เมฆหมอกและสายลม ตอนที่ 13 หลล่อนชื่อสุรีย์
พ.จินดา
......ตอนที่ 13 หล่อนชื่อสุรีย์
........สายฝนยังคงโปรยปรายเป็นม่านละอองไม่ขาดสายของตอนเช้า เข้าสู่วันที่ 3 แล้ว เสียงน้ำที่หลั่งไหลผ่านลำคลอง ที่ไหลผ่านหน้ากระท่อมไม้ไผ่มุงด้วยหญ้าคาของหญิงหม้ายวัยกลางคนที่ชื่อสุรีย์ ฟังดูเชี่ยวกรากมาจากต้นน้ำที่ภูเขาด้านท้ายเกาะ ท้องฟ้ายังคงดูมืดครื้มไปด้วยเมฆฝนสีเทาดำที่แผ่ปกคลุมไปทั่ว กบและเขียดต่างส่งเสียงร้องระงมขานรับเป็นช่วงๆไปทั่วท้องทุ่งเหมือนจะดีใจที่มันได้รับความชุ่มชื่นของฤดูฝน
.....แต่สุรีย์ เธอไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างมากนัก ร่างที่นั่งหลังพิงฝานั้นดูนิ่งเฉย แววตาที่มองฝ่าสายฝนที่อยู่เบื้องนอก ดูเลื่อนลอยเหมือนตกอยู่ในภวังค์แห่งความครุ่นคิด เส้นผมที่ดูค่อนข้างยุ่งเหยิงหล่นปรกหน้าหล่อน ยิ่งทำให้ดูแก่เกินวัยยิ่งขึ้น คำบอกเล่าของเพื่อนบ้านที่รับฝากจากบุตรสาวเพียงคนเดียวที่หล่อนมีอยู่นั่นเองที่ทำให้หญิงหม้ายสุรีย์ ต้องมานั่งครุ่นคิดอยู่นอกชานบ้านเพียงคนเดียว "น้ำ มันฝากมาบอกว่าให้เธอรีบส่งเงินไปให้มัน 3,000 บาท เร็วๆด้วย"
น้ำบุตรสาว เธอเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาตามลำพังตั้งแต่สามีผู้เป็นพ่อของน้ำได้เสียชีวิตลงด้วยโรคไข้มาเลเรีย ขณะนั้นน้ำมีอายุได้ 5 ขวบ จากวันนั้นมาเธอเฝ้าเลี้ยงดูส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือจนจบระดับชั้นประถมที่โรงเรียนบนเกาะแห่งนี้ "น้ำเป็นเด็กที่เรียนดี มีความขยัน หากได้เรียนหนังสือต่อ อนาคตของเด็กคงจะดี" ครูคนหนึ่งที่เคยสอนบุตรสาว บอกกับสุรีย์ วันที่ลูกเรียนจบ
......เกือบ 2 ปีแล้ว ที่เธอพยายามทำงานทุกอย่างที่ให้มีรายได้มาเลี้ยงชีวิตทั้งเธอและลูกที่สำคัญรายได้นั้นต้องมากพอที่จะส่งให้ลูกเธอเรียนจบตามที่ลูกต้องการ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหนก็ตาม ก่อนนั้น น้ำใช้เงินไม่มากนัก น้ำยังพูดกับเธอผู้เป็นแม่เลยว่า สงสารแม่ไม่อยากให้แม่ต้องลำบาก เธอพยายามใช้จ่ายอย่างประหยัด แต่มาไม่นานนี่เอง รายจ่ายของน้ำมากขึ้นจนเธออดตกใจไม่ได้ว่า หากค่าใช้จ่ายมากมายเช่นนี้ต่อไปข้างหน้าไม่รู้เธอจะมีปัญญาหาเงินส่งให้น้ำเรียนจนจบหรือเปล่า "ทำไมหมู่นี้ ลูกใช้จ่ายมากจัง" สุรีย์เคยถามลูก
"ก็น้ำเรียนไม่เหมือนแม่นี่ สมัยแม่ เรียนที่วัด กินข้าววัด สมุดหนังสือเครื่องเรียนก็ไม่ต้องซื้อเขาแจก แต่น้ำไม่ใช่ ต้องใช้จ่ายทุกอย่าง" จากนั้นมาเธอไม่เคยถามลูกอีกเลย ครั้งหนึ่งช่วงโรงเรียนปิดเทอม สุรีย์เคยเอ่ยถามถึงลูกสาวกับต้นเพื่อนชายของลูกที่กลับมาเยี่ยมบ้านเพราะไม่เห็นน้ำกลับมา สุรีย์แอบปรายตาเห็นแม่ของเขาสะกิดที่ต้นแขนของต้น "ไม่ทราบครับ" ต้นตอบ เธอเองเริ่มคิดมากนับจากวันนั้น.....
.......เช้าของวันใหม่ ท้องฟ้าที่เคยปกคลุมไปด้วยเมฆฝนเริ่มจาง ฝนเริ่มซาและตกทิ้งช่วง สุรีย์คว้ากระเป๋าผ้าใบย่อมพาดบ่าเดินออกจากบ้านหลังใหญ่ของเจ๊วิ ที่ปลูกสร้างตระหง่านอวดความมั่งคั่งอยู่ริมชายหาด มุ่งหน้าสู่ท่าเรือที่มีเรือหางยาวลำไม่ใหญ่นักบรรทุกปิ๊บกะปิเต็มลำเรือจอดติดเครื่องรออยู่ เตรียมตัวทะยานออกจากเกาะบ่ายหน้าเข้าสู่ฝั่งในเมือง
.......บ่ายมากแล้ว แดดส่องรำไร ร่างของสุรีย์ยืนนิ่ง ตะลึงต่อภาพที่เห็น เมื่อน้ำเปิดประตูห้องพักออกมาทันที่ที่ได้ยินเสียงเคาะประตู น้ำเธออยู่ในชุดที่เกือบเปลือย ส่วนบนเตียงนอนที่อยู่ด้านในมีร่างของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับน้ำนอนหลับท่อนบนเปลือยเปล่า พื้นห้องเกลื่อนไปด้วยก้นบุหรี่และกระป๋องเบียร์ น้ำตกใจเธอผลักร่างของสุรีย์เต็มแรงจนเกือบเซ "ใครใช้ให้แกมา ไอ้บ้าเอ้ย เขาบอกให้ส่งเงินมาอย่างเดียว ตัวน่ะไม่ต้องมา ไปออกไปให้พ้น" สิ้นเสียงกล่าวด้วยโทสะของเด็กสาว ประตูห้องก็ถูกปิดดังโครม
......ทันทีที่ทราบข่าว หมอกรและกำนัน ต่างพากันวิ่งขึ้นมาบนสถานีตำรวจภูธรตำบลปากน้ำ พร้อมซักถามเรื่องราวจากร้อยเวร ทราบว่าสุรีย์เธอถูกจับกุมในข้อหาแอบลักลอบขนส่งกัญชาอัดแท่งที่ซุกซ่อนมาในปิ๊บที่บรรจุกะปิ เธอถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมในช่วงเย็นขณะที่กำลังเดินโซซัดโซเซอยู่ริมถนนหน้าหอพัก ตำรวจบอกว่าเธอไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ซักถามพูดคุยอะไรไม่ได้ เหมือนคนเหม่อลอยไม่ได้สติ จึงนำตัวมากักขังก่อน
"สุรีย์ มีญาติมาเยี่ยม" สิบเวรร้องบอก
....ร่างที่อยู่ภายในลูกกรงเหล็กนั้น นั่งพิงฝาไม่ไหวติง ไม่ยินดียินร้ายกับบุคคลที่มาเยี่ยม แววตานั้นแห้งผากไม่มีแม้แต่รอยคราบน้ำตา เธอหันมาสบตากับหมอกรและกำนัน "สุรีย์ ไม่ต้องห่วงน่ะ ฉันกับกำนันจะหาทางช่วยเธอเอง"เหมือนเธอจะยิ้ม แสงแดดสีส้มอ่อนทอแสงลอดผ่านเข้ามาอาบใบหน้าของหล่อนทำให้เห็นสีหน้านั้นสงบนิ่ง ชั่วอึดใจร่างของหญิงหม้ายที่นั่งพิงฝาค่อยๆทรุดลงนอนทาบกับพื้นห้อง ไม่ไหวติง ดวงตาค่อยๆปิดลงอย่างเชื่องช้า มือข้างซ้ายที่กำแน่นเมื่อครู่แบออกเผยให้เห็นธนบัตรใบละ 1,000 บาท จำนวน 3 ใบ ร่วงหล่นออกมา
หมอกรและกำนันมองหน้ากันเหมือนกับจะนัด ทันทีที่เห็นและรู้สึกได้
"นักโทษ สิ้นใจแล้วครับ ช่วยกันหน่อย"
.......เปลวเพลิงและควันไฟที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นควันดำนั้น ถูกพัดโหมด้วยลมแรง เหมือนว่าร่างที่ถูกเผามอดไหม้จะรับรู้อะไรบางอย่าง หากกลุ่มควันที่พวยพุ่งเป็นดวงวิญญานของสุรีย์ เธอคงจะดีใจและขอบใจเพื่อนบ้าน หมอกรและกำนันที่ทุกคนมีน้ำใจกับเธอเสมอมาแม้เขาทุกคนเหล่านั้น จะสงสัยหรือรู้ ว่าอาชีพของเธอทำอะไรจึงมีรายได้มาส่งให้ลูกได้เรียนหนังสือและใช้จ่ายมากมายขนาดนี้ทั้งๆที่เธอไม่มีทรัพย์สินเงินทองหรือเรือกสวนไร่นาเหมือนกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ แต่ทุกคนก็ไม่พูดหรือรังเกียจทำร้ายเธอ กลับสงสารและช่วยเหลือเกื้อกูลเธอมาโดยตลอดจวบจนวันสุดท้ายที่เธอสิ้นลม
.......บัวขนาดเขื่องสีขาวลายเส้นขอบแดงที่ภายในบรรจุกระดูกของหญิงหม้ายสุรีย์ ได้วางอยู่ใกล้ๆกับกระท่อมไม้ไผ่หลังคามุงจาก ที่ตั้งอยู่ริมคลอง ซึ่งครั้งหนึ่งได้เป็นวิมานรักของครอบครัว 2 แม่ลูกที่ต่างก็กำพร้าสามีและบิดา ต่างใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข แต่วันนี้ถึงแม้ว่าความสุขและภาพของการใช้ชีวิตร่วมกันของ 2 แม่ลูก จะเหลือเป็นเพียงเงาแห่งความทรงจำของเพื่อนบ้านผู้พบเห็นก็ตาม
ลมฝนเริ่มพัดผ่านมาอีกครั้ง ลูบไล้ผิวกายหมอกรให้เย็นยะเยือก ท้องฟ้ามืดหม่นด้วยเมฆฝนอีกครา เหมือนจะมีบอกอะไรบางอย่างกับหมอกร
"ไม่ต้องห่วงน่ะ สุรีย์ หลับให้สบาย ผมจะนำลูกน้ำของสุรีย์กลับมาหาแม่ของเธอให้ได้ ผมขอสัญญา"