พลังปราณ....
คีตากะ
ในหลายๆ พระสูตรมักล่าวถึงเสมอว่าร่างกายมนุษย์เป็นวิหารของพระเจ้า อย่างไรก็ตามมันเป็นเอกสิทธิ์ที่หาได้ยากสำหรับแต่ละจิตวิญญาณที่จะได้รับวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระเจ้าพำนักอยู่นี้ เพราะมันคือพระพรโดยแท้จริงในการเกิดใหม่มาเป็นมนุษย์ มีหลายครั้งที่ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์ที่หาได้ยากนี้ “การได้มาเกิดใหม่ในโลกมนุษย์นั้นยากลำบาก คุณต้องมีคุณสมบัติของมนุษย์เพียงพอ คุณต้องมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพ่อแม่กับสังคมกับผู้คนรอบข้างของที่ที่คุณเกิด มันยากมาก การเป็นมนุษย์คุณต้องมีบุญกุศลบางอย่าง คุณต้องทำบางอย่างที่ดีเอาไว้แล้วในอดีตเพื่อที่จะสามารถมาเกิดในร่างกายมนุษย์ได้” (อนุตราจารย์ชิงไห่)
ในฐานะวิหารมีชีวิตของพระเจ้า ร่างกายมนุษย์ประกอบขึ้นอย่างครบถ้วนพร้อมกับความมหัศจรรย์ต่างๆซึ่งสามารถตื่นขึ้นในบุคคลเหล่านั้นที่จิตวิญญาณตระหนักรู้และมีศรัทธาเต็มเปี่ยมต่อพระผู้สร้างของทุกชีวิต “อินนิเดีย” เป็นภาษาลาตินแปลว่า ”การอดอาหาร” คือความสามารถของมนุษย์ในการอยู่โดยปราศจากอาหาร ตั้งแต่สมัยโบราณกาลมักจะมีบุคคลซึ่งสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยพลังปราณหรือพลังชีวิต ด้วยความเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า อินนิดิเอทหรือผู้ที่มีชีวิตอยู่โดยไม่กินอาหารสามารถดึงเอาพลังงานจากธรรมชาติมาหล่อเลี้ยงตนเองได้ “พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยพลังชี่จากพื้นดินหรือจากป่า จากดวงอาทิตย์ จากอากาศ พวกเขานำทั้งหมดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์หรือพวกเขาอยู่ด้วยความรัก ด้วยความศรัทธาเท่านั้น” (อนุตราจารย์ชิงไห่ ) บุคคลเหล่านี้ แต่ละคนเรียกว่าผู้กินอากาศ ผู้กินแสงอาทิตย์ ผู้กินแต่น้ำหรือผู้อาศัยพลังปราณ พวกเขามาจากทุกชนชั้น จากหลากหลายวัฒนธรรมและจากทุกมุมโลก ความจริงมีความเป็นไปได้และมีปาฏิหาริย์ในชาตินี้ เพราะพระผู้สร้างผู้เมตตาได้ออกแบบไว้สำหรับเราอย่างไม่สิ้นสุด เพียงแต่เราต้องเชื่อมต่อกับภายในเพื่อรู้จักความอุดมสมบูรณ์ของเราซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านอนุตราจารย์ชิงไห่ ด้วยความรักได้แนะนำเรื่องราวนี้ทุกสัปดาห์ในโทรทัศน์สุพรีมมาสเตอร์เพื่อแนะนำบุคคลเหล่านั้นทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้ที่ได้เลือกใช้ชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่กินอาหาร ขอให้เรื่องราวทางจิตวิญญาณของพวกเขาติดตรึงใจคุณ ขอให้ทุกหัวใจเปิดกว้างและขยายมุมมองออกไป เรื่องราวของ ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ นักวิทยาศาสตร์ผู้กินอากาศในรายการระหว่างอาจารย์และศิษย์ รายการนี้กล่าวถึงความเป็นไปได้ของลัทธิกินอากาศหรือการอยู่โดยไม่กินอาหาร มันไม่ใช่การสอนที่สมบูรณ์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าพยายามหยุดกินอาหารโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ
“สวัสดีครับ คุณคือชีวิตที่เป็นแสง ผมอยากให้คุณมีโอกาสพบกับมันอีกครั้งหนึ่ง มีประสบการณ์ใหม่กับมันว่าเราจะสามารถหล่อเลี้ยงโดยพลังปราณ โดยแสง โดยชี่ได้อย่างไร? เราจะสามารถใช้มันมารักษาตัวเราเองได้อย่างไร? และเราจะกลับไปยังที่มาของเราได้อย่างไร? ซึ่งเราที่เป็นชีวิตของสวรรค์มีความคุ้นเคยกับมัน ตัวผมเองเป็นโค้ชฝึกผู้กินอากาศ ผมคอยดูแลคนที่ต้องการผ่านกระบวนการเป็นผู้กินอากาศซึ่งเป็นที่นิยมกันโดยจัสมูฮีน สุภาพสตรีชาวออสเตรเลีย ซึ่งการอยู่ด้วยลมปราณนี้ เราสามารถเรียนรู้ได้”
ดร.คริสโตเฟอร์ ชไนเดอร์ เป็นนักเคมีและนักบำบัดโรคโดยไม่ใช้ยา เขายังเป็นบริทเทเรียน ผู้ที่ไม่กินอาหารมาเป็นเวลาหลายปี การอยู่แบบกินอากาศไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยคิดมาก่อนตั้งแต่เติบโตมา
“ผมโตที่เมืองฮาโนเวอร์ทางตอนเหนือของเยอรมันที่ซึ่งผมเรียนวิชาเคมี แล้วผมเริ่มทำงานกับสหประชาชาติเป็นเวลา 2 ปีในการทำโครงการ แต่หลังจาก 2 ปี ผมคิดว่าผมอยากเป็นนักบำบัดโดยไม่ใช้ยา แล้วครึ่งปีต่อมาผมก็เริ่มที่โรงเรียนเนเจอร์โรพาท ใช้เวลาอยู่หลายปี มันก็ตลกนะ ผมเคยสนใจในเรื่องยามาก่อน แต่เนื่องจากตอนที่เป็นเด็กเวลาที่ผมเห็นเลือดหรือเข็มแล้ว ผมเป็นลม ดังนั้นผมไม่เคยคิดจะเรียนเรื่องยา แต่ผมเรียนด้านเคมี ผมก็กลับมาหาเรื่องยาอีก คุณต้องเรียนหลายอย่างและเข้าคอร์สต่างๆ ในวิธีการแบบไม่ใช้ยา สำหรับเรื่องส่วนตัวที่คุณต้องการทำแล้วนี่คือส่วนใหญ่ที่ผมได้นำมาใช้ในเวลานี้ ในฐานะเป็นผู้รักษาโรคโดยไม่ใช้ยา ยกตัวอย่าง การฝังเข็ม ผมไปเรียนที่ศรีลังกา ผมหัด “สัมผัสเพื่อสุขภาพ” ซึ่งเป็นการทดสอบกล้ามเนื้อ ผมเรียนอยู่หลายคอร์สที่นั่น ผมก็กลายเป็นครูอยู่ที่นั่น”
นักปฏิบัติด้านสุขภาพที่ไม่ธรรมดา ผู้ที่ดูแลคนไข้อย่างประณีต ดร.ชไนเดอร์พยายามให้พวกเขาได้รับผลในทันที
“ผมรักคนไข้ของผม แต่ผมไม่อยากให้เขามาขึ้นอยู่กับผม เวลาที่คุณปวดหลัง คุณอาจจะใช้การบำบัด 10 ข้อแล้วมันก็ดีขึ้น แต่ผมไม่อยากพบพวกเขา 10 ครั้ง ทำไมหรือ? เพราะผมต้องการให้พวกเขาได้รับผลเต็มที่ตั้งแต่นาทีแรก ดังนั้นวิธีการของผมคือเวลาที่พวกเขามาหา ผมจะพูดคุยกับพวกเขาถามความต้องการก่อน แน่นอนที่ร่างกายกำลังร้องไห้อยู่เพราะว่าคุณเจ็บปวด ดังนั้น ผมจะทำบางอย่างสำหรับร่างกาย แต่ผมก็พยายามหาต้นเหตุของมันว่าอะไรผิดปกติ การทำอย่างนี้คนไข้อาการดีขึ้นเร็วมาก (ถาม : คุณอยากให้พวกเขาช่วยเหลือตนเองมากกว่า?) ครับ ถูกต้อง ผมหมายถึงผมไม่สามารถรักษาพวกเขา ไม่มีทางเลยบางทีอาจเป็นพระเจ้าผมก็ไม่รู้ แต่ว่ามีบางอย่างขาดหายไปหรือบางอย่างที่ผิดปกติ แล้วเมื่อคุณทำให้มันปกติได้หรือพวกเขาพบทางที่ถูกต้อง พลังงานทั้งหมดนั้นก็ไหลลื่นและพวกเขาก็อาการดีขึ้นหรืออย่างน้อยพวกเขารู้ว่ากำลังทำอะไร บางครั้งพวกเขาก็ไม่อยากเปลี่ยน บางคนก็ต้องการจะขึ้นอยู่กับคนอื่นหรือพวกเขาต้องการยึดติดอยู่กับเรื่องราวเก่าๆของพวกเขามันก็เป็นไปได้ ดังนั้นปล่อยพวกเขา เมื่อใดที่พวกเขาพบมัน พวกเขาก็จะไม่ยึดติดอยู่กับเรื่องพวกนี้ ซึ่งมันทำให้พวกเขาไม่ยุ่งยากอีกต่อไป พวกเขาจะเห็นว่า นั่นคืออิสรภาพพวกเขาสามารถยึดติดมันหรือไม่ยึดติดก็ได้ มันเหมือนคุณจะดื่มกาแฟหรือไม่ดื่มก็ได้ แต่คุณไม่ต้องการดื่ม”
เหมือนคนอื่นๆ ที่ไม่กินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ค้นพบการหล่อเลี้ยงด้วยพลังปราณ โดยบังเอิญ มีเพื่อนคนหนึ่งแนะนำเขาให้รู้จักข่าวสารของจัสมูฮีนเรื่องการอยู่ด้วยแสง (ถาม: คุณเข้ามาอยู่ในหนทางหนทางของการเป็นบริทเทเรียนได้อย่างไร?)
“ผมมีเพื่อนที่ดี เขาเป็นเจ้าของโรงพิมพ์ แต่เล็กๆ เขามีหนังสือของเขาเองและอื่นๆ อีกไม่กี่เล่ม เขาไปที่คอร์สฝึกสมาธิและก็มีบางคนที่ไม่กินอาหารซึ่งอาจจะเป็นช่วงอดอาหาร แต่เขามีความรู้สึกที่ดีกับคนอื่นๆ และเขาก็พบว่ามีบางอย่างที่แตกต่าง เขาจึงถามเธอ เธอก็เลยให้ที่อยู่ซึ่งเป็นของชาเมนฮาร์ลีย์ มันกล่าวถึงหนังสือของจัสมูฮีนและเธอก็ส่งไม่กี่หน้ามาให้ แต่ข้างในนั้นถูกซีลปิดไว้และมันก็เป็นเพียงการแนะนำบางอย่าง มีคำอธิบายที่เรารู้ว่ากระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน คือไม่ดื่ม 7 วัน 7 วันต่อมาดื่มแต่น้ำผลไม้เจือจางเท่านั้นและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่าง เขาจึงเอาให้เพื่อนคนหนึ่งดูและหลังจากนั้นหนึ่งหรือสองเดือนเพื่อนคนนั้นก็เริ่มทำในเวลาเดียวกัน เขาก็ติดต่อกับจัสมูฮีน เธอมาที่ยุโรปเพื่อให้การบรรยาย เขาพยายามหาทางติดต่อ เธอปรากฏตัวทางทีวี รายการทอร์คโชว์แล้วเขาก็จัดสัมนาและแน่นอนเพราะผมเป็นเพื่อน ผมจึงมีข้อมูลทุกอย่าง แล้ววันหนึ่งเขาก็มาและบอกว่า “คุณสามารถจัดสัมนากับเธอและผมได้ไหม?””
บางทีนั่นอาจเป็นโอกาสหรือเราอาจเรียกว่า “โชคชะตา” ตั้งแต่นั้นมา ดร.ชไนเดอร์ก็เรียนรู้เรื่องของความเป็นไปได้ในการอยู่โดยไม่กินอาหาร ทุกอย่างดูเหมือนลงตัวหมดทำให้เขาสามารถเริ่มต้นกระบวนการเปลี่ยนแปลงใน 21 วัน
“ผมไม่ได้ปฏิบัติขั้นตอนนั้น ผมไม่รู้จักใครเลย เวลานั้นและในการสัมนาที่เราจัดกันนั้นมีคนให้ข้อมูลเราจำนวนมาก พวกเขาก็ถามเหมือนกัน ดังนั้นผมต้องค้นหาทุกอย่างแล้วผมก็ไปสัมนาอีกแห่งหนึ่งเพื่อเตรียมตัวผมเองและเพื่อดูว่าผู้คนมีการสนองตอบอย่างไร แล้วในสัมนานั้น เธอพูดมากมายหลายอย่าง
“ผมก็บอกว่าโอเค นางฟ้าและผู้นำด้านจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณเป็นใครก็ตาม ถ้าเรื่องนี้จริงก็ให้ผมรู้และถ้าผมควรทำในกระบวนการนี้ก็บอกผมมา” แต่ผมต้องใช้เงิน เพราะ 3 สัปดาห์ผมทำงานไม่ได้ ผมหาเงินไม่ได้ และผมต้องใช้เวลาเพราะผมจัดสัมนาหลายแห่ง และผมจะต้องจัดอีกหลายแห่ง มันไม่มีเวลาเลย แต่เมื่อผมกลับมาจากเบอร์ลิน ผมเปิดดูไดอารี่ มันมีเวลา 3 สัปดาห์ ในฤดูร้อน ตอนนี้พูดได้ว่าผมมีเวลาแล้ว และวันพฤหัสต่อมามีคนไข้คนหนึ่งเธอบอกว่า ”คุณช่วยฉันมาก ฉันอยากให้ของขวัญคุณ” “ครับซื้อซีดีหรือดอกไม้ให้ผมก็ได้” แต่เธอเชิญผมไปทานอาหารและก็ให้หนังสือมาเล่มหนึ่ง เธอบอกว่า ”อย่าเพิ่งเปิดที่นี่” ผมไปเปิดดูที่บ้านมันมีเงินจำนวนมากอยู่ในนั้น นั่นก็คือที่มาของเรื่องว่าผมมีทุกอย่างแล้ว แล้วผมก็ทำตามวิธีการนั้นในฤดูร้อนนั้นเลย ผมเริ่มต้นทำ นั่นเป็นก่อนที่เราจะจัดสัมนาจัสมูฮีน ดังนั้นผมแช่อยู่ในพลังงานของการอยู่กับแสงผมหยุดไม่ได้(ถาม : นั่นเป็นเมื่อไร?) มันเป็นฤดูร้อนของปี 2541 ที่ผมฝึก ผมทำอยู่ที่บ้านเพราะไม่มีสิ่งแวดล้อมไหนที่ผมรู้จักที่มันเหมาะสมกว่า”
จากประสบการณ์ส่วนตัวของเขา ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำสำหรับคนที่อาจจะสนใจในการอยู่โดยไม่กินอาหารคือฟังหัวใจของคุณเอง
“ผมรู้ว่าในการเลือกนี้หรือระเบียบการเตรียมตัวมันก็ง่ายๆแบบนี้ คือถ้าหัวใจคุณร้องเพลง ครั้งหนึ่ง จัสมูฮีนบอกว่าถ้าหัวใจคุณร้องเพลงนั่นก็คือสิ่งที่ถูกต้องสำหรับคุณถ้าคุณมีข้อสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอสักหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคนคุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามีเสียงเรียกร้อง คุณสามารถทำขั้นตอนที่จำเป็นและมันมีหลักฐานเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ปราณคืออะไร? ผมต้องบอกว่า ผมไม่รู้แน่ชัด ผมมีแต่รู้สึกถึงมัน ผมสามารถได้รับมัน ผมรู้ว่ามันมีอยู่ แต่ผมรู้สึกและอธิบายได้เหมือนที่ผมถามคุณว่า ไฟฟ้าคืออะไร? ปราณยังเรียกได้อีกหลายคำ เช่น ชี่ หรือออด เมื่อเร็วๆนี้ผมเห็นรายชื่อยาวเหยียดมันมีหลายคำเนื่องจากวัฒนธรรมต่างๆซึ่งชนชาติและกลุ่มวัฒนธรรมส่วนใหญ่จะรู้จักมันในชื่อของ ชี่ ปราณ ออดและมันเป็นไปได้จริงๆที่มีชีวิตอยู่ได้โดยมันและนี่ก็เป็นหัวข้อที่ผมอยากพูดถึงในวันนี้ ในเยอรมันที่นี่เราเรียกมันว่า “Lichtnahrung” (อยู่ด้วยแสง) เราเพียงแต่ใช้ภาษาเยอรมันในบรรดาคำศัพท์อื่นๆความเห็นของผมคือในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์นานมาแล้วที่เรารู้เรื่องนี้กัน วิธีการอยู่ด้วยพลังปราณ วิธีการอยู่ด้วยแสง วิธีที่ไม่ต้องใช้อะไรเลย การอยู่ด้วยแสงหมายถึง ผมจะชี้ขึ้นไปข้างบนเสมอเพราะว่าเป็นสัญลักษณ์ ผมคิดเสมอว่าพระอาทิตย์หรือแสงอาทิตย์จากข้างบน แต่แสงมาจากทุกหนทุกแห่ง นั่นหมายความว่าในห้องที่มืดผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยปราณเช่นกัน และถ้าเรามีวันที่ฝนตกหนักเมฆครึ้ม มันก็ยังทำงานได้ผลเหมือนกับมีแสงแดด ดังนั้นในอีกนัยหนึ่งเราไม่จำเป็นต้องอยู่ในภาคใต้ของอิตาลีเพื่อจะได้พลังปราณมากขึ้นและผมเชื่อว่าเมื่อมนุษยชาติมายังบนโลกไม่มีความจำเป็นที่ต้องกินอะไรเลย แต่บังเอิญอย่างที่กล่าวอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ลคือผลไม้จากสวนอีเดนผลไม้นั้นมีอยู่และรสชาติดีซะด้วย พวกเขาสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ มันสุขสบายอย่างบริสุทธิ์ก็เหมือนกับผมเวลานี้ผมไม่จำเป็นต้องกิน มันสะดวกสบายจริงๆ เวลาที่อยู่ด้วยแสง คนเราไม่จำเป็นต้องกิน”
ก็คล้ายๆ กับคนอื่นๆที่ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ได้พบประโยชน์ในทันทีจากชีวิตที่ไม่ต้องกินอาหาร
“คุณไม่จำเป็นต้องนอนมากเลยในกระบวนการนี้ สิ่งที่ผมเริ่มคือทำบางอย่างกลางดึกเวลาที่ไม่มีรถวิ่ง ผมอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ผมเล่นสเก็ต โรลเลอร์สเก็ตเพียงแค่ให้มีบางอย่างทำ ผมไปเดินเล่น ผมดูพระจันทร์ (ถาม :ดังนั้นคือคุณมีเวลามากขึ้น? ) คุณมีเวลามากขึ้นเพราะคุณไม่ต้องนึกถึงอาหารไม่ต้องเตรียมอาหาร ไม่ต้องใช้ครัวกระบวนการของการอยู่ด้วยแสงเป็นไปได้สำหรับพวกเรา ถ้าเราผ่านกระบวนการนั้นแล้วมาอยู่ด้วยแสงอีกครั้งหนึ่ง หมายความว่า ถ้าผมไม่ดื่ม 7 วันและไม่กิน 21 วันแล้ว ด้วยการปรับสภาพนี้ร่างกายของผมก็สามารถอยู่ได้ด้วยแสง คุณจะมีการเชื่อมต่อมากขึ้นมันเหมือนกับการนั่งรถ คุณหมุนกุญแจแล้วมันก็วิ่งไปธรรมดาๆ ถ้ารถนั้นวิ่งได้ ถ้าคุณมีรถเก่าๆ และรถนั้นผมไม่รู้นะอาจมีปัญหาบางอย่างนั่นก็เหมือนกับคุณจะอธิบายความแตกต่างนั้นได้อย่างไร แต่ก่อนนั้นคุณมีอะไรหลายๆอย่างอย่างเช่นวิทยุเวลาที่ปรับคลื่นไม่ดีคุณจะได้ยินเสียงต่างๆเต็มไปหมด คุณก็ยังสามารถฟังได้ ถ้าคุณต้องการ แต่ก็นั่นแหละเวลาที่คุณทำสิ่งต่างๆ คุณจะรู้สึกชัดเจนโดยเฉพาะหลังจากผ่านกระบวนการนั้นไม่นาน มันเหมือนการทำความสะอาดโดยไม่ต้องทำอะไรเลยมันเหมือนกับความคิดที่ว่า ”โอ้ ใช่แล้ว” และมันอาจเป็นความสัมพันธ์ มันอาจเป็นพื้นฐานของคุณที่เรียบร้อยดีแล้วคุณก็คิดถึงมันและคุณก็เอาสิ่งนั้นมาและโยนมันทิ้งไป มันชัดเจนมาก มันเป็นพลังที่เข้มแข็งมาก มันเหมือนเมื่อก่อนนี้ที่ใช้ท่อเล็กๆเชื่อมต่อเข้ากับตัวตนที่สูงขึ้นแล้วจากนั้นเวลานี้มันเหมือนท่อใหญ่ สิ่งแรกที่ผมสังเกตคือความชัดเจนเกิดขึ้นมากอย่างที่บอกไว้แล้ว เช่นหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะกับผมอีกต่อไปหรือหลายๆอย่างเรียบร้อยขึ้นในวิถีทางกายภาพแล้วงานของผมก็เริ่มในทันที ผมรักษาผู้คน ผมทำการรักษาแบบไม่ใช้ยา ฉีดยาหรือการจัดกระดูกสันหลังและผมก็ชอบมากเพราะผู้คนมีความสุขมากและมันก็ชัดเจนขึ้นมากในสิ่งที่ผมได้ทำและสิ่งที่ผมทำให้พวกเขาหรือแม้กระทั่งการรักษาแบบโฮมีโอพาธิกหรืออื่นๆ (ถาม: คุณมีสัณชาตญาณชัดมากขึ้น? ) ครับ แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นสัญชาตญาณ ผมว่าเหมือนการรับรู้มากกว่าและมันชัดมาก ผมไม่ต้องโต้เถียงในหัวของผมเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เช่น “ฉันควรให้อันนี้หรืออันนี้สำหรับเรื่องนี้?” แต่มันชัดเจนมาก ไอเดียมีอยู่ตรงนั้นแล้ว มันเหมือนกับมันไม่ใช่บนจอภาพ ผมไม่ใช่คนที่มองด้วยภาพ มันค่อนข้างเหมือนกับชัดเจนในสิ่งที่ทำสำเร็จและอีกอย่างคือ การสื่อสารมันมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผมไม่จำเป็นต้องพูดมาก ผมจะฟังมากนี่ก็ทำให้คุณมีเวลาเหลือมากเหมือนกัน นั่นก็คือเหตุผลที่ผมมีความสุขมาก เพราะเวลานั้นผมไม่มีมันผมไม่มีเวลาก็เหมือนกับชาวตะวันตกคนอื่นๆทั้งหลาย (ถาม : ดังนั้นคุณโฟกัสได้ดีขึ้น? ) ใช่ (ถาม : และจากการโฟกัสนั้นคุณมีเวลาเหลือมากขึ้น? ) ครับ แน่นอนและมันก็ดีมากด้วย เพราะว่าเวลาที่คุณรู้ความลับหรืออะไรบางอย่างมันก็มีความสุนทรีย์อยู่ในนั้นมากมาย นี่ก็คือสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจของผม ผมสามารถเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังได้มากขึ้นและเห็นเหตุผลที่ผู้คนทำบางอย่างที่เป็นทางกายภาพอันความสวยงาม “
นอกจากการมีความชัดเจนและสัมผัสที่สูงขึ้นของสัญชาตญาณ ดร.ชไนเดอร์ยังพบกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา (ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของคุณ? มีอะไรเกิดขึ้นกับแบคทีเรียในท้องของคุณ? )
“หลังจากอยู่ด้วยพลังปราณมาหลายปี มันอาจจะมีน้อยลงเพราะคุณไม่ยัดอะไรเข้าไปตลอดเวลา แต่มันก็ยังทำงานอยู่และมูกเมือกก็ยังมีอยู่ ดังนั้นคุณมีเซลใหม่อย่างเช่นผิวหนังและผม แน่นอนทังหมดนี้ยังคงมีอยู่ในร่างกาย”
“บางตัวอย่างของคนที่อยู่ด้วยพลังปราณต้องพบกับน้ำหนักที่ลดลง นั่นดูเหมือนว่าเหมาะกับร่างกายของพวกเขา ตอนที่ผมอยู่ในการประชุมของผู้อาศัยพลังปราณก็มีคนคนหนึ่งที่เป็นโรคไม่อยากกินอาหารแล้วตอนนี้หลังจากฝึกแล้วเธอมีอิสระมากขึ้น หลังจากกระบวนการนั้นแล้วเธอมีอิสระที่จะกินสิ่งที่เธอต้องการ ในขณะที่ไม่จำเป็นต้องกิน เธออธิบายเรื่องนี้อย่างโน้มน้าวดีมาก เธอยังบอกว่าตั้งแต่นั้นมาน้ำหนักเธอไม่ลดลงอีกแล้ว นี่เป็นผลของการอยู่ด้วยแสงนั่นคือขณะที่ไม่กิน คุณก็ไม่เสียน้ำหนัก เมื่อคุณอยู่ด้วยแสง นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ปัจจุบันนี้ไม่สามารถอธิบายทางกายภาพได้และมันก็เป็นความจริง ผู้อาศัยพลังปราณบางคนน้ำหนักขึ้นหลังจากกระบวนการนี้ ส่วนตัวของผมนั้นผมก็มีประสบการณ์นั้น 13 กิโลภายใน 3-4 วัน แต่ผมไม่รู้สึก มันราบรื่นดีมาก สบายจริงๆ และคุณจะตกใจถ้าน้ำหนักมันลดลงแต่เวลาเดียวกันนั้นก็ตระหนักว่า คุณรู้สึกสบายดี บางคนก็รู้ว่าน้ำหนักของพวกเขาไม่ได้ลดลง ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงก็คือการเข้ารับครั้งแรก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายและเซลมันจึงมีการเปลี่ยนแปลงในจิตสำนึกนั้นด้วย”
เมื่อเขาผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงกลายเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์ก็ตระหนักว่าการกินเป็นเพียงแค่นิสัยอย่างหนึ่งเท่านั้น
“มันมีความหมายอะไรกับ...อาหาร? มันหมายถึงบางสิ่งที่บำรุงเลี้ยงเรา แน่นอนกระบวนการนั้นเกี่ยวกับการบำรุงเลี้ยง แต่ว่าอะไรที่บำรุงเลี้ยงเรา? อะไรที่ค้ำจุนเราอยู่? มันคือปราณหรือว่าคือของแข็งที่เราใส่เข้าไปในปากหรือว่าคือสิ่งอื่นที่อยู่ข้างนอกบางแห่ง ดังนั้นเรามาพูดถึงบางคน บางสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่สามารถรู้สึกได้ชัดเจนมากเวลาที่ผ่านกระบวนการนั้น มันอาจจะไม่สบายนักผมต้องบอกก่อน ลองนึกดูว่าถ้าคุณรู้ว่าอาหารที่คุณเคยเพลิดเพลินกับมันมาก มันไม่อาจเลี้ยงคุณได้อีกแล้ว ไม่แม้แต่ทำให้คุณสนใจอีกต่อไป ประการหนึ่งคือมันไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจนัก แต่สำหรับผมมันเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมาก เพราะว่าปกติเราก็รู้กันว่า “ฉันทำแบบนี้ไม่ได้ มันเป็นแค่นิสัยของฉันที่ฉันคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน” ใช่อาหารเช้าในตอนเช้า กลางวันก็กินนี่กินนั่น แล้วตอนเย็นก็กินนั่นกินนี่ บางทีในตอนเช้าคุณนั่งคุยด้วยกัน แล้วขณะที่กินคุณก็จิบกาแฟและมีโรสเต็ก แล้วบางทีกลางคืนเนื่องจากคนชอบใช้เวลาอยู่กับบางคนหรือกับครอบครัว แล้วคุณก็กินและทุกคนก็รู้ว่าไม่ว่าคุณจะหิวหรือไม่ก็ตาม คุณไม่คิดอะไรเลย อย่างน้อยผมไม่เคยคิด แล้วมันก็เป็นไปตามนั้น แล้วขณะที่เคี้ยวอยู่เต็มปากช้อนส้อมนั้นก็พร้อมที่จะตักอีกครั้งใช่ไหม? มันยากที่จะหมด ไม่หมดโดยสิ้นเชิง คุณสามารถเคี้ยวมากอีกหน่อยมันสนุกมากแบบนั้น แล้วคุณก็เอาส้อมส่งเข้าปากอีกครั้ง แล้วก็เป็นไปแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าใช่ไหม? มันเป็นนิสัยเท่านั้นผมมีประสบการณ์อย่างนี้จริงๆ หลังจากกระบวนการนั้นผมสังเกตตัวเองดูและคิดจริงๆ จังๆ “นี่เกิดอะไรขึ้น ที่นี่?” และผมก็ช็อคครั้งใหญ่เพราะผมตระหนักว่ากลไกที่น่ากลัวนี้ยังคงทำงานอยู่และมันเป็นเรื่องของการตามใจตัวเอง มันไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับสุขภาพหรือการเข้ากันได้ แต่มันคือ “ฉันต้องการอะไร? ” และผมก็ไม่ต้องการอาหาร”
ตามความเห็นของ ดร.ชไนเดอร์สภาวะหนึ่งที่คนเราจะไปถึงได้ในขณะที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหารคือการที่ค้นพบตัวเองอีกครั้ง
“ในที่สุดเราพูดได้ว่า “โอเค ฉันยอมทุกอย่างแล้ว” และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายๆ คนในช่วงของขั้นตอนการอยู่ด้วยแสง เพราะว่านี่คือจุดที่เรากลับคืนสู่หัวใจของเรา เพราะถ้าเราดำเนินต่อไปภายใต้เงื่อนไขพิเศษของกระบวนการการอยู่ด้วยแสงนี้ ถ้าผมใช้เวลาอาจจะ 5 6 หรือ 7 วันกับตัวเองแล้ว ผมก็ไปถึงสภาวะที่ผมตระหนักว่า “ดูสิ จริงๆแล้วฉันคือใคร? ” สำหรับผมมันคือการจดจำธรรมชาติของแสงในตัวเราเอง เราคือตัวตนของแสง เราจำได้ว่าที่จริงเราได้รับการบำรุงเลี้ยง ไม่ใช่มาจากอาหาร ไม่ใช่มาจากคู่ของผม ไม่ใช่มาจากรถที่วิ่งเร็ว หรือจากดนตรีบางชนิดหรือหินที่มีค่าซึ่งมันก็อาจจะค้ำจุนเราได้ แต่ผมได้รับการหล่อเลี้ยงจากภายในตัวผมเอง นั่นคือจากพลังปราณ สำหรับผมนั้น การเชื่อมต่อมีความชัดเจนว่าที่จริงแล้วเราหล่อเลี้ยงตัวเราเอง ที่จริงมันคือธรรมชาติแบบพระเจ้าของเรา เราคือตัวตนของสวรรค์ แผ่กระจายโดยพระเจ้า”
สำหรับใครที่สนใจวิถีชีวิตแบบกินอากาศ ดร.ชไนเดอร์มีคำแนะนำซึ่งมีข้อหนึ่งคือการเป็นมังสวิรัติหรือเป็นฟุสเทเรียน(กินเฉพาะผลไม้)มาก่อน
“ขั้นตอนของการอยู่ด้วยแสงเป็นสิ่งที่ต้องมีจิตใจที่ค่อนข้างเข้มแข็ง เพราะบางคนนั้นพอได้ยินว่า ”ไม่ดื่ม 7 วัน” คุณต้องมีการกระทำที่เข้มแข็งเพื่อให้ผ่านพ้นมันไปได้ ทั่วไปผมจะบอกว่าทุกคนทำได้ ถ้าคนนั้นสุขภาพดีและรู้สึกถึงการเรียกร้อง แต่มันมีข้อมูลสำคัญนี้: คุณสามารถทนได้จริงหรือ? แต่ก็มีสิ่งที่ดีๆ อยู่มันคือเหมือนมีบางคนที่คอยยื่นมือเข้าคุ้มครองคุณไว้ เพราะว่าการไม่ดื่ม 7 วัน มันทำให้บางคนมีแง่มุม คนที่มีข้อสงสัยมากเกินไปและบางทีอาจจะทำไม่ได้ ไม่ว่าเป็นอะไรและสิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตอนนี้ผมคอยชี้แนะหลายๆ คน เพื่อผ่านกระบวนการนี้ ทั่วไปผมจะทำเป็นกลุ่มในแบบของการสัมนาเราเรียกว่า ”การเข้าฌาน” เพราะมันไม่ใช่สัมนา แต่มันคือปราณ มันเป็นสภาวะของตัวตน มันเป็นอย่างนี้ซึ่งหลายคนที่ได้ฟังนี้ทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงได้ค่อนข้างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่รู้สึกถึงเสียงเรียก พวกนี้คือคนที่พูดว่า ”ฉันเห็นหนังสือนี้สัปดาห์ก่อน ตอนนี้ฉันต้องการทำ กระบวนการนี้อย่างแน่นอน ฉันจะทำได้ที่ไหน? ฉันจะทำได้อย่างไร? ” ยังมีกระทั่งคนที่โทรไปหาและบอกว่า “เสียงภายในของฉันบอกให้หยุดกินและดื่ม สองวันต่อมาฉันไปที่ร้านขายหนังสือ ฉันเห็นหนังสือเล่มนี้ ในที่สุดฉันก็รู้ว่ามันเป็นความจริง” เรื่องราวแบบนั้นประทับใจผมจริงๆ ประทับใจผมอย่างลึกซึ้ง เวลาที่มีคนโทรศัพท์มาและบอกผมอย่างนั้น ผมมีเวลาเตรียมตัวไว้แล้วหนึ่งหรือสองปี ผมรู้เรื่องพวกนี้มานานแล้ว แต่ก็มีคนที่รู้สึกถึงเสียงเรียกจริงๆ และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์สำหรับผมว่ามันได้ผล มันสัมผัสถึงหัวใจของผู้คนถึงธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของแสงของพวกเขา มันเป็นอย่างนั้น แน่นอนผมก็พยายามทำให้มันชัดเจนแก่พวกเขา ไม่ให้เป็นที่ดึงดูดความสนใจ มันไม่ใช่เรื่องของการทำให้มันดึงดูดใจเพราะถ้ามีใครที่ทำตามวิธีการนี้ แต่อาจจะไม่เตรียมตัวมาพอ มันก็ไม่ค่อยดีนัก เพราะผมพูดได้แต่ว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ไม่น่าพึงพอใจ เรื่องนี้ผมอยากจะเผื่อไว้สำหรับทุกคน”
ในการเปลี่ยนแปลงเป็นผู้ไม่ต้องกินอาหาร ดร.ชไนเดอร์แนะนำถึงการเตรียมตัวล่วงหน้า
“มันจะเกิดประโยชน์ ถ้าคุณทำตามขั้นตอนการอยู่ด้วยแสงนี้และมีการเตรียมตัวคุณเองปรับเข้าสู่ภายในและภายนอกและเตรียมร่างกายของคุณอีกสักหน่อย : “ฉันกำลังเดินทางพร้อมกับร่างกายของฉัน ฉันกำลังเดินทางที่เรียกว่าการไม่ดื่ม 7 วัน ไม่กิน 21 วัน” กินอย่างมีสุขภาพไว้ล่วงหน้าโดยพยายามเป็นมังสวิรัติอย่างน้อย 3 เดือนล่วงหน้าหรือกระทั่งรอว์ฟู๊ดก็ได้(raw food diet) คุณควรมีการอดอาหารเป็นบางครั้งเพื่อให้ร่างกายของคุณรู้ตัวไว้ว่ารู้สึกเบาสบายขึ้นอย่างไร และบางทีถ้าคุณคิดว่าสิ่งใดยังคงมีความจำเป็นต้องทำ เช่น วิธีการล้างลำไส้ หรือวิธีการล้างพิษก็ให้ทำอย่างนั้น มันไม่มีกฎตายตัว แต่มันเป็นการแนะนำและมันยังมีเหตุผลในการอดอาหารก่อนที่จะเริ่มกระบวนการนั้น เพราะว่ามันทำให้ร่างกายอ่อนแอลงบ้างสำหรับการขจัดออกไปคราวละมากๆ มันเกิดขึ้นก่อนและจุดนี้ทำให้ร่างกายทำงานหนัก มันจะเป็นการดีถ้าหากผมอยู่อย่างเรียบง่ายเป็นเวลาสักหนึ่งหรือสองสัปดาห์ล่วงหน้าหรือกินแค่ผลไม้และอาหารดิบเท่านั้น อาจจะแค่น้ำผลไม้ แต่ผมตระหนักว่าถ้าร่างกายยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง มันก็ยังไม่มีความรู้สึก แต่หลังจากนั้นคุณก็สามารถเข้าสู่กระบวนการ ผมจะบอกคุณอีกครั้งว่า ผมรู้ว่าการเตรียมตัวตามกฎเกณฑ์นี้มันก็เป็นอย่างนี้ ถ้าหัวใจของคุณร้องเพลง จัสมูฮีนเคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่ง มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องสำหรับคุณ ถ้าคุณสงสัยก็ทิ้งมันไปหรือรอหน่อย กระบวนการนี้ไม่ใช่สำหรับทุกคน คุณไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคุณรู้สึกถึงการเรียกนั้น คุณสามารถเริ่มต้นก้าวที่จำเป็นและมันมีข้อพิสูจน์เสมอว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
“มันเป็นบางอย่างที่เรามีอยู่ภายใน ผมคิดว่าเพียงแต่เราต้องจดจำได้ เราจำได้ว่า เราเป็นใคร? เราถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรและเราทำอะไรได้บ้าง? การอยู่ด้วยแสงเป็นวิธีหนึ่งที่อธิบายได้ แต่ปราณมันคืออะไร? มันคือจิตวิญญาณ คือพลังงานของพระเจ้า คือสวรรค์ คือพลังงานของจักรวาล ถ้าพวกเขารู้สึกดึงดูดใจ พวกเขาก็ทำได้ แน่นอนจากมุมมองทางการแพทย์ ผมต้องบอกว่าคุณควรมองในเรื่องนี้ว่าคุณมีอาการอะไร เช่น ถ้าคุณมีอาการโรคหัวใจ ถ้าคุณเป็นเบาหวาน มีทางรักษาตั้งมากมายสำหรับการแพทย์ตะวันตก การแพทย์ตะวันออก หรือแพทย์ทางเลือกใหม่และก็เป็นไปได้ใน 21 วันนี้ เหมือนกัน คุณไม่สามารถพูดว่า “ทำขั้นตอนนี้เพราะคุณจะมีอะไรต่อมิอะไร” มันมีพลังอยู่ในนั้นมากมาย แต่ว่ามันก็ยังมีอันตรายอยู่มาก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเป็นเบาหวานหรือคุณมีอาการโรคหัวใจต้องมีบางคนแนะนำคุณอย่างใกล้ชิดและต้องบอกคุณเวลาที่ต้องหยุดหรือยกเลิกมันหรือ...(ถาม :บางทีเป็นผู้ฝึกทางการแพทย์?) ใช่ ใช่ แต่ก็ยังมีการแนะนำทางด้านจิตวิญญาณโดยพระเจ้าและคนพวกนั้นจะรู้ ผมคิดว่าผลกระทบข้างเคียงมากที่สุดก็คือด้านจิตใจ รูปแบบ ความโกรธ ความต้องการที่เราเห็นมันออกมาในทุกๆเซล ทุกอย่างถูกบันทึก ความจำทั้งหมดของเราทุกอย่าง ดังนั้นในช่วงที่เปลี่ยนแปลงมันจะออกมา ดังนั้นคุณจะจำเรื่องต่างๆมากมาย ความสุขก็เหมือนกัน บางคนมีความสุขมาก พวกเขาจึงระลึกถึงว่ามันมีความสุขอย่างไรในสมัยเด็กๆ หรือกับแฟนหรือกับพ่อแม่ เมื่อตอนไปเที่ยววันหยุดกัน สิ่งที่พวกเขาบอกเรามันน่าประทับใจมากเพราะพวกเขาติดต่อกับหัวใจของพวกเขา พูดจากหัวใจและรู้สึกถึงมันได้จริงๆ ดังนั้น มันดีมากที่จะทำขั้นตอนนี้และมันก็ไม่ถูกต้องที่จะไม่ช่วยให้ผู้คนผ่านกระบวนการนี้ เพราะผมคิดว่ามันคือ การบำบัดที่เข้มข้นรวดเร็วที่สุดอย่างหนึ่งเท่าที่ผมนึกได้”
ตามความเห็นของดร.ชไนเดอร์ผลกระทบบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในช่วงสัปดาห์แรกของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่กินอาหารคือเรื่องของสุขภาพ
“ปกติมักจะมีว่าความเจ็บป่วยเดิมๆนั้นมันหายไป มันจะออกมา เช่น บางคนนั้นมีการอักเสบเรื้อรังของไตและกระเพาะปัสสาวะ มันก็จะเป็นแบบนี้มันทำให้เรากลัว มันเห็นชัดเจน ถ้าผมรู้ว่า “ตายล่ะ มันเริ่มอีกแล้วฉันกำลังอยู่ในระหว่างขั้นตอน ฉันจะสามารถทำได้หรือแล้วฉันต้องหยุดมันหรือเปล่า? ” ฯลฯ มันจะดีถ้าหากมีบางคนอยู่ตรงนั้นรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันจะดีถ้าหากมีการช่วยเหลือหรือแนะนำเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ให้กำลังใจ ให้กำลังใจก็ดีเหมือนกัน การนำพาให้บางคนกลับเข้าหาตนเอง นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ในกระบวนการนี้กรรมวิธีคือบางสิ่งที่จะพาเราไปหาตัวเราเอง ผมจะพูดถึงสัปดาห์แรก ลำบากอยู่บ้างสำหรับบางคน แต่บางคนก็บินผ่าน ส่วนใหญ่แล้ววันที่ 4 5 หรือ 6 มักจะเป็นหนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างลำบาก กรณีของผมนั้นผมมีน้ำลายมากจนถึงวันที่ 6 แต่บางคนนั้นจะปากแห้งในวันที่ 2 และมันทำให้ลำคาญและมันก็จะดีที่มีใครบางคนให้การช่วยเหลือและบอกว่าทำอะไรได้บ้าง คุณสามารถบ้วนปาก แต่อย่ากลืน คุณสามารถดูดน้ำแข็งและถ่มออกไปหรืออาจจะถ่มออกครั้งที่สอง เพราะว่ามีน้ำเหลืออยู่ข้างในนิดหน่อย คุณอาจจะกัดมะนาวหรือเคี้ยวก็ได้แล้วถ่มออกไป สิ่งเหล่านี้ทำให้มันราบรื่นขึ้นหน่อย”
อาการอื่นๆมักจะไม่เกี่ยวกับสุขภาพและมีความท้าทายจิตใจน้อยลง
“โดยทั่วไปเหมือนกับไม่มีอาการอะไรหรือลำบากอะไร ปกติแล้วร่างกายอยู่ภายใต้ความเครียดถาวร ทำให้มันปรากฎออกมาโดยอุณหภูมิสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น หลายๆคนต้องแช่อ่างน้ำเย็น มีคนหนึ่งบอกว่าเขาต้องใช้ก้อนน้ำแข็งใส่ในน้ำที่จะอาบ ร้อนมากของเก่าๆ นั้นถูกเผาซึ่งเรียกว่า ”ความร้อนที่ละเอียดอ่อน” หรือ “ไข้ที่ไม่มีตัวตน” และที่จริงแล้วผมเป็นคนที่ชอบน้ำอุ่นและไม่ชอบเลยกับน้ำเย็นๆ ผมต้องอาบน้ำที่ค่อนข้างเย็น ดังนั้นผมเกือบจะแช่แข็งเนื่องจากนิสัย แต่มันสบายมากความเย็นอันนั้น ดังนั้นผมเพียงอยากบอกว่าร่างกายกำลังเอาของออกให้มากที่สุดและมันก็จำเป็นที่ต้องระวังร่างกาย ร่างกายของเราที่ต้องผูกพันไปกับการเดินทางของเรา”
อาการของการเปลี่ยนแปลงปกติแล้วจะหายไปหลังจากสัปดาห์แรก สัปดาห์ที่สองร่างกายก็จะเริ่มฟื้นตัว
“สัปดาห์ที่สองผมเรียกมันว่า ”ระยะพักฟื้น” ระยะพักฟื้นก็เหมือนกับยาต้นตำหรับเมื่อระบบนั้นปฏิรูปตัวมันเองใหม่ ส่วนนี้อยู่ภายใต้ความตึงเครียด กรณีนี้ร่างกายจะกลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ร่างกายความรู้สึกซึ่งเคยทรมานนั้นก็กลับคืนสู่ภาวะปกติอีกครั้งและสภาวะนี้น่าสนใจมาก เพราะว่านั่นคือภาวะที่มีการบำบัดรักษา คุณนอนลง ผมสังเกตว่ามันเหมือนกับพลังหลับ แต่เป็นพลังหลับที่มีการฝันกลางวัน สามชั่วโมงถ้าคุณชอบ แล้วในบางสภาวะ ผมตระหนักว่า “พอแล้ว” นี่คือที่ผมเรียกว่าการบำบัดเพราะว่าหลังจากนั้นผมรู้สึกแตกต่าง ผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้รับ มันไม่ใช่ประสาทหลอนเพราะผมสังเกตว่าผมมีสติสัมปชัญญะทุกอย่างปกติ ไม่ใช่ว่าผมดูอะไรด้วยวิธีแปลกๆ ผมรู้ตัวจริงๆ ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในร่างกายของผม มันน่ามหัศจรรย์ น่าสนใจ มันเกิดขึ้นอยู่เสมอเวลาที่ผมเงียบ เวลาที่ผมสัมผัสกับตัวเอง มันเป็นเวลาที่ดีมาก ผมก็ชอบด้วย ดังนั้น คุณควรที่จะมีเวลาอยู่กับตัวเองให้ได้จริงๆ “
กระบวนการเปลี่ยนแปลง เราจะเริ่มตระหนักถึงความเป็นอิสระจากการอยู่ด้วยอาหาร
“สัปดาห์ที่สาม ผมจะเรียกว่า ”ช่วงของการจัดการใหม่” ที่นี่ความคิดอาจเกิดขึ้นมา “มันจะเป็นอย่างไรหลังจากนั้น? ฉันจะทำอะไรเกี่ยวกับอาหารล่ะ? ครอบครัวฉันล่ะจะทำอย่างไร? ฉันจะทำอย่างไรกับเรื่องนั้น?” แล้วตอนนี้สิ่งที่น่าสนใจเกิดขึ้น ทันใดนั้นผมก็รู้ว่า ผมต้องการอะไร ผมมองเห็นทุกอย่างชัดมาก “โอเค นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำ ฉันทำอันนี้หรือจะทำนั่นๆ” สิ่งต่างๆเหล่านี้จะเกิดขึ้นมาหมด นี่เป็นสัปดาห์ที่สาม และตรงนี้ คุณสามารถจัดการกับเรื่องทางโลกได้มากขึ้น บางทีฉันไม่ต้องโทรศัพท์มากหรือไม่ต้องเขียนจดหมายหรืออะไรพวกนั้น ในกรณีของผม สิ่งเหล่านั้นเลื่อนออกไป แต่คุณสามารถสร้างตัวคุณเองขึ้นมาใหม่ นี่คือสิ่งที่เราทุกคนเฝ้ารอคอยอย่างมาก มีกี่คนไม่เคยพูดว่า “โอเค ปีนี้หลังจากคริสต์มาส ฉันจะนั่งลงและวางแผนสำหรับปีหน้าหรือเพื่อชีวิตที่เหลือของฉัน” คุณก็รู้กันทุกคน ความตั้งใจดีเหล่านี้ ใช่แล้วในวันที่ 21 ทุกอย่างเรียบร้อยทั้งหมด พวกเขาสามารถอยู่ได้ด้วยปราณ ร่างกายของพวกเขาถูกจัดการใหม่ มันเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลง แล้วพวกเขาก็ถูกปลดปล่อยเป็นอิสระและสามารถใช้มันได้อย่างที่พวกเขาต้องการ”
สำหรับ ดร.ชไนเดอร์การผ่านขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงมาเป็นไม่ต้องกินอาหารและมีชีวิตอย่างบริสุทธิ์ด้วยปราณได้ช่วยให้เขาปรับเข้าหาตัวเองได้มากขึ้นและมองโลกด้วยมุมมองใหม่
“สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ในกระบวนการนี้คือการเห็นคุณค่าอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น หลังจากผ่านกระบวนการนี้ ตอนที่ผมทำเป็นกลุ่มแรก ผมเหมือนกับกลัว ช็อคว่าผมไม่เห็นคุณค่าสิ่งต่างๆ เลย เมื่อก่อนนี้ผมหมายถึง คุณไม่สามารถเปรียบเทียบ แต่มันรู้สึกเห็นคุณค่าของธรรมชาติ ของผู้คน ของพลังงาน ของจิตวิญญาณ ของวัตถุที่ผมวางไว้บนแท่นบูชาและผมเฝ้าดูตัวเอง วางสิ่งต่างๆ ไว้ตรงนั้นซึ่งผมไม่เคยทำมาก่อน สำหรับผมมันรู้สึกว่า มันมีคุณค่าอย่างมากเพราะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงนั้น มันสอนให้คุณรู้จักถ่อมตัวด้วยเหมือนกัน มันสอนคุณให้มีความเมตตา มันสอนคุณมาก มีความสุขด้วย”
ติดต่อ ดร.คริสต์โตเฟอร์ ชไนเดอร์ ได้ที่อีเมลล์ : govind@web.de
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณารับชมที่ www.SupremeMasterTv.com/BMD