ธรณีพิโรธ...
คีตากะ
ตามตำนานในพุทธศาสนาเรื่อง ทศชาติชาดก ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ว่า ครั้งหนึ่งพระศากยมุนีพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติเป็นพญานาคานามว่า ภูริทัต อาศัยอยู่ในเมืองบาดาล ซึ่งเป็นภพชาติที่ทรงบำเพ็ญ ขันติบารมีธรรม นอกจากนั้นภายหลังจากที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้เคยส่งศิษย์ผู้เป็นธรรมทายาทมีนามว่า พระมัญชูศรีโพธิสัตว์ ลงไปยังเมืองบาดาลเพื่อโปรดธิดานาคา อายุ 8 ขวบ จนสำเร็จเป็นพุทธะ เรื่องราวเหล่านี้พระพุทธองค์ได้ให้ข้อคิดสอนใจว่า แม้แต่สัตว์เดียรฉานอมนุษย์ สตรี และเด็กอายุเพียง 8 ขวบ ก็สามารถรู้แจ้งในธรรมะสำเร็จระดับชั้นสูงสุดเป็นพุทธะได้เพียงในชาติเดียว ตำนานที่เกี่ยวกับพญานาคหรือนาคายังมีอีกมากมายในนิทานปรัมปราพื้นบ้านหลายเรื่องเช่น เมืองโยนกนคร ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบรรพบุรุษของชนชาติไทยในยุคแรกที่อพยพเดินทางมาจากจีนตอนใต้เพื่อมาตั้งถิ่นฐานในบริเวณสุวรรณภูมิเมื่อกว่าพันปีที่ผ่านมา .....
เวียงหนองหล่ม ตั้งอยู่ที่เขตติดต่อระหว่างตำบลโยนก อำเภอเชียงแสน กับตำบลจันจว้าอำเภอแม่จัน จากหลักฐานที่ได้จากการสำรวจ สันนิษฐานว่าอยู่ระหว่างยุคหินใหม่ ถึงไม่เกินพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ตำนานและพงศาวดารหลายเล่มกล่าวตรงกันว่า เจ้าชายสิงหนวัติ พาผู้คนมาหาที่ตั้งเมือง พอมาถึงแม่น้ำโขง ก็พบนาคจำแลงเป็นชายมาบอกสถานที่สร้างเมือง จึงตั้งเมืองโยนกนาคพันสิงหนวัติ โดยเอาชื่อองค์ผู้สร้างเมืองรวมกับชื่อนาค หรือโยนกนครหลวง
มีกษัตริย์ปกครองสืบจนถึงสมัยพระเจ้ามหาไชยชนะ ผู้คนจับปลาไหลเผือกได้ที่แม่น้ำกก บ้างก็ว่าลักษณะคล้ายงูใหญ่ จึงนำมาแบ่งกันกินทั่วเมือง เว้นแต่เพียงหญิงม่ายคนหนึ่ง ที่อาศัยอยู่คนเดียวในบ้านกลางเมือง ในขณะที่ชาวเมืองกำลังมีงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นจากพระราชาซึ่งตรงกับวันพระพอดีนั้น พลันมีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่ง ลักษณะมีสง่าราศรีและงดงาม ซึ่งไม่ใช่ชาวเมืองโยนกนคร เดินทางมาแวะยังบ้านอันโดดเดี่ยวของหญิงหม่ายผู้นั้นและสอบถามว่าทำไมเธอถึงไม่ไปร่วมงานเฉลิมฉลองรื่นเริงกับชาวเมืองส่วนใหญ่ หญิงหม่ายตอบว่าเนื่องจากเธอไม่มีญาติสักคนเหลืออยู่จึงไม่ได้รับส่วนแบ่งของเนื้อปลานั้นเหมือนกับบ้านอื่นที่เขามีญาติพี่น้องพร้อมหน้ากัน เธออยู่คนเดียว ไม่มีญาติ และไม่รู้ข่าว เลยไม่มีใครนำเนื้อปลามาแบ่งให้เธอ ก่อนจากไปชายหนุ่มแปลกหน้าได้กำชับกับหญิงหม่ายเอาไว้ว่าในคืนนี้ขอให้เธออยู่ในบ้านอย่าออกไปไหน ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรก็ตามอย่าออกมาจากบ้านเด็ดขาด ถึงแม้หญิงหม่ายจะทำหน้างุนงงสงสัยกับคำพูดของชายแปลกหน้าแต่ก็ได้ตกปากรับคำ นี่อาจเป็นคำให้การของเธอถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นที่ภายหลังถูกจารึกในประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 เรื่อง พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน เล่าถึงเหตุการณ์คล้ายๆกับการเกิดแผ่นดินไหว โดยอ้างอิงว่าเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.1003 ดังนี้....
สุริยอาทิตย์ก็ตกไปแล้ว ก็ได้ยินเสียงเหมือนดั่งแผ่นดินดังสนั่นหวั่นไหวประดุจดังว่าเวียงโยนกนครหลวงที่นี้จักเกลื่อนจักพังไปนั้นแล แล้วก็หายไปครั้งหนึ่ง ครั้นถึงมัชฌิมยามก็ซ้ำดังมาเป็นคำรบสองแล้วก็หายนั้นแล ถึงปัจฉิมยามก็ซ้ำดังมาอีกเป็นคำรบสาม หนที่สามนี้ดังยิ่งกว่าทุกครั้งทุกคราวที่ได้ยินมาแล้ว กาลนั้นเวียงโยนกนครหลวงที่นั้นก็ยุบจมลงเกิดเป็นหนองอันใหญ่.....
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหญิงหม่ายชะโงกหน้าออกมาจากประตูบ้าน เธอถึงกับต้องตกตะลึงตัวสั่นงันงก เมื่อพบว่าเมืองทั้งเมืองพลันอันตธานหายไปเพียงในชั่วข้ามคืนราวกับความฝัน กลับกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่รายล้อมรอบเป็นบริเวณกว้างเหมือนทะเลสาบ ปราศจากสิ่งก่อสร้างและสิ่งมีชีวิต ไม่มีแม้เงาร่างของชาวเมืองที่เคยเอะอะจอแจ คงหลงเหลือเพียงบ้านของเธอหลังเดียวที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำอันเวิ้งว้างว่างเปล่านั้น บริเวณบ้านของหญิงม่ายจึงเรียกน้ำนั้นว่า เกาะแม่ม่าย
เมืองเชียงแสน จังหวัดเชียงราย มีหนองน้ำขนาดใหญ่ มีชื่อเรียกว่า เวียงหนอง ชาวบ้านบางคนเรียกว่า เวียงหนองหล่ม เข้าใจกันว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของเมืองโยนกนคร แต่ต้องล่มสลายไปด้วยแผ่นดินไหวตามที่เล่ากันในตำนาน จนเมื่อปี 2546 สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน) ได้จัดพิมพ์หนังสือ จากห้วงอวกาศสู่พื้นแผ่นดินไทย และได้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียมศึกษาถึงเวียงหนอง ปรากฏว่าพบแนวรอยเลื่อน เป็นหลักฐานทางธรณีวิทยา แสดงถึงการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ถึงแม้ว่าทั้งตำนานและภาพถ่ายดาวเทียมแสดงถึงร่องรอยของการเกิดแผ่นดินไหว แต่ยังเป็นปริศนาต่อไปว่า เมืองโยนกนครดังกล่าวคือเวียงหนองจริงหรือไม่?
ทุกวันนี้ยังมีเรื่องเล่าปากต่อปากจากชาวบ้านแถวนั้นว่าหากใครอยากเห็นมหานครโยนกซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต คืนวันพระให้ไปตั้งแคมป์นอนบริเวณเวียงหนอง ตกดึกเวลาเที่ยงคืนให้ออกมาบริเวณริมทะเลสาบ มองออกไปจะเห็นภาพเมืองโยนกนครปรากฏ...
ครั้งหนึ่งคณะครูและนักเรียนชั้นมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งจากโรงเรียนในภาคเหนือได้มีการออกค่ายพุทธธรรมเพื่อปฏิบัติธรรม โดยตั้งแค้มป์ค้างแรมบริเวณไม่ไกลจากเวียงหนองดังกล่าว ตกค่ำขณะที่คณะครูพากันไปเลี้ยงฉลองกัน มีนักเรียนทั้งหญิงกลุ่มหนึ่งราว 5 คนนึกสนุกอยากจะพิสูจน์ความเชื่อของชาวบ้านที่ต่างก็เคยได้ยินได้ฟังมานมนาน คืนนั้นเวลาประมาณ 2 ทุ่มจึงแอบหนีครูไปหลบอยู่ที่ศาลาริมทะเลสาบเพื่อรอดูภาพเมืองโยนกนครตามตำนาน แต่ปรากฏว่ายังไม่ทันถึงเที่ยงคืนทุกคนกลับผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว มารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนเช้าแล้ว ทำให้คืนนั้นนักเรียนกลุ่มนี้ไม่ได้กลับไปนอนที่แคมป์แม้แต่คนเดียว ทุกคนต่างเผลอหลับไปภายในศาลาริมทะเลสาบ สร้างความงุนงงสงสัยกันถ้วนหน้า นักเรียนหญิงคนหนึ่งในกลุ่มบอกว่าเคยได้ยินแม่ของเธอบอกว่าทุกคนที่คิดพิสูจน์ความเชื่อของอาถรรพ์เวียงหนองหล่มนี้ ก่อนเที่ยงคืนจะถูกมนต์จากพญานาคสะกดให้ง่วงจนหลับไปทุกราย ซึ่งเธอก็เชื่อว่ามันเกิดขึ้นกับเธอและเพื่อนๆของเธอแล้ว...
จากหลักฐานที่ได้ค้นพบชั้นตะกอนที่เป็นป่าชายเลนและซากไม้โบราณเก่า ซึ่งมีการนำไปหาค่าอายุโดยวิธีคาร์บอน 14 พบว่า ชายฝั่งทะเลเดิมที่เคยอยู่บริเวณที่เป็น จ.อ่างทอง อายุประมาณ 6,000 ปี แสดงให้เห็นว่าในขณะที่น้ำทะเลขึ้นสูงสุดนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของลุ่มน้ำเจ้าพระยา รวมทั้งพื้นที่กรุงเทพมหานครเคยเป็นทะเลมาแล้วทั้งนั้น ระดับน้ำทะเลช่วงดังกล่าวสูงกว่าปัจจุบัน 2-3 เมตร และอุณหภูมิสูงกว่าปัจจุบัน 2-4 องศาเซลเซียส ซึ่งเราเรียกช่วงนี้ว่า ช่วงร้อนที่สุดของยุคโลกร้อนปัจจุบัน
ประเทศไทยซึ่งมีแนวชายฝั่งทะเลยาวประมาณ 2,667 กิโลเมตร มีพื้นที่ตามแนวชายฝั่งทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนและใช้ประโยชน์ในกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมด 23 จังหวัด ชายฝั่งทะเลมี 136 อำเภอที่อยู่ตามแนวชายฝั่ง หรือมี 807 ตำบทติดชายฝั่งทะเล ลักษณะของชายฝั่งทะเลมีความหลากหลายของชนิดพันธุ์พืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิต ทั้งในน้ำกร่อยและในน้ำทะเลจำนวนมากมาย อีกทั้งยังมีความสลับซับซ้อนของสภาพกายภาพ และลักษณะธรณีสัณฐานชายฝั่งทะเลหลายอย่างที่ปรากฏ เช่น ชายฝั่งทะเลที่เป็นหิน ชายหาดทราย ชะวากทะเล ดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำ ที่ลุ่มน้ำเค็มหรือพรุน้ำเค็มและป่าชายเลน สภาพสิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเลเหล่านี้มักถูกเปลี่ยนแปลงเป็นประจำ อันเนื่องมาจากอิทธิพลของคลื่นกระแสน้ำตามแนวชายฝั่ง การขึ้นลงของระดับน้ำทะเล ตลอดจนสภาพการพัดพาตะกอนจากบริเวณต้นแม่น้ำลงสู่แนวชายฝั่งทะเล
แนวชายฝั่งทะเลของประเทศไทยในบริเวณใดๆก็ตาม มักจะได้รับอิทธิพลจากขบวนการธรรมชาติเหล่านี้ และกิจกรรมของมนุษย์ก็มีส่วนเป็นตัวเร่งทำให้ชายฝั่งทะเลมีการเปลี่ยนแปลงในอัตราที่เร็วมาก ปัจจุบันเราพบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทย ซึ่งมีความยาวชายฝั่งทั้งสิ้น 1,652.5 กิโลเมตร เริ่มตั้งแต่ชายฝั่งทะเลของ จ.ตราด จนถึงบริเวณชายแดนภาคใต้ของ จ.นราธิวาส พื้นที่ถูกกัดเซาะรุนแรงมากกว่า 5 เมตรต่อปี จนถึง 20 เมตรต่อปี เป็นความยาวประมาณ 485 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 18 ของพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ
ในขณะที่ชายฝั่งทะเลด้านอันดามัน ซึ่งมีความยาวชายฝั่ง 1,014 กิโลเมตร พบว่ามีพื้นที่ถูกกัดเซาะรุนแรงมากกว่า 5 เมตรต่อปีมีทั้งสิ้น 113.5 กิโลเมตร คิดเป็นประมาณ 4% ของพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั้งประเทศ(ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล:2550)
เช้านั้น (26 ธ.ค. 47) เป็นวันพระ กำลังจะปีใหม่ ส่วนใหญ่พวกเราก็เริ่มเตรียมหยุดงานกันแล้ว มีคนออกทะเลบ้างแต่ไม่มากนัก ฟ้าโปร่งลมเงียบนิ่งเหมือนไม่ไหวติง ใครๆก็ไม่ทันสังเกตอะไร จนกระทั่งสิบโมงกว่า เห็นน้ำทะเลแห้งลงไปไกล สักพักเห็นกำแพงคลื่นขาวมาแต่ไกล เมื่อคลื่นมาถึงใกล้หาดเรือทยอยจมลำแล้วลำเล่า แล้วจู่ๆ คลื่นก็ยกตัวขึ้นสูงเทียมยอดสน มีคนตะโกนว่า คลื่นยักษ์ ! เท่านั้นแหละก็พากันวิ่งหนี...
จากคำบอกเล่าของชาวบ้านผู้อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่คลื่นยักษ์สึนามิถล่มชายฝั่งอันดามันกินพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย และอีกหลายประเทศ ยังความสูญเสียมากมายมหาศาล กลายเป็นกรณีที่ทำให้ทั่วโลกเกิดการตื่นตัว แม้ในประวัติศาสตร์ชาติไทยจะยังไม่เคยพบบันทึกปรากฏการณ์การเกิดคลื่นยักษ์สึนามิมาก่อน แต่จากคำบอกเล่าแบบปากต่อปากจากบรรพบุรุษของชาวมอแกน อันเป็นชนเผ่าดั้งเดิมของ ชุมชนบ้านน้ำเค็มว่าเมื่อใดก็ตาม ที่เห็นขอบทะเลร่นถอยออกจากชายฝั่งไปไกลผิดปกติให้รีบหนีขึ้นที่สูงหรือออกไปให้ไกลจากชายฝั่งทะเลมากที่สุด นั่นแสดงว่าชาวมอแกนดั้งเดิมย่อมเคยประสพกับคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อนานมาแล้วในครั้งบรรพกาล พวกเขาจึงสามารถบอกต่อมาสู่รุ่นลูกรุ่นหลานในปัจจุบันได้ ทำให้ชาวมอแกนรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้ได้พ้น...
ชุมชนบ้านน้ำเค็ม ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบชายทะเล หมู่ 2 ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แต่เดิมที่แห่งนี้เคยเป็นป่าชายเลน คนดั้งเดิมคือชาวมอแกน เมื่อหลายสิบปีก่อนพังงาเป็นแหล่งเหมืองแร่ที่แรงงานทั่วทุกภาคนิยมเข้ามาขุดทอง แต่เมื่อวันหนึ่งแร่หมด คนจึงหันเหอาชีพมาทำประมง บ้านน้ำเค็มจึงกลายเป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดใหญ่ แม้บ้านน้ำเค็มจะเป็นหมู่บ้านชาวประมง แต่ก็มีรากเป็นทุนนิยม จากช่วงแรกๆที่สามารถทำรายได้สูง ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำมาหากิน ในชุมชนเต็มไปด้วยซอกซอย มีการพนัน มีอาชญากรรม แต่แล้วสึนามิ ก็พัดพาไปหมด
คลื่นยักษ์สึนามิสูง 10 เมตร เคลื่อนที่ด้วยความเร็วลม 500-700 กิโลเมตร/ชั่วโมง พัดเข้าถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามัน กวาดเอาบ้านเรือน ทรัพย์สิน และชีวิตผู้คนในจังหวัดภูเก็ต กระบี่ พังงา ระนอง สตูล และตรัง รวมถึงหมู่เกาะน้อยใหญ่ต่างๆในทะเลอันดามันลงสู่ท้องทะเล สาเหตุของคลื่นสึนามิเกิดจากแผ่นดินไหวใต้ทะเลซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย บริเวณด้านตะวันตกของหัวเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย วัดขนาดความแรงได้ 9.3 ริคเตอร์ ว่ากันว่าแผ่นดินไหวครั้งนี้เป็นแผ่นดินไหวที่มีความแรงสูงสุดในโลกนับตั้งแต่แผ่นดินไหวในมลรัฐอลาสก้าเมื่อปี 2507 และมีความแรงสูงสุดเป็นอันดับ 4 นับตั้งแต่ปี 2443 เลยทีเดียว ผลกระทบจากสึนามิครั้งนั้นเป็นความสูญเสียที่มิอาจประเมินค่าได้ ประชาชนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ตึกรามบ้านเรือนต้องได้รับความเสียหาย แหล่งท่องเที่ยวถูกทำลาย และที่น่าเศร้าสลดที่สุดคือชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ถูกคลื่นยักษ์คร่าชีวิตไป ประมาณว่ามีผู้เสียชีวิต 5,395 คน และผู้สูญหายเกือบ 1,000 คน โดยประเทศเพื่อนบ้านนั้นได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัส เช่นกัน เช่น จังหวัดอะเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย ชายฝั่งของประเทศศรีลังกา ชายฝั่งของรัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย รวมถึงชายฝั่งของประเทศโซมาเลียในแอฟริกา ซึ่งห่างจากจุดศูนย์กลางแผ่นดินไหวถึง 4,100 กิโลเมตรก็ยังได้รับผลกระทบด้วย ดาดว่ามีผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวครั้งนี้ทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 228,000 ถึง 310,000 คน รวมมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ....
เหตุการณ์แผ่นดินไหวถูกมองว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นและกำลังทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน แต่จากการค้นพบของ Dr. Bill McGuire หัวหน้านักภูเขาไฟวิทยาแห่งอังกฤษ รายงานเมื่อเร็วๆนี้ว่ามันเป็นสิ่งชัดเจนแล้วว่าเมื่ออุณหภูมิของบรรยากาศเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยสามารถกระตุ้นให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟและแผ่นดินไหวจากแผ่นเปลือกโลกได้ เพราะว่าการละลายอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งเหมือนที่อาร์กติกและกรีนแลนด์จะสามารถปลดปล่อยความดันจากพื้นผิวโลกก่อให้เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ แรงสะท้อนกลับของแผ่นเปลือกโลกในพื้นที่เหล่านี้ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงความเค้นซึ่งส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวและการระเบิดของภูเขาไฟในปัจจุบัน ตามความคิดเห็นนี้มีความเป็นไปได้ของสภาวะที่จะก่อให้เกิดการสั่นไหวของโลกบ่อยครั้งขึ้น Dr. Bill McGuire แถลงว่า นั่นคือสิ่งชัดเจนถ้าคุณใส่แรงกระทำเข้าไปและเอาออกอย่างผิดปกติ คุณมีแน้วโน้มที่จะไปกระตุ้นให้เกิดแผ่นดินไหว เขายังได้กล่าวว่าเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีตมันก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิจำนวนมากตามมาในระหว่างที่มีการละลายเมื่อตอนปลายยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด...
ธารน้ำแข็งที่สามารถมองเห็นได้เป็นเพียงส่วนน้อยของทั้งหมด เรื่องราวตำนานของการจมลงของเรือไททานิก ที่ไปชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งในในมหาสมุทรแอตแลนด์ติกเป็นตัวอย่างที่ดี เมื่อกับตันผู้ควบคุมเรือมองข้ามยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่พ้นทะเลเพียงเล็กน้อยจนไม่สามารถหลบหลีกได้ทันท่วงทีท่ามกลางทัศนะวิสัยที่เลวร้ายของคืนฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ทำให้เรือจมลงเกิดโศกนาฏกรรมตามมา ฐานของภูเขาน้ำแข็งที่กดทับแผ่นเปลือกโลกอยู่ไม่อาจมองข้ามพละกำลังของมันได้ ทั้งอาร์กติกขั้วโลกเหนือและแอนตาร์กติกขั้วโลกใต้รวมแล้วมีปริมาณน้ำแข็งมากกว่า 90% ของธารน้ำแข็งทั้งหมดบนโลก ฐานของมันล้วนแล้วแต่จมอยู่ในท้องมหาสมุทรเกือบแทบทั้งสิ้น นั่นเองมันจึงอ่อนไหวเป็นอย่างมาก และพร้อมที่จะละลายไปได้ทุกเมื่อ ถ้าหากอุณหภูมิของน้ำทะเลสีเข้มที่มีความสามารถในการดูดกลืนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์เป็นอย่างดีจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยและปลดปล่อยแรงดันอันมหาศาลที่กระทำต่อเปลือกโลกออกมา นอกจากนั้นน้ำแข็งส่วนที่จมนี้ยังยากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ที่จะคำนวณระดับน้ำทะเลที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากการละลายของพวกมันในอนาคตอีกด้วย...
ภาวะโลกร้อนกำลังทำให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่เคยพบเห็น สำหรับมนุษย์ยุคนี้กำลังเผยโฉมหน้าของมันออกมา น้ำแข็งอายุกว่า 150,000 ปีกำลังละลายหายไป พายุเฮอริเคนในบริเวณที่ไม่เคยเกิดได้เกิดขึ้น แผ่นดินไหวในจุดที่ไม่คาดคิด หิมะตกในเมืองที่ไม่เคยตกมาก่อน พายุไซโคลนที่รุนแรงและถี่ขึ้น น้ำท่วมและภัยแล้งในบริเวณเดิมที่รุนแรงขึ้นและบริเวณที่เปลี่ยนไป คลื่นความร้อนและไฟป่าที่รุนแรง ทะเลทรายที่ขยายอาณาจักรขึ้นเรื่อยๆ ฝนฟ้าที่ยากคาดการณ์ ทะเลที่เป็นกรด แผ่นดินที่จมน้ำ พืชและสัตว์เร่งสูญพันธุ์ทุกขณะ ภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำดื่ม สงครามจราจล ภูเขาไฟระเบิด น้ำป่าไหลหลากและโคลนถล่ม การอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน เชื้อโรคใหม่ระเบิดเวลาของน้ำแข็งแห้งมีเทนและก๊าซไข่เน่าจากใต้ท้องมหาสมุทร การสูญพันธุ์ครั้งที่ 6....
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปทุกคนสัมผัสได้ ถ้าคิดจะแก้ไขผลกระทบภายใน 20 ปีคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ใช้สาเหตุ แต่มันคือมีเทนจากกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งมีความรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 72 เท่าเทียบกันในระยะเวลา 20 ปี และ 20 เท่าเทียบในเวลา 100 ปี แต่ถ้าเราไม่มีเวลา 100 ปีให้แก้ไข ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีอายุสั้นกว่าแต่มีผลกระทบทำให้โลกร้อนกว่านั่นคือ มีเทน แหล่งใหญ่ที่สุดของมันคือปศุสัตว์ เช่น วัว ควาย แพะ แกะ อูฐ สัตว์เคี้ยวเอื้องทั้งหลาย เพื่อซื้อเวลา 20 ปี ก่อนจะมีเวลาไปลดคาร์บอนไดออกไซด์ที่รุนแรงน้อยกว่า อายุอยู่ในบรรยากาศนานกว่า 100 ปี ข้อแนะนำง่ายๆและมีประสิทธิภาพสูงสุด ทานมังสวิรัติ ใช้พลังงานแบบยั่งยืน และปลูกต้นไม้ การลดมีเทนใช้ต้นทุนต่ำกว่าการลดคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่านัก ใครจะยอมปิดโรงงานเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิต ใครจะยอมขี่จักรยานเพื่อไม่ใช้น้ำมัน ใครจะยอมปิดโรงไฟฟ้าพลังงานถ่านหินซึ่งต้นทุนต่ำ ใครจะไม่บุกรุกป่าเมื่อไร้ทีทำกินและประชากรล้นโลก การลดคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยวิธีการเหล่านี้ต้องใช้ต้นทุนมหาศาล ทำไมไม่ทำเรื่องที่ง่ายกว่านั้น?....ทานมังสวิรัติ ใช้พลังงานแบบยั่งยืน และปลูกป่า...Be Vag Go Green Save The Platnet...