ล้วนลวงหลอก ละเลย และลืมเลือน
tir
ความสัมพันธ์ระหว่างเรากระชับแน่นขึ้น มิตรภาพจากโลกเสมือนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆกลายมาเป็นมิตรภาพที่งอกงามผ่านจิตใจ บทสนทนาระหว่างเราเปลี่ยนแปลงจากเรื่องดินฟ้าอากาศ มาเป็นเรื่องของความรู้สึกนึกคิดข้อมูลส่วนตัวที่เราเคยพิมพ์ถามกันบ่อยครั้งผ่านตัวหนังสือในระบบ แชท ก็จางหายไปจากหัวข้อสนทนา เราเริ่มจดจำรายละเอียดในชีวิตระหว่างกันเราค่อยๆ เรียนรู้มันจากคำบอกเล่า และความไว้ใจ มิตรภาพระหว่างเราค่อยๆ หยั่งรากลงทีละน้อย และคำพูดหนึ่งของเธอที่เราจำได้แม่นยำก็ก้องดังอีกครั้งว่า คนเราเมื่อมีครั้งแรกแล้วครั้งต่อไปก็จะตามมาเสมอ เมื่อเราต่างแนะนำตัวได้รู้จักและคุ้นเคยรากของมิตรภาพเริ่มแผ่ยิ่งขึ่นยิ่งเราใกล้ชิดกัน ต่างก็ซึมซับความรู้สึกนึกคิดและรับรู้เรื่องราวจากกันมากขึ้นจากความรู้สึกนึกคิดเรื่อยมาจนถึงความคิดฝันในอนาคต และย้อนกลับสู่ห้วงอดีตอันฝังแน่นในความทรงจำยิ่งเปิดเผยต่อกันก็ยิ่งเห็นตัวตนที่แท้จริงมากขึ้น เรามองเห็นบางอย่างในตัวเธอผ่านดวงตาของเธอ ดวงตาที่หม่นเศร้า และฉาบความเหงาไว้มันเหมือนกับดวงตาของเราหากแต่เธอไม่เคยแม้จะสังเกตเราจึงรู้ได้ว่าเธอไม่รู้สึกหรือรับรู้เช่นเราเป็นแน่ว่าเรามีชีวิตที่เปลี่ยวเหงาเหมือนกัน และดำเนินชีวิตบนความเจ็บปวดที่คล้ายคลึงกัน
เวลาผันผ่านไปพร้อมกับความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ทั้งสุขและทุกข์มักอยู่กับเราไม่นานช่วงแห่งความสุขของเราก้าวสวนกับความทุกข์ที่กรายกล้ำเข้ามาความสุขพัดพารอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากใบหน้าของเราไปพร้อมกับหยาดน้ำตาแห่งความทุกข์รินไหลลงมาดังสายธาร
เราเริ่มเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเราว่าแท้จริงแล้วในความเหมือนของเรามันเป็นความเหมือนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราเกิดความสงสัยในความสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างเราจึงเริ่มศึกษามันสียใหม่
ในขณะเดียวกันเธอเริ่มปล่อยตัวและจิตใจให้จมดิ่งไปกับอดีตขื่นขมอีกครั้งทั้งที่เธอเองก็รู้ว่ามันเจ็บปวดแต่เธอก็ไม่ฝืนมันคงปล่อยให้มันกัดกิน ด้วยความเต็มใจที่ตกลงไปเป็นทาสของอดีตที่ขื่นขม
เราเต็มใจที่จะเจ็บปวดกับอดีตและการรอคอยอย่างสิ้นหวัง และมีความสุขกับความเจ็บปวดนั้นเธอพูดกับเรา และยิ่งสั่นคลอนความรู้สึกของเรามากขึ้นเมื่อครั้งที่เราเล่าเรื่องต่างให้เธอฟัง
ต้นไม้ที่ยืนตระหง่าอย่างเข้มแข็งและแพร่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มอยู่ชั่วนาตาปี เพราะรากที่หยั่งลึกลงเกาะเกี่ยวดินอย่างเหนียวแน่น มั่นคง แต่ถึงจะอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ก็ย่อมมีซักวันที่ต้นไม้อาจล้มลงด้วยพายุที่พัดกระหน่ำหรือสายน้ำที่บ่าไหลอย่างรุนแรง
เธอรับฟังแต่กลับไม่เข้าใจในสิ่งที่เราบอกเล่าแก่เธอ เธอโต้ตอบเรากลับว่า
ฉันไม่ใช่ดอกกุหลาบที่เฝ้าคอยเจ้าชายน้อยคนนั้นแต่ตัวของฉันค่อนๆคลายเป็นต้นไม้มีหนามแหลมที่งอกเงยออกมาเพื่อกางกั่นร่างกายในที่กำลังเหี่ยวเฉาลงทุกวันนับวันต้นหนามก็ยิ่งงอกโตขึ้นใหญ่ขึ้นจนบดบังความอ่อนไหวของตัวฉัน แต่มันก็ส่งผลให้คนภายนอก เสียงเธอเริ่มขาดหายเป็นห้วงๆ
คนภายนอกทำไมเหรอ ว่าแต่เป็นอะไรหรือเปล่าเปลี่ยนเรื่องคุยดีมัย เราซักถามด้วยความอยากรู้และคนห่วงใย แต่เธอก็ปฎิเสธว่าไม่เป็นอะไร แล้วพูดต่อว่า
แต่มันก็ส่งผลให้คนภายนอกไม่สามารถเข้ามาใกล้ พบเห็น และสัมผัสได้ จนบางครั้งคนเหล่านั้นจะมองกอหนามเหล่านี้ว่าเป็นตัวอันตราย บ้าบอ ไร้สาระน่าเบื่อ ไม่ควรเข้ามาสัมผัส เพราะว่ามันอาจทำให้ขาเจ็บปวดได้แล้วใครล่ะจะกล้าเข้ามาสัมผัสด้วยใจ เมื่อเขาก็เห็นอยู่ว่ากอหนามนี้มันอันตรายจะมีใครรักที่จะสัมผัสหนาม สัมผัสฉัน สัมผัสความเจ็บปวดเพื่อที่จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของสิ่งที่อยู่ในความอันตรายนั้นและแล้วกอหนามเหล่านี้ก็จะยังคงเบ่งบานขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความระแวงความสิ้นหวังในโชคชะตาจวบจนจะมีใครซักคนเข้ามาสัมผัสความเจ็บปวดของฉันได้อย่างจริงใจและบริสุทธิ์ใจในความหมายของความรักและการช่วยเหลือ จะมีซักคนไหม
เพราะไม่มีใครฉันจึงยังเป็นกอหนามยังเป็นตัวอันตราย ยังเป็นท จมกับความสิ้นหวังฉันจึงเป็นคนที่มีความหวังอยู่ที่ ชีวิตของฉันเองเพียงลำพังแต่ผู้เดียว
เธอพูดจบก็นิ่งเงียบ ส่วนเราเริ่มสับสนในตัวเธอและเริ่มสับสนในตัวเอง
แล้วความเจ็บปวดก็เกิดกับเราเอง เมื่อเราบังเอิญไปล่วงรู้คำพุดหนึ่งของเธอว่า รู้มัยว่าฉันแชทเพื่ออะไร เพื่ออยากค้นหาใครบางคนที่รู้จักหรือไม่รู้จักมาพูดคุยและห่วงใยกัน เพราะในโลกความเป็นจริงมันหลอกลวง และเป็นสีดำ ฉันอยากพุดคุยกับใครบางคน พื่อห่วงใยขา และดุแลเราอย่างจริงใจ แต่ก็ยังหาคนจริงใจไม่ได้แม้ซักคน
เรารับรู้มันแล้วรู้สึกชาไปทั้งตัว ความเปลี่ยวเหงา เกาะกินความรู้สึกจนเย็นยะเยือก เจ็บร้าวและปวดปร่าในหัวใจ เราปล่อยให้น้ำตาที่เอ่อกลบดวงตาไหลรินออกมาจนนองหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยายให้เข้าใจได้
เธอหายไปอย่างกระทันหันนานนับอาทิตย์ เรารู้ความเปลี่ยนแปลงนี้ด้วยความปวดร้าว แต่ยังคงฝืนทนเก็บงำความรู้สึกไว้โดยไม่ปริปาก บอกใครที่สุดแล้วเราก้เป็นฝ่ายติดต่อไปเพื่อไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ คำตอบที่ได้รับเป็นคำยอกฮิตติดปากใครต่อใครว่า งานยุ่ง หากแต่ความหมายที่แฝงนั้น อยากอยู่เงียบๆ โดยปราศจากมึงน่ะแหละเลิกกวนใจกูซักที่ได้มัย รำคาญวะ
เราเข้าใจความหมายแฝงนั้น แต่คำพุดหนึ่งของเธอที่ฉันจำได้แม่นยำก็คือ คนเราเมื่อมีครั้งแรก แล้วครั้งต่อไปก็จะตามมาเสมอ เราต้องการพิสูจน์คำพูดนี้อีกสักครั้งว่ามันล้วนลวงหลอกเราหรือไม่ แล้วเราก้ได้พิสูจน์มันอีกครั้งในอาทิตย์ถัดมา
เป็นไงบ้างล่ะ ไม่ได้คุยกันนานเลยนะ เราเปิดปรเด็นก่อน
อืม งานยุ่งน่ะ เธอตอบเรียบๆแต่น้ำเสียงแฝงความรู้สึกเย็นชา
เหรอเราโทรมากวนหรือเปล่า เราถามด้วยเสียงสั่นเครือไม่หลอกกำลังจะกินข้าว เช้านี้แปลกไม่รู้ทำไมหิวแต่เช้าว่าแต่เธอเถอะนึกยังไงโทรมาแต่เช้า เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูสดชื่นนิดหน่อยฉันไม่รู้ว่าเธอรู้สึกได้หรือไม่ว่าน้ำเสียงของเราเริ่มสั่นและขาดหาย ความเงียบเข้ามาครอบคลุมเราทั้งสอง แล้วเธอก็เป็นผู้ทลายกำแพงแห่งความเงียบนั้นลงว่า
นี้ๆ นี้ๆ ดูนั้นสิ เสียงร่าเริงของเธอยังไม่ทันขาดหายก็มีเสียงแหลมๆ แทรกขึ้นมาทันทีว่าว้าย น่ารักจังเลยนะ
มีอะไรกันเหรอ เราถามด้วยความงุมงง เพราะความร่าเริงของเขาบอกกับเสียงเล็กแหลมที่แทรกขึ้นมา อ๋อ อยู่กับเพื่อนน่ะ ว่าแต่มีอะไรหรือเปล่าถ้าไม่มีฉันจะกินข้าวต่อเดี๋ยวต้องรีบไปทำงานแล้วช่วงนี้งานยุ่งมาก
เหรองั้นเราไม่กวนเธอดีกว่า น้ำเสียงเราสั่นยิ่งกว่าเดิม หลังจากวางโทรศัพท์เราครุ่มคิดถึงความหมายของคำว่า งานยุ่ง อีกครั้ง แล้วนึกย้อนไปถึงคำพูดคำหนึ่งของเธอที่เราจำได้แม่นยำคือคนเราเมื่อมีครั้งแรกแล้วครั้งต่อไปก็จะตามมาเสมอนี่เป็นอีกครั้งที่เราได้พิสูจน์ความจริงจากคำพูดนี้
ถึงแม้เราพยายามที่จะถนอมดวงใจของคนทุกคนที่เรารักไว้อย่างดีที่สุดและให้อยู่กับเราเนิ่นนานที่สุด แต่ก้น่าเศร้าใจเหลือเกินที่ความรักของคนรอบข้างที่มอบให้กับเรากลับน้อยกว่าความรักที่เรามอบให้กับทุกคนเมื่อเธอลวงหลอกละเลย และลืมเลือนเรา เราก็คงต้องเริ่มทำในสิ่งที่เอต้องการคือเลิกกวนใจเธอ แต่ แต่ตราบใดที่เธอยังคงมองเห็นคุณค่าของความรักและมิตรภาพระหว่างเรามันก็ตราตรึงอยู่ในใจไม่จางหาย แต่หากเธอมองข้ามและละเลยคุณค่ามันไป ไม่ว่ามิตรภาพและความรู้สึกใดใดก้ไม่หลงเหลือไว้ในความทรงจำ