืมทำตามที่ย่าบอกล่ะ
น้ำผึ้งแก้วถือพานธูปเทียนแพเดินตามไปยังพระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญมหาปราสาทหล่อนค่อย ๆ หมอบคลานมายังหน้าพระที่นั่งท่ามกลางขุนนางใหญ่น้อยที่มาเข้าเฝ้ายามออกว่าราชการ
นั่นคุณท้าวนางเยาวลักษณ์ใช่หรือไม่
เพคะหม่อมฉันพาข้าหลวงคนใหม่เข้าเฝ้าถวายการรับใช้เพคะ
เด็กนั่นน่ะหรือบะ!!!ยังเด็กอยู่เลยจะใช้การได้รึ
ได้เพคะ หม่อมฉันสั่งสอนมาเป็นอย่างดี คุณย่าเอ่ยพร้อมกับหมอบราบอยู่อย่างนั้น
หลานสาวเจ้ารึ
เพคะ
ดีมาใกล้ ๆ ข้า ส่งพานนั่นมา
เสียงเสด็จฯ พระองค์ทรงสรวญดังลั่น น้ำผึ้งแก้วค่อย ๆ คลานเข่าพร้อมทั้งยกพานขึ้นไว้เหนือหัวใบหน้าก้มมองพื้นตลอดเวลา หล่อนชำเลืองไปเห็นคุณหลวงบดินทร์นฤนาถซึ่งนั่งมองมายังหล่อนพร้อมกับยิ้มหวาน ๆ ให้ หล่อนหันกลับมายังพระที่นั่งและยกพานยื่นให้มหาดเล็กรักษาพระองค์ มหาดเล็กนำพานนั้นทูลเกล้าถวายให้กับสมเด็จฯ ท่าน พระองค์ทรงสรวญดังเข้าไปอีกแล้วก็ตรัสรับสั่งถามต่าง ๆ นานา
มาลัยนี่กรองเองหรือไม่
เจ้าคุณย่าท่านกรองเพคะฝ่าบาท
รู้จักพูดเพคะเพขา หัดจากใครเล่าเจ้า
ไม่ได้หัดจากใครเพคะ หม่อมฉันฟังจากเจ้าคุณย่าท่านพูดเจ้าค่า หล่อนเอ่ย
ทำอะไรเป็นบ้างเล่าเจ้า
ทำเป็นหลายอย่างเพคะ
หลายอย่างน่ะอะไรบ้าง
ก็สุดแล้วแต่จะรับสั่งเพคะ หากทำไม่ได้ก็หัดทำได้เพคะ
อืมหลานเจ้าคนนี้ช่างพูดช่างจาผิดกับแม่ของมัน
เจ้าคุณย่ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นสมเด็จฯ ท่านทรงพอพระทัยจากนั้นก็คลานหลบไปทางอื่นปล่อยให้หลานสาวนั่งหมอบกราบอยู่ที่หน้าท้องพระโรงจนกว่าสมเด็จฯ ท่านจะตรัสสั่งให้ไป
ชื่ออะไรเล่าเจ้า
น้ำผึ้งแก้วเพคะ
อายุเท่าไรกัน นี่เพิ่งตัดจุกใช่ไหมเจ้า
เพคะ
น้ำผึ้งแก้วข้าหลวงที่อายุน้อยที่สุดของข้า ข้าจะให้เจ้ามีหน้าที่ล้างพระบาทข้ายามตื่นนอน และก่อนนอนจะได้หรือไม่ ทำเป็นหรือไม่เจ้า
เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ น้ำผึ้งแก้วรับคำพร้อมทั้งยกปลายมือกระดกขึ้น
เอาอย่างนี้เจ้าตามคุณเท้านางเยาวลักษณ์ไปแล้วไปฝึกซ้อมมา ข้าจะให้เจ้าทำงานวันนี้แหละ หวังว่าเจ้าคงไม่ทำข้าวของเสียหายอย่างนางรื่นข้ารองบาทคนก่อนของข้าหรอกนะ
น้ำผึ้งแก้วค่อย ๆ คลานกลับมาหาเจ้าคุณย่าของหล่อน จากนั้นก็เดินออกจากท้องพระโรงไปท่ามกลางขุนนางใหญ่น้อยที่แอบอมยิ้มอยู่ หล่อนหันกลับมามองคุณหลวงบดินทร์นฤนาถแล้วก็อมยิ้มจากนั้นก็หันกลับไป
ผึ้งผึ้งผึ้งตื่นได้แล้ว!!!! ส้มเอ่ย สายแล้วนะเดี๋ยวก็ทำงานไม่ทันหรอก
เออ ๆ รอก่อนละกันเดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน
เร็ว ๆ นะ ส้มเอ่ยพร้อมกับเตรียมข้าวของให้กับผึ้งอย่างรวดเร็ว เฮ้ย...เสร็จหรือยัง เดี๋ยวสายจริง ๆ นะนี่มันจะเก้าโมงแล้ว ส้มเร่ง
ขณะที่ขับรถทำงานผึ้งก็เล่าเรื่องในความฝันให้ฟัง ฉันว่าเธออยากได้บ้านหลังนั้นจนเก็บมาฝันซะมากกว่า ส้มเอ่ยขึ้น
ท่าจะจริง... ผึ้งเปรย ทำไมเราต้องฝันเห็นเด็กคนนั้นด้วย โกนหัวเสียมันแผล็บเลย หากเป็นเด็กสมัยนี้คงอายแย่ อายุอานาน่าจะ 11 ได้มั้ง...เธอนึกไปยิ้มไป
งานแรกทั้งคู่ทำนั้นเป็นงานไม่ยากนักสำหรับไกด์ที่เชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์ อีกทั้งช่วงนี้พวกเธอต้องทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอีกด้วย ทำให้มีความสนใจและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษอย่างแน่นอน แต่งานนี้ก็ดูจะต้องใช้คำพูดอย่างระมัดระวังสักหน่อย เพราะคนที่พวกเธอจะพาเที่ยวนั้นเป็นคณะตำรวจที่มาจากกรุงเทพฯ และต้องการรู้เรื่องของพระราชวังทั้งสองแห่งในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญเป็นอย่างดี อีกอย่างพวกเธอได้ทราบถึงข่าวแว่วที่ว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งเป็นโรคช่างถาม ช่างติ อวดภูมิรวมกลุ่มมาด้วยแล้วต้องยิ่งระวังใหญ่
กลุ่มนายตำรวจใหม่ยืนเข้าแถวฟังมัคคุเทศก์สาวบรรยายเรื่องราวของพระราชวัง และประวัติของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตรงบริเวณแนวทางเดิน ซึ่งอยู่ระหว่างประตูชั้นนอกและประตูชั้นกลางของวังนารายณ์ราชนิเวศน์
วังนารายณ์คู่บ้าน ศาลพระกาฬคู่เมือง ปรางค์สามยอดลือเลื่อง เมืองแห่งดินสอพอง แผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์ ส้มเอ่ยขึ้น นี่เป็นคำขวัญประจำจังหวัดลพบุรีนะคะ แต่เอ...มีใครทราบมั๊ยคะว่าคำขวัญส่วนที่เพิ่มเข้ามาคืออะไร? ส้มถาม นายตำรวจคนหนึ่งยกมือขึ้น
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ไงครับ
เก่งมากค่ะ ผู้หมวดธรรม์ เธอเหลือบไปมองป้ายชื่อของเขา ทำการบ้านมาดีมากค่ะ เธอเอ่ยชมอีกครั้ง วังนารายณ์คู่บ้าน ศาลพระกาฬคู่เมือง ปรางค์สามยอดลือเลื่อง เมืองแห่งดินสอพอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เกริกก้อง แผ่นดินทองสมเด็จพระนารายณ์...ขอต้อนรับสู่จังหวัดลพบุรีค่ะ ทุกคนปรบมือกันดังลั่น
ขอเกริ่นประวัติคร่าว ๆ ของลพบุรีก่อนนะคะ ลพบุรีเป็นเมืองแห่งความหลากหลายและต่อเนื่องทางวัฒนธรรมยาวนานกว่า 3,000 ปี ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน นักโบราณคดีค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ตั้งแต่สมัยทวาราวดี ราว ๆ พุทธศตวรรษที่ 11-16 นะคะ ลพบุรีอยู่ใต้อำนาจมอญและขอมจนกระทั่งในตอนต้นของพุทธศตวรรษที่ 19 คนไทยจึงเริ่มมีอำนาจขึ้นในดินแดนแถบนี้ ในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทองปฐมกษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ลพบุรีนั้นมีฐานะเป็นเมืองลูกหลวง เพราะพระเจ้าอู่ทองได้โปรดให้พระราเมศวรพระราชโอรสองค์โตเสด็จมาครองเมืองลพบุรี เมื่อปีพุทธศักราช 1893 พระราเมศวรโปรดให้สร้างป้อม ขุดคู และสร้างกำแพงเมืองอย่างมั่นคง เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคตในปีพุทธศักราช 1912 พระราเมศวรถวายพระราชบัลลังก์ให้แก่พระปิตุลาของพระองค์ ซึ่งได้ขึ้นครองราชย์พระนามว่าพระบรมราชาธิราชที่ 1 ส่วนพระราเมศวรครองเมืองลพบุรีสืบต่อไป จนถึงปีพุทธศักราช 1931 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 สวรรคต พระราเมศวรจึงเสด็จขึ้นครองราชย์ ณ กรุงศรีอยุธยาค่ะ ผึ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับแจกเอกสาร
หลังจากนั้นมาเมืองลพบุรีได้ลดความสำคัญลงไป ส้มเอ่ย จนกระทั่งมาถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 2199-2231 ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงครั้งใหญ่ สืบเนื่องมาจากการคุกคามของชนชาติฮอลันดาที่ติดต่อค้าขายกับไทย ทำให้สมเด็จพระนารายณ์ทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยานั้นไม่สู้ปลอดภัยจากการปิดล้อมระดมยิงของข้าศึกหากเกิดสงคราม ทรงดำริให้สร้างเมืองลพบุรีเป็นราชธานีแห่งที่สองขึ้น เพราะลพบุรีมีลักษณะทางยุทธศาสตร์เหมาะสม ในการสร้างลพบุรีขึ้นใหม่ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงได้รับความช่วยเหลือจากช่างชาวฝรั่งเศสและอิตาเลียน และได้สร้างพระราชวังและป้อมปราการเป็นแนวป้องกันอย่างแข็งแรง สมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้ประทับอยู่ที่ลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ และโปรดให้ทูตและชาวต่างประเทศเข้าเฝ้าพระองค์ที่เมืองนี้หลายครั้ง แต่น่าเสียดายค่ะเมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ฯ แล้ว ส้มทอดถอนใจ ลพบุรีก็หมดความสำคัญลง ครั้นสมเด็จพระเพทราชาครองราชย์ทรงย้ายหน่วยราชการทั้งหมดกลับกรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลต่อ ๆ มา ก็ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดเสด็จมาประทับที่เมืองนี้อีก จนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในปีพ.ศ. 2406 โปรดฯ ให้บูรณะเมืองลพบุรี ซ่อมกำแพง ป้อม และประตูพระราชวังที่ชำรุดทรุดโทรม และสร้างพระที่นั่งพิมานมงกุฎขึ้นในพระราชวังเป็นที่ประทับ และพระราชทานนามว่าพระนารายณ์ราชนิเวศน์ลพบุรีจึงแปรสภาพเป็นเมืองสำคัญอีกวาระหนึ่ง ส้มเล่าต่อ
ได้เอกสารกันครบแล้วใช่มั๊ยคะ ผึ้งเอ่ยถาม ทุกคนพยักหน้า ต่อกันเลยนะคะ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ลพบุรีได้รับการทำนุบำรุงอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งได้สร้างเมืองลพบุรีใหม่อันเป็นเมืองทหารอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทางรถไฟ มีอาณาเขตกว้างขวาง ส่วนเมืองเก่านั้นอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของทางรถไฟ เมืองลพบุรีจึงเป็นศูนย์กลางสำคัญทางยุทธศาสตร์เมืองหนึ่งในปัจจุบันนี้ ลพบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯประมาณ 153 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมด 6,586.67 ตารางกิโลเมตร ทิศเหนือ ติดต่อกับจังหวัดเพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ ทิศใต้ ติดต่อกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และสระบุรี ทิศตะวันออก ติดต่อกับจังหวัดนครราชสีมา และชัยภูมิ ทิศตะวันตก ติดต่อกับจังหวัดสิงห์บุรีอ่างทอง และนครสวรรค์ค่ะ
คุณสองคนจำแม่นจังเลยครับ นายตำรวจคนหนึ่งเอ่ย
เป็นหน้าที่ของพวกเราค่ะที่ต้องจดจำเรื่องราวต่าง ๆ ให้ได้ค่ะ ส้มตอบ
เงาดำทะมึนยืนเท้าสะเอวอยู่ทางด้านหลังของน้ำผึ้ง ใบไม้สั่นไหวไปหมดราวกับจะเกิดพายุ ไอ้เพื่อนทรยศ! เสียงใครคนนั้นดังขึ้นก้องหูนายตำรวจหนุ่ม เขาแหงะมองอยู่หลายครั้งแต่กลับไม่พบอะไร มีเพียงเพื่อน ๆ ที่ใจจดใจจ่อฟังมัคคุเทศก์สาวพราวเสน่ห์สองคนพูด
สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสรรเพชญ หรืออีกพระนามนึงคือสมเด็จพระนารายมหาราชย์นั้นทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีความสำคัญมากในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งเรื่องกวี เรื่องการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เรื่องการทูต เรื่องการรบ เรื่องของศาสนาก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่ทำให้คนไทยอ่านออกเขียนได้ในสมัยนี้คือการมีแบบเรียนเล่มแรกของประเทศไทย ทราบมั๊ยคะว่าแบบเรียนเล่มแรกคือหนังสืออะไร ผึ้งเอ่ยขึ้นในขณะที่ทุกคนดูเงียบงันและตั้งอกจั้งใจฟังโดยไม่ตอบปัญหาอะไรเลย แบบเรียนเล่มแรกคือหนังสือจินดามณีค่ะ ที่มีการสอนผันอักษร การเขียนกาพย์ โครง กลอน ร่าย ฉันท์ หรืออื่น ๆ อีกน่ะค่ะ
เหมือนมานะมานีหรือเปล่าครับ นายตำรวจคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ค่ะ แต่ว่าจะมีเนื้อหามุ่งเรียนอย่างเดียว ไม่เหมือนมานะมานีที่เราเรียนกันตอนเด็ก ๆ หรอกค่ะ ผึ้งเอ่ยขึ้นก่อนที่จะเดินพาชมเขตพระราชฐาน
เดี๋ยวครับ...! นายตำรวจคนนั้นเอ่ยขึ้นส้มและผึ้งจึงหันมา เท่าที่จำได้สมเด็จพระนารายณ์ทรงชิงบัลลังก์จากอาไม่ใช่หรือครับ ทำไมคุณไม่เห็นเล่าเหตุการณ์ก่อนที่จะขึ้นครองราชย์ล่ะ
อ๋อ...ผู้หมวดอยากให้เล่าส่วนนี้ด้วยหรือคะ
ครับ
เหตุเกิดจากที่ว่าพระศรีสุธรรมราชาธิราช กษัตริย์องค์ที่ 26 แห่งกรุงศรีอยุธยานั้นปรารถนาใคร่สิเหน่หาพระราชกัลยาณีพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ และสั่งให้ถวายตัวแต่พระราชกัลยาณีไม่ยอม เมื่อความรู้ถึงสมเด็จพระนารายณ์จึงทรงกริ้วมาก เพราะพระขนิษฐาองค์นี้เป็นที่รักของพระองค์จึงทำให้เกิดการชิงบัลลังก์กันขึ้นอีกครั้ง และการปฏิวัติครั้งนี้ก็สำเร็จทำให้พระองค์สถาปนาองค์เองขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ค่ะ เสียงปรบมือดังขึ้นทำให้ส้มและผึ้งยิ้มและหันมามองหน้ากัน แต่ก่อนที่จะปฏิวัตินั้นทรงตรัสกับคนสนิทว่า อนิจจา พระเจ้าอา ... ควรหรือมาเป็นดังนี้ พระองค์ปราศจากหิริโอตัปปะแล้ว ไหนจะครองราชสมบัติเป็นยุติธรรมเล่า น่าที่จะร้อนอกสมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎร ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นแน่แท้ จะละไว้มิได้ ด้วยพระองค์ก่อแล้วจำจะสานตาม ผึ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมามองทุกคน แต่ทว่าทุกคนกลับพลันหายไปชั่วพริบตา สิ่งที่เห็นโดยรอบคือผู้คนขวักไขว่ แต่งกายย้อนยุค ประตูที่เคยเก่ากลับดูใหม่และงดงามยิ่ง ชาวฝรั่งจับจ่ายใช้สอยบริเวณสิบสองท้องพระคลังหลวง เกวียนหลายเล่มทยอยขนงาช้างออกมามากมายและค่อย ๆ เคลื่อนที่ไปยังประตูวัง ทำให้รู้สึกน่าตกใจยิ่งนัก นี่เราตาฝาดไปหรือนี่ ทำไมมันดูเหมือนจริงขนาดนี้ล่ะ... เธอนึกพร้อมกับขยี้ตา
ชิชะ...เจ้านั้นอยากจะหัวขาดหรือ ช่างกล้าเอาเรื่องเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินมาเล่าให้ขบขัน ระวังเสียจักไม่มีหัวตั้งบนบ่าเสียกระมัง! เสียงหญิงวัยกลางคนตวาดดังขึ้นทำให้ผึ้งถึงกับสะดุ้งสุดตัว เธอหันมามองต้นเสียงนั้นด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก อีกทั้งเด็ก ๆ ผมโก๊ะ แกละ ผมเปีย ผมจุกกลุ่มหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอต่างวิ่งกันให้จ้าระหวั่นไปคนละทิศคนละทาง แม่หญิงเจ้าคะ มิบังควรนะเจ้าคะที่จะนำความเบื้องพระยุคลฯ มาเล่าให้เด็ก ๆ ฟังเป็นเรื่องขบขัน หาไม่แล้วจักหัวขาดนะเจ้าคะ
ป้าเป็นใครน่ะ... ฉันกำลังเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ให้กับคณะตำรวจฟังอยู่นี่...ป้าอย่ามาอำดีกว่า ฉันไม่ขำด้วยหรอกนะ ผึ้งเอ่ยขึ้น
ตำรวจตำเริดอะไร ไม่เคยได้ยิน! แม่หญิงเจ้าคะเชิญด้านในเถอะค่ะ เสด็จฯรออยู่ หญิงคนนั้นชี้ชวนให้เข้าไปในเขตพระราชฐานชั้นในเธอจึงหัวเราะดังขึ้น สำรวมกิริยาด้วยเจ้าค่ะ หญิงคนนั้นเอ่ย แล้วแต่งตัวอะไรอย่างนี้ล่ะเจ้าคะ หญิงคนนั้นตำหนิพร้อมกับหยิกต้นแขนของเธอทันที
โอ๊ย...ป้า! นี่จะมากไปแล้วนะ ฉันอยู่ของฉันดี ๆ แล้วมาหยิกกันทำไมเนี่ย ฉันเป็นมัคคุเทศก์ และไม่เคยรู้จักเสด็จฯอะไรของป้าด้วย แล้วนี่ลูกทัวร์ฉันไปไหนหมดแล้วเนี่ย ป้านี่...! ผึ้งเอ่ยดังขึ้นพร้อมกับหันกลับมาฝั่งทางออกของประตูวังทันที อ้าว...ไปไหนมาน่ะ ปล่อยให้ใครไม่รู้มาดุฉันใหญ่เลย ผึ้งเอ่ยขึ้นเมื่อหันมาเห็นส้ม
ฉันน่าจะถามเธอมากกว่านะว่าเธอบ่นอะไรของเธอ จู่ ๆ ก็หายไป แล้วจู่ ๆ ก็บ่นบ้าอะไรเนี่ย ดูสีหน้าพวกเขาสิ เขาคงนึกว่าเธอบ้าแล้วมั้ง ส้มเอ่ย นั่นแน่...หรือว่าเธอหัวเสียตาผู้หมวดช่างลองภูมินั่นหะ...
เปล่าซะหน่อย อย่ามาแหย่ฉันเลย สงสัยฉันจะตาฝาดไป ผึ้งเอ่ยพร้อมกับพาทุกคนเดินเข้าไปดูบริเวณอ่างเก็บน้ำสมัยโบราณทันที
อ่างเก็บน้ำนี้ เป็นที่กักเก็บน้ำ ตรงพื้นที่จะมีท่อดินเผาฝังอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อจ่ายน้ำไปทั่วเขตพระราชฐาน คือการมีน้ำประปาใช้ครั้งแรกในสมัยนี้นี่เองค่ะ น้ำที่นำมาเก็บกักไว้ในอ่างน้ำนี้เป็นน้ำที่ไหลมาตามท่อดินเผาจากอ่างซับเหล็ก จากบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่าระบบการจ่ายทดน้ำ ส้มเอ่ยพร้อมกับชี้ให้ทุกคนดูซากอ่างเก็บน้ำ เป็นผลงานของชาวฝรั่งเศสและอิตาลี น้ำที่เก็บในบริเวณอ่างนี้จึงเป็นน้ำที่ไหลมาจากอ่างซับเหล็กค่ะ ส้มและผึ้งจึงพาทุกคนเดินตรงไปยังสิบสองท้องพระคลังซึ่งอยู่ติดกับอ่างเก็บน้ำต่อ
ส่วนตึกทางด้านนี้ที่เห็นอยู่นี่นะคะ เรียกว่าหมู่ตึกสิบสองท้องพระคลังค่ะ มีลักษณะเป็นอาคารทึบเรียงชิดติดกันเป็น 2 แถวยาวอย่างที่เห็นนะคะ ผึ้งเอ่ยพร้อมกับชี้ให้ดูตึกทั้งสองแถวที่ตั้งตระหง่าอยู่ทั้งทางซ้ายมือและขวามือของทุก ๆ คน โดยมีถนนผ่ากลาง มีจำนวน 12 หลัง สันนิษฐานว่า เป็นคลังเพื่อใช้เก็บสินค้า เก็บสิ่งของของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งพระองค์โปรดมาประทับที่ลพบุรี เป็นระยะเวลาหลายๆเดือน พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเมืองลพบุรีจนเจริญก้าวหน้า โดยมีวิทยาการใหม่ๆ เช่น การต่อท่อประปาอย่างที่พาไปดูเมื่อกี้นะคะตรงอ่างเก็บน้ำน่ะค่ะ ผึ้งเอ่ยต่อพร้อมกับชี้ไปที่อ่างเก็บน้ำที่เดิมก่อนที่จะพูดต่อ และในสมัยนั้นเราก็มีน้ำพุเป็นแห่งแรกของประเทศด้วยค่ะ เดี๋ยวดิชั้นจะพาไปอีกที่นะคะ เดี๋ยวขอบรรยายตรงนี้ก่อนค่ะ ผึ้งเอ่ยขึ้นเพราะเกรงว่านายตำรวจคนนั้นจะเอ่ยขัดขึ้นมา ต่อมาเมื่อสิ้นยุคของสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว เมืองลพบุรีก็ซบเซา พระราชวังถูกทิ้งรกร้าง มีการรื้อศิลาแลงของพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ไปก่อสร้างวัดสระเกศ ราษฎรเข้าไปอยู่อาศัย ทำลายตึกสิ่งก่อสร้างเสียหาย ชำรุดทรุดโทรมอย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ และได้มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 4 ค่ะทำให้พระราชวังแห่งนี้กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง และมีการบูรณะฯอีกครั้งในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามค่ะ หันกลับไปดูอาคารไม้สีเขียวตรงทางออกที่เรายืนเมื่อกี้กันนะคะ เธอชี้ลอดช่องลมไปให้เห็นอาคารไม้สีเขียวหลังนั้นทันที นั่นแหละค่ะคือเครื่องแสดงถึงการมาบูรณะฯในครั้งนั้น ซึ่งอาคารหลังนั้นใช้สำหรับพ่อเมืองนั่นเอง
ผู้ว่าราชการน่ะค่ะ ส้มแทรกขึ้น สงสัยเรื่องน้ำพุใช่มั๊ยคะ เอาละดิชั้นจะไขปริศนาตรงนี้ให้ค่ะ ส้มเอ่ยพร้อมกับเดินพาทุกคนไปยังตึกใกล้ ๆ ทันที ตึกที่เห็นตรงนี้นะคะ เรียกว่าตึกเลี้ยงรับรองแขกเมือง เป็นสถานที่ที่สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงใช้การพระราชทานเลี้ยงแก่คณะทูตฝรั่งเศส ในปีพ.ศ.2228 ตามบันทึกของชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า ตึกหลังนี้อยู่กลางอุทยานซึ่งแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสรอบตึกมีคูน้ำล้อมรอบภายในคูน้ำมีน้ำพุพุ่งเรียงรายได้ ระยะยาว 20 แห่งเชียวค่ะ ส้มเอ่ยพร้อมกับชี้ไปที่อ่างบัวที่อยู่รอบ ๆ บริเวณตึกทันที
แล้วเอาอะไรมาเป็นแรงดันน้ำครับ ผู้หมวดคนเดิมเอ่ย
เป็นคำถามที่ดีค่ะ ผู้หมวด...เอ่อ ส้มเอ่ย
ผมสุเมธครับ
ค่ะผู้หมวดสุเมธ จริง ๆ แล้วการที่วิศวะ น่าจะเรียกว่าอย่างนั้นนะคะ วิศวะชาวฝรั่งเศสทำท่อส่งน้ำนั้นผ่านหลาย ๆ ที่โดยใช้วิธีกาลักน้ำ คือน้ำจากที่สูงไหลลงที่ต่ำน่ะค่ะแล้วเกิดปัญหา ท่อแตกตลอด ทั้ง ๆ ที่ทำที่ฝรั่งเศสแล้วไม่มีปัญหาแบบนี้เลย นั่นอาจจะเกิดจากอากาศที่นั่นหนาวเย็น แต่ที่เมืองไทยอากาศในยามกลางวันหรือเที่ยงนั้นร้อนจัด โดยเพาะช่วงเดือนเมษา ทำให้ท่อดินเผาแตก คนไทยนี่แหละค่ะที่คิดปั้นท่อให้เป็นรูกว้างประมาณนี้นะคะ ส้มเอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นทั้งสองข้างและประกบเป็นรูปวงกลมทันที ทำให้การส่งน้ำในครั้งนั้นดีขึ้น ท่อไม่แตก อีกทั้งเกิดน้ำพุขึ้นครั้งแรกที่นี่อีกด้วยค่ะ ส้มเอ่ยพร้อมกับเดินพาไปตึกสุดท้ายซึ่งอยู่ตรงเขตพระราชฐานชั้นนอก
เหนื่อยหรือยังคะ อย่าเพิ่งเหนื่อยนะคะ ตึกนี้ตึกสุดท้ายในบริเวณเขตพระราชฐานชั้นนอกแล้วค่ะ เดี๋ยวเราจะพักเบรกกันค่ะ ผึ้งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินไปด้วยกันกับทุกคน ท่าทางของทุกคนดูมุ่งมั่น ต่างคนต่างจดบันทึก บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็ชวนกันคุย ตึกตรงนี้นะคะเรียกว่าตึกพระเจ้าเหาค่ะ เป็นหอพระประจำพระราชวัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชื่อว่า พระเจ้าเหา หรือพระเจ้าหาวค่ะ ซึ่งหาวแปลว่าท้องฟ้า ที่นี่ก็เหมือนกับบ้านเรานี่แหละค่ะที่ต้องมีห้องพระใช่มั๊ยคะ ผึ้งเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม เอาละค่ะ ของว่างรออยู่ที่ซุ้มแป๊บซี่นะคะ เดี๋ยวเราเดินย้อนกลับไปจุดเดิมนะคะ
คุณผึ้งครับ ผู้หมวดรูปร่างท้วมคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินมาใกล้ ๆ ผมชอบที่คุณพูดมากเลย แต่คุณผึ้งช่วยพูดให้ช้าลงนิดนึงได้มั๊ยครับ ผมจดไม่ทันครับ
ไม่ต้องห่วงค่ะ เดี๋ยวเราจะแจกเอกสารให้ภายหลังที่บรรยายเสร็จนะคะ ผู้หมวด ผึ้งเหลือบไปมองป้ายชื่อที่คล้องคอ ผู้หมวดณรงค์
ขอบคุณครับ เขาเอ่ยพร้อมกับเดินเร่งไปยังกลุ่มเพื่อนซึ่งกำลังยืนเข้าแถวรับของว่าง
....................................2....................................