นายบุญถือดาบคู่มือของตนเดินขึ้นไปบนสนาม ความสง่างามของนายบุญนั้นเผยออกมาจนผู้ที่ล้อมดูรอบลานนั้นต้องจ้องที่เขาเป็นจุดเดียว นายบุญเดินถึงกลางสนาม "ขออภัยด้วยเถิดพี่เหม็น" นายเหม็นได้ฟังดังนั้นจึงก้มลงกราบนายบุญ ความจริง นายบุญไม่จำเป็นต้องขออภัยนายเหม็นเลยเนื่องด้วยนายเหม็นเป็นเพียงข้าทาสของบิดาบุญธรรมของตน แต่เนื่องด้วยทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก นายเหม็นอายุมากกว่านายบุญเกือบรอบ และยังเป็นผู้สอนวิชาต่อสู้เบื้องต้นให้อีกด้วย ฉะนั้น การกระทำเช่นนี้จึงเผยให้เห็นถึงธาตุแท้ลูกผู้ชายอย่างแท้จริงของนายบุญ นายเหม็นหลังจากลุกขึ้นมือก็กระชับขวานคู่ในมือแน่น นายบุญชักดาบออกจากฝักอย่างรวดเร็วจู่โจมโหมรุกนายเหม็นเป็นพัลวัน นายเหม็นก็ปัดซ้ายป่ายขวาด้วยความคล่องแคล่ว ชาวบ้านที่มุงดูโดยรอบส่วนใหญ่ดูเพื่อความสำราญใจเท่านั้น มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่ดูออกว่าทั้งคู่ล้วนเป็นสุดยอดฝีมือ เพลงดาบที่นายบุญใช้ออกนั้นล้วนร่ำเรียนมาแต่สำนักดาบวัดพุทไธศวรรย์ ส่วนนายเหม็นนั้นแม้จะดูท่าทางไม่คล่องแคล่วเท่านายบุญ แต่ทุกขวานที่จามลงนั้นก็ทรงพลังมหาศาล กรรมการที่นั่งอยู่ขอบสนามนำกะลาวางลงในอ่างได้ครึ่งยกแล้วทั้งคู่ก็ยังไม่ปรากฏแววแพ้ชนะ ผู้คนที่รอบล้อมอยู่นั้นยิ่งชมดูยิ่งเมามัน ถึงคราคับขันของนายเหม็น เมื่อนายเหม็นจามขวานลงบนศีรษะของนายบุญแต่ถูกปัดป่ายได้ทั้งดาบของนายบุญก็สวนกลับมาจะจ้วงแทงที่ท้องน้อยของนายเหม็นอย่างรวดเร็ว ในระยะประชิดเช่นนี้แทบจะไม่มีผู้ใดสามารถหลบรอดดาบนี้ได้ แต่นายบุญกลับแก้ไขสถานการณ์ได้โดยการกระโดดข้ามศีรษะนายบุญพร้อมกับตวัดขวานกลับหลัง นายบุญเห็นดังนั้นจึงตวัดดาบกลับเช่นเดียวกัน ดาบขวานปะทะกับเป็นผลให้ข้อมือของนายบุญเกิดอาการชาด้านสะท้านสะเทือน ส่วนนายเหม็นเมื่อตัวลงพื้นก็โงนเงนแทบจะล้มลง จบยกแรก ทั้งสองต่างชมเชยซึ่งกันและกันแล้วแยกย้ายไปนั่งพักผ่อนที่สองฝากข้างลานประลอง แต่การประลองยังไม่สิ้นสุด เมื่อยกที่สองเริ่มขึ้นทั้งสองก็ปะทะกันด้วยความดุเดือดกว่าเดิมคล้ายกับยิ่งสู้พละกำลังยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี หวุดหวิดเฉียดคมอาวุธของฝ่ายตรงข้ามมาหลายรอบจนตะวันเริ่มตกดิน ทั้งคู่เริ่มอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง แท้จริงผ่านมาสิบกว่ายกแล้ว เมื่อจบลงอีกยกทั้งคู่ก็นั่งพักที่สองฟากข้างเช่นเคย เสียงปรบมือดังขึ้นจากกรรมการที่นั่งอยู่บนแท่นสูงสุดข้างลาน ทั้งคู่จึงมองไปที่กรรมการผู้ที่ปรบมือนั่น เห็นชายผู้หนึ่งนั่งหย่อนขาอยู่บนแท่นที่นั่งที่อยู่สูงขึ้นไปราวสามศอก ชายผู้นี้มีผิวพรรณขาวผ่อง ใบหน้าอิ่มเอิบคล้ายมีรัศมีปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง แต่งกายคล้ายเครื่องทรงของพระราชวงศ์ อายุรุ่งราวคราวเดียวกับนายเหม็น สองข้างมีทหารแต่งตัวคล้ายทหารหลวงยืนถือหอกอารักขา "ยอดเยี่ยม เจ้าหนุ่มทั้งสองจงเข้ามาใกล้ๆเรา" กล่าวจบรอบข้างล้วนเงียบสงัด ชาวเมืองทั้งปวงรวมทั้งนายเหม็นล้วนก้มลงถวายบังคมไปทางพระแท่นสูงนั้น นายบุญไม่รู้ความจึงยืนสงบนิ่งจนนายเหม็นต้องกระตุกชายผ้า นายบุญจึงก้มลงถวายบังคมเช่นผู้อื่น นายเหม็นคลานเข้าไปใกล้หน้าแท่นนั้น นายบุญก็คลานตามหลังเข้าไปด้วยความไม่รู้เดียงสา แท้ที่จริงชายที่นั่งบนแท่นนั้นคือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรไชยเชษฐสุริยวงศ์ กรมขุนเสนาพิทักษ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าเจ้าฟ้ากุ้ง อันเป็นพระราชโอรสพระองค์โตแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงมีศักดิ์เป็นถึงวังหน้าแห่งมหาธานีกรุงศรีอยุธยา "เจ้าทั้งสองมีฝีมือประจักษ์เป็นที่พอใจแก่รานัก เราจักให้เจ้าทั้งสองมาเป็นมหาดเล็กของเรา ว่าอย่างไรเล่าเจ้าหน้าขาวเจ้าหน้าเคราทั้งสอง" เจ้าฟ้ากุ้งทรงตรัสด้วยความพอพระทัย "เป็นพระกรุณาต่อข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองยิ่งแล้ว พระพุทธเจ้าค่ะ" นายเหม็นกล่าวด้วยความปลื้มปีติ สมเด็จเจ้าฟ้าได้สดับดังนั้นก็ทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย เช้าวันรุ่งขึ้น คุณพระฤทธิ์รณชัยจึงนำนายบุญและนายเหม็นทั้งสองพร้อมด้วยพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าถวายตัวรับใช้เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร โดยเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรทรงแต่งตั้งให้ทั้งสองเป็นมหาดเล็ก ทำหน้าที่รับใช้และอารักขาพระองค์อย่างใกล้ชิด หามีผู้ใดทราบไม่ว่านี่คือจุดหันเหชีวิตของนายบุญ จากเด็กกำพร้าผู้ได้รับการเลี้ยงดูมาจากขุนนางฝ่ายกรมวัง จะผันตัวกลายมาเป็นทหารเอกแห่งแผ่นดินศรีอยุธยา ฝ่ายคุณพระฤทธิ์รณจักรสืบสาวเรื่องของโจรแถวชานพระนครจนกระทั่งรู้แหล่งกบดานของตัวหัวหน้าซ่องโจร โจรเหล่านี้เป็นกลุ่มโจรที่ชาวบ้านล้วนเรียกขานว่า "โจรอาชา" เนื่องด้วยโจรกลุ่มนี้ล้วนเชี่ยวชาญการควบม้าเป็นพิเศษ แต่มิใช่ว่าโจรกลุ่มนี้จะขี่เป็นแต่ม้าเท่านั้น แต่ยังเชี่ยวชาญการปล้นทางน้ำอีกด้วย คุณพระฤทธิ์ฯสืบทราบมาว่าโจรอาชากลุ่มนี้มักจะดักปล้นพ่อค้าวานิชที่นำสินค้ามาขายในกรุงแถบชานพระนคร โดยปล้นทั้งทางบกและทางน้ำ ด้วยฝีมืออันร้ายกาจของโจรอาชากลุ่มนี้จึงทำให้ทหารหลวงมิเคยจับโจรอาชาได้เลย คุณพระฤทธิ์ฯจึงนำความกราบบังคมทูลต่อองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมทั้งขอกำลังทหารหลวงหนึ่งร้อยนายเพื่อจะทลายซ่องโจรนี้ให้จงได้ ค่ายใหญ่ของโจรอาชาตั้งอยู่บริเวณคลองเล็กทางเหนือแม่น้ำลพบุรี คุณพระฤทธิ์ฯจึงทำการวางแผนเข้าจู่โจมกลางคืน โดยให้กำลังพลกึ่งหนึ่งข้ามแม่น้ำเข้าโจมตีค่ายด้านหน้า ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งท่านคุมไปเองโดยพายเรือทวนลำน้ำลพบุรีเข้าคลองน้อยและโจมตีค่ายด้านหลัง แม้คุณพระฤทธิ์ฯจะดำเนินแผนการอย่างรัดกุมแต่กลับมองข้ามไปสิ่งหนึ่ง การที่เข้าจู่โจมกลางคืนนั้นกลับส่งผลเสียต่อทหารหลวงเนื่องจากกลุ่มโจรอาชานั้นถนัดจัดเจนในการปล้นยามค่ำคืน ต่างกับทหารหลวงซึ่งซ้อมรบยามกลางวันเป็นส่วนใหญ่ และอีกประการหนึ่งที่คุณพระฤทธิ์ฯหาทราบไม่ก็คือ ค่ายโจรอาชานี้มีพรรคพวกอยู่หลายร้อยคนสลับผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยามทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยเหตุนี้เอง แผนจู่โจมของคุณพระฤทธิ์ฯจึงล้มเหลว ตัวคุณพระฤทธิ์ฯเองก็ถูกกุมตัวไว้เพื่อประจานความล้มเหลวของทหารหลวง ข่าวคุณพระฤทธิ์ฯถูกโจรอาชากุมตัวไว้แพร่สะบัดอย่างรวดเร็ว เมื่อบุญรู้ข่าวก็ถึงกับเข่าอ่อนแทบเป็นลม เขากับนายเหม็นโศกเศร้าเสียใจและเริ่มวาแผนชิงตัวก่อนที่คุณพระฤทธิ์ฯจะถูกตัดหัวเสียบไว้หน้าค่ายโจร...
8 ตุลาคม 2553 08:32 น. - comment id 119371
ในด้านผลงานกวี เจ้าฟ้ากุ้ง เป็นกวีที่มีชื่อเสียง ในด้านชีวิต ก็เป็นผู้ที่น่าสนใจ ท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ ในเรื่องนี้ ใช้ช่วงเวลา ดำเนินเรื่องที่น่าสนใจ เพราะเป็นช่วงปลาย ของสมัยอยุทธยา เป็นช่วงที่ไทยต้องเสีย เอกราชให้กับชนชาติอื่น รออ่านตอนต่อไปครับ